Home
•
กระดานสนทนา
•
สมาธิ
•
สติปัฏฐาน
•
กฎแห่งกรรม
•
นิทาน
•
หนังสือ
•
บทความ
•
กวีธรรม
•
ข่าวกิจกรรม
•
แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้
ค้นหา
สมัครสมาชิก
รายชื่อสมาชิก
กลุ่มผู้ใช้
ข้อมูลส่วนตัว
เช็คข้อความส่วนตัว
เข้าสู่ระบบ(Log in)
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
ถ้า ใจเสีย แล้วจะเสียใจ (หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ)
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
:: ลานธรรมจักร ::
»
บทความธรรมะ
ผู้ตั้ง
ข้อความ
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089
ตอบเมื่อ: 06 ก.ย. 2007, 11:38 am
ชีวิตกับธรรมะจะต้องอยู่ด้วยกัน แยกออกจากกันไม่ได้
ถ้าแยกตัวชีวิตออกจากธรรมะเมื่อใด
ก็เหมือนกับว่า เป็นคนไม่มีชีวิต
ชีวิตจะสมบูรณ์เรียบร้อย ก็ต้องมีธรรมะประคับประคองจิตใจ
ทิ้งธรรมะเสียเมื่อใด ชีวิตวุ่นวายเมื่อนั้น
อันนี้เราจะ เห็นได้ง่ายๆ ว่า
เวลาเรามีความวุ่นวายใจ มีความทุกข์มีความเดือดร้อนใจ
นั้นก็เพราะขาดธรรมะเป็นหลักคุ้มครองใจ
เมื่อไม่มีธรรมะคุ้มครองใจ จิตใจวุ่นวาย มีความเดือดเนื้อร้อนใจ
ความเดือดเนื้อร้อนใจที่เกิดขึ้นนั้น ก็เพราะว่าไม่เข้าถึงธรรมะ
เพราะฉะนั้น เมื่อเข้าถึงธรรมะ ความทุกข์หายไป
ความเดือดร้อนทั้งหลายก็คลายจางไป ชีวิตมันสมบูรณ์ขึ้น
เพราะฉะนั้น ชีวิตกับธรรมะ จึงสิ่งคู่กันแยกออกจากกันไม่ได้
ปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันหลายประการ
ในแง่ต่างๆ เราแก้มันได้ด้วยอะไร
ถ้าที่ประพฤติธรรม ก็แก้มันด้วยความรู้ความเข้าใจในธรรมะ
เอาธรรมะมาแก้ปัญหา ชีวิตก็ผ่อนคลายไป
พ้นจากความทุกข์ความเดือดร้อน อันนั้นคือ ผลที่ปรากฏอยู่
ความไม่สบายใจนั้น ก็เป็นโรคอย่างหนึ่ง
เหมือนๆกับโรคทางร่างกาย
คนเราที่เป็นโรคทางกาย ต้องกินยา เพื่อรักษาโรคทางกาย ฉันใด
เมื่อมีโรคทางจิตใจ ขึ้นมา ก็ต้องใช้ยาแก้โรคทางใจ
ยาแก้โรคทางกายนั้น เป็นเรื่องทางวัตถุ
เพราะว่าร่างกายนี้เป็นวัตถุ เกิดขึ้นด้วยธาตุมีประการต่างๆ
การมีโรคทางกาย ก็เนื่องจากว่าอะไรบางอย่างขาดไป
ความต้านทานก็น้อยไป จึงเป็นเหตุให้เกิดโรคทางกายขึ้นมา
แต่ถ้าหากว่าเราไม่รู้เท่ารู้ทัน โรคนั้นก็จะกำเริบเสิบสาน
ทำให้เราต้องพ่ายแพ้แก่โรค
ร่างกายถึงแก่ความ แตกดับลงไปได้ ฉันใด
ในเรื่องทางจิตใจนี่ก็เหมือนกัน มันมีโรคทางใจเกิดขึ้นบ่อยๆ
โรคทางใจนั้น ไม่เหมือนกับโรคทางกาย
คือ โรคทางกาย มันมีตัวเป็นเชื้อโรคประเภทต่างๆ
ที่เข้ามายึดเอาร่างกายเป็นเรือนของมัน เป็นที่เกิดเป็นที่อาศัย
แล้วก็ทำให้เราต้องพ่ายแพ้
คนใดที่ยังมีกายปกติ ก็หมายความว่า
ความต้านทานทางร่างกายนั้นยังดีอยู่
เมื่อความต้านทางร่างกาย ยังสมบูรณ์พร้อม เราก็เอาชนะโรคได้
แต่ก็ไม่แน่นักว่าความต้านทานทางกายนี้
จะดีหรือสมบูรณ์อยู่ตลอดไป
มันอาจจะเกิดความเพลี่ยงพล้ำขึ้นมาเมื่อใดก็ได้
เพราะฉะนั้นคนบางคนที่เรามองเห็นว่า
มีร่างกายเป็นปกติเป็นน้ำเป็นนวลร่างกายแข็งแรง
แต่ก็เกิดการเจ็บไข้ลงได้ทันที
อันนี้แสดงว่ามันมีเชื้อโรคอย่างแรงเกิดขึ้นในร่างกาย
ทำให้ความต้านทาน ของร่างกายนั้นสู้ไม่ได้
ก็เลยต้องยอมแพ้มัน
กลายเป็นโรคประจำกายประจำตัวไป
และอาจจะถึงความแตกดับลงไปเมื่อใดก็ได้
เรื่องการเรียนรู้ในเรื่องโรคทางกาย ก็เพื่อจะได้มีการป้องกันแก้ไข
เมื่อโรคนั้นเกิดขึ้น เราก็จะได้มีชีวิตเป็นปกติ ไม่วุ่นว่ายมากเกินไป
ฉันใด เรื่องของจิตใจเรานี้ก็เหมือนกัน
เมื่อมีโรคทางใจเกิดขึ้น
ก็เพราะว่าเราพ่ายแพ้ต่อสิ่งที่ยั่วยุ
คือ อารมณ์ประเภทต่างๆที่เข้ามากระทบประสาททั้งห้า
คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย หกรวมทั้งใจด้วย
อันนี้เป็นประตูแห่งโรคทางใจ
เพราะว่ามีสิ่งภายนอกมากระทบ
เมื่อมีสิ่งภายนอกมากระทบเข้า
แล้วเราไม่สามารถจะต่อสู้มันได้ เราก็พ่ายแพ้แก่สิ่งนั้น
การพ่ายแพ้ ก็หมายความว่า ตกเป็นทาสของสิ่งนั้น
เช่น เราตกเป็นทาสของรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส
อันเป็นเรื่องของวัตถุเหมือนกัน
ที่เขาเรียกว่า มัวเมาในวัตถุ
หลงใหลอยู่ในสิ่งนั้น ไม่รู้จักจบไม่รู้จักสิ้น
จิตใจก็วุ่นวาย มีปัญหาเกิดขึ้นบ่อยๆ
อาจถึงกับเสียผู้เสียคนไปก็ได้
การสูญเสียทางร่างกายนั้น ไม่เป็นการสูญเสียเท่าใด
แต่การสูญเสียทางด้านจิตใจนั่นแหละ
เป็นความสูญเสียอันยิ่งใหญ่ ในชีวิตของเรา
เพราะคนเรา ถ้าใจมันเสียเสียแล้ว
อะไรๆ ก็จะพลอยเสียไปหมด
แม้ร่างกายจะเป็นปกติ แต่ว่าจิตใจ มันเสียกำลังไป
คนจะเป็นคนที่สมบูรณ์อยู่ได้อย่างไร
กำลังใจจะสูญเสียก็เพราะว่า
ปล่อยตัวปล่อยใจมากเกินไปในสิ่งต่างๆ ที่เป็นวัตถุ
อันเกิดขึ้นกระทบทางจิตใจ
เราไม่สามารถจะเอาชนะสิ่งนั้นได้
ที่ไม่สามารถจะเอาชนะได้ นั้นก็เพราะว่า ไม่มีสติไม่มีปัญญา
ตัวสติ ก็คือ ตัวธรรมะ
ปัญญา ก็คือ ตัวธรรมะ
เราไม่มีธรรมะคุ้มครองจิตใจ
เราจึงได้พ่ายแพ้แก่สิ่งเหล่านั้น
แต่ถ้าเรามีสติรู้ทัน มีปัญญารู้เท่าต่อสิ่งนั้น
เราไม่พ่ายแพ้แก่อารมณ์
สิ่งใดมากระทบเราก็ปัดมันไป ปัดทิ้งไป
ไม่ยอมรับสิ่งนั้นไว้
ไม่ยอมรับโดยความไม่รู้ไม่เข้าใจ
แต่ว่าเราจะเข้าไปเกี่ยวข้องกับสิ่งเหล่านั้น
ด้วยความรู้ความเข้าใจ เรียกว่า ด้วยความรู้เท่าทัน
ถ้าเรารู้เท่าทันต่ออารมณ์
อารมณ์ที่มากระทบ ก็เหมือนกับคลื่นที่มากระทบฝั่ง
มันหายไป คลื่นที่หายไปนั้น ไม่ได้ทำฝั่งให้เสียหาย
เช่นเราไปยืนอยู่ที่ชายทะเล
เราก็จะพบว่า มีคลื่นมากระทบฝั่งอยู่ตลอดเวลา
คลื่นที่กระทบฝั่งนั้น มันไม่ได้ทำฝั่งให้เสียหายอะไร
กระทบแล้ว มันก็หายไปๆ
เราจึงพูดว่า หายไปเหมือนคลื่นกระทบฝั่ง
ที่มันหายไปแบบคลื่นกระทบฝั่งนั้น ไม่มีความเสียหายมากนัก
อารมณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น มากระทบจิตใจเรานี้ก็เหมือนกัน
ถ้าหากว่า เราไม่รู้เท่าทัน มันก็ทำให้เราเสียหาย
คือ ทำให้เกิดความ รู้สึกรุนแรงในเรื่องนั้นๆ
ความรู้สึกรุนแรง มันเป็นไปทางรักก็ได้ ทางชังก็ได้
ทางหลงก็ได้ หรือทางใดทางหนึ่งก็ได้
ถ้ารุนแรงแล้ว มันก็วุ่นวายเดือดร้อน
แต่ถ้าเป็นไปแต่พอดีๆ ก็จะไม่เกิดความเสียหายมากเกินไป
อันนี้เป็นเรื่องที่จะเกิดขึ้นแก่ใครเมื่อใดก็ได้
ถ้าหากว่า บุคคลนั้นขาดธรรมะเป็นเครื่องประคับประคองใจ
ก็จะเกิดปัญหาวุ่นวายกันด้วยประการต่างๆ
ทีนี้อีกประการหนึ่ง เรื่องที่เกิดขึ้นในใจของเรานั้น
มันไม่ได้หยุดเพียงเท่านั้นดังที่กล่าว
แต่ว่ามันก่อให้สิ่งอะไรๆ ขึ้นต่อไปในใจของเรา
ที่เรียกว่า เป็นนิสัย
นิสัย ก็คือ สิ่งที่เราสร้างมันขึ้นวันละเล็กละน้อย
สร้างมันขึ้นเรื่อยๆ เพิ่มมันขึ้นเรื่อยๆ ในจิตใจของเรา
สิ่งที่เราสร้างขึ้นเรื่อยๆ นั้น
ถ้าสร้างด้วยความหลง ความเข้าใจผิด
มันก็งอกงาม มาเป็นความหลงความเข้าใจผิด
ถ้าเราสร้างมันขึ้นด้วยปัญญา มันก็งอกงามขึ้นเป็นปัญญา
ทำให้เกิดประโยชน์แก่ชีวิตของเรา
แต่ว่าส่วนมาก มักจะสร้างมันขึ้นด้วยความหลง
ความเข้าใจผิด แล้วก็ไปยึดติดอยู่ในสิ่งเหล่านั้น จนกลายเป็นนิสัย
เพราะฉะนั้นคนเรา จึงมีนิสัยไม่เหมือนกัน
ที่ไม่เหมือนกันนั้น ก็เพราะว่าไม่มีธรรมะอยู่ในใจ
ถ้าจิตใจที่มีธรรมะแล้ว มันเหมือนกันหมด ไม่มีความแตกต่างกัน
เพราะธรรมะเข้าไปปรุงแต่ง
พอธรรมะเข้าไปปรุงแต่งใจของใคร ใจนั้นก็มีสภาพปกติ
จิตที่ปกตินั้น คือ จิตที่ไม่กระทบด้วยอะไรๆ
มันเป็นจิตที่สะอาดอยู่ เพราะไม่มีสิ่งเศร้าหมองเข้ามารบกวน
เป็นจิตที่สว่าง เพราะรู้แจ้งในสิ่งทั้งหลายตามสภาพที่เป็นจริง
แล้วก็เป็นจิตที่สงบ เพราะอะไรๆ มารบกวนไม่ได้
มันไม่กระเพื่อมขึ้นกระเพื่อมลง
ไม่มีการเปลี่ยนเป็นนั้นเป็นนี้ไปตามรูปต่างๆ สภาพ
จิตใจก็เป็นตัวเอง เรียกว่าสะอาด สว่าง สงบ...
(เรียบเรียงจากส่วนหนึ่งของปาฐกถาธรรมวันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๒๐)
(จากหนังสือพิมพ์ธรรมลีลา ฉบับที่ 81 ส.ค. 50
โดย พระพรหมมังคลาจารย์ (ปัญญานันทภิกขุ)
วัดชลประทานรังสฤษฎ์ จ.นนทบุรี)
โดย ผู้จัดการออนไลน์
I am
บัวบานเต็มที่
เข้าร่วม: 25 ต.ค. 2006
ตอบ: 972
ตอบเมื่อ: 07 ก.ย. 2007, 9:36 am
โมทนาครับ สาธุ สาธุ สาธุ..
_________________
ทุกข์ใดดับได้ด้วยปัญญา ทุกข์นั้นจะไม่เกิดอีก
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:
แสดงทั้งหมด
1 วัน
7 วัน
2 สัปดาห์
1 เดือน
3 เดือน
6 เดือน
1 ปี
เรียงจากเก่า-ใหม่
เรียงจากใหม่-เก่า
:: ลานธรรมจักร ::
»
บทความธรรมะ
ไปที่:
เลือกกลุ่ม บอร์ด
กลุ่มสนทนา
----------------
สนทนาธรรมทั่วไป
แนะนำตัว
กฎแห่งกรรม
สมาธิ
ฝึกสติ
การสวดมนต์
การรักษาศีล-การบวช
ความรัก-ผูกพัน-พลัดพลาก
กลุ่มข่าวสาร-ติดต่อ
----------------
ข่าวประชาสัมพันธ์
ธรรมทาน
รูปภาพ-ประมวลภาพกิจกรรมต่างๆ
สำหรับนักเรียน นักศึกษา ขอความรู้ทำรายงาน
แจ้งปัญหา
รูปภาพในบอร์ด
กลุ่มสาระธรรม
----------------
หนังสือธรรมะ
บทความธรรมะ
นิทาน-การ์ตูน
กวีธรรม
นานาสาระ
ต้นไม้ในพุทธประวัติ
วิทยุธรรมะ
ศาสนสถานและศาสนพิธี
----------------
สถานที่ปฏิบัติธรรม
วัดและศาสนสถาน
พิธีกรรมทางศาสนา
พุทธศาสนบุคคล
----------------
พระพุทธเจ้า
ประวัติพระอสีติมหาสาวก
ประวัติเอตทัคคะ (ภิกษุณี, อุบาสก, อุบาสิกา)
สมเด็จพระสังฆราชไทย
ประวัติและปฏิปทาของครูบาอาจารย์
ในหลวงกับพระสุปฏิปันโน
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณ
ไม่สามารถ
สร้างหัวข้อใหม่
คุณ
ไม่สามารถ
พิมพ์ตอบ
คุณ
ไม่สามารถ
แก้ไขข้อความของคุณ
คุณ
ไม่สามารถ
ลบข้อความของคุณ
คุณ
ไม่สามารถ
ลงคะแนน
คุณ
สามารถ
แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ
สามารถ
ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้
เลือกบอร์ด •
กระดานสนทนา
•
สมาธิ
•
สติปัฏฐาน
•
กฎแห่งกรรม
•
นิทานธรรมะ
•
หนังสือธรรมะ
•
บทความ
•
กวีธรรม
•
สถานที่ปฏิบัติธรรม
•
ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ
•
วิทยุธรรมะ
•
เสียงธรรม
•
เสียงสวดมนต์
•
ประวัติพระพุทธเจ้า
•
ประวัติมหาสาวก
•
ประวัติเอตทัคคะ
•
ประวัติพระสงฆ์
•
ธรรมทาน
•
แจ้งปัญหา
จัดทำโดย กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ
webmaster@dhammajak.net
Powered by
phpBB
© 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
www.Stats.in.th