Home
•
กระดานสนทนา
•
สมาธิ
•
สติปัฏฐาน
•
กฎแห่งกรรม
•
นิทาน
•
หนังสือ
•
บทความ
•
กวีธรรม
•
ข่าวกิจกรรม
•
แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้
ค้นหา
สมัครสมาชิก
รายชื่อสมาชิก
กลุ่มผู้ใช้
ข้อมูลส่วนตัว
เช็คข้อความส่วนตัว
เข้าสู่ระบบ(Log in)
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
ชมหอไตร ไหว้หลวงพ่อโต กราบพระยิ้ม ที่ วัดระฆัง
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
:: ลานธรรมจักร ::
»
วัดและศาสนสถาน
ผู้ตั้ง
ข้อความ
เว็บมาสเตอร์
บัวบานเต็มที่
เข้าร่วม: 19 มี.ค. 2005
ตอบ: 993
ตอบเมื่อ: 20 ส.ค. 2007, 10:25 am
พอเข้าประตูโบสถ์ พระประธานยิ้มรับฟ้าทุกที...
รัชกาลที่ 5 ตรัสถึงพระประธานวัดระฆังฯ
ชมหอไตร ไหว้หลวงพ่อโต กราบพระยิ้ม ที่ วัดระฆัง
ใครที่เคยไปตระเวนทัวร์ไหว้พระ 9 วัด มาแล้วก็คงจะมีโอกาสได้ไปวัดระฆังโฆสิตาราม วัดฝั่งธนบุรีริมแม่น้ำเจ้าพระยา ที่มีคติว่า
ไหว้พระวัดระฆัง มีคนนิยมชมชื่น มีชื่อเสียงโด่งดังตลอดปี
มาเป็นที่เรียบร้อย และสำหรับเราที่ถือคติว่า จะไหว้พระวัดเดียวหรือไหว้พระกี่วัดภายในกี่วันก็ไหว้กันไปเถอะ ขอให้ไหว้อย่างตั้งใจก็ได้บุญแล้ว ทางเราก็ได้มีโอกาสไปไหว้พระที่วัดระฆังมาแล้วเช่นกันเมื่อเร็วๆ นี้เอง
จริงๆ แล้ววัดระฆังนี้ หากมองเผินๆ หลายคนอาจจะบอกว่า ไม่เห็นมีอะไรโดดเด่น ไม่เหมือนวัดพระแก้วที่มีปราสาทราชวังงดงามหลายหลัง ไม่เหมือนวัดอรุณที่มีพระปรางค์ใหญ่โต ไม่เหมือนวัดโพธิ์ที่มีสิ่งที่น่าสนใจเยอะแยะจนดูสามวันก็ไม่หมด
พระประธานยิ้มรับฟ้า
ใครคิดอย่างนั้นนับว่าคิดผิดเสียแล้ว เพราะวัดระฆังก็มีสิ่งที่น่าสนใจไม่น้อยเหมือนกันนะ ถ้าไม่เชื่อก็ลองตามเรามาสิ แค่นั่งเรือข้ามฟากจากท่าช้างมาก็ถึงแล้ว...
ระหว่างนั่งเรือข้ามฟาก ก็จะขอเท้าความถึงประวัติของวัดระฆังให้ฟังก่อนสักหน่อยก็แล้วกันว่า
วัดระฆังโฆสิตารามวรวิหาร
หรือ
วัดระฆังโฆสิตาราม
หรือ
วัดระฆัง
เป็นวัดเก่าแก่ที่สร้างมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ก่อนหน้านี้มีชื่อเดิมว่าวัดบางหว้าใหญ่ มาเปลี่ยนเป็นวัดระฆังโฆสิตารามในตอนหลัง ก็เพราะในสมัย
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1
องค์ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี ได้มีการขุดพบระฆังลูกหนึ่งซึ่งมีเสียงไพเราะมาก ซึ่งต่อมารัชกาลที่ 1 ก็ได้นำระฆังลูกนั้นไปไว้ที่วัดพระแก้ว และโปรดให้สร้าง
หอระฆัง
พร้อมทั้งระฆังอีก 5 ลูกไว้ให้แทน จึงเป็นที่มาของชื่อวัดระฆัง
หอระฆังที่รัชกาลที่ 1
ทรงสร้างพระราชทานให้พร้อมกับระฆังอีก 5 ลูก
แต่จริงๆ แล้ววัดนี้ยังเคยมีอีกชื่อหนึ่งว่า
วัดราชคัณฑิยาราม
ซึ่งเป็นชื่อที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ทรงพระราชทานตั้งให้ แต่คนไม่นิยมเรียก จึงเรียกกันว่าวัดระฆังมาจนถึงบัดนี้ และทำให้ใครๆ มักจะนำเอาระฆังทั้งเล็กใหญ่มาถวายที่วัดนี้เพื่อเป็นการทำบุญอีกด้วย เพราะได้เห็นระฆังเหล่านั้นแขวนเรียงกันอยู่มากมายข้างๆ พระอุโบสถ พอลมพัดมาทีหนึ่งก็ได้ยินเสียงระฆังก้องกังวานไปทั่วบริเวณ
แต่ว่าถ้าพูดถึงวัดระฆังโฆสิตาราม หรือ วัดระฆัง ขึ้นมา สิ่งหนึ่งที่หลายคนต้องนึกถึงก็คือ
หลวงพ่อโต และพระคาถาชินบัญชร
เพราะหลวงพ่อโต หรือ
สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี)
สมเด็จพระราชาคณะที่มีชื่อเสียงของวัดนี้ เป็นที่เคารพนับถือของเหล่าพุทธศาสนิกชนเป็นอย่างมาก และท่านยังเป็นผู้ที่นำเอาบทสวดอันศักดิ์สิทธิ์ที่ตกทอดมาจากลังกามาดัดแปลงแต่งเติมให้สมบูรณ์ขึ้น จนกลายเป็นพระคาถาชินบัญชรที่เราๆ รู้จักกันดี ซึ่งหากผู้ใดสวดเป็นประจำแล้วก็จะเกิดความเป็นสิริมงคลแก่ตนเอง
แน่นอนว่า ที่วัดระฆังนี้ต้องมีรูปเคารพของท่านอยู่แน่นอน แต่ก่อนที่จะไปกราบท่าน เราควรจะเข้าไปไหว้พระประธานในโบสถ์กันก่อนเป็นอย่างแรกจะดีกว่า
พระประธานยิ้มรับฟ้า
สำหรับพระประธานในพระอุโบสถวัดระฆังนี้มีเรื่องเล่ากันว่า
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5
เคยตรัสว่า
ไปวัดไหนไม่เหมือนมาวัดระฆัง พอเข้าประตูโบสถ์ พระประธานยิ้มรับฟ้าทุกที...
น่าจะเป็นเพราะพระพักตร์ของพระพุทธรูปที่อ่อนโยนและเมตตา ทำให้เห็นเป็นเช่นนั้น ใครที่อยากรู้ว่า พระประธานยิ้มรับฟ้าเป็นอย่างไร เชิญมาชมได้ที่พระอุโบสถวัดระฆัง
ไหว้พระประธานภายในโบสถ์เสร็จแล้ว ก็ลองเดินชมจิตรกรรมฝาผนังที่งดงามไม่ใช่เล่น ภาพผนังด้านหน้าพระประธานเป็นภาพพระพุทธเจ้าเสด็จจากดาวดึงส์ และภาพเดียรถีย์ท้าแข่งรัศมีกับพระพุทธองค์ ส่วนด้านหลังเป็นภาพพระมาลัยขณะขึ้นไปนมัสการพระมหาจุฬามณีบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ผนังด้านข้างเบื้องบนเขียนเป็นรูปเทพชุมนุม ตอนล่างเขียนภาพทศชาติชาดก เมื่อได้ดูภาพจิตรกรรมฝาผนังนี้แล้วบอกได้เลยว่าใครเป็นคนวาด เพราะบนภาพมีชื่อคนเขียนอยู่เรียบร้อย คือ เสวกโท พระวรรณวาดวิจิตร (ทอง) จารุวิจิตร ซึ่งเป็นจิตรกรเอกในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 เขียนขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2465
วิหารสมเด็จซึ่งมีรูปหล่อของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี)
และพระราชาคณะอีกสองรูปประดิษฐานอยู่
เมื่อออกมาจากพระอุโบสถแล้วจะเห็นว่า ด้านหน้ามีวิหารสองหลังตั้งอยู่ หลังหนึ่งนั้นเป็น
พระวิหารสมเด็จพระสังฆราช (สี)
ซึ่งเป็นพระสังฆราชองค์แรกของกรุงรัตนโกสินทร์ ส่วนวิหารอีกหลังที่อยู่ตรงกันข้ามติดแอร์เย็นฉ่ำ เป็นวิหารที่ประดิษฐานรูปหล่อสมเด็จพระราชาคณะของวัดนี้ไว้ 3 องค์ ซึ่งก็คือ
สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) สมเด็จพระพุฒาจารย์ (ม.จ.ทัด เสนีย์วงศ์) และสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ม.ร.ว.เจริญ อิศรางกูร)
ซึ่งทั้งสามท่านนี้เป็นพระภิกษุที่มีคนเคารพนับถืออย่างมาก เพราะเห็นมีคนเข้ามาสักการะท่านทั้งสามไม่ขาดสาย โดยมีเครื่องสักการะเป็นดอกไม้ มาลัย และหมากพลูต่างๆ สวดมนต์ท่องคาถาชินบัญชร และเมื่อสวดจบแล้วก็จะปิดทองที่องค์ท่านเป็นอันเสร็จ
ไหว้ท่านทั้งสามเสร็จแล้ว ใครจะออกมาทำบุญกับพระประจำวันเกิด และเติมน้ำมันในตะเกียงต่อก็ได้ แต่สำหรับเราแล้วยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ตั้งใจไว้ว่าเมื่อมาวัดที่นี่แล้วจะต้องไปดูให้ได้ นั่นก็คือ
ตำหนักจันทน์
หรือ
หอพระไตรปิฎก
ซึ่งอยู่ทางด้านข้างของพระอุโบสถ ตรงข้ามกับหอระฆัง ดูมีรั้วกั้นเป็นสัดเป็นส่วนซ่อนตัวอยู่ในร่มไม้หนา
ตำหนักจันทน์หรือหอพระไตรปิฎก
โบราณสถานที่ได้รับรางวัลอาคารอนุรักษ์ดีเด่น
ตำหนักจันทน์หรือหอพระไตรปิฎกนี้ เป็นตำหนักไม้แฝด 3 หลัง แต่เดิมเป็นตำหนักและหอประทับนั่งของรัชกาลที่ 1 เมื่อตอนที่ยังเป็นพระราชวรินทร์ เจ้ากรมพระตำรวจนอกฝ่ายขวา ในรัชกาลของสมเด็จพระเจ้าตากสิน แต่เมื่อต้องเสด็จไปตีเมืองโคราชจึงได้รื้อตำหนักนั้นมาถวายวัดระฆัง หรือวัดบางหว้าใหญ่ในขณะนั้น
มองจากด้านนอกเข้าไป สิ่งแรกที่ดูโดดเด่นก็คือซุ้มประตูตรงนอกชานซึ่งแกะสลักเป็นลายดอกไม้ ส่วนบานประตูของหอกลางแกะเป็นลวดลายนกวายุภักษ์และลายกนกเครือเถาสวยงามมาก เมื่อเดินผ่านประตูเข้าไปในตัวตำหนัก ความมืดกะทันหันด้านในทำเอาหน้ามืดไปชั่วขณะ บรรยากาศด้านในเงียบสงบมากจนออกจะวังเวงหน่อยๆ
สิ่งแรกที่เห็นเมื่อเข้าไปด้านในก็คือ
พระบรมสาทิสลักษณ์ขนาดใหญ่ของรัชกาลที่ 1
ตั้งอยู่ในหอกลาง ส่วนปีกตำหนักด้านซ้ายและขวานั้นมีตู้พระไตรปิฎกเขียนลายรดน้ำปิดทองฝีมืองดงามอยู่ด้านละใบ ตู้นี้เป็นตู้ที่พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย เมื่อครั้งยังทรงพระยศเป็นเจ้าฟ้าฯ ทรงลงพระหัตถ์แกะลายร่วมกับครูช่างอยุธยาด้วยพระองค์เองเสียด้วย
หอพระไตรปิฏกนี้ได้มีการซ่อมแซมครั้งใหญ่เมื่อคราวฉลองกรุงรัตนโกสินทร์ 200 ปี และยังเคยเป็นโบราณสถานที่ได้รับ
รางวัลอาคารอนุรักษ์ดีเด่น ประจำปี 2530 จากสมาคมสถาปนิกสยามในพระบรมราชูปถัมภ์
อีกด้วย
พระวิหารสมเด็จพระสังฆราช (สี)
กำลังเดินดูอะไรต่ออะไรเพลินๆ ในหอไตร อยู่ดีๆ ก็มีเสียงกลองดังตูมขึ้นมา ทำเอาสะดุ้งเฮือกกล้องแทบจะหลุดมือ แต่เสียงกลองนั้นก็ยังไม่หยุด กลับดังต่อมาอีกเป็นชุด พอเหลือบมองนาฬิกา อ้อ...เวลาเพลนี่เอง เขาถึงได้ตีกลอง แต่กลองเพลเจ้ากรรมนั้นดันมาอยู่ใต้ถุนหอไตรพอดี เสียงมันถึงได้ดังฟังชัดขนาดนั้น ใครที่จะไปชมหอไตรตอนเพลก็อย่าลืมเตรียมใจไว้ก่อนล่ะ ไม่งั้นเดี๋ยวจะใจหายแว้บได้
ครั้นได้ชมสิ่งที่ต่างๆ ในบริเวณวัดเรียบร้อยแล้ว ก็เดินย้อนกลับมาบริเวณท่าน้ำหน้าวัดอีกครั้ง ซึ่งบริเวณนี้จะเต็มไปด้วยพ่อค้าแม่ค้าที่นำเอาสัตว์น้ำต่างๆ เช่น ปลาหลากหลายชนิด หอย เต่า มาไว้ให้ผู้ที่มาทำบุญได้ซื้อไปปล่อยกัน แต่ละร้านก็โฆษณากันไปต่างๆ นานา เช่น ปล่อยปลาสวาย เป็นการปลดปล่อยสิ่งไม่ดีในตัวเรา ปล่อยปลาดำราหู เป็นการสะเดาะเคราะห์ต่อดวงชะตา ปล่อยปลาทับทิม ช่วยเรื่องความรักได้ สารพัดจะชวนเชื่อกัน จริงๆ แล้วไม่ค่อยอยากจะสนับสนุนการค้าแบบนี้นัก และไม่อยากจะคิดว่าเจ้าปลาพวกนี้ที่เราปล่อยไป มันจะโดนจับมาขายอีกกี่ครั้ง แต่ก็คิดว่า ยังไงก็ตามพวกมันก็ยังโชคดีกว่าตัวอื่นๆ ที่วางขายอยู่ในตลาดหลายเท่า ก็เอาเป็นว่าใครที่อยากทำบุญก็เชิญกันได้ตามศรัทธา
บริเวณหน้าวัดมีสัตว์น้ำหลายชนิดให้ทำบุญปล่อยนกปล่อยปลากัน
วันนี้อิ่มอกอิ่มใจกับการทำบุญไหว้พระ และชมสิ่งที่น่าสนใจต่างๆ ภายในวัดระฆังจนเต็มที่แล้ว คิดว่าขอลากลับก่อนดีกว่า แต่วันหลังรับรองว่าจะมากราบพระที่วัดระฆังนี้อีกอย่างแน่นอน ก็ติดใจเสียงระฆังที่วัดนี้เข้าแล้วนะสิ...
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
วัดระฆังโฆสิตารามวรวิหาร
เป็นพระอารามหลวงชั้นโท ชนิดวรมหาวิหาร ตั้งอยู่เลขที่ 250 ถนนอรุณอมรินทร์ แขวงศิริราช เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร การเดินทางสามารถนั่งรถประจำทางสาย 19, 57, 83 หรือนั่งเรือข้ามฟากจากท่าช้างไปยังท่าวัดระฆังได้
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
โดย ผู้จัดการออนไลน์ 9 สิงหาคม 2548 15:23 น.
_________________
-- การให้ธรรมเป็นทาน ชนะการให้ทั้งปวง --
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:
แสดงทั้งหมด
1 วัน
7 วัน
2 สัปดาห์
1 เดือน
3 เดือน
6 เดือน
1 ปี
เรียงจากเก่า-ใหม่
เรียงจากใหม่-เก่า
:: ลานธรรมจักร ::
»
วัดและศาสนสถาน
ไปที่:
เลือกกลุ่ม บอร์ด
กลุ่มสนทนา
----------------
สนทนาธรรมทั่วไป
แนะนำตัว
กฎแห่งกรรม
สมาธิ
ฝึกสติ
การสวดมนต์
การรักษาศีล-การบวช
ความรัก-ผูกพัน-พลัดพลาก
กลุ่มข่าวสาร-ติดต่อ
----------------
ข่าวประชาสัมพันธ์
ธรรมทาน
รูปภาพ-ประมวลภาพกิจกรรมต่างๆ
สำหรับนักเรียน นักศึกษา ขอความรู้ทำรายงาน
แจ้งปัญหา
รูปภาพในบอร์ด
กลุ่มสาระธรรม
----------------
หนังสือธรรมะ
บทความธรรมะ
นิทาน-การ์ตูน
กวีธรรม
นานาสาระ
ต้นไม้ในพุทธประวัติ
วิทยุธรรมะ
ศาสนสถานและศาสนพิธี
----------------
สถานที่ปฏิบัติธรรม
วัดและศาสนสถาน
พิธีกรรมทางศาสนา
พุทธศาสนบุคคล
----------------
พระพุทธเจ้า
ประวัติพระอสีติมหาสาวก
ประวัติเอตทัคคะ (ภิกษุณี, อุบาสก, อุบาสิกา)
สมเด็จพระสังฆราชไทย
ประวัติและปฏิปทาของครูบาอาจารย์
ในหลวงกับพระสุปฏิปันโน
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณ
ไม่สามารถ
สร้างหัวข้อใหม่
คุณ
ไม่สามารถ
พิมพ์ตอบ
คุณ
ไม่สามารถ
แก้ไขข้อความของคุณ
คุณ
ไม่สามารถ
ลบข้อความของคุณ
คุณ
ไม่สามารถ
ลงคะแนน
คุณ
สามารถ
แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ
สามารถ
ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้
เลือกบอร์ด •
กระดานสนทนา
•
สมาธิ
•
สติปัฏฐาน
•
กฎแห่งกรรม
•
นิทานธรรมะ
•
หนังสือธรรมะ
•
บทความ
•
กวีธรรม
•
สถานที่ปฏิบัติธรรม
•
ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ
•
วิทยุธรรมะ
•
เสียงธรรม
•
เสียงสวดมนต์
•
ประวัติพระพุทธเจ้า
•
ประวัติมหาสาวก
•
ประวัติเอตทัคคะ
•
ประวัติพระสงฆ์
•
ธรรมทาน
•
แจ้งปัญหา
จัดทำโดย กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ
webmaster@dhammajak.net
Powered by
phpBB
© 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
www.Stats.in.th