Home
•
กระดานสนทนา
•
สมาธิ
•
สติปัฏฐาน
•
กฎแห่งกรรม
•
นิทาน
•
หนังสือ
•
บทความ
•
กวีธรรม
•
ข่าวกิจกรรม
•
แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้
ค้นหา
สมัครสมาชิก
รายชื่อสมาชิก
กลุ่มผู้ใช้
ข้อมูลส่วนตัว
เช็คข้อความส่วนตัว
เข้าสู่ระบบ(Log in)
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
ชมของดี ที่ วัดบวรนิเวศ
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
:: ลานธรรมจักร ::
»
วัดและศาสนสถาน
ผู้ตั้ง
ข้อความ
ก้อนดิน
บัวบานเต็มที่
เข้าร่วม: 07 ก.ค. 2004
ตอบ: 623
ตอบเมื่อ: 07 ส.ค. 2007, 10:57 am
พระอุโบสถวัดบวรนิเวศ ประดับหินอ่อนดูตระการตา
ชมของดี ที่ วัดบวรนิเวศ
ที่ต่างจังหวัดวัดหลายๆ วัดยังคงเป็นศูนย์รวมทางจิตใจของชุมชนอยู่ แม้ว่าจะไม่เข้มข้นเหมือนแต่ก่อน แต่ว่าในงานบุญงานประเพณีต่างๆ ก็ยังคงมีผู้แก่ผู้เฒ่า สาวหนุ่ม และวัยละอ่อน ไปร่วมงานกันอย่างคึกคัก ครั้นเมื่อมาดูในกรุงเทพมหานคร เมืองฟ้าอมร ดูเหมือนว่าบรรยากาศงานบุญงานประเพณีตามวัดต่างๆ ที่ดูอิ่มเอิบและความสามัคคีตามวิถีดั้งเดิมแบบไทยๆ ยิ่งมายิ่งลดน้อยถอยลง แต่กระนั้นก็ใช่ว่าวัดวาอารามต่างๆ ในกรุงเทพมหานคร (และทั่วประเทศไทย) จะไร้ซึ่งของดีให้ชมเสียเมื่อไหร่
เพราะในอดีตนอกจากวัดจะเป็นศูนย์รวมจิตใจของชุมชนแล้ว วัดยังเป็นโรงเรียนชั้นเยี่ยมและเป็นแหล่งรวมงานศิลปะชั้นยอดอีกด้วย โดยเฉพาะวัดที่เป็นพระอารามหลวงชั้นเอกนี่ถือได้ว่ามีความงดงามของงานศิลป์ที่น่าสนใจอย่างสูง
ประตูเซี่ยวกาง มีคนนิยมมาบนบาน
เมื่อสมหวังแล้วก็จะนำโอยัวะและพวงมาลัยมาแก้บน
วัดบวรนิเวศวิหาร หรือวัดบวรฯ ที่เป็นพระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดราชวรวิหา
ร ก็นับเป็นหนึ่งในนั้น ที่มีความน่าสนใจในงานศิลป์ให้ชมตั้งแต่ยังไม่เข้าเขตพื้นที่วัดเลยทีเดียว เพราะตรงประตูทางเข้าวัดที่ตรงกับโบสถ์ (ฝั่งตรงข้ามร้านข้าวต้มวัดบวรฯ) ก็มีภาพอันชวนสะดุดตาให้ชมกันแล้ว โดยที่ประตูแห่งนี้ที่ปากทวารบาลดูดำปื้น ส่วนตามตัวก็มีพวงมาลัยและถุงโอยัวะห้อยอยู่ตามจุดต่างๆ ก่อนที่จะเดินไปพินิจพิจารณาดู ก็มีเสียงตะโกนดังมาที่เบื้องหลังว่า ซื้อพวงมาลัยไหว้พระมั๊ยจ๊ะ พวงละ10 บาท
งานนี้ไม่ได้ซื้อพวงมาลัย แต่กลับไปขอให้แม่ค้าคนนี้เล่าความเป็นมาของประตูตรงจุดนี้เฉยเลย ซึ่งแม่ค้าคนนี้เธอก็สุดแสนจะใจดี เล่าให้ฟังว่า ประตูนี้คนเรียกกันว่า
ประตูเซี่ยวกาง
ที่สร้างตามคตินิยมแบบจีน โดยสมัยก่อนยุคที่เมืองไทยยังดูดฝิ่น ได้มีชาวจีนคนหนึ่งติดฝิ่นงอมแงม พอต่อมาทางการได้ปราบทำลายโรงงานยาฝิ่นจนหมดสิ้น เมื่อแกหาฝิ่นดูดไม่ได้ สุดท้ายเลยไปลงแดงตายตรงประตูนี้
พระสุวรรณเขต (องค์หลัง)-พระพุทธชินสีห์ (องค์หน้า)
สององค์พระประธานต่างความงามต่างสมัยในพระอุโบสถ
หลังจากเมื่อทางวัดมาพบจึงได้ทำพิธีกงเต๊กให้ ต่อมาชาวจีนคนนั้นได้ไปเข้าฝันสมเด็จท่านเจ้าอาวาสว่า ให้ทำที่ให้แกอยู่แล้วแกจะเฝ้าวัดให้ ทางวัดจึงได้สร้างกำแพงทำซุ้มประตูแล้วอันเชิญดวงวิญญาณชาวจีนคนนั้นมาสถิตย์อยู่ ณ ประตูแห่งนี้
ต่อมาก็มีเรื่องเล่ากันว่าของในวัดที่เคยถูกขโมยไปหลายครั้ง ล้วนได้คืนกลับมาหมดด้วยความศักดิ์สิทธิของดวงวิญญาณคนจีนที่คอยเฝ้าวัด ทำให้เกิดการสักการบูชาประตูเซี่ยวกางขึ้น ซึ่งหลายๆ คนต่างเชื่อกันว่าถ้าบนอะไรแล้วก็จะได้สิ่งนั้นตามที่ขอหมด โดยนิยมนำฝิ่นมาป้ายปาก และนำโอยัวะกับพวงมาลัยมาแขวนบูชา
เมื่อหายข้องใจแล้วก็เดินตรงต่อไปยัง
พระอุโบสถ
ที่ชวนมองด้วยผนังหินอ่อนสีขาวตัดกับสีทองของประตูและหน้าต่าง ที่เมื่อก้าวย่างเข้าไปภายในมีพระพุทธประธานอยู่ 2 องค์ ทำให้รู้สึกถึงความขรึมขลัง ซึ่งทำให้ภายในพระอุโบสถดูสงบเงียบ น่าเกรงขามอย่างไม่น่าเชื่อ
สำหรับพระประธานในโบสถ์องค์หน้าคือ
พระพุทธชินสีห์
(พระประธานสมัยหลัง) ที่ดูสมส่วนและงดงามด้วยสีทองอร่ามตา ดูแล้วให้ความรู้สึกน่าเคารพบูชายิ่งนัก
ส่วนองค์หลังคือ
พระสุวรรณเขต
หรือที่เรียกกันว่า
พระโต
(พระประธานสมัยแรก) ซึ่งคิดว่าน่าจะมาจากการที่พระองค์นี้มีขนาดใหญ่โตกว่าพระพุทธรูปองค์หน้าก็เป็นได้ โดยพระโตองค์นี้เป็นพระพุทธรูปหล่อโบราณแบบขอม โดยพระสุวรรณเขตหรือพระโต
กรมพระราชวังบวรมหาศักดิพลเสพ
ได้ทรงอัญเชิญมาจากวัดสระตะพาน จังหวัดเพชรบุรี ส่วนพระพุทธชินสีห์ ได้ทรงอัญเชิญมาจากพระวิหารทิศเหนือ วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ จังหวัดพิษณุโลก
นอกจากพระประธานทั้ง 2 องค์แล้ว ในโบสถ์ยังน่าชมไปด้วยภาพจิตกรรมฝาผนังที่แบ่งเป็น 2 ตอนคือ ภาพฝรั่งแสดงปริศนาธรรมฝีมือขรัวอินโข่งที่ตอนบน และจิตกรรมฝาผนังตอนล่างซึ่งเป็นภาพแสดงเหตุการณ์สำคัญๆ เกี่ยวกับขนบธรรมเนียมไทยและประเพณีทางพระพุทธศาสนา อาทิ ภาพโกนหัวทำขวัญนาค ภาพการบวช ภาพการทอดกฐิน ที่แต่ละภาพล้วนวาดได้อย่างละเอียดปราณีต ก็แหม...ชื่อของขรัวอินโข่งนั้นการันตีในฝีมืออยู่แล้ว
ศาลาพระพุทธบาท เป็นที่ประดิษฐาน
รอยพระพุทธบาทจำลอง ที่เต็มไปด้วยเหรียญจากความศรัทธา
รอยพระพุทธบาทจำลอง ซึ่งเป็นแผ่นศิลาสลักรอยพระพุทธบาทคู่
พอเดินออกมาจากโบสถ์ จะสะดุดตากับ
ศาลาพระพุทธบาท
ทางขวามือ ที่ภายในศาลาแห่งนี้เป็นที่ประดิษฐานรอยพระพุทธบาทจำลอง ซึ่งเป็นแผ่นศิลาสลักรอยพระพุทธบาทคู่ ซึ่ง
กรมพระราชวังบวรมหาศักดิพลเสพ
นำมาจากจังหวัดชัยนาท บนรอยพระพุทธบาทจำลองมีเหรียญต่างๆ วางอยู่เนื่องจากผู้คนที่แวะเวียนมามักจะวางเหรียญ (ขอใช้ว่าวาง เพราะมีป้ายบอกเอาไว้ว่า กรุณาวางเหรียญเบาๆ อย่าโยน) เพื่อเป็นการสักการบูชา
พระมหาเจดีย์ใหญ่ ตั้งโดดเด่นเป็นสง่ามองเห็นแต่ไกล
ถัดจากศาลาพระพุทธบาทไปเป็น
พระมหาเจดีย์ใหญ่
สีทองสุกใสสูงโดดเด่นเป็นสง่า มองเห็นแต่ไกล แต่ว่าไม่สามารถเข้าไปชมด้านในได้ เนื่องจากทางวัดจะเปิดให้ประชาชนเข้าชมได้ในวันสำคัญๆ เท่านั้น พระเจดีย์องค์นี้มีฐานกลม ตรงกลางประดิษฐานพระเจดีย์ที่คะเนว่าสูงจากฐานประมาณ 4 เมตรกว่าๆ ภายในบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ
สำหรับพระเจดีย์ที่น่าสนใจอีกองค์หนึ่งก็คือ
พระเจดีย์ไพรีพินาศ
ที่อยู่ในบริเวณเดียวกัน เจดีย์องค์นี้เป็นที่ประดิษฐาน
พระไพรีพินาศ
พระพุทธรูปปางประทานพร ซึ่งเป็นพระพุทธรูปสำคัญและมีชื่อเสียงของวัดบวรฯ แม้ว่าทางวัดจะไม่เปิดให้คนทั่วไปเข้าสักการะพระไพรีพินาศ แต่ว่าทางวัดบวรฯ ก็ได้สร้างพระไพรีพินาศจำลองไว้ให้พุทธศาสนิกชนกราบไหว้แทน
องค์พระไพรีพินาศจำลองประดิษฐานอยู่ในเขตสงฆ์
ใครที่ไปสักการะต้องอยู่ในความสำรวม
พระไพรีพินาศจำลอง
ตั้งอยู่ไม่ไกลจากพระมหาเจดีย์มากนัก เพียงแต่อยู่ในเขตของสังฆาวาสที่เมื่อเดินเข้าไปจะมีป้ายบอกทางชี้บอกไว้ เดินตรงไปเรื่อยๆ จนสุดทางข้ามสะพานข้ามน้ำเล็กๆ มองไปทางขวาก็จะเห็นศาลาพระไพรีพินาศจำลอง ซึ่งเป็นพระพุทธรูปปางประทานพร จึงได้นั่งลงหน้าศาลากราบไหว้ขอพรเรียบร้อยแล้ว ก็เดินชื่นชมบรรยากาศอยู่แถวๆ นั้น ที่นี่ช่างเงียบสงบและร่มเย็นรู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูก อ้อ ! ใครที่เข้าในนี้ก็อย่าได้ส่งเสียงดังเป็นอันขาดเพราะนี่เป็นเขตจำพรรษาของพระภิกษุสามเณร
ระหว่างเดินออกมาจากเขตสังฆาวาส มีป้ายชี้ทางไปที่ประดิษฐานของ
หลวงพ่อดำ
หรือ
พระทีฆายุมหมงคล
พระพุทธรูปฉลองพระองค์ของ
สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ (ม.ร.ว.ชื่น นภวงศ์ สุจิตฺโต)
ที่ว่ากันว่าถ้าใครมากราบไหว้บูชาแล้วจะประสบแต่โชคดี ซึ่งหลังจากไหว้หลวงพ่อดำและสิ่งศักดิ์สิทธิ์อื่นๆ ในวัดบวรฯ ก็ไม่อาจรู้ได้ว่าภายในอนาคตจะประสบโชคดีหรือเปล่า แต่ที่รู้ก็คือการได้มาเที่ยวชมของดีที่มีมากมายในวัดบวรฯ นั้น ทำให้รู้สึกปลอดโปร่งดีจริงๆ
ตำหนักปั้นหยา
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
วัดบวรนิเวศวิหารเป็นพระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดราชวรวิหาร ตั้งอยู่ต้นถนนตะนาวและถนนเฟื่องนคร บางลำพู กรุงเทพฯ ภายในมีของดีให้สักการะและชมมากมาย ซึ่งนอกเหนือจากในเนื้อเรื่องแล้วก็ยังมีพระวิหารพระศาสดา พลับพลาเปลื้องเครื่อง ตำหนักเพ็ชร พระพุทธไสยา พระวิหารเก๋ง พระพุทธวชิรญาณ ตำหนักปั้นหยา ตำหนักจันทร์ อาคารพิพิธภัณฑ์ ภปร. ฯลฯ
อนึ่งสถานที่เหล่านี้จะเปิดให้เข้าชมเฉพาะในวันสำคัญทางศาสนาเท่านั้น หรือไม่ก็ต้องขอนุญาตเข้าชมเป็นกรณีพิเศษ ส่วนทางวัดจะเปิดให้เข้าชมภายในเฉพาะวันเสาร์-อาทิตย์และวันพระเท่านั้น โดยผู้ที่สนใจสอบถามรายละเอียดได้ที่ โทร. 0-2281-2831-3 ส่วนการเดินทางไปวัดบวรฯ มีรถประจำทางสาย 56, 68 และรถประจำทางปรับอากาศสาย 516 ผ่าน
พระพุทธไสยา พระนอนที่งดงามตามแบบศิลปะสุโขทัย
พระพักตร์ยิ้มเล็กน้อยในแบบศิลปะสุโขทัยของพระพุทธไสยา
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
โดย ผู้จัดการออนไลน์ 22 พฤศจิกายน 2548 17:41 น.
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:
แสดงทั้งหมด
1 วัน
7 วัน
2 สัปดาห์
1 เดือน
3 เดือน
6 เดือน
1 ปี
เรียงจากเก่า-ใหม่
เรียงจากใหม่-เก่า
:: ลานธรรมจักร ::
»
วัดและศาสนสถาน
ไปที่:
เลือกกลุ่ม บอร์ด
กลุ่มสนทนา
----------------
สนทนาธรรมทั่วไป
แนะนำตัว
กฎแห่งกรรม
สมาธิ
ฝึกสติ
การสวดมนต์
การรักษาศีล-การบวช
ความรัก-ผูกพัน-พลัดพลาก
กลุ่มข่าวสาร-ติดต่อ
----------------
ข่าวประชาสัมพันธ์
ธรรมทาน
รูปภาพ-ประมวลภาพกิจกรรมต่างๆ
สำหรับนักเรียน นักศึกษา ขอความรู้ทำรายงาน
แจ้งปัญหา
รูปภาพในบอร์ด
กลุ่มสาระธรรม
----------------
หนังสือธรรมะ
บทความธรรมะ
นิทาน-การ์ตูน
กวีธรรม
นานาสาระ
ต้นไม้ในพุทธประวัติ
วิทยุธรรมะ
ศาสนสถานและศาสนพิธี
----------------
สถานที่ปฏิบัติธรรม
วัดและศาสนสถาน
พิธีกรรมทางศาสนา
พุทธศาสนบุคคล
----------------
พระพุทธเจ้า
ประวัติพระอสีติมหาสาวก
ประวัติเอตทัคคะ (ภิกษุณี, อุบาสก, อุบาสิกา)
สมเด็จพระสังฆราชไทย
ประวัติและปฏิปทาของครูบาอาจารย์
ในหลวงกับพระสุปฏิปันโน
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณ
ไม่สามารถ
สร้างหัวข้อใหม่
คุณ
ไม่สามารถ
พิมพ์ตอบ
คุณ
ไม่สามารถ
แก้ไขข้อความของคุณ
คุณ
ไม่สามารถ
ลบข้อความของคุณ
คุณ
ไม่สามารถ
ลงคะแนน
คุณ
สามารถ
แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ
สามารถ
ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้
เลือกบอร์ด •
กระดานสนทนา
•
สมาธิ
•
สติปัฏฐาน
•
กฎแห่งกรรม
•
นิทานธรรมะ
•
หนังสือธรรมะ
•
บทความ
•
กวีธรรม
•
สถานที่ปฏิบัติธรรม
•
ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ
•
วิทยุธรรมะ
•
เสียงธรรม
•
เสียงสวดมนต์
•
ประวัติพระพุทธเจ้า
•
ประวัติมหาสาวก
•
ประวัติเอตทัคคะ
•
ประวัติพระสงฆ์
•
ธรรมทาน
•
แจ้งปัญหา
จัดทำโดย กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ
webmaster@dhammajak.net
Powered by
phpBB
© 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
www.Stats.in.th