Home
•
กระดานสนทนา
•
สมาธิ
•
สติปัฏฐาน
•
กฎแห่งกรรม
•
นิทาน
•
หนังสือ
•
บทความ
•
กวีธรรม
•
ข่าวกิจกรรม
•
แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้
ค้นหา
สมัครสมาชิก
รายชื่อสมาชิก
กลุ่มผู้ใช้
ข้อมูลส่วนตัว
เช็คข้อความส่วนตัว
เข้าสู่ระบบ(Log in)
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
จิตมนุษย์เหมือนคนบ้าหาบหิน (หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร)
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
:: ลานธรรมจักร ::
»
บทความธรรมะ
ผู้ตั้ง
ข้อความ
กรกต
บัวใต้ดิน
เข้าร่วม: 28 ต.ค. 2006
ตอบ: 11
ตอบเมื่อ: 24 ก.ค.2007, 12:12 pm
คัดมาจาก :
โครงการหนังสือบูรพาจารย์ เล่ม ๑๒
ดร.ปฐม-รศ.ภัทรา นิคมานนท์, มกราคม ๒๕๕๐
พระธรรมเทศนา กัณฑ์ที่ ๔ จิตมนุษย์เหมือนคนบ้าหาบหิน
หน้า ๔๑๙-๔๓๒
จิตมนุษย์เหมือนคนบ้าหาบหิน
พระธรรมเทศนาโดย...
พระญาณสิทธาจารย์ (หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร)
สำนักสงฆ์ถ้ำผาปล่อง อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่
แสดงธรรมเมื่อวันที่ ๑๐ ตุลาคม ๒๕๑๘
*************
การฝึกสมาธิ รวมจิตรวมใจให้เข้ามาภายใน
ธรรมดาจิตนี้ ดวงจิตดวงใจจริงๆ ก็คือ
มีดวงจิตดวงใจดวงเดียวเท่านั้น
คนๆ หนึ่ง สัตว์ตัวหนึ่ง ไม่ว่าใคร มีจิตดวงเดียว
จิตดวงเดียวนี้แหละ แต่ว่าความอยาก ความดิ้นรน กิเลสมันเยอะ เรียกว่ามีมาก
โบราณท่านตัดออกไปจาก
อายตนะ
ทั้งหลาย ว่ากิเลสนี้มีตั้งพันหน้า ตัณหาร้อยแปด
ก็คือว่ามันเยอะ
คิดมากไปเท่าไหร่กิเลสมันก็มากไปตามความคิด
พระพุทธเจ้าจึงสอนว่า จงรวมจิตใจเข้ามา
ถ้ารวมจิตใจเข้ามา จิตมันก็มีดวงเดียว จิตดวงเดียวเป็นผู้ลุ่มหลงมัวเมาอยู่ในกามภพ ในรูปภพ ในอรูปภพ ในมนุษย์โลก เทวโลก พรหมโลก เปรตโลก ยมโลก
ไม่ว่าโลกใดก็ตาม จิตดวงเดียวเป็นผู้หลง เป็นผู้ไป เมื่อเกิดในภพใดๆ ตั้งอยู่ภพใดๆ ก็ไปยึดถือว่า ตัวเองอยู่ในภพนั้นๆ
จิตดวงเดียว เมื่อเรารวมเข้ามาแล้วรักษาได้ง่าย เพราะมันเป็นของอันเดียว
ทีนี้ถ้าเราคิดมากไป ปรุงแต่งมากไป ตามอำนาจของกิเลสตัณหาในจิตใจนั้น ก็เลยมากเรื่องมากราวไป
พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า
จิตนี้เป็นใหญ่ เป็นประธาน สำเร็จแล้วด้วยดวงจิต
เมื่อจิตจะเอาอะไร จะทำอะไร จะพูดอะไร จะทำบุญทำบาป ก็สำเร็จด้วยดวงจิตดวงใจทั้งนั้น
แม้พระพุทธเจ้าบำเพ็ญโพธิญาณมาสำเร็จได้ ก็เพราะดวงจิตดวงใจทั้งนั้น พากาย พาวาจา ให้ประพฤติดีทำดี ก็คือจิตดวงนี้แหละ
ดวงจิตดวงนี้นั้น ไม่ใช่เราไม่รู้ไม่เข้าใจ มันมีอยู่ เราทุกคนย่อมรู้ว่า ในตัวเรานี้แหละ ในใจเรามีความคิดนึกปรุงแต่งอยู่ตลอดเวลา
ความอยาก
ทั้งหลาย ท่านให้ชื่อว่า
ตัณหา กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา
ก็คือความดิ้นรนวุ่นวายกระสับกระส่าย ทำให้จิตใจนั้นไม่สงบ
เมื่อไม่สงบ ยิ่งดิ้นรนไปเท่าไร่ ก็ติดเข้าไปเท่านั้น
ส่วนมากเมื่อจิตไม่สงบ ไม่ตั้งมั่นอยู่ในดวงจิตดวงใจแล้ว จิตนั้นเองเป็นผู้แส่ส่ายไปรับเอาเรื่องต่างๆ มาคิด มานึก มาปรุงมาแต่ง
ทั้งๆ ที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า ไม่ต้องไปเก็บเอาอะไรมาอีก เท่าที่มันมีอยู่นี้มันก็หนักพอแรงแล้ว
ขันธ์ทั้ง ๕ เป็นของหนัก แล้วยังจะไปเก็บเอาเรื่องราวอารมณ์ภายนอกเข้ามาให้มันยุ่งเหยิง มันก็ยิ่งหนักยิ่งหน่วงเข้าไป
เหมือนกับว่าเราหาบเราแบกเต็มแรงแล้ว แต่ยังไม่พอ เก็บเข้ามาใส่อีก
จิตใจที่ไม่สงบ ไม่ตั้งมั่นอยู่ภายในนี้ ท่านว่าเหมือนคนบ้าหาบหิน
นิทานคนบ้าหาบหิน
นั้น มีอยู่ว่า บ้านั้นท่านว่าบ้า ๑๐๘ บ้า ๓๒ บ้านับไม่ได้
มีบ้าชนิดหนึ่งไม่โหดร้ายประการใด ได้กระบุง ได้กระจาด ได้อะไรมาก็หาบไป เมื่อเห็นไม้ เห็นก้อนหิน เม็ดกรวดอะไรก็ตาม เก็บใส่ข้างหน้า ข้างหลัง แล้วก็หาบเรื่อยไป
ไม่ว่าเห็นอะไรอยู่ข้างถนนหนทาง ก็เก็บมาใส่ทั้งนั้น
เรียกว่า
เก็บก้อนหินของหนักมาใส่
หาบไป จนกระทั่งหาบไปไม่ได้ ก็เก็บออก เก็บออกพอเบาไปได้ก็หาบไปอย่างนั้นแหละ
เขาให้ชื่อว่า
คนบ้า
คนบ้าชนิดนั้นไม่มีเรื่องราวกับใคร แต่มีเรื่องราวกับ
หิน
เห็น
ของหนัก
แล้วก็เอามาใส่ เจ้าของก็หาบไป เมื่อหาบไปมันเบา ก็เก็บมาใส่ใหม่ เห็นของใหม่ก็เก็บใส่ใหม่
เป็นอยู่อย่างนี้ตลอดวันตลอดคืน แกทำมาอย่างนั้น นี้เรียกว่าเป็น
นิทาน
อันหนึ่ง
นิทานคนบ้าหาบหินนี้ เปรียบอุปมาเหมือนจิตใจของคนเราไม่ภาวนา ไม่สงบ ก็ไม่สละออก
ในอารมณ์ต่างๆ เก็บเข้ามา ตาเห็นรูป ก็เก็บเอามาไว้ มาคิด มานึก มาปรุง มาแต่งในทางที่จะยึดเอาถือเอา
เหมือนคนบ้าหาบหิน
รูปดีก็อยากได้ ดิ้นรนวุ่นวาย รูปสวย รูปงาม ไม่ว่ารูปวัตถุข้าวของ เครื่องใช้ไม้สอยก็ตาม
รูปคน เมื่อเห็นว่ารูปดีก็อยากได้ ปรารถนาดิ้นรนไปตาม
กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา
มันเก็บเข้ามา ยึดเข้ามา
ที่นี้ในขณะที่รูปไม่ดี รูปน่าเกลียด รูปน่ากลัว รูปน่าชัง ก็เก็บเข้ามาอีก ไปเกลียด ไปกลัว ไปชัง
พาให้จิตใจไม่เป็นสมาธิภาวนา
คือ เป็นธรรมดาของจิตไม่สงบ ไม่มีภาวนา
พุทโธ
อยู่ในดวงใจ
เมื่อตาเห็นรูปในส่วนที่ดีก็หลงไปอีกอย่างหนึ่ง ในส่วนที่ไม่ดีก็หลงไปอีกอย่างหนึ่ง วุ่นวายอย่างนั้นแหละ เหมือนกับว่า
คนบ้าหาบหิน
นอกจากตาเห็นรูป หูได้ฟังเสียง ก็คอยเก็บเข้ามา นอกจากเก็บเข้ามาแล้ว ตัวเองก็ชอบพูด ชอบกล่าวแต่ในสิ่งที่ไม่ดีนั้นแหละ
พุทโธ ธัมโม สังโฆ
ธรรมะคำสั่งสอนมีตั้ง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ก็ไม่ท่องบ่นสาธยาย เอามาจดมาจำ
แต่ว่า คำดุคำด่าว่าร้ายป้ายสีให้แก่กันนี้ ชอบเอามาคิดเอามานึก แม้สิ่งนั้นจะล่วงเลยมานานแล้วก็ตาม จำไว้ไม่ลืม เขียนไว้ไม่ลืม
เป็นอย่างนี้มาตลอดกัปป์ตลอดกัลป์ ตลอดภพตลอดชาติ ไม่ว่ามนุษย์และสัตว์โลกทั้งหลาย มันเป็นอยู่อย่างนี้
ไม่รู้จักปล่อยวาง
ทางสมาธิภาวนา ธรรมะธัมโม คำสอนในทางพุทธศาสนานั้น ท่านให้ตั้งอกตั้งใจบริกรรมภาวนา
คนอื่นผู้อื่นไม่สำคัญเท่าใจของเราเอง ใจของเราเองนี้แหละควรให้ภาวนานึกน้อมอยู่ในตัว ในใจ อย่าได้ประมาท ไม่ต้องไปหาบไปหิ้วเอาเรื่องของคนอื่นผู้อื่น
สัตว์โลกทั้งหลายนั้นมีอยู่มากมาย พระพุทธเจ้าท่านว่า
อนนฺตํ อปฺปริมาณํ
อนนฺตํ
ก็คือว่า
จะนับก็ไม่ได้ ประมาณไม่ได้
สัตว์โลกทั้งหลาย
มนุษย์โลกยังนับอ่านไม่ได้ ลองคิดดูว่า สัตว์เดรัจฉานในน้ำ บนบก ในอากาศนั้นมีมากมาย เต็มไปด้วยสัตว์ทั้งหลาย นับได้เมื่อไร ไม่มีใครนับได้
ในพื้นแผ่นดินก็เต็มอยู่ ในแผ่นดิน พวกมด พวกปลวก พวกแมลงเล็กๆ น้อยๆ จนสมมติให้ชื่อมันไม่ได้ มันมากมาย
ที่มันเกิดมาได้แล้วก็มี ส่วนที่มันยังเกิดไม่ได้ เหลือแต่ดวงจิตดวงวิญญาณอยู่ ก็เรียกว่าแน่นโลกอยู่ก็ว่าได้
ดวงจิตดวงวิญญาณของสัตว์ทั้งหลายนี้ เรียกว่า
เต็มโลก
หรือภาษาโบราณท่านว่า ดวงจิตดวงใจของสัตว์โลกนั้นมันเต็มโลก เหมือนเอาข้าวสารยัดใส่ไถ้ ข้าวสารในไถ้ ในหม้อ ในตุ่ม ในไห เต็มไปอย่างนั้นแหละ
แน่นอยู่ในไถ้ ในถุงอย่างไร ดวงจิตดวงใจของสัตว์โลกก็เต็มอยู่อย่างนั้น ไม่หมดไม่สิ้น
บางคนก็มาเห็นว่า มนุษย์โลกในยุคนี้สมัยนี้ มันมากมายจนรัฐบาลแต่ละประเทศเลี้ยงไม่ไหว ต้องมีการคุมกำเนิดไม่ให้มันเกิด
ถ้ามันเกิดมาแล้วก็จะมากมายหลายอย่าง แต่ละบุคคลๆ เลยมีการคุมกำเนิด ไม่ให้มันเกิด
มันจะเกิดหรือไม่เกิดก็ตามที แต่ว่าดวงจิตดวงใจของสัตว์โลกทั้งหลายนั้น มันเกิดอยู่อย่างนั้นแหละ มันมีอยู่แล้ว
ที่คุมกำเนิดก็คุมได้แต่ในรูปขันธ์ คือไม่ให้มันมีรูปขึ้นมา แต่ว่าในจิตในใจนั้นมันคุมไม่ได้ มันเกิดก่อนผู้ควบคุมด้วย
มันเกิดมาตั้งแต่อเนกชาติ นับภพนับชาติ นับกัปป์นับกัลป์ นับตั้งฟ้าตั้งแผ่นดินไม่ได้แล้ว
ดวงจิตดวงใจอันนี้ มันจึงเป็นดวงจิตที่เรียกว่า หลงใหลอยู่ในโลกมานมนาน เป็นคนบ้าหาบหินมานานจนนับไม่ถ้วน
แม้แต่พระศาสนาสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ๆ ได้มาตรัสรู้ในโลก พระพุทธเจ้าทั้งหลายท่านก็รู้ว่า สัตว์โลกทั้งหลายมันมากมายเหลือที่จะพรรณนา
พระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งๆ มาโปรด มาเทศนาสั่งสอนเอาได้ แต่มันก็ไม่หมดไม่สิ้นไปได้ นับเป็นอสงไขยๆ ที่สัตว์มาพ้นทุกข์ ไปสู่นิพพานตามพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์
แต่ถึงกระนั้น สัตว์โลกก็ไม่มีทางจะหมดจะสิ้นได้ เพราะอะไร เพราะจิตใจของสัตว์โลกยังมีความหลงอยู่
เมื่อเป็นเช่นนี้ ท่านจึงให้มีความสังวรระวัง ตั้งอกตั้งใจปฏิบัติบูชาภาวนา อย่าให้จิตใจไปเก็บเอาอารมณ์เรื่องราวภายนอก ไม่มีที่จบที่สิ้น
ให้รู้จักปล่อยวาง
ตาเห็นรูป หูฟังเสียง จมูกดมกลิ่น เหม็นหอมอะไร ก็อย่าไปยึดไปถือเอา
ถ้าจิตหลงออกไปยึดไปถือแล้ว เป็นทุกข์ในใจ เป็นทุกข์ในโลก ไม่มีที่จบที่สิ้น
ในเมื่อเวลากลิ่นสัมผัสในจมูก รสสัมผัสในลิ้น เรื่องรสอาหารการกินนี้ เป็นตัวสำคัญอันหนึ่ง
เพราะว่าชีวิตของสัตว์ทั้งหลายนั้น ตั้งอยู่ได้เพราะมีอาหาร ที่มันเกิดขึ้นมามีชีวิตอยู่ได้เพราะมีการบริโภคอาหาร
ถ้าสัตว์ทั้งหลายไม่มีอาหารกิน รูปขันธ์ก็ตั้งอยู่ไม่ได้
รสอาหารนี้แหละ เป็นเหตุการณ์อันยิ่งใหญ่ เพราะว่าจิตนั้นไม่อยู่ในสมาธิภาวนา ไม่มีอารมณ์ใจสงบระงับ ก็ย่อมดิ้นรนวุ่นวายไปตามอาหารการกิน
สิ่งที่ล่วงมาแล้ว เคยกินเคยบริโภคอย่างใด จิตอันนี้ก็ไปยึดไปถือเอา
เรียกว่า
เหมือนกับคนบ้าหาบหิน
มันก็หาบเอาสิ่งที่ผ่านไปแล้ว มันก็ไม่ยอมให้ผ่านไป มันเก็บเอามาคิดมานึกอีก และก็คิดไปข้างหน้า หลงอยู่ในรสอาหารการกิน หารู้ไม่ว่า
รสอาหารนั้น มันเป็นเพียงการมาประทังรักษารูปขันธ์ให้เป็นอยู่เท่านั้น
เมื่อ
รูปขันธ์
เป็นอยู่แล้ว เราก็จะได้เจริญ
สมถกรรมฐาน
ทำใจให้สงบระงับ ไม่ปล่อยปละละเลยให้จิตใจไปวุ่นวายแต่เรื่องภายนอก ยังดวงจิตดวงใจให้สงบตั้งมั่นอยู่ภายใน
ดวงใจ
นี้
จะได้รวมจิตรวมใจเข้ามาภายใน ไม่ให้วุ่นวายไปตามเรื่องภายนอก
ส่วน
ร่างกาย
ก็มีสิ่งที่มาสัมผัสถูกต้อง เย็นร้อนอ่อนแข็ง เจ็บไข้ได้ป่วย สบายไม่สบาย ให้ชื่อว่า
โผฏฐัพพะ
สิ่งที่มากระทบกระเทือนรูปร่างกาย
อันนี้ก็เป็นอารมณ์พาให้จิตใจคนเราอยู่นิ่งๆ ไม่ได้ ภาวนา
พุทโธ
อยู่ในดวงใจไม่ได้ เพราะมีความลุ่มหลงอยู่ในผิวหนัง ผิวกาย หรือว่าอยู่ในเครื่องสัมผัส ไม่ว่ามีอะไร อยากได้อะไร
เสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มที่ปกปิดร่างกายนั้น นอกจากจะกันความร้อน หนาว หรือว่าเหลือบยุงแล้ว ยังนุ่งห่มประดับประดาตกแต่งร่างกาย เอาดีเอางาม เอาวิเศษวิโส ไม่มีที่จบที่สิ้นนั่นแหละ
ท่านว่า มันไปหาบเอา ยึดเอา ถือเอา เป็นทุกข์ในใจ เป็นทุกข์ในโลก เป็นทุกข์ในกาย เป็นทุกข์ในจิต
ดวงจิตมันก็เป็นทุกข์
เมื่ออารมณ์ทั้งหลาย มีรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ สิ่งที่มาถูกต้องกาย ก็ไปเป็นอารมณ์อยู่ในจิต
แต่มันไม่ใช่อารมณ์ภาวนา
พุทโธ
ไม่ใช่อารมณ์ภาวนา
มรณกรรมฐาน
แต่เป็นอารมณ์หลงใหลไปตามตา ตามรูป ตามหู ตามเสียง ตามจมูก ตามกลิ่น ตามลิ้น ตามรส ตามกาย ตามโผฏฐัพพะ มันหลงอยู่อย่างนี้
จิต
เมื่อมันได้ผ่านอายตนะทั้งหลาย มันก็ไปเป็นอารมณ์อยู่ในจิต ดับไม่ลง สงบไม่ได้
จิตอันนั้นก็เลยเห็นว่า ความคิด ความนึก ความฟุ้งซ่านรำคาญ ดิ้นรนวุ่นวาย กระสับกระส่าย ได้มากเท่าไรก็ถือว่าเป็นความสุข แต่ความสุขอันเป็นทุกข์
มันเก็บเข้ามา ยึดเข้ามา ถือเข้ามา ไม่รู้จักปล่อยจักวาง
พระพุทธเจ้าท่านปล่อยวางจนหมด ไม่มีอะไรยึดไว้ ถือไว้ในจิตในใจ ดวงจิตดวงใจของพระองค์ก็เรียกว่า ละกิเลสพร้อมทั้งวาสนาได้หมดสิ้น
คือท่านไม่เป็นบ้าเป็นบอมายึดมาถือตามโลกอีกต่อไป
พระพุทธเจ้า พระอรหันตเจ้าทั้งหลาย พระโสดา พระสกิทาคามี พระอนาคามี ท่านรู้จักปล่อย รู้จักวาง รู้จักตัวเองว่าลุ่มหลงมาแล้วในโลกนี้จนนับไม่ถ้วน
เมื่อมาถึงปัจจุบันชาตินี้ ท่านก็ปล่อยวาง ท่านไม่หาบต่อไปอีก ปลงไว้ วางไว้ ตามหน้าที่ของเขา แล้วก็กำหนดพิจารณาจนเห็นแจ้งอยู่ภายในจิตของท่าน
ไม่ใช่ท่านขาดสติ ขาดสมาธิ ขาดปัญญา ไม่ใช่
ท่านมีสติ มีสมาธิ มีปัญญา มีวิชาความรู้
ท่านเห็นว่าจิตใจของท่านได้หาบ ได้แบก ได้หาม วุ่นวายมานานแล้ว ปลงเสียที วางเสียที เรียกว่าปลงตก
ปลงตก
คือพิจารณาเห็นแจ้งว่าไม่ดี ไม่วิเศษวิโสอะไร ท่านก็ปลง ละออก ปล่อยออก วางออก ให้หมดสิ้นในจิต
สิ่งใดที่ท่านเคยอิจฉาพยาบาท โกรธแค้น ให้แก่มนุษย์และสัตว์ทั้งหลาย ท่านก็ปล่อยวางออกไป ไม่อิจฉา พยาบาทใครอีกต่อไป
มีความเพ่งเล็งให้แก่มนุษย์และสัตว์ทั้งหลาย มีความสุขกาย สบายใจ อย่าได้เดือดร้อนวุ่นวาย ใครมีความสุขอย่างไร ก็ให้มีความสุขอย่างนั้นให้ยิ่งๆ ขึ้นไป
พระพุทธเจ้า พระอริยเจ้าทั้งหลาย เรียกว่าท่านมีเมตตากรุณาแก่สัตว์โลก ไม่ซ้ำเติม ไม่เก็บเอามายุ่งในจิตใจด้วย
คนเราที่ใจไม่สงบ ก็เพราะว่าไปคอยยึด ไปคอยถืออยู่ หาบอยู่ เหมือนคนบ้าหาบหิน ไม่รู้จักปล่อยจักวาง
ความจริงแล้ว เราจะไปปล่อยวางให้คนอื่น ไปว่าดีให้คนอื่นก็เท่านั้น ไปว่าชั่วเสียหายให้คนอื่น ก็เท่านั้นแหละ
หน้าที่ของผู้ปฏิบัติธรรมภาวนาในทางพุทธศาสนานั้น ท่านมาทำจิตทำใจของท่านให้มีความสงบตั้งมั่น มั่นคงอยู่ในบริกรรมภาวนาในดวงจิตดวงใจของท่านทุกๆ ท่าน ทุกองค์ เมื่อยังไม่พ้นก็เพียรพยายามเพื่อให้หลุดให้พ้น
เมื่อพ้นไปแล้ว หลุดไปแล้ว ท่านก็มีความเมตตาแก่สัตว์โลกทั้งหลาย ไม่มีการซ้ำเติมบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ที่มีความทุกข์กายทุกข์ใจ แล้วก็ไปซ้ำเติมให้มันมีความทุกข์หนักขึ้นไปอีก ไม่เอา
ท่านมีวิธีสั่งสอน แนะนำให้พุทธบริษัท มีภิกษุ ภิกษุณี สามเณร สามเณรี ผ้าขาว นางชี ฤาษี
ตั้งอกตั้งใจ ภาวนาทำความเพียรละกิเลส
การละกิเลสจะหมดจะสิ้นไปได้นั้น ไม่ใช่เพียงแต่ว่าสงบอยู่เท่านั้น ยังไม่พอ จะต้องกำหนดพิจารณาให้เห็นแจ้งด้วยญาณ ด้วยปัญญาตาใจ ว่ารูป นาม กาย ใจ ตัวตนคนเรานี้แหละ ไม่มีอะไรจะเที่ยงแท้แน่นอน ยั่งยืน จะให้เป็นไปตามความรัก ความปรารถนาทุกอย่างทุกประการนั้น เป็นไปไม่ได้
เพราะว่า
รูปขันธ์
อันเป็นตัว เป็นก้อนอันนี้ก็ตาม
นามขันธ์
ได้แก่ดวงจิตดวงใจ คิดนึกปรุงแต่งอะไรต่อมิอะไร มีความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
ท่านมาฝึกฝนอบรมสั่งสอนพุทธบริษัท ให้รู้จักทำความสงบระงับ ให้รู้จักปล่อยวาง ไม่ให้ยึดถือ
แม้จะมีอารมณ์ใดๆ เกิดขึ้นในเวลาเรานั่งอยู่ เมื่อลุกจากที่นั่งไป ท่านก็สอนว่าอย่าเก็บเอาอารมณ์เรื่องราวที่มันเกิดขึ้นในเวลาที่นั่งนั้นติดตามไปด้วย
ถ้าทำได้อย่างนี้ อารมณ์ภาวนาก็สบาย ไม่ไปเก็บเอาอารมณ์สิ่งที่เขาด่า เขาว่าดีว่าชั่วให้ เมื่อลุกจากที่นั่งไปแล้วก็ไม่เก็บไปด้วย ในใจก็สบาย กายก็สบาย หูก็สบาย เพราะไม่ไปเก็บเอาอะไรต่อไปอีก
หรือเขาติเตียนนินทา ว่าร้ายป้ายสีในเวลาที่เราอยู่ในน้ำ ถ้าเราขึ้นจากน้ำแล้วก็อย่าเก็บมา ทิ้งไว้ในน้ำนั้น
นี่คือว่าเป็นนโยบายสอนผู้ปฏิบัติธรรม อย่าไปเก็บเอามา อย่าไปเอามาหาบ มายึดมาถือ ถ้าเอามายึดมาถือไว้แล้วไม่มีที่จบที่สิ้น
ขึ้นชื่อว่า
โลก
แล้ว ไม่มีที่จบ ไม่มีที่สิ้น
ถ้าใครต่อเติมส่งเสริมมากเท่าไหร่ ก็ไปมากเท่านั้น เลยไม่จบไม่สิ้น
ทำไมมันจึงไม่จบไม่สิ้น ก็เพราะว่ามันวนๆ อยู่ในอารมณ์อันเก่า
ทั้งโลกนี้ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ ในอายตนะภายใน อายตนะภายนอก มันกระทบกระเทือนอยู่อย่างนี้มันจะจบสิ้นที่ไหน มันวนอยู่ใน
อาการอันเก่า
หรือท่านว่า
เหมือนมดมันไต่ขอบด้ง ขอบหม้อ ขอบไห
มันไต่เท่าไรๆ มันจะมีที่สิ้นสุดที่ไหน เพราะของมันกลม
เรียกว่า มันไต่ไปตามความไม่รู้นั่นแหละ มันวนอยู่ในอาการอันเก่า แม้ความคิดความนึกของคนเราว่าไปไกลที่สุดแล้วนั้น มันก็ไกลโดยความวนอยู่ในอาการอันเก่า
พระพุทธเจ้าท่านจึงสอนอย่าให้วนเวียนมาในโลกนี้อีกต่อไป สงบจิต สงบใจ ตั้งใจให้มั่นในดวงจิตดวงใจ
ให้จิตใจดวงนั้นมีปัญญา พิจารณาที่มีความเกิดขึ้นมา ตั้งอยู่แล้วก็ดับไป เป็นธรรมดาของสังขารทั้งหลาย เขาต้องเป็นไปอย่างนี้
แม้จิตใจของผู้มาอาศัยอยู่ในรูปขันธ์ หรือว่า
ขันธ์
อันนี้ ดัวอันนี้มิใช่ว่าจะได้ดังความปรารถนาทุกอย่างทุกประการ เป็นไปไม่ได้
เพราะว่า
รูปขันธ์
นี้ มีความแก่ ความชรา มีความเจ็บไข้ได้ป่วย มีความแตกความดับเป็นธรรมดา
จิตใจดวงที่ภาวนาพุทโธโน้นต่างหาก ผู้ใดมาตั้งอกตั้งใจ ไม่ให้ใจของตนออกไปรับเอาเรื่องราวภายนอก สิ่งใดอยู่ภายนอก ก็ให้ทิ้งไว้นอกนั้น
เรื่องราวอะไรที่มันเข้ามายุ่งในจิตในใจ ก็เพียรละในใจ ตั้งอกตั้งใจบริกรรมภาวนา
พุทโธ
รวมจิตใจเข้าไปภายในใจของตนเอง
เพียรพยายามอยู่ในหัวใจของตนให้ได้ตลอดเวลา นั่งที่ไหนก็ภาวนาในที่นั้น ยืนอยู่ที่ไหนก็ภาวนาที่นั้น จะเดินไปมาที่ไหนก็ภาวนารวมจิตรวมใจให้สงบตั้งมั่น จนเกิดความรู้ ความฉลาด ความสามารถอาจหาญ ตัดบ่วงห่วงอาลัยกิเลสในหัวใจของตัวให้หมดไป สิ้นไป
ไม่ใช่เพียงแต่ว่า ความอยากได้ อยากดี อยากเป็น อยากมีไปตามอำนาจกิเลส
อันนี้ไม่มีที่จบที่สิ้น ดิ้นรนไปตามความหลง
ความรู้แจ้งเห็นจริง ก็ต้องมารู้ที่กาย ที่จิต ที่ตัวเรานี้เอง
ว่าร่างกายสังขารของแต่ละบุคคล มีขาสอง แขนสอง ศีรษะหนึ่ง มีหนังหุ้มอยู่เป็นที่สุดโดยรอบ มีใจครองอยู่ในร่างกายตัวตนนี้คนละดวงใจ
ก็ให้เพียรพยายามรักษาเอาดวงใจดวงเดียวนี้ให้ได้ อย่าได้ขาดสติ อย่าได้ขาดสมาธิ อย่าได้ขาดปัญญา
จงเก็บเข้ามาไว้ในหัวใจ อย่าส่งใจออกไปยุ่งวุ่นวายกับเรื่องภายนอก
จงมีความสงบจิตสงบใจ มีความตั้งมั่นอยู่ในหัวใจของตนอย่างเดียว
สิ่งอื่นใดนอกจากจิตใจดวงที่รู้อยู่ภายในนี้ ออกไปทั้งหมด
อนิจจัง
ไม่เที่ยง เป็น
ทุกข์
เป็น
อนัตตา
ขึ้นชื่อว่าเป็นสังขารทั้งหลายจะเป็นสังขารอันเป็นรูป สังขารอันเป็นนามธรรมก็ตาม ย่อมมีความไม่เที่ยงแท้แน่นอน ปั่นป่วนอยู่ไปเป็นธรรมดาอย่างนี้
ผู้ปฏิบัติธรรมในทางพุทธศาสนา จงพากันรวมจิตรวมใจ สงบตั้งมั่นอยู่ในดวงใจ จนเห็นว่าสิ่งอื่นใดนอกจากจิตใจที่มีความสงบตั้งมั่นอยู่นี้ ออกไปทั้งหมด
อนิจจัง
ไม่เที่ยง
ทุกขัง
เป็นทุกข์
อนัตตา
ไม่ใช่ตัวตนของเรา ไม่ควรยึดมั่นถือมั่นในความสุข ความทุกข์ ในความเป็น ความมี อันมีอยู่ในร่างกายจิตใจนี้
จงทำความรู้แจ้งแทงตลอดในธรรมปฏิบัติ อันเป็น
ปัจจุบันธรรม
ในที่นั้นๆ
สิ่งใดที่เป็นอารมณ์เรื่องราวอดีต มันก็ล่วงมาแล้ว เรื่องอนาคตมันก็ยังไม่มาถึง มันเป็นเรื่องภายนอก นอกจากกายจากจิตออกไป
จิตอย่าได้หวั่นไหวสั่นสะเทือน
จงเป็นผู้มีสติอยู่ทุกเวลา มีสมาธิอยู่ทุกเวลา มีสติปัญญาอยู่ทุกเวลา ทุกขณะ ทุกเวลา อย่าได้ประมาทมัวเมารั่วไหลไปที่อื่น
จิตใจมีอยู่ภายในใจ ภายในตัวของบุคคลเราทุกๆ คน ใจคนอื่น ผู้อื่น เขารักษาภาวนา
ใจของเรามีอยู่ภายใน เราต้องรักษาภาวนา อย่าได้ประมาท ผู้ไม่ประมาทย่อมเป็นไปเพื่อความเจริญ ผู้ประมาทเรียกว่าเป็นไปเพื่อความเสื่อม ความเสีย
ไม่กำหนดภาวนา ขาดสติ ขาดสมาธิ ขาดปัญญา ขาดความรู้ความฉลาด ขาดความสามารถอาจหาญ จิตใจเลื่อนลอยฟุ้งซ่าน ไม่ตั้งมั่นอยู่ในดวงใจ
จงเป็นผู้
โอปนยิโก
น้อมเข้าสู่หลักปัจจุบัน เวลานี้ เดี๋ยวนี้ให้ได้
เมื่อเรามาภาวนาอยู่ในตัว ในใจ นี้ได้ทุกขณะ ทุกเวลา อยู่ในหัวใจนี้แหละ จะเป็นไปเพื่อความเจริญงอกงามในทางพุทธศาสนา
ดังแสดงมาก็สมควรด้วยกาลเวลา
เอวัง
ก็มีด้วยประการ ฉะนี้
*************
รวมคำสอน หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=72&t=42673
ประวัติและปฏิปทา หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=13&t=21573
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่
เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773
ตอบเมื่อ: 24 ก.ค.2007, 4:53 pm
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่
เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773
ตอบเมื่อ: 27 ก.ค.2007, 6:31 am
บ้าหาบหิน
แปดเปื้อนเปรอะ เลอะเหม็น สกปรก
ผมเผ้ารก รุงรัง บังใบหน้า
เพียงเศษผ้า พันตัว ทั่วกายา
คือคนบ้า แน่ไซร้ ใช่คนดี
เที่ยวดั้นด้น ขนหิน มาแบกหาม
ทั่วเขตขาม ขบขัน กันทุกที่
หาบใส่คาน ขึ้นบ่า ชั่วตาปี
พล่ามวจี หินทอง เป็นของตน
จิตมนุษย์ ดุจว่า บ้าหาบหิน
บ้าทรัพย์สิน ยื้อแย่ง ทุกแห่งหน
บ้าเร่าร้อน ซ้อนบ้า พาวกวน
บ้าทุกข์ทน ชังรัก หนักอุรา
หินกลับเห็น เป็นทอง จึงต้องแบก
ดูน่าแปลก สับสน หนอคนบ้า
พวกผองเพื่อน เตือนให้ ไม่นำพา
กลับดุด่า ให้ยัง ผู้หวังดี
หินหนักเพียบ เปรียบว่า อารมณ์ร้าย
หากหญิงชาย แบกไว้ ให้หมองศรี
ยิ่งยึดยื้อ ถือมาก ยากทวี
ช้ำฤดี อกตรม ทุกข์ถมใจ
เมื่อเป็นผู้ รู้แจ้ง แห่งสังขาร
ประจักษ์ญาณ จิตว่าง วางหินได้
จะสงบ พบสุข พ้นทุกข์ภัย
ด้วยของหนัก วางไป จึงเบาเอย
ตรงประเด็น
26 กค 50
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:
แสดงทั้งหมด
1 วัน
7 วัน
2 สัปดาห์
1 เดือน
3 เดือน
6 เดือน
1 ปี
เรียงจากเก่า-ใหม่
เรียงจากใหม่-เก่า
:: ลานธรรมจักร ::
»
บทความธรรมะ
ไปที่:
เลือกกลุ่ม บอร์ด
กลุ่มสนทนา
----------------
สนทนาธรรมทั่วไป
แนะนำตัว
กฎแห่งกรรม
สมาธิ
ฝึกสติ
การสวดมนต์
การรักษาศีล-การบวช
ความรัก-ผูกพัน-พลัดพลาก
กลุ่มข่าวสาร-ติดต่อ
----------------
ข่าวประชาสัมพันธ์
ธรรมทาน
รูปภาพ-ประมวลภาพกิจกรรมต่างๆ
สำหรับนักเรียน นักศึกษา ขอความรู้ทำรายงาน
แจ้งปัญหา
รูปภาพในบอร์ด
กลุ่มสาระธรรม
----------------
หนังสือธรรมะ
บทความธรรมะ
นิทาน-การ์ตูน
กวีธรรม
นานาสาระ
ต้นไม้ในพุทธประวัติ
วิทยุธรรมะ
ศาสนสถานและศาสนพิธี
----------------
สถานที่ปฏิบัติธรรม
วัดและศาสนสถาน
พิธีกรรมทางศาสนา
พุทธศาสนบุคคล
----------------
พระพุทธเจ้า
ประวัติพระอสีติมหาสาวก
ประวัติเอตทัคคะ (ภิกษุณี, อุบาสก, อุบาสิกา)
สมเด็จพระสังฆราชไทย
ประวัติและปฏิปทาของครูบาอาจารย์
ในหลวงกับพระสุปฏิปันโน
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณ
ไม่สามารถ
สร้างหัวข้อใหม่
คุณ
ไม่สามารถ
พิมพ์ตอบ
คุณ
ไม่สามารถ
แก้ไขข้อความของคุณ
คุณ
ไม่สามารถ
ลบข้อความของคุณ
คุณ
ไม่สามารถ
ลงคะแนน
คุณ
สามารถ
แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ
สามารถ
ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้
เลือกบอร์ด •
กระดานสนทนา
•
สมาธิ
•
สติปัฏฐาน
•
กฎแห่งกรรม
•
นิทานธรรมะ
•
หนังสือธรรมะ
•
บทความ
•
กวีธรรม
•
สถานที่ปฏิบัติธรรม
•
ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ
•
วิทยุธรรมะ
•
เสียงธรรม
•
เสียงสวดมนต์
•
ประวัติพระพุทธเจ้า
•
ประวัติมหาสาวก
•
ประวัติเอตทัคคะ
•
ประวัติพระสงฆ์
•
ธรรมทาน
•
แจ้งปัญหา
จัดทำโดย กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ
webmaster@dhammajak.net
Powered by
phpBB
© 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
www.Stats.in.th