Home
•
กระดานสนทนา
•
สมาธิ
•
สติปัฏฐาน
•
กฎแห่งกรรม
•
นิทาน
•
หนังสือ
•
บทความ
•
กวีธรรม
•
ข่าวกิจกรรม
•
แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้
ค้นหา
สมัครสมาชิก
รายชื่อสมาชิก
กลุ่มผู้ใช้
ข้อมูลส่วนตัว
เช็คข้อความส่วนตัว
เข้าสู่ระบบ(Log in)
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
การให้ทาน (บุษกร เมธางกูร)
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
:: ลานธรรมจักร ::
»
บทความธรรมะ
ผู้ตั้ง
ข้อความ
boygee
บัวผลิหน่อ
เข้าร่วม: 05 ก.ค. 2007
ตอบ: 4
ตอบเมื่อ: 08 ก.ค.2007, 6:26 am
จากรายการหันหน้าเข้าวัด โดย บุษกร เมธางกูร
(ออกอากาศวันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๓)
ตอนที่ผ่านมา
การให้ทานที่จะสำเร็จลงได้ด้วยดีนี้ หากมีความปรารถนาในสิ่งที่ไม่ผิดจากทำนองคลองธรรม ก็ควรแก่การตั้งความปรารถนาไว้ และควรตั้งจิตอธิษฐานทุกครั้งไป ในที่สุดก็จะได้สมควรปรารถนา เมื่อทานที่กระทำนั้นให้ผลตอบสนองเพราะคุณประโยชน์ของทานนั้นมีอยู่จริง ดังที่พอจะสรุปได้ว่า
๑. การให้ทานเป็นบันไดขั้นแรกที่จะนำสู่เทวโลก
ข้อนี้อุปมาไว้ว่า ผู้ที่มีความต้องการจะขึ้นไปสู่ที่สูง จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีอุปกรณ์ช่วยเอื้ออำนวยความสะดวก เช่น บันไดเป็นเครื่องช่วยให้ไปสู่สถานที่สูงนั้นได้สมความปรารถนา บุคคลที่ต้องการไปเกิดในเทวโลก อันเป็นภูมิที่สูงกว่ามนุษย์โลกเพื่อจะได้เสวยทิพยสมบัติ จึงต้องเพียรพยายามทำกุศลอยู่เสมอ ไม่ใช่อยากไปอย่างเดียว แต่ไม่ทำเหตุ แต่ต้องทำทุกครั้งที่มีโอกาสแม้จะครั้งละเล็กละน้อยก็จะเป็นเหตุเป็นผลให้มีความสำเร็จต่อไปในเบื้องหน้าตามความปรารถนาที่ตนเองตั้งใจ
วันนี้มีเรื่องที่จะนำมาเล่าให้ท่านผู้ฟังได้รับทราบคือเรื่องของพระมาลัยเถระ ในคราวที่พระมาลัยเถระขึ้นไปนมัสการพระจุฬามณีอันเป็นพระเจดีย์ที่บรรจุพระเขี้ยวแก้วข้างขวาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เทวดาผู้ใหญ่ในชั้นดาวดึงส์เล่าให้ฟังว่า มีชายยากจนเข็ญใจผู้หนึ่งเกี่ยวหญ้าเพื่อขายเลี้ยงชีพตนเอง
อยู่มาวันหนึ่งเวลาเที่ยงวันแดดร้อนจัด ชายผู้นั้นได้พักเหนื่อยภายใต้ร่มไม้ แล้วนำข้าวออกมา ขณะนั้นมีกาตัวหนึ่งบินลงมาจับอยู่ที่กิ่งไม้ แล้วร้องว่า กา กา กา ผู้นั้นคิดว่า กาตัวนี้คงจะหิวแน่นอน เหมือนเขาที่หิวจนแสบท้องจึงเจียดข้าวที่ตนเองจะกินออกมาส่วนหนึ่งแล้วปั้นเป็นก้อนว
างไว้ให้กาด้วยความเมตตาสงสาร อยู่ต่อมาไม่นานนัก ชายผู้นั้นก็ล้มป่วยลงซึ่งในวันที่จะตายนั่นเอง ได้นอนระลึกถึงเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต และระลึกได้ถึงทานที่เคยปั้นข้าวก้อนหนึ่งเป็นอาหารให้แก่กา พอระลึกแล้วเขาเกิดความปีติใจ สุขใจในขณะนั้นจิตของเขามีแต่ความผ่องใส (ในพระอภิธรรมเรียกว่า มรณาสันนกาลเกิดขึ้นได้อารมณ์ที่ดี)
พอสิ้นชีวิตลงอารมณ์มรณาสันนกาลที่เขายึดเหนี่ยวไว้ เป็นเหตุให้เขาได้ไปบังเกิดเป็นเทพบุตรในเทวโลก มีนางอัปสรแวดล้อมบำรุงบำเรอความสุขอยู่ถึง ๑๐๐ ท่านด้วยกัน นี่คือผลของทานที่มาตอบสนองการให้ทานด้วยความเมตตา แม้ทานนั้นจะมีปริมาณน้อยก็ตาม
๒. การให้ทานเป็นเสบียงสมบัติของผู้เดินทางอันประเสริฐยิ่ง
ข้อนี้อุปมา เหมือนกับผู้ที่ต้องเดินทางไกลอย่างพวกเรา เมื่อจะต้องเดินทางไกลไปยังเส้นทางที่ทุรกันดารและแห้งแล้วดุจดังทะเลทราย จะหาซื้อข้าวปลาอาหารในระหว่างทางมาประทังชีวิต ก็ไม่มีผู้ใดขาย จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องนำข้าวปลาอาหารติดตัวไปให้เพียงพอแก่ความสะดวกสบายในการเดินทางเพื่อจะได้บรรลุถึงเป้าหมายโดยปลอดภัยฉันใด การเดินทางไปสู่สันติสุขก็ฉันนั้น สัตว์โลกทั้งหลายที่ยังมีกิเลสตัณหาไม่ว่าจะเกิดในภพภูมิใด ล้วนต้องพบกับความตายทั้งสิ้น เมื่อตายแล้วก็ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีกในภพภูมิน้อยใหญ่มีกามภูมิ รูปภูมิ และอรูปภูมิ เพราะเหตุที่ยังไม่บรรลุพระอรหันต์ บุคคลจึงไม่สามารถหลุดพ้นไปจากวัฎสงสารได้ ชีวิตจึงเป็นสิ่งที่น่าเบื่อหน่ายแม้จะไม่อยากเกิดอีกก็ตาม
ดังนั้น ผู้ที่มีความรู้ความเข้าใจในกฎของธรรมชาติจึงเป็นผู้ไม่ประมาทเพราะเพียรกระทำกุศลกรรมอยู่เสมอ ด้วยการให้ทาน แม้ว่าจะทำครั้งละเล็กน้อย เพราะทานที่ให้แล้วจะเป็นเสบียงอันประเสริฐ ติดตามตนเองไปข้ามภพข้ามชาติ ไม่ว่าไปเกิดในสถานที่ใดก็จะเป็นผู้มีความสุขมีทรัพย์สมบัติมากในสถานที่นั้น
บรรดาสมบัติในปัจจุบันชาติ เช่น ไร่ นา สวน แก้วแหวน เงินทอง เครื่องอุปโภคและบริโภคที่เราครอบครองอยู่เป็นเพียงเครื่องอาศัยอยู่อาศัยกินเท่านั้น ทรัพย์สมบัติเหล่านี้เป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน อาจจะเกิดความพินาศจากภยันอันตราย เช่น โจรปล้น ไฟไหม้ น้ำท่วม ถูกพายุทำลายลง หรือแผ่นดินถล่ม ก็ต้องสูญสิ้นไปโดยฉับพลันโดยไม่คาดไม่ถึง และสิ่งเหล่านี้อาจจะเกิดขึ้นกับเราได้ ด้วยเหตุนี้ ผู้มีปัญญาเมื่อพิจารณาไตร่ตรองให้ลึกซึ้งจึงรู้ว่า เมื่อสิ้นชีวิตแล้วแต่ละคนไม่สามารถนำทรัพย์สินไปได้ ล้วนต้องตกเป็นสมบัติของผู้อื่นต่อไป จึงหันมาระลึกถึงตนเองว่าจะมีอะไรเป็นที่พึงในโลกหน้าได้บ้าง
เมื่อระลึกได้ว่าในปัจจุบันชาติตนเองได้บริจาคทานไว้ดีแล้ว ผลของทานนั่นแหละจะเป็นเสบียงติดตามเราไปเป็นที่พึงอันประเสริฐในโลกหน้าด้วยผลของทานนี้ไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดทำลายให้พินาศได้เพราะเป็นอริยทรัพย์คือทรัพย์ภายใน ส่วนทรัพย์ภายนอก เป็นทรัพย์ที่วิบัติได้มีความเปลี่ยนแปลงได้
ดังตัวอย่างการให้ทานของหญิงยากจนผู้หนึ่ง ซึ่งอาศัยชายคาของบ้านผู้อื่นเป็นที่พักผ่อนนอนหลับ นางเป็นลูกกำพร้าไม่มีญาติสนิทมิตรสหาย ต้องขอทานเลี้ยงชีวิตให้รอดไปในแต่ละวัน อยู่มาวันหนึ่ง พระมหากัสสปะสาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้เป็นเลิศกว่าภิกษุทั้งหลายในฝ่ายทางธุดงควัตร ท่านได้พิจารณาถึงบุคคลที่ควรจะมีโอกาสทำกุศลทานแก่ท่าน ท่านเห็นสมควรว่าจะสงเคราะห์หญิงยากจนผู้นี้ จึงถือบาตรเดินมุ่งไปยังที่อยู่ของนางโดยไม่หยุดรับอาหารบิณฑบาตจากผู้ใดเลย เมื่อไปถึงแล้วได้หยุดยืนอยู่ที่ชายคาบ้าน
หญิงยากจนนั้นเมื่อเห็นพระมหากัสสปะแล้วก็คิดว่า วันนี้มีพระมาโปรดถึงที่แต่ตนเองไม่มีอาหารจะถวาย นอกจากเศษข้าวตังที่ยังเหลืออยู่เพียงเล็กน้อยที่ได้ตากแดดไว้ ซึ่งไม่สมควรจะถวายแก่ผู้ทรงศีลอันบริสุทธิ์ นางจึงยกมือไหว้ทำความเคารพ แล้วกล่าวด้วยถ้อยคำสุภาพว่า นิมนต์พระคุณเจ้าได้โปรดไปข้างหน้าเถิด ดิฉันไม่มีอาหารถวายเลยเจ้าค่ะ เมื่อนางพูดจบ พระมหากัสสปะก็ยังไม่ยอมขยับกาย ยังคงยืนสงบนิ่งอยู่ ณ ที่นั้น
นางพิจารณาอาการของพระมหากัสสปะแล้ว ก็รู้ว่าท่านต้องการโปรดนางโดยเฉพาะ จึงได้นำข้าวตังทั้งหมดใส่ลงในบาตรของพระมหากัสสปะ เมื่อรับบาตรแล้วพระมหากัสสปะก็ปรารถนาจะให้นางเกิดความปีติโสมนัสยิ่งกว่านั้น จึงกล่าวว่า ท่านเคยเกิดเป็นมารดาของอาตมา ได้เคยให้ข้าวให้น้ำจนเจริญเติบโต มาบัดนี้ท่านยังได้ให้ทานด้วยข้าวด้วยน้ำแก่อาตมาอีก ผลของทานที่ได้กระทำแล้วในครั้งนี้ ขอให้เกิดขึ้นตอบสนองให้ได้รับความสุขความเจริญต่อไปในภายหน้า เมื่อพระมหากัสสะกล่าวจบแล้วท่านก็จากไป
ส่วนหญิงผู้ยากจนผู้นั้น เมื่อถวายทานแล้วได้มีจิตระลึกนึกถึงกุศลจนกระทั่งหลับไป พอตอนใกล้รุ่งก็เกิดโรคลมขึ้นมาโดยเฉียบพลัน นางสิ้นชีวิตแล้วไปเกิดในเทวโลกชั้นนิมมานรดี เป็นเทพที่มีแสงสว่างไสวไปทั่งสารทิศ มียศมาก มีอำนาจมาก มีเทพบุตรเทพธิดาเป็นบริวารล้อมรอบคอยบำรุงบำเรออยู่ทุกวันทุกคืน ได้เสวยสมบัติมีความสุข และมีอายุทิพย์ จากตัวอย่างที่นำมานี้เป็นเครื่องชี้ชัดว่า การให้ทานนั้น เป็นประโยชน์ยิ่งกว่าสิ่งใด เพราะปราศจากภยันตรายทั้งปวงบัณฑิตผู้มีปัญญาจึงเรียกทานกุศลนี้ว่า อนุคามินิธิ แปลว่าการให้ทานจะเป็นขุมทรัพย์ที่จะติดตามตนเองไปทุกภพภูมิต่างๆ
๓. การให้ทานเป็นการนำไปสู่พระนิพพาน
เพราะเป็นการสั่งสมบารมีเรียกว่า ทานบารมี เมื่อผู้ใดพิจารณาเห็นโทษของการเวียนว่ายตายเกิดโดยไม่มีการสิ้นสุด คือ ต้องเกิดแก่ เจ็บ ตาย เวียนว่ายตายเกิดอยู่อย่างนี้แล้ว เกิดเบื่อหน่ายด้วยปัญญาปรารถนาที่จะหลุดพ้นจากตัณหาไปสู่ความสุขอันสถาพร คือ พระนิพพาน จะต้องรู้ตามความเป็นจริง ตนเองจะต้องสั่งสมบารมีให้เต็มที่ จะเว้นจากข้อใดข้อหนึ่งไม่ได้โดยเฉพาะการบริจาคทาน
จะเห็นได้ว่าพระโพธิสัตว์ทุกพระองค์ที่ได้รับพุทธพยากรณ์เฉพาะพระพักตร์ว่า จะได้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าในอนาคตกาลอย่างแน่นอน (ที่เรียกว่า นิยตโพธิสัตว์) พระโพธิสัตว์เหล่านั้นจะต้องพิจารณาด้วยปัญญาว่าบารมีใดจะเป็นเหตุให้บรรลุพระสัพพัญญุตญาณ เป็นพระพุทธเจ้าในโลก และจะทราบทันทีว่า การบำเพ็ญทานเป็นบารมีแรกที่ควรกระทำให้เกิดขึ้นก่อนบารมีใดๆ เพื่อเป็นเครื่องเกื้อกูลแก่บารมีอื่น เพระว่าผลของทานย่อมเป็นที่ตั้งของโภคทรัพย์ทั้งหลาย ไม่ต้องวุ่นวายเดือดร้อนทำมาหากินอีกต่อไป และอำนาจของทานจะทำให้บารมีอื่นครบถ้วนต่อไป จนกว่าจะได้บรรลุเป็นพระพุทธเจ้าสมความปรารถนา
http://www.thaimisc.com/freewebboard/php/vreply.php?user=dokgaew&topic=10422
ใบโพธิ์
บัวบาน
เข้าร่วม: 02 มิ.ย. 2007
ตอบ: 307
ตอบเมื่อ: 13 ก.ค.2007, 8:03 pm
_________________
ทำความดีทุกๆ วัน
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:
แสดงทั้งหมด
1 วัน
7 วัน
2 สัปดาห์
1 เดือน
3 เดือน
6 เดือน
1 ปี
เรียงจากเก่า-ใหม่
เรียงจากใหม่-เก่า
:: ลานธรรมจักร ::
»
บทความธรรมะ
ไปที่:
เลือกกลุ่ม บอร์ด
กลุ่มสนทนา
----------------
สนทนาธรรมทั่วไป
แนะนำตัว
กฎแห่งกรรม
สมาธิ
ฝึกสติ
การสวดมนต์
การรักษาศีล-การบวช
ความรัก-ผูกพัน-พลัดพลาก
กลุ่มข่าวสาร-ติดต่อ
----------------
ข่าวประชาสัมพันธ์
ธรรมทาน
รูปภาพ-ประมวลภาพกิจกรรมต่างๆ
สำหรับนักเรียน นักศึกษา ขอความรู้ทำรายงาน
แจ้งปัญหา
รูปภาพในบอร์ด
กลุ่มสาระธรรม
----------------
หนังสือธรรมะ
บทความธรรมะ
นิทาน-การ์ตูน
กวีธรรม
นานาสาระ
ต้นไม้ในพุทธประวัติ
วิทยุธรรมะ
ศาสนสถานและศาสนพิธี
----------------
สถานที่ปฏิบัติธรรม
วัดและศาสนสถาน
พิธีกรรมทางศาสนา
พุทธศาสนบุคคล
----------------
พระพุทธเจ้า
ประวัติพระอสีติมหาสาวก
ประวัติเอตทัคคะ (ภิกษุณี, อุบาสก, อุบาสิกา)
สมเด็จพระสังฆราชไทย
ประวัติและปฏิปทาของครูบาอาจารย์
ในหลวงกับพระสุปฏิปันโน
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณ
ไม่สามารถ
สร้างหัวข้อใหม่
คุณ
ไม่สามารถ
พิมพ์ตอบ
คุณ
ไม่สามารถ
แก้ไขข้อความของคุณ
คุณ
ไม่สามารถ
ลบข้อความของคุณ
คุณ
ไม่สามารถ
ลงคะแนน
คุณ
สามารถ
แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ
สามารถ
ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้
เลือกบอร์ด •
กระดานสนทนา
•
สมาธิ
•
สติปัฏฐาน
•
กฎแห่งกรรม
•
นิทานธรรมะ
•
หนังสือธรรมะ
•
บทความ
•
กวีธรรม
•
สถานที่ปฏิบัติธรรม
•
ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ
•
วิทยุธรรมะ
•
เสียงธรรม
•
เสียงสวดมนต์
•
ประวัติพระพุทธเจ้า
•
ประวัติมหาสาวก
•
ประวัติเอตทัคคะ
•
ประวัติพระสงฆ์
•
ธรรมทาน
•
แจ้งปัญหา
จัดทำโดย กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ
webmaster@dhammajak.net
Powered by
phpBB
© 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
www.Stats.in.th