Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 พระเทพสังวรญาณ (หลวงตาพวง สุขินทริโย) อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
วีรยุทธ
บัวทอง
บัวทอง


เข้าร่วม: 24 มิ.ย. 2005
ตอบ: 1790
ที่อยู่ (จังหวัด): สกลนคร

ตอบตอบเมื่อ: 27 มิ.ย.2007, 7:20 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

Image

ประวัติและปฏิปทา
หลวงตาพวง สุขินทริโย


วัดศรีธรรมาราม
ต.ในเมือง อ.เมือง จ.ยโสธร



บทนำ
ชีวิตในเพศบรรชิต
ชีวประวัติ
1. ชาติภูมิ
2. ปฐมวัย
3. พบพระอาจารย์สอ สุมังคโล
4. ฝากตัวเป็นศิษย์หลวงปู่เสาร์ กันตสีโล
5. หลวงปู่เสาร์พาไปนครจำปาศักดิ์
6. หลวงปู่เสาร์มรณภาพ
7. เข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์
8. กลับบ้านเกิดครั้งแรก
9. อยากสึก
10. ไปพระธาตุพนมกับพระอาจารย์สิงห์ทอง
11. ไปอยู่กับหลวงปู่สิงห์และหลวงปู่ปิ่น
12. พบหลวงปู่มั่นครั้งแรก
13. เป็น “สุขินทริโยภิกขุ”
14. เป็นศิษย์หลวงปู่มั่น
15. นั่งสมาธิจนตัวลอย
16. พระภิกษุร่วมพรรษา
17. หลวงปู่มั่นมรณภาพ
18. อาพาธหนัก
19. ไปอยู่กับหลวงปู่ฝั้น
20. เหตุอัศจรรย์ที่ถ้ำเป็ด
21. บุกเบิกถ้ำขามกับหลวงปู่ฝั้น
22. ผจญฝูงควายที่จันทบุรี
23. กลับบ้านศรีฐาน
24. สร้างเจดีย์หลวงปู่ฟ้ามืด
25. ไปอยู่วัดศรีธรรมาราม
26. สร้างวัดป่าใหม่นิคมพัฒนาราม
27. ฝ้ายเจ็ดสีและวัตถุมงคล
28. หลวงพ่อคูณกล่าวถึงหลวงตาพวง
29. เดินข้ามแม่น้ำชี
อภินิหารพระครูฟ้ามืด
30. พระครูฟ้ามืด
31. การสร้างเจดีย์
32. เจดีย์ล้ม
33. ขุดค้นเจดีย์
34. สร้างเจดีย์องค์ใหม่
35. นิมิตก่อนงานฉลองเจดีย์
36. หลวงปู่พระครูฟ้ามืดเข้าประทับทรง
37. เข้าทรงครั้งที่ 2
38. พิธีจัดเครื่องสักการะ
39. ได้พระประธานองค์ใหม่
40. บันทึกเสียงไม่ติด
41. พิธีขุดใบเสมาที่วัดดงศิลาเลข
42. นอนหลับสนิทย่อมไม่มีนิมิตอะไร
43. กลองหมากแข้ง
44. โยมขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์
45. อาจารย์ทนห่วงใบเสมา
46. อาจารย์ทนติดตามดวงจิต
47. เปลี่ยนให้ลูกศิษย์ติดตามดวงจิต
48. จัดขบวนไปแห่อาจารย์ทน-อาจารย์เงียบตามคำอาราธนานิมนต์
49. อาจารย์ทนมอบศิษย์ให้กลับคืน
50. พระอาจารย์ทั้ง 2 ได้รับเครื่องไทยทาน
51. นายทองคำเรียนธรรมจากอาจารย์ทน
52. วันสงกรานต์
53. หมอธรรม (หมอผี) มาทดลองส่องธรรม (นั่งทางใน) ดูสมบัติ
54. อาจารย์ทนไม่หวั่นไหว
55. ข้อสันนิษฐาน
พระธรรมเทศนา
กัณฑ์ที่ 1 ศีล
กัณฑ์ที่ 2 ความสามัคคี
กัณฑ์ที่ 3 ความตาย
 

_________________
ท่านสามารถฟังวิทยุเสียงธรรมหลวงตามหาบัวได้ทั่วประเทศ
และโทรทัศน์ดาวเทียมเสียงธรรมทั้งภาพและเสียงได้แล้วที่
http://www.luangta.com
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
วีรยุทธ
บัวทอง
บัวทอง


เข้าร่วม: 24 มิ.ย. 2005
ตอบ: 1790
ที่อยู่ (จังหวัด): สกลนคร

ตอบตอบเมื่อ: 27 มิ.ย.2007, 7:22 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

พระเทพสังวรญาณ (หลวงตาพวง สุขินทริโย) เป็นพระเถระผู้ใหญ่ในสายกรรมฐานที่มีปฏิปทาและวัตรปฏิบัติงดงาม เป็นที่เลื่อมใสศรัทธาของพุทธศาสนิกชนทั่วไป ท่านเป็นลูกศิษย์ของทั้งหลวงปู่เสาร์ กันตสีโล และหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต เคยพำนักและร่วมบุกเบิกถ้ำขามกับหลวงปู่ฝั้น อาจาโร ขณะนี้ท่านดำรงตำแหน่งรองเจ้าคณะภาค 10 (ธรรมยุต) พำนักอยู่ที่วัดป่าใหม่นิคมพัฒนาราม (ก.ม. 17) ต.กระจาย อ.ป่าติ้ว จ.ยโสธร

บทนำ

เมื่อครั้งที่ผมไปบุกเบิกพัฒนาโรงพยาบาลลืออำนาจ อ.ลืออำนาจ จ.อำนาจเจริญ หลวงปู่หล้า เขมปัตโต แห่งภูจ้อก้อ ได้เมตตาเป็นองค์อุปถัมภ์โรงพยาบาล ในช่วงที่หลวงปู่หล้าอาพาธหนักก่อนจะมรณภาพนั้น ผมได้ขึ้นไปกราบท่านหลายครั้ง มีครั้งหนึ่งจำได้ว่าขณะที่กราบหลวงปู่หล้า ได้เห็นพระเถระผู้ใหญ่รูปหนึ่ง ผมสีขาวโพลน ผิวพรรณผุดผ่อง นั่งพับเพียบ สงบนิ่งอยู่ใกล้ๆ กับเตียงของหลวงปู่หล้า เกิดความรู้สึกประทับใจในพระเถระผู้ใหญ่รูปนี้เป็นอย่างยิ่ง รู้สึกสัมผัสได้ถึงความเมตตา สงบเย็นจากตัวท่าน แต่ก็ยังไม่ทราบว่าพระเถระผู้ใหญ่รูปนี้ท่านมีฉายาว่าอย่างไร มาจากไหน คงทราบแต่เพียงว่าเป็นพระเถระผู้ใหญ่ในสายพระกรรมฐาน

จนกระทั่งหลายปีผ่านไป ผมได้ย้ายไปทำงานในกระทรวงสาธารณสุข อ.เมือง จ.นนทบุรี มีโอกาสเดินทางไปประชุมที่โรงพยาบาลยโสธร อ.เมือง จ.ยโสธร จึงได้เห็นรูปของพระเถระผู้ใหญ่รูปนั้นติดอยู่ที่โรงพยาบาลและในที่สุดก็ทราบว่า ท่านคือพระเทพสังวรญาณ (พวง สุขินทริโย) เจ้าคณะจังหวัดยโสธรในขณะนั้นนั่นเอง จริงๆ แล้วผมเคยได้ยินฉายาของท่านมานาน ตั้งแต่ทำงานอยู่ที่จังหวัดอำนาจเจริญแล้ว เพียงแต่ไม่เคยเห็นตัวจริงของท่านสักที

หลังจากนั้นก็ได้มีโอกาสไปกราบท่านอีกหลายครั้ง และได้ทราบว่าท่านเป็นลูกศิษย์ของทั้งหลวงปู่เสาร์ กันตสีโล และหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต อีกทั้งยังเคยพำนักและร่วมบุกเบิกถ้ำขามกับหลวงปู่ฝั้น อาจาโร ซึ่งน้อยคนนักที่จะมีโอกาสได้เป็นลูกศิษย์ของพ่อแม่ครูอาจารย์ทั้งสองรูป จึงได้กราบเรียนขออนุญาตเพื่อเขียนประวัติของท่าน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแผ่ปฏิปทาและจริยาวัตรอันงดงามของพระเถระผู้ใหญ่ในสายกรรมฐาน เพื่อเป็นแบบอย่างแก่พุทธศาสนิกชนรุ่นหลังต่อไป

เนื้อหาในโฮมเพจนี้นำมาจากหนังสือ “สุขินทริยบูชา” ที่ได้จัดทำขึ้นเมื่อเดือนกรกฎาคม 2541 ซึ่งเนื้อหาในหนังสือได้รวบรวมมาจากการสัมภาษณ์หลวงตาพวง สุขินทริโย ทั้งที่วัดป่าใหม่นิคมพัฒนาราม อ.ป่าติ้ว จ.ยโสธร และเมื่อท่านมาพำนักที่วัดนรนารถ กรุงเทพมหานคร โดยนำเค้าโครงบางส่วนจากหนังสือโลกทิพย์ ส่วนที่สองเป็นประสบการณ์ที่หลวงตาพวงท่านบันทึกไว้เองในช่วงจำพรรษาอยู่ที่วัดศรีฐานใน ส่วนที่สามเป็นพระธรรมเทศนาของท่านที่เคยจัดพิมพ์มาก่อนโดยคณะศิษยานุศิษย์

ท้ายที่นี้สุดขอขอบพระคุณ คุณฐิติมา ศรีวัฒนกุล ที่ช่วยจัดทำโฮมเพจ หากท่านผู้ใดประสงค์จะนำไปพิมพ์เผยแผ่เป็นธรรมทาน กรุณาพิมพ์ได้ตามความประสงค์โดยมิต้องขออนุญาตแต่อย่างใด แต่หากพิมพ์เพื่อจำหน่ายขอสงวนลิขสิทธิ์

พงศธร พอกเพิ่มดี
Pongsadhorn@yahoo.com
 

_________________
ท่านสามารถฟังวิทยุเสียงธรรมหลวงตามหาบัวได้ทั่วประเทศ
และโทรทัศน์ดาวเทียมเสียงธรรมทั้งภาพและเสียงได้แล้วที่
http://www.luangta.com
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
วีรยุทธ
บัวทอง
บัวทอง


เข้าร่วม: 24 มิ.ย. 2005
ตอบ: 1790
ที่อยู่ (จังหวัด): สกลนคร

ตอบตอบเมื่อ: 27 มิ.ย.2007, 7:24 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ชีวิตในเพศบรรพชิต

พรรษาที่ 1 (พ.ศ. 2491) อุปสมบท ณ โบสถ์น้ำ วัดป่าบ้านหนองโดก ต.ช้างมิ่ง อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร โดยมีพระธรรมเจดีย์ (จูม พันธุโล) เป็นพระอุปัชฌาย์, พระอาจารย์อ่อน ญาณสิริ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระอาจารย์ฝั้น อาจาโร เป็นอนุสาวนาจารย์ หลังจากอุปสมบทแล้ว ไปจำพรรษาที่วัดป่าท่าสองคอน ต.พรรณา อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร

พรรษาที่ 2 (พ.ศ. 2492) ย้ายไปจำพรรษาร่วมกับหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ที่วัดป่าบ้านหนองผือ ต.นาใน อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร ซึ่งเป็นพรรษาสุดท้ายของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต

พรรษาที่ 3 (พ.ศ. 2493) หลังจากหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต มรณภาพ และเสร็จงานพระราชทานเพลิงศพหลวงปู่มั่นแล้ว ไปจำพรรษากับหลวงปู่ฝั้น อาจาโร ที่วัดป่าภูธรพิทักษ์ธาตุนาเวง อ.เมือง จ.สกลนคร

พรรษาที่ 4-5 (พ.ศ. 2594-2495) จำพรรษาที่วัดป่าภูธรพิทักษ์ธาตุนาเวง อ.เมือง จ.สกลนคร ร่วมกับหลวงปู่ฝั้น อาจาโร

พรรษาที่ 6 (พ.ศ. 2496) หลวงปู่ฝั้น อาจาโร เกิดนิมิตระหว่างนั่งสมาธิในกลางพรรษาว่าเห็นถ้ำที่สว่างไสว เหมาะแก่การปฏิบัติ จึงได้ไปค้นหาจนพบถ้ำขาม แล้วได้บุกเบิกจนเป็นวัดถ้ำขาม อ.พรรณานิคม จ.สกลนครในปัจจุบัน ในพรรษานั้น หลวงตาพวง สุขินทริโยได้ไปบุกเบิกถ้ำขามและจำพรรษาที่นั่น

พรรษาที่ 7-8 (พ.ศ. 2497-2498) กลับมาจำพรรษาที่วัดป่าภูธรพิทักษ์ธาตุนาเวง อ.เมือง จ.สกลนคร

พรรษาที่ 9 (พ.ศ. 2499) กลับบ้านศรีฐาน อ.ป่าติ้ว จ.อุบลราชธานี ซึ่งเป็นบ้านเกิด เพราะโยมบิดาเสียชีวิต ประกอบกับพระอาจารย์บุญช่วย ซึ่งเป็นเจ้าอาวาสวัดศรีฐานในใน ที่เคยเป็นพระอาจารย์สมัยบวชเป็นเณร เกิดอาพาธ จึงอยู่ดูแลรับใช้ปรนนิบัติ

พรรษาที่ 10 (พ.ศ. 2500) พระอาจารย์บุญช่วย ธัมวโร เจ้าอาวาสวัดศรีฐานใน อ.ป่าติ้ว จ.อุบลราชธานี มรณภาพ ไม่มีพระภิกษุดูแลวัด ชาวบ้านจึงนิมนต์ให้รักษาการเจ้าอาวาสวัดศรีฐานในใน เพื่อดูแลวัด

พรรษาที่ 11 (พ.ศ. 2501) ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสวัดศรีฐานในในอย่างเป็นทางการ

พรรษาที่ 12-18 (พ.ศ. 2502-2508) จำพรรษาที่วัดศรีฐานใน บูรณะปฏิสังขรณ์วัดศรีฐานในจนมีความเจริญรุ่งเรือง

พรรษาที่ 19 (พ.ศ. 2509) ได้รับแต่งตั้งเป็นพระครูฐานานุกรม ในราชทินนามที่ พระครูใบฎีกา พวง สุขินทริโย

พรรษาที่ 20 (พ.ศ. 2510) จำพรรษาที่วัดศรีฐานใน อ.ป่าติ้ว จ.อุบลราชธานี

พรรษาที่ 21 (พ.ศ. 2511) เนื่องจากวัดศรีธรรมาราม อ.ยโสธร จ.อุบลาชธานี ไม่มีเจ้าอาวาส เจ้าคณะจังหวัดและชาวบ้านไปนิมนต์ให้มาเป็นเจ้าอาวาส จึงได้ย้ายมาจำพรรษาที่วัดศรีธรรมาราม อ.ยโสธร จ.อุบลราชธานี

พรรษาที่ 22 (พ.ศ. 2512) ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าคณะตำบลในเมือง อ.ยโสธร

พรรษาที่ 23 (พ.ศ. 2513) ได้รับแต่งตั้งเป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นตรี ในราชทินนามที่ พระครูอมรวิสุทธิ์

พรรษาที่ 24 (พ.ศ. 2514) พัฒนาวัดศรีธรรมาราม อ.ยโสธร จ.อุบลราชธานี

พรรษาที่ 25 (พ.ศ. 2515) อ.ยโสธร จ.อุบลราชธานี ยกฐานะเป็นจังหวัด ได้รับแต่งตั้งให้รักษาการในตำแหน่งเจ้าคณะจังหวัดยโสธร (โดยไม่ได้เป็นเจ้าคณะอำเภอมาก่อน)

พรรษาที่ 26 (พ.ศ. 2516) ได้รับแต่งตั้งเป็นพระราชาคณะชั้นสามัญ ในราชทินนามที่ พระสุนทรธรรมภาณ และได้รับตำแหน่งเป็นเจ้าคณะจังหวัดยโสธรอย่างเป็นทางการ

พรรษาที่ 27-33 (พ.ศ. 2516-2523) จำพรรษาที่วัดศรีธรรมาราม อ.เมือง จ.ยโสธร

พรรษาที่ 34 (พ.ศ. 2524) หลังจากบูรณะซ่อมแซมพระอุโบสถวัดศรีธรรมาราม อ.เมือง จ.ยโสธร เสร็จเรียบร้อย ได้ย้ายไปจำพรรษาที่วัด กม.3 ต.ตาดทอง อ.เมือง จ.ยโสธร

พรรษาที่ 35-46 (พ.ศ. 2525-2536) กลับมาจำพรรษาที่วัดศรีธรรมาราม อ.เมือง จ.ยโสธร โดยตลอด พัฒนาวัดศรีธรรมารามจนเจริญก้าวหน้าและได้รับจนได้รับยกย่องให้เป็นวัดพัฒนาตัวอย่างในปี พ.ศ. 2528 และยกระดับเป็นพระอารามหลวง ในปี พ.ศ. 2532

พรรษาที่ 47 (พ.ศ. 2537) ได้รับการแต่งตั้งเป็นพระราชาคณะชั้นราช ในราชทินนามที่ พระราชธรรมสุธี และได้รับพระราชทานธรรมจักรทองคำจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ในปี พ.ศ. 2537

พรรษาที่ 51 (พ.ศ. 2541) ได้รับแต่งตั้งเป็นรองเจ้าคณะภาค 10 (ธรรมยุต)

พรรษาที่ 54 (พ.ศ. 2544) ได้รับการแต่งตั้งเป็นพระราชาคณะชั้นเทพ ในราชทินนามที่ พระเทพสังวรญาณ

พรรษาที่ 52-ปัจจุบัน (พ.ศ. 2542-ปัจจุบัน) สร้างวัดป่าใหม่นิคมพัฒนาราม บ้านนิคม ต.กระจาย อ.ป่าติ้ว จ.ยโสธร และจำพรรษาอยู่ที่นี่จนถึงปัจจุบัน
 

_________________
ท่านสามารถฟังวิทยุเสียงธรรมหลวงตามหาบัวได้ทั่วประเทศ
และโทรทัศน์ดาวเทียมเสียงธรรมทั้งภาพและเสียงได้แล้วที่
http://www.luangta.com
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
วีรยุทธ
บัวทอง
บัวทอง


เข้าร่วม: 24 มิ.ย. 2005
ตอบ: 1790
ที่อยู่ (จังหวัด): สกลนคร

ตอบตอบเมื่อ: 27 มิ.ย.2007, 7:25 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

Image
หลวงตาพวง สุขินทริโย


ชีวประวัติ

1. ชาติภูมิ

หลวงตาพวง สุขินทริโย ถือกำเนิดที่บ้านศรีฐาน ต.ศรีฐาน อ.ป่าติ้ว จ.ยโสธร ซึ่งเดิมคือ ต.กระจาย อ.คำเขื่อนแก้ว จ.อุบลราชธานี เมื่อวันศุกร์ที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2470 ตรงกับวันขึ้น 6 ค่ำ เดือน 6 ปีเถาะ มีนามเดิมว่า พวง ลุล่วง เป็นบุตรคนที่ 4 ของนายเนียม และนางบัพพา ลุล่วง มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันทั้งหมด 6 คน เป็นชาย 3 คนและหญิง 3 คน ดังต่อไปนี้

1) นายจันทา ลุล่วง
อดีตกำนันตำบลกระจาย อ.ป่าติ้ว จ.ยโสธร (ถึงแก่กรรมแล้ว)
2) นางผา ละม่อม (ถึงแก่กรรมแล้ว)
3) นางสา วันเที่ยง (ถึงแก่กรรมแล้ว)
4) หลวงตาพวง สุขินทริโย
5) หลวงปู่สรวง สิริปุญโญ
เจ้าอาวาสวัดป่าศรีฐานใน ต.ศรีฐาน อ.ป่าติ้ว จ.ยโสธร
6) นางจำปา ป้องกัน

ต้นตระกูลเดิมของหลวงตาพวง สุขินทริโย เป็นชาวนา นับถือศาสนาพุทธมาแต่ดั้งเดิม โยมบิดา มารดามีศรัทธาในพระพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่ง ทำบุญตักบาตรหรือถวายภัตตาหารเป็นประจำทุกวันไม่ได้ขาด ยึดมั่นในขนบธรรมเนียมประเพณีมาโดยตลอด มีบุตรชายก็ต้องให้บวชพระเสียก่อนทุกคน ทั้งหลวงตาและน้องชายคือหลวงปู่สรวง สิริปุญโญ หลังจากบวชตามประเพณีแล้วได้มีศรัทธาในพระพุทธศาสนา จึงครองสมณเพศมาจนถึงปัจจุบัน

สภาพความเป็นอยู่ของบ้านศรีฐานในสมัยนั้น ชาวบ้านส่วนใหญ่ยึดอาชีพทำนาเป็นหลัก ไม่ได้ทำไร่มันสำปะหลังหรือปลูกปอเช่นในปัจจุบัน ในสมัยก่อนชีวิตความเป็นอยู่ค่อนข้างดี มีสัตว์ป่า ป่าไม้ พืชพรรณ ธัญญาหาร อุดมสมบูรณ์ นอกจากนั้นชาวบ้านศรีฐาน ยังมีอาชีพการทำหมอนขิด ที่มีชื่อเสียง ส่งออกขายทั่วประเทศ เป็นรายได้เสริมอีกทางหนึ่ง

ครอบครัวของหลวงตาถือได้ว่าอยู่ในระดับปานกลาง มีความเป็นอยู่สบาย ไม่เดือดร้อน มีอาชีพทำนาเป็นหลัก มีนาอยู่ 3 แปลง แต่จำไม่ได้ว่ามีแปลงละกี่ไร่ โดยมีลูกๆ ช่วยกันทำนา นอกจากนั้นก็เลี้ยงวัวเลี้ยงควายตามวิถีชีวิตดั้งเดิมของคนในชนบท หลวงตาเองก็ได้ช่วยบิดามารดา ทำนามาตั้งแต่เด็กๆ และหากมีเวลาว่างก็จะนำวัวควายออกไปเลี้ยงเป็นประจำเพื่อแบ่งเบาภาระของโยมบิดามารดา

2. ปฐมวัย

บิดามารดาของท่านมีศรัทธาในพระพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่ง ทำบุญตักบาตร ถวายภัตตาหารเพลทุกวันมิได้ขาด ในวัยเด็กของหลวงตาพวง สุขินทริโย ติดตามบิดามารดาเข้าวัดเป็นประจำ ทำบุญตักบาตรทุกเช้า หรือไม่ก็นำอาหารไปถวายพระที่วัดแทนบิดามารดา ชีวิตมีความผูกพันกับวัดมาตั้งแต่เล็กๆ ได้เห็นการดำรงสมณเพศของภิกษุสามเณรในวัดที่มีความสงบ สำรวม จริยาวัตรที่งดงาม จึงเกิดความเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนาตั้งแต่วัยเยาว์

เมื่อ ด.ช.พวง ลุล่วง อายุครบเกณฑ์ บิดามารดาก็ส่งเข้าเรียนชั้นปฐมศึกษาภาคบังคับที่โรงเรียนประชาบาลในหมู่บ้านศรีฐานนั่นเอง ช่วงเวลาที่ว่างจากการเรียน และช่วยเหลือกิจการงานของครอบครัว ด.ช.พวง มักจะไปเที่ยวเล่นในวัดใกล้ๆ กับโรงเรียน ผิดวิสัยกับเด็กทั่วไป ช่วยพระเณร ปัดกวาดเช็ดถู กุฏิศาลา หรือช่วยกิจการงานต่างๆ เช่น ล้างถ้วย ล้างชาม ในวัดศรีฐานใน เป็นประจำ ด้วยอุปนิสัยใจคอของ ด.ช.พวง ลุล่วง ที่มีนิสัยขยันขันแข็ง ไม่เกียจคร้าน ว่านอนสอนง่าย อยู่ในโอวาทของบิดามารดา ครูอาจารย์ จึงเป็นที่รักและเอ็นดูของบิดามารดา ครูบาอาจารย์ และพระเณรในวัดเป็นอย่างมาก

3. พบพระอาจารย์สอ สุมังคโล

ชีวิตของ ด.ช.พวง ลุล่วง ในช่วงวัยเยาว์ ได้แวะเวียนมาช่วยพระเณรในวัดศรีฐานใน เป็นประจำ บางครั้งก็พักค้างคืนที่วัด บิดามารดาเห็นว่าบุตรชายของตนมีความสนใจในพระพุทธศาสนา ก็ส่งเสริมโดยมิได้ห้ามปรามแต่อย่างใด เด็กชายพวงได้พบกับ

พระอาจารย์สอ สุมังคโล พระลูกวัดในวัดศรีฐานใน มีอายุเพียง 26 ปี แม้จะบวชได้เพียง 6 พรรษา แต่พระอาจารย์สอ สุมังคโล เป็นพระที่เคร่งครัดในพระวินัย มีความรู้แตกฉานทั้งทางด้านปริยัติและมีวัตรปฏิบัติที่เข้มงวด เคารพครูบาอาจารย์ มีจิตใจแน่วแน่ในการปฏิบัติธรรมเพื่อหลุดพ้นและตั้งใจอบรมสั่งสอนอุบาสกอุบาสิกา จนเป็นที่นับถือของคนทั่วไป

พระอาจารย์สอ สุมังคโล ได้เห็นถึงความสนใจในพระพุทธศาสนาของเด็กชายพวง ลุล่วง นอกจากนั้นท่านยังได้เห็นแววของเด็กชายพวง ลุล่วงว่าเป็นเด็กที่ว่านอนสอนง่าย เชื่อฟัง และปฏิบัติตามคำแนะนำสั่งสอนได้เป็นอย่างดี เห็นทีจะมีวาสนา บารมี สั่งสมมาแต่ชาติปางก่อน จึงเมตตาอบรมสั่งสอนให้รู้หลักในการปฏิบัติต่อครูบาอาจารย์ สอนให้สวดมนต์ นั่งวิปัสสนากรรมฐาน จนกระทั่งเด็กชายพวง สามารถสวดมนต์ ทำวัตรเช้า-เย็น ได้ตั้งแต่ยังไม่บวชเณรเสียอีก

ในช่วงเวลานั้นเองที่พระอาจารย์สอ กำลังจะไปศึกษาปฏิบัติธรรมกับหลวงปู่เสาร์ กันตสีโล พระอาจารย์องค์สำคัญในสายวิปัสสนากรรมฐาน และเป็นอาจารย์ของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ขณะนั้นหลวงปู่เสาร์ จำพรรษาอยู่ที่วัดดอนธาตุ ซึ่งเป็นวัดบนเกาะกลางลำน้ำมูล ในอำเภอพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี พระอาจารย์สอต้องการคนติดตามไปอุปัฎฐากในระหว่างการเดินทาง เพราะโดยปกติแล้วพระสายกรรมฐาน ไม่สามารถถือเงินได้ ท่านจึงได้เอ่ยปากขอกับพ่อเนียม บิดาของ ด.ช.พวง เพื่อให้ ด.ช.พวงติดตามไปรับใช้ในช่วงที่จะธุดงค์ ไปปฏิบัติธรรมกับหลวงปู่เสาร์

ด.ช.พวง ลุล่วง ในวัย 14 ปี จบชั้นประถมศึกษาภาคบังคับพอดี ยังไม่มีภาระหน้าที่อะไรที่สำคัญนอกจากช่วยงานที่บ้าน พ่อเนียมจึงกลับมาถามว่าอยากไปธุดงค์รับใช้ปรนนิบัติพระอาจารย์สอหรือไม่ ด.ช.พวง ทราบความประสงค์ของพระอาจารย์สอ และด้วยความอยากจะไปดูความเจริญในจังหวัดอุบลราชธานี จึงตัดสินใจติดตามพระอาจารย์สอในการเดินทางไปปฏิบัติธรรมร่วมกับหลวงปู่เสาร์ในทันทีโดยมิได้ลังเล

4. ฝากตัวเป็นศิษย์หลวงปู่เสาร์ กันตสีโล

หลังจากที่ได้รับอนุญาตจากบิดามารดา ให้ติดตามปรนนิบัติรับใช้พระอาจารย์สอ สุมังคโล แล้ว การออกธุดงค์ติดตามพระอาจารย์สอก็เริ่มต้นขึ้น ด้วยการเดินทางจาก อ.คำเขื่อนแก้ว (ในสมัยนั้น) ไปยัง อ.พิบูลมังสาหาร จ.อุบลราชธานี โดยมีจุดหมายปลายทาง คือการปฏิบัติธรรมร่วมกับหลวงปู่เสาร์ กันตสีโล

ในสมัยนั้นยังไม่มีรถประจำทางต้องอาศัยรถของกรมทางหลวงไปลงที่ อ.อำนาจเจริญ เพื่อขึ้นรถประจำทางไปยังตัวเมืองอุบลราชธานี แวะพำนักที่วัดบูรพารามในเมืองอุบลราชธานี หลังจากนั้นก็ลงเรือไฟต่อไปยัง อ.พิบูลมังสาหาร แวะพักที่วัดภูเขาแก้ว รุ่งเช้าข้ามลำน้ำมูลไปวัดดอนธาตุ ใช้เวลาการเดินทางกว่า 3 วันกว่าจะถึงวัดของหลวงปู่เสาร์ ต้องผ่านเส้นทางที่ทุรกันดารเต็มไปด้วยอุปสรรคและความลำบาก แต่ด้วยจิตใจที่มีความเด็ดเดี่ยวมุ่งมั่น ไม่ย่อท้ออุปสรรค และด้วยบุญบารมีที่สะสมมาตั้งแต่อดีตชาติ การออกเดินธุดงค์ในครั้งนี้จึงนับว่าเป็นการสร้างความเข้มแข็งในจิตใจให้กับเด็กชายพวง ลุล่วงมากขึ้นไปอีก

เมื่อเดินทางร่วมกับพระอาจารย์สอ สุมังคโล มาถึงวัดดอนธาตุ ซึ่งเป็นวัดที่หลวงปู่เสาร์ได้สร้างขึ้น และจำพรรษาเป็นวัดสุดท้ายในบั้นปลายชีวิตของท่าน วัดแห่งนี้ตั้งอยู่บนเกาะอยู่กลางลำน้ำมูลใน อ.พิบูลมังสาหาร ไม่มีสะพาน มีน้ำล้อมรอบทุกทิศทาง การเดินทางจะต้องไปโดยเรือเท่านั้น มีภูมิประเทศที่เป็นสัปปายะ เหมาะแก่การปฏิบัติธรรมเป็นอย่างยิ่ง พระอาจารย์สอ สุมังคโล ก็ได้พาไปฝากตัวเป็นศิษย์หลวงปู่เสาร์ เพื่อเรียนรู้ข้อวัตรปฏิบัติต่างๆ อันเป็นพื้นฐานของการปฏิบัติในเวลาต่อมา

หลวงตาเล่าให้ฟังว่า “หลวงปู่เสาร์มีอุปนิสัยไม่ค่อยพูด ชอบสันโดษ ท่านจะเทศน์สั่งสอนเมื่อจำเป็น ในช่วงที่หลวงตาอยู่กับท่านนั้น สุขภาพของท่านไม่ค่อยแข็งแรง การอบรมสั่งสอนญาติโยม ตลอดจนพระเณรต่างๆ ท่านได้มอบให้หลวงพ่อดี ฉันโน ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของท่าน (ปัจจุบันมรณภาพแล้ว) ให้อบรมสั่งสอนแทน”

หลวงปู่เสาร์เป็นพระอาจารย์ของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ในการออกธุดงค์ช่วงแรกๆ ของหลวงปู่มั่น ท่านทั้งสองมักจะออกธุดงค์ไปด้วยกัน ตามจังหวัดต่างๆ แถบภาคอีสาน ท่านชอบไปไหนมาไหนด้วยกันทั้งในและนอกพรรษา พอถึงช่วงกลางอายุของท่าน เวลาจำพรรษามักแยกกันอยู่ แต่ไม่ห่างไกลกันนัก เพราะต่างฝ่ายต่างมีลูกศิษย์จำนวนมาก จำเป็นต้องแยกกันอยู่เพื่อให้มีที่อยู่อาศัยอย่างเพียงพอ

พระอาจารย์มหาบัว ญาณสัมปันโน ได้บันทึกคำบอกเล่าของพระอาจารย์มั่นเกี่ยวกับพระอาจารย์เสาร์ ในหนังสือประวัติพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตะเถระ ไว้น่าสนใจว่า เดิมหลวงปู่เสาร์ ปรารถนาเป็นพระปัจเจกพระพุทธเจ้า เวลาออกบำเพ็ญ พอเร่งความเพียรเข้ามากๆ ในรู้สึกประหวัดๆ ถึงความปรารถนาเดิมเพื่อเป็นพระปัจเจกพระพุทธเจ้า แสดงออกเป็นเชิงอาลัยเสียดาย ไม่อยากไปนิพพาน

ท่านเห็นว่าเป็นอุปสรรคต่อความเพียรเพื่อความรู้แจ้งซึ่งพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้ ท่านเลยอธิษฐาน ของดจากความปรารถนานั้น และขอประมวลมาเพื่อความรู้แจ้งซึ่งพระนิพพานในชาตินี้ ไม่ขอเกิดมารับความทุกข์ทรมานในภพชาติต่างๆ อีกต่อไป พอท่านปล่อยวางความปรารถนาเดิมแล้ว การบำเพ็ญเพียรรู้สึกสะดวกและเห็นผลไปโดยลำดับ ไม่มีอารมณ์เครื่องเกาะเกี่ยวเหมือนแต่ก่อน สุดท้ายท่านบรรลุถึงแดนแห่งความเกษมดังใจหมาย

แต่การแนะนำสั่งสอนผู้อื่น ท่านไม่ค่อยมีความรู้แตกฉานกว้างขวางนัก ทั้งนี้อาจเป็นไปตามภูมินิสัยเดิมของท่านที่มุ่งเป็นพระปัจเจกพระพุทธเจ้า ซึ่งตรัสรู้เองชอบ แต่ไม่สนใจสั่งสอนใครก็ได้ นอกจากนั้นท่านยังไม่ชอบพูด ชอบเทศน์ เวลาจำเป็นต้องเทศน์ ท่านก็เทศน์เพียงหนึ่งหรือสองประโยคเท่านั้น แล้วก็ลงธรรมาสน์ไป ประโยคที่ท่านเทศน์ซึ่งพอจับใจความได้ว่า “ให้พากันละบาปและบำเพ็ญบุญ อย่าให้เสียลมหายใจไปเปล่า ที่ได้มีวาสนาเกิดมาเป็นมนุษย์” และ “เราเกิดเป็นมนุษย์ มีความสูงศักดิ์มาก แต่อย่านำเรื่องของสัตว์มาประพฤติ มนุษย์ของเราจะต่ำลงกว่าสัตว์ และจะเลวกว่าสัตว์อีกมาก เวลาตกนรกจะตกหลุมที่ร้อนกว่าสัตว์มากมาย อย่าพากันทำ” แล้วก็ลงธรรมาสน์ไปกุฏิ ไม่สนใจกับใครอีกต่อไป

ลักษณะท่าทางของหลวงปู่เสาร์ กันตสีโล มีความสง่าผ่าเผยน่าเคารพเลื่อมใสมาก ผู้ที่พบเห็นจะเกิดความรู้สึกสบายใจ เย็นใจ ไปหลายวัน ประชาชนและพระเณรเคารพเลื่อมใสท่านมาก ท่านก็มีลูกศิษย์มากมายเหมือนหลวงปู่มั่น ด.ช.พวง ลุล่วง มีโอกาสเป็นศิษย์ของหลวงปู่เสาร์ ในช่วงที่ติดตามพระอาจารย์สอ สุมังคโล ในครั้งนี้เช่นกัน
 

_________________
ท่านสามารถฟังวิทยุเสียงธรรมหลวงตามหาบัวได้ทั่วประเทศ
และโทรทัศน์ดาวเทียมเสียงธรรมทั้งภาพและเสียงได้แล้วที่
http://www.luangta.com
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
วีรยุทธ
บัวทอง
บัวทอง


เข้าร่วม: 24 มิ.ย. 2005
ตอบ: 1790
ที่อยู่ (จังหวัด): สกลนคร

ตอบตอบเมื่อ: 27 มิ.ย.2007, 7:25 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

Image
หลวงปู่เสาร์ กันตสีโล


5. หลวงปู่เสาร์พาไปนครจำปาศักดิ์

ระหว่างที่ ด.ช.พวง ลุล่วง ได้พำนักอาศัยอยู่กับหลวงปู่เสาร์ กันตสีโล นั้น เป็นช่วงที่หลวงปู่เสาร์มีพรรษามาก สุขภาพไม่ค่อยแข็งแรง แต่ด้วยความกตัญญูต่อครูบาอาจารย์ของหลวงปู่เสาร์ ท่านตั้งใจจะไปกราบอัฐิและบำเพ็ญกุศลให้กับอุปัชฌาย์ของท่าน

อุปัชฌาย์ของหลวงปู่เสาร์เป็นชาวลาว แต่ได้มาเรียนหนังสือและพำนักอยู่ที่ จังหวัดอุบลราชธานี ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง และได้บวชให้หลวงปู่เสาร์ หลังจากนั้นท่านได้กลับไปจำพรรษาบ้านเดิมของท่านที่อำเภอท่าเปลือย แขวงจำปาศักดิ์ ประเทศลาว และไม่ได้ติดต่อหรือไปมาหาสู่กัน เพราะเป็นช่วงที่สถานการณ์บ้านเมืองในเวลานั้นไม่ปกติ ไม่สามารถข้ามฝั่งไปมาหาสู่กันได้เช่นเดิม จวบจนพระอุปัชฌาย์มรณภาพ หลวงปู่เสาร์ก็ไม่ได้มีโอกาสได้ไปทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้กับอาจารย์ของท่าน จนกระทั่งสถานการณ์บ้านเมืองดีขึ้น ประเทศไทยได้แขวงนครจำปาศักดิ์มาเป็นของไทย มีข้าราชการตลอดจนทหารเข้าไปดูแล มีการคมนาคมไปมาหาสู่กันตลอด หลวงปู่เสาร์จึงปรารถนาที่จะไปกราบอัฐิและทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้อุปัชฌาย์ เพื่อแสดงความกตัญญูกตเวที

พระอาจารย์สอ สุมังคโล พร้อมด้วย ด.ช.พวง ลุล่วง จึงขอติดตามคณะหลวงปู่เสาร์ไปนครจำปาศักดิ์ในครั้งนี้ด้วย คณะติดตามประกอบด้วย พระเณรและลูกศิษย์จำนวน 13 คน คือ พระอาจารย์ดี ฉันโน พระอาจารย์กอง พระอาจารย์กงแก้ว ขันติโก (ขณะนี้จำพรรษาอยู่ที่วัดป่าหนองสูง จังหวัดมุกดาหาร) พระอาจารย์สอ สุมังคโล พระอาจารย์บัวพา พระอาจารย์บุญมี พระละมัย สามเณรพรหมา และลูกศิษย์อีก 5 คน ซึ่งรวมทั้ง ด.ช.พวง ลุล่วง ในปัจจุบันยังมีชีวิตอยู่เพียง 3 ท่าน ได้แก่ หลวงตาพวง หลวงปู่บุญมี ซึ่งขณะนี้อยู่ที่จังหวัดกาฬสินธุ์ และอีกคนหนึ่งเป็นโยมชื่อบุญมี ขณะนี้อยู่ที่จังหวัดสงขลา

หลวงปู่เสาร์ได้พาคณะออกเดินทางจากวัดดอนธาตุ ไปทางช่องเม็ก อำเภอพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี โดยรถประจำทาง ถนนหนทางสมัยนั้นยังไม่ดีนัก รถยนต์ต้องวิ่งไต่ตามตลิ่งริมแม่น้ำโขง ส่วนอีกฝั่งจะเป็นภูเขาที่เรียกว่า ภูมะโรง หนทางเต็มไปด้วยความทุรกันดารยากลำบาก

เมื่อถึงนครนครจำปาศักดิ์ คณะได้พักอยู่ที่วัดศิริอำมาตย์ และได้เดินทางต่อโดยเรือไฟล่องลงตามแม่น้ำโขง ไปยังเกาะดอนเจดีย์ที่ตั้งอยู่กลางแม่น้ำโขง โดยใช้เวลาทั้งวัน เกาะดอนเจดีย์เป็นเกาะใหญ่อยู่กลางแม่น้ำโขง มีชาวบ้านอาศัยอยู่ถึง 2 หมู่บ้าน มีวัดที่อุปัชฌาย์ของพระอาจารย์เสาร์จำพรรษาอยู่และมรณภาพที่นั่น

เมื่อเดินทางไปถึงก็พบเจดีย์เล็กๆ อันเป็นที่เก็บอัฐิของอุปัชฌาย์ มีพื้นที่ประมาณ 20 ตารางเมตร ตั้งอยู่กลางทุ่งนาห่างจากวัดประมาณ 200 เมตร หลวงปู่เสาร์ก็ได้พาญาติโยมแถบนั้นมาร่วมทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้อุปัชฌาย์ของท่านสมดังเจตนา ท่านและคณะพำนักอยู่ที่เกาะดอนเจดีย์ประมาณหนึ่งสัปดาห์ หลวงปู่เสาร์ก็ได้พาคณะออกเดินทางต่อโดยนั่งเรือแจวขนาดนั่งได้ 6-7 คน มีฝีพายสองคนอยู่หัวเรือและท้ายเรือ ขนสัมภาระต่างๆ ลงเรือหลายลำ พาล่องแม่น้ำโขงไปยังแก่งหลี่ผี ซึ่งเป็นสถานที่ที่อยู่กลางแม่น้ำโขง มีลักษณะเหมือนภูเขาลูกหนึ่งขวางกั้นแม่น้ำโขง แม่น้ำทั้งสายไหลข้ามภูเขาไปด้านหลังตกลงเป็นน้ำตกขนาดความสูง 30-40 เมตร มีเกาะแก่งเป็นร้อยๆ แห่ง ชาวบ้านเรียกว่าหลี่ผี ซึ่งแปลว่าที่ดักปลาของภูติผี บริเวณดังกล่าวเวลาพูดอะไรจะไม่ได้ยินเพราะเสียงน้ำตกดังมาก ถ้าหากจะพูดกันต้องพูดกันใกล้ๆ จึงจะได้ยิน

สมัยที่ฝรั่งเศสปกครองนั้น ยังไม่มีถนนหนทางที่สะดวกและไม่สามารถเดินทางผ่านประเทศไทยได้ การคมนาคมติดต่อจะต้องขนของหรือสัมภาระโดยเรือใหญ่จากประเทศกัมพูชามาจอดที่ท่าเรือหลี่ผี แล้วจะต้องใช้รถไฟขนถ่ายสัมภาระต่อไปยังแขวงสุวรรณเขตหรือปากเซ มีรถไฟอยู่สองขบวนสำหรับส่งของ ส่วนรถยนต์ไม่ค่อยมี มีแต่สามล้อ สำหรับโดยสาร

ขณะนั้นหลวงปู่เสาร์มีอายุได้ 82 ปี สุขภาพไม่แข็งแรงอยู่แล้ว เริ่มอาพาธมากขึ้น มีอาการเหนื่อย ฉันอาหารไม่ได้ คณะลูกศิษย์จึงได้พาท่านกลับมายังอำเภอท่าเปลือย ซึ่งมีแพทย์ไทยรวมทั้งอุปกรณ์การแพทย์ที่พร้อมกว่า

เมื่อถึงอำเภอท่าเปลือย หลวงปู่เสาร์ก็ได้มอบหมายให้พระอาจารย์ดี ฉนโน เป็นผู้ไปจัดหาสถานที่ปักกลดบริเวณเชิงเขา เพื่อจะให้คณะได้อาศัย รุกขมูล บำเพ็ญเพียรภาวนาในบริเวณนี้ หลวงตาพวงเล่าให้ฟังว่า “ขณะนั้นฝนตกชุก ที่พักก็ใช้ใบไม้มามุงเป็นปะรำกั้นแดด แต่กั้นฝนไม่ได้ ไปอยู่สองสามวันแรกฝนตก นั่งทั้งคืนไม่ได้นอน แต่หลวงปู่เสาร์ก็พาพักอยู่เกือบหนึ่งเดือน”

6. หลวงปู่เสาร์มรณภาพ

ระหว่างที่หลวงปู่เสาร์และคณะสงฆ์ได้พักอยู่บริเวณรุกขมูลในอำเภอท่าเปลือยประมาณหนึ่งเดือนนั้น พอเริ่มเข้าช่วงเดือน 4-5 อากาศเริ่มเปลี่ยนแปลง ฝนตกมากขึ้น ทำให้อาการของหลวงปู่เสาร์กำเริบ มีอาการหอบเหนื่อยมากขึ้น ฉันอาหารไม่ได้ ทางแพทย์และทางคณะสงฆ์เห็นว่าหลวงปู่เสาร์มีอาการหนักมาก เห็นควรที่จะรักษาตัวในโรงพยาบาลที่มีอุปกรณ์และเครื่องไม้เครื่องมือต่างๆ ที่พร้อมกว่านี้ คณะสงฆ์จึงได้พา หลวงปู่เสาร์เดินทางกลับจังหวัดอุบลราชธานี โดยตั้งใจจะพาหลวงปู่เสาร์ลงเรือไฟจากอำเภอท่าเปลือย ไปนครจำปาศักดิ์ และนั่งรถโดยสารต่อไปยัง จังหวัดอุบลราชธานี ระหว่างทางเมื่อล่องมาถึงเมืองป่าโมกข์ ประเทศลาว ก็ค่ำพอดี จึงได้แวะพักค้างคืน รุ่งขึ้นประมาณ 05.00 น. ก็ล่องเรือไฟต่อ

หลวงตาพวงเล่าให้ฟังว่า “วันนั้นรีบเดินทาง ข้าวปลาก็ไม่ได้เตรียม เพราะลูกศิษย์คิดว่า ระหว่างทางคงจะมีที่ขายอาหารแต่เรือไฟไม่ได้จอดพัก จึงมีแค่ข้าวเหนียวกับปลาแห้งถวายพระเณรองค์ละปั้น ใช้เวลาล่องเรือตลอดทั้งวัน จนกระทั่งประมาณ 5 โมงเย็นจึงได้เดินทางถึงนครจำปาศักดิ์”

“ถึงนครจำปาศักดิ์เป็นเวลาพลบค่ำพอดี คณะสงฆ์จึงหามหลวงปู่เสาร์ขึ้นไปพักที่วัดศิริอำมาตย์ บนฝั่งริมแม่น้ำโขง เมื่อถึงศาลาวัด หลวงปู่เสาร์ท่านบอกให้นำท่านไปกราบพระประธาน คณะสงฆ์ที่เป็นลูกศิษย์ก็นำท่านไปกราบพระประธานที่อยู่บนศาลาแห่งนั้น ท่านลุกนั่งกราบพระประธานในท่าเบญจางคประดิษฐ์ ระหว่างที่ท่านกราบพระประธานเสร็จท่านลุกไม่ขึ้น ลูกศิษย์พยายามประคองขึ้นท่านก็หมดลม มรณภาพลงในอิริยาบถกราบพระประธานตอนนั้นพอดี” (ตรงกับวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2484) รวมสิริอายุได้ 82 ปี 3 เดือน 1 วัน

คณะสงฆ์ที่ติดตามไปด้วยต่างเศร้าโศกเสียใจ บางองค์ถึงกับร้องไห้ด้วยสูญเสียพระเถรานุเถระผู้ยิ่งใหญ่ อันเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรในสายวิปัสสนากรรมฐานที่ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ เป็นแบบอย่างให้พระสงฆ์ในรุ่นต่อๆ มา ได้ดำเนินรอยตาม

คณะสงฆ์ที่ติดตามหลวงปู่เสาร์ได้จัดการเก็บศพของท่านไว้ที่วัดวัดศิริอำมาตย์ นครจำปาศักดิ์ เป็นเวลา 3 วัน 3 คืน ระหว่างนั้นก็ได้วิทยุแจ้งให้ทางหลวงปู่สิงห์ ขนตยาคโม และพระมหาปิ่น ปัญญาพโล ให้จัดรถไปรับศพของท่านกลับมาเพื่อบำเพ็ญกุศลที่วัดบูรพาราม อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี

คณะศิษย์ได้นำศพหลวงปู่เสาร์กลับประเทศไทยเพื่อบำเพ็ญกุศล และได้จัดงานพิธีพระราชทานเพลิงศพให้กับหลวงปู่เสาร์ในเดือนเมษายนถัดมา (พ.ศ. 2485) โดยมีศิษยานุศิษย์ทั้งพระวิปัสสนากรรมฐานสายหลวงปู่เสาร์และหลวงปู่มั่น ตลอดจนพุทธศาสนิกชนที่มีความเลื่อมใสศรัทธาเข้าร่วมพิธีจำนวนมาก การมรณภาพของหลวงปู่เสาร์ในครั้งนี้นับได้ว่าเป็นความสูญเสียที่ยิ่งใหญ่ครั้งหนึ่งในพุทธศาสนิกชนชาวไทย

ระหว่างการนำศพหลวงปู่เสาร์กลับมายังวัดบูรพาราม จังหวัดอุบลราชธานี นั้น พระอาจารย์สอ สุมังคโล และ ด.ช.พวง ลุล่วง ไม่ได้ติดตามคณะไปจนถึงตัวเมืองอุบลราชธานี แต่ได้แวะพำนักที่วัดภูเขาแก้ว อำเภอพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี

7. เข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์

ด้วยวัยเพียง 14 ปีของ ด.ช.พวง ลุล่วง ที่กำลังเข้าสู่วัยรุ่น แต่ได้มีความแตกต่างจากเด็กชายวัยเดียวกัน มีความสนใจและศรัทธาในพระพุทธศาสนาอย่างเต็มเปี่ยม อีกทั้งมีจิตใจที่เด็ดเดี่ยว ทรหด อดทน ซึ่งได้แสดงให้เห็นตั้งแต่การออกติดตามพระอาจารย์สอ และคณะของหลวงปู่เสาร์ไปนครจำปาศักดิ์ ซึ่งต้องเผชิญความยากลำบากและอันตรายนานัปการ ก็มิได้ย่อท้อแม้แต่น้อย ตลอดเวลาเกือบ 1 ปีที่ได้ติดตามพระอาจารย์สอ ด.ช.พวง ลุล่วง ได้รับใช้ปรนนิบัติรับใช้ครูบาอาจารย์ ด้วยการล้างเท้า เช็ดบาตร กรองน้ำ ต้มน้ำ เย็บจีวร สังฆาฏิ ตลอดจนได้รับการอบรมข้อวัตรปฏิบัติต่างๆ และการฝึกวิปัสสนากรรมฐาน

พระอาจารย์สอได้พิจารณาเห็นว่า ด.ช.พวง ลุล่วงเป็นผู้ที่มีจิตใจแน่วแน่มั่นคงในพระพุทธศาสนา ได้ผ่านการฝึกอบรมมาพอสมควรแล้ว จึงได้จัดการบรรพชาให้เป็นสามเณรที่วัดสระแก้ว อำเภอพิบูลมังสาหาร ซึ่งเป็นเพียงวัดเดียวบริเวณนั้นที่มีพระอุปัชฌาย์อยู่ ในเดือนมีนาคม 2484

หลวงตาพวงเล่าให้ฟังว่า “ตอนที่จะบวชเป็นเณร ไม่ได้คิดอะไร แล้วแต่พระอาจารย์สอจะพิจารณา ท่านพาทำอะไรก็ทำ เพราะได้มอบกายถวายตัวเป็นลูกศิษย์แล้ว ให้บวชก็บวช พาไปที่ไหนก็ไป โยมบิดามารดาก็ได้อนุญาตให้แต่เบื้องแรกก่อนที่จะติดตามพระอาจารย์สออยู่แล้ว”

หลังจากบรรพชาเป็นสามเณรแล้ว สามเณรพวง ลุล่วงได้จำวัดอยู่ที่วัดภูเขาแก้ว อำเภอพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี เพื่อศึกษาข้อวัตรปฏิบัติต่างๆ และปรนนิบัติรับใช้พระอาจารย์สอ สุมังคโลเป็นเวลากว่า 2 เดือน หลังจากนั้นจึงเดินทางต่อไปยังวัดบูรพาราม อำเภอเมืองอุบลราชธานี เพื่อกราบคารวะศพหลวงปู่เสาร์

นับได้ว่าเป็นบุญบารมีของสามเณรพวง ลุล่วงที่ได้สะสมมาแต่ชาติปางก่อน ที่ได้มีโอกาสใกล้ชิดพระพุทธศาสนาตั้งแต่เยาว์วัย ก่อนที่จะได้บวชเข้าสู่ร่วมพระกาสาวพัสตร์ก็ได้มีโอกาสร่วมเดินทางไปกับคณะหลวงปู่เสาร์ในช่วงชีวิตสุดท้ายของท่าน ได้เรียนรู้ข้อวัตรปฏิบัติต่างๆ ของพ่อแม่ครูบาอาจารย์นับตั้งแต่นั้นมา
 

_________________
ท่านสามารถฟังวิทยุเสียงธรรมหลวงตามหาบัวได้ทั่วประเทศ
และโทรทัศน์ดาวเทียมเสียงธรรมทั้งภาพและเสียงได้แล้วที่
http://www.luangta.com
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
วีรยุทธ
บัวทอง
บัวทอง


เข้าร่วม: 24 มิ.ย. 2005
ตอบ: 1790
ที่อยู่ (จังหวัด): สกลนคร

ตอบตอบเมื่อ: 27 มิ.ย.2007, 7:29 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

Image
พระอาจารย์บุญเพ็ง เขมาภิรโต


8. กลับบ้านเกิดครั้งแรก

เมื่อสามเณรพวงพำนักอยู่ที่วัดภูเขาแก้ว อ.พิบูลมังสาหาร จ.อุบลราชธานี กับพระอาจารย์สอเป็นเวลา 2 เดือนแล้ว หลังจากนั้นจึงเดินทางต่อไปยังวัดบูรพาราม อ.เมือง จ.อุบลราชธานี เพื่อกราบคารวะศพหลวงปู่เสาร์ แล้วพระอาจารย์สอได้พาธุดงค์กลับวัดศรีฐานใน เพื่อให้สามเณรพวงจะได้มีโอกาสได้ศึกษาพระปริยัติธรรม

เมื่อกลับมาถึงวัดศรีฐานในซึ่งเป็นบ้านเกิดของสามเณรพวง โยมบิดามารดาได้เห็นลูกชายของตนได้บวชเป็นเณรก็อนุโมทนาและดีใจเป็นที่สุด ไปวัดทำบุญตักบาตรสามเณรพวงเป็นประจำทุกวันมิได้ขาด

พระอาจารย์สอ สุมังคโล ได้สั่งสอนอบรมให้ท่องบทเรียนต่างๆ จนคล่องแคล่ว แล้วยังมีพระอาจารย์บุญช่วย ธัมมวโร ซึ่งเป็นเจ้าอาวาสวัดศรีฐานในให้การ อบรมสั่งสอนเพิ่มเติมอีกแรงหนึ่ง สามเณรพวงได้มีโอกาสศึกษาพระปริยัติธรรมจนสามารถสอบผ่านนักธรรมตรีและนักธรรมโทอย่างรวดเร็ว

ในช่วงนี้เองสามเณรพวงยังมีสหายที่สำคัญอีกรูปคือ สามเณรบุญเพ็ง ซึ่งขณะนี้คือพระอาจารย์บุญเพ็ง เขมาภิรโต เจ้าอาวาสวัดถ้ำกลองเพล อ.เมือง จ.หนองบัวลำภู ได้จำพรรษาอยู่ที่วัดศรีฐานในด้วยกัน หลวงตาพวงเล่าให้ฟังว่า “อาจารย์เพ็งท่องหนังสือดี มีความจำแม่น จำหลักธรรมต่างๆ ได้อย่างคล่องแคล่ว” นอกจากนั้นก็ยังมีพระอาจารย์สิงห์ทอง ธัมมวโร ที่ศึกษาและปฏิบัติธรรมในวัดเดียวกัน เห็นได้ว่าล้วนแล้วแต่เป็นพระเถรานุเถระที่มีวาสนาบารมีต่อกันมาในอดีตชาติจนกระทั่งมาถึงในชาติปัจจุบัน

พระอาจารย์สิงห์ทอง หลังจากที่อยู่จำพรรษาที่วัดศรีฐานใน สักพักก็ได้เดินทางไปศึกษาปฏิบัติธรรมร่วมกับหลวงปู่มั่น จนกระทั่งมรณภาพในช่วงเครื่องบินตกที่ดอนเมืองพร้อมๆ กับครูบาอาจารย์อีกหลายๆ องค์ ได้แก่ พระอาจารย์จวน กุลเสฏโฐ พระอาจารย์วัน อุตฺตโม เป็นต้น

พระอาจารย์สิงห์ทอง มีศิษย์ที่ท่านได้เคยสั่งสอนอบรม จนกระทั่งเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนา และเป็นนักปฏิบัติที่ได้เผยแพร่พระพุทธศาสนาให้เป็นประโยชน์อย่างกว้างขวางในเวลานี้อีกคนหนึ่ง ก็คือ คุณหมออมรา มลิลา

ส่วนพระอาจารย์สอ สุมังคโล ได้พำนักที่วัดศรีฐานในอยู่อีกหนึ่งพรรษา จากนั้นจึงได้เดินทางร่วมกับสามเณรบุญเพ็ง ไปปฏิบัติธรรมร่วมกับหลวงปู่มั่น วัดป่าบ้านหนองผือ (วัดป่าภูริทัตตถิราวาส) บ้านหนองผือ จังหวัดอุดรธานี พำนักอยู่กับหลวงปู่มั่นประมาณ 1 พรรษา และมรณภาพลงด้วยไข้ป่าที่วัดหลวงปู่มั่นนั่นเอง

9. อยากสึก

“เห็นเพื่อนๆ เขาพากันสึกก็เลยอยากสึกมั่ง แต่พอไปกราบขอลาอาจารย์บุญช่วย ท่านไม่อนุญาต ท่านบอกจะสึกก็สึก แต่ขอให้สอบได้นักธรรมเอกเสียก่อนแล้วค่อยสึก”

เป็นช่วงหนึ่งของชีวิตสามเณรพวง ลุล่วงที่บรรพชาได้พรรษาที่ 3 สามารถสอบนักธรรมโทผ่านแล้ว ได้เห็นเพื่อนๆ หลายรูปที่สึกออกมาใช้ชีวิตอย่างสนุกสนาน ด้วยความเป็นวัยรุ่น สามเณรพวงจึงอยากสึกบ้าง จึงได้ไปกราบขอลาสิกขาบทจากอาจารย์บุญช่วย เจ้าอาวาส ท่านกลับไม่อนุญาต และขอให้สอบนักธรรมเอกให้ได้เสียก่อน สามเณรพวงจึงล้มเลิกความตั้งใจที่จะสึกไปในที่สุด คงเป็นเพราะบุญญาบารมีที่มีมาแต่ชาติปางก่อน แม้จะมีอุปสรรคครั้งนั้นแต่ก็สามารถผ่านไปได้ด้วยดี

พระอาจารย์บุญช่วยได้ไปเสาะแสวงหาพระอาจารย์ที่มีความรู้แตกฉานด้านภาษาบาลี มาสั่งสอนอบรมพระเณรในวัดศรีฐานในให้มีความรู้มากขึ้น สามเณรพวงก็ได้มีโอกาสศึกษาภาษาบาลีจนสามารถแปลหนังสือธรรมบทซึ่งเป็นภาษาบาลีได้ถึง 2 เล่ม นอกจากนั้นสามเณรพวงก็ยังได้ใช้เวลาปฏิบัติธรรมภาวนาไม่ได้ขาด จนทำให้มีความเจนจัดในข้อวัตรทั้งปริยัติและปฏิบัติอีกด้วย นับจากนั้นหลวงตาพวงก็ไม่ได้เกิดความรู้สึกอยากสึกอีกเลยจวบจนปัจจุบัน

10. ไปพระธาตุพนมกับพระอาจารย์สิงห์ทอง

หลวงตาพวงเล่าว่า “ช่วงที่เป็นเณรพรรษาที่ 2 พำนักอยู่วัดศรีฐานในร่วมกับ พระอาจารย์สิงห์ทอง ธัมมวโร ท่านได้พาธุดงค์ไปนมัสการพระธาตุพนม ที่จังหวัดนครพนม คณะเดินทางประกอบด้วย พระอาจารย์สิงห์ทอง พระเพ็ง(ปัจจุบันลาสิกขาบท ยังมีชีวิตอยู่) สามเณรพวงและสามเณรขุน คนบ้านบ่อชะเนง อำเภอหัวตะพาน จังหวัดอำนาจเจริญ

การเดินทางต้องเดินด้วยเท้า ผ่านดงบังอี่ อำเภอคำชะอี ผ่านภูเขาลำเนาไพรเต็มไปด้วยภยันตรายจากสิงสาราสัตว์ต่างๆ รอนแรมไปถึง 6 คืนกว่าจะถึงพระธาตุพนม ระหว่างทางก็ต้องแวะพักค้างคืนตามสำนักสงฆ์หรือถ้ำในป่า เมื่อเดินทางไปถึงบ้านตากแดด อำเภอคำชะอี จังหวัดอุบลราชธานี (ในขณะนั้น) เป็นเวลาค่ำพอดี จำเป็นต้องหาที่พักเพื่อค้างแรม

พระอาจารย์สิงห์ทองและคณะได้สอบถามชาวบ้านว่ามีวัดอยู่บริเวณนี้หรือไม่ ชาวบ้านก็บอกว่ามีสำนักสงฆ์อยู่ในถ้ำบนภูทอก มีหลวงตาอยู่กับเณรเพียง 2 รูป พอจะไปพักอาศัยที่นั่นได้ พระอาจารย์สิงห์ทองจึงได้พาคณะไปขอพำนักที่สำนักสงฆ์บริเวณดังกล่าว หลวงตาเจ้าสำนักสงฆ์มิได้ขัดข้องประการใด จัดที่เสนาสนะให้คณะที่ร่วมเดินทางพักในถ้ำบนภูทอก ที่พักเป็นแคร่ไม้ไผ่ ห่างกันประมาณ 3-4 วา ตามจำนวนพระเณร หลังจากที่เดินทางกันมาด้วยความเหน็ดเหนื่อย ทำวัตรเย็นเสร็จแล้ว ก็เตรียมแยกย้ายกันจำวัดพักผ่อน

เมื่อทุกรูปประจำเสนาสนะของตนเอง ก็ได้ยินเสียงงูใหญ่ คาดว่ายาวประมาณ 4-5 วา เสียงเหมือนเกร็ดงูสัมผัสกับไม้ดังเอี๊ยด เอี๊ยดๆ มาตลอดทาง พระอาจารย์สิงห์ทองก็ตะโกนบอกว่า งู งู ให้เณรเร่งจุดคบไฟ เพราะสมัยก่อนไม่มีไฟฉาย เมื่อจุดคบไฟเสร็จกลับไม่พบอะไร จึงพากันแยกย้ายกันนอน สักพักก็ได้ยินเสียงเหมือนงูเลื้อยมาอีกเป็นครั้งที่ 2 ผ่านไปทางเดินจงกรม พระอาจารย์สิงห์ทองจึงตะโกนบอกให้จุดไฟอีกครั้ง เมื่อจุดเสร็จก็ไม่พบอะไรอีก อาจารย์สิงห์ทองได้พิจารณาดูแล้วจึงบอกว่า ไม่ใช่งูหรอก จริงๆ แล้วเป็นพระภูมิเจ้าที่ ท่านมาถามข่าวถามคราว พวกเราที่เดินทางมาพักอยู่บริเวณนี้ พระอาจารย์สิงห์ทองจึงเตือนให้ทุกคนไหว้พระสวดมนต์ แผ่เมตตาอุทิศส่วนกุศลให้ พักอยู่ที่นั้นสองคืน มิได้ยินเสียงเช่นนั้นอีกเลย

จากนั้นเดินทางต่ออีกสองวัน แวะพักที่บ้านดงมอญ อำเภอมุกดาหาร และบ้านต้นแหน อำเภอนาแก จังหวัดนครพนม รุ่งขึ้นถึงพระธาตุพนม พำนักที่วัดเกาะแก้ว อำเภอพระธาตุพนม อยู่ที่นั่นประมาณหนึ่งสัปดาห์ จึงเดินทางกลับ เส้นทางที่ใช้ในการเดินทางกลับนั้นใช้เส้นทางเลียบตามฝั่งแม่น้ำโขง ค่ำที่ไหนก็นอนที่นั่นจนกระทั่งถึงอำเภอมุกดาหาร มีรถประจำทางจึงโดยสารรถประจำทางมาจนถึงวัดศรีฐานใน”

11. ไปอยู่กับหลวงปู่สิงห์และหลวงปู่ปิ่น

ในช่วงที่สามเณรพวงบวชเป็นพรรษาที่ 4 นั้น เกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ทำให้เว้นว่างจากการสอบนักธรรมต่างๆ บ้านเมืองอดอยาก แร้นแค้น ข้าวยากหมากแพง หลวงตาพวงท่านเล่าให้ฟังว่า “ช่วงนั้นชาวบ้านอดอยาก ไม้ขีดไฟกลักละ 10 บาท น้ำมันตะเกียงลิตรละหลายร้อยบาท” ระหว่างนั้นพระลีซึ่งพำนักอยู่ที่วัดศรีฐานในเช่นเดียวกัน (ปัจจุบันสึกออกมา ถึงแก่กรรม) ชวนออกธุดงค์ไปจังหวัดศรีสะเกษ จึงได้ขออนุญาตพระอาจารย์บุญช่วยออกธุดงค์ไปกับคณะโดยออกเดินทางด้วยเท้าไปจังหวัดศรีสะเกษ พำนักที่วัดป่าศรีสำราญ อำเภอเมือง จังหวัดศรีสะเกษ ประกอบกับเกิดโรคฝีดาษระบาดที่บ้านศรีฐาน ทางบ้านจึงบอกไม่ให้กลับ

สามเณรพวงพำนักอยู่ที่นั่นเป็นเวลาหลายเดือน จนกระทั่งพระสัมฤทธิ์ซึ่งพำนักอยู่ที่วัดป่าศรีสำราญได้ชวนสามเณรพวงให้ไปศึกษาอบรมธรรมกับหลวงปู่สิงห์ ขันตยาคโม และพระมหาปิ่น ปัญญาพโล ซึ่งจำพรรษาร่วมกันที่วัดป่าแสนสำราญ อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี สามเณรพวงเห็นว่าน่าจะเกิดประโยชน์ต่อการปฏิบัติเพราะหลวงปู่สิงห์ ขันตยาคโม และพระมหาปิ่น ปัญญาพโล เป็นครูบาอาจารย์ในสายกรรมฐานที่สำคัญ มีลูกศิษย์ลูกหามากมาย จึงตัดสินใจเดินทางไปร่วมปฏิบัติธรรมกับหลวงปู่สิงห์และพระมหาปิ่น

หลวงตาพวงท่านเล่าให้ฟังว่า “ช่วงที่อยู่กับหลวงปู่สิงห์นั้นดีมาก หลักธรรมคำสั่งสอนที่ท่านได้รับล้วนแต่ดีมาก ท่านได้พาสวดมนต์นั่งสมาธิ ในวันพระท่านจะเทศน์อบรมตลอดคืนไม่นอน ถ้าหากง่วงนอนหลวงปู่สิงห์ก็จะพาสวดสรภัญญะ พอให้หายง่วงก็จะพานั่งสมาธิต่อ เป็นเช่นนี้เป็นประจำตลอดพรรษา มีญาติโยมมารักษาศีลฟังธรรมจากพระอาจารย์สิงห์เป็นจำนวนมาก”

ส่วนพระมหาปิ่น ปัญญาพโล ช่วงนั้นอาพาธอยู่ไม่ได้ออกอบรมสั่งสอนญาติโยมเท่าใดนัก สามเณรพวง ลุล่วง ได้ไปอยู่ปฏิบัติธรรม อุปัฏฐากครูบาอาจารย์หลวงปู่สิงห์ ขันตยาคโมและหลวงปู่มหาปิ่น ปัญญาพโล เป็นเวลา 1 พรรษา ตลอดระยะเวลาจำพรรษาได้ศึกษาอบรมเพิ่มเติมจากครูบาอาจารย์ทั้งสองจนมีความรู้แตกฉานในข้อวัตรปฏิบัติ และการปฏิบัติภาวนา

หลังจากออกพรรษาเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่กองทัพญี่ปุ่นขอยอมแพ้ต่อฝ่ายสัมพันธมิตรในสงครามโลกครั้งที่ 2 สามเณรพวง ลุล่วงได้กราบลาพระอาจารย์ทั้งสองกลับวัดศรีฐานใน อำเภอป่าติ้ว เพื่อมาเล่าเรียนทางปริยัติต่อ

พระอาจารย์บุญช่วย ธัมมวโร ซึ่งเป็นเจ้าอาวาสวัดศรีฐานใน ได้อบรมสั่งสอนข้อวัตรปฏิบัติต่างๆ เพิ่มเติม อีกทั้งยังได้หาครูบาอาจารย์ที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญในภาษาบาลีมาสอนสามเณรพวงและเพื่อนๆ ให้มีความรู้แตกฉานจนสามารถสอบนักธรรมเอกได้ในปีนั้น
 

_________________
ท่านสามารถฟังวิทยุเสียงธรรมหลวงตามหาบัวได้ทั่วประเทศ
และโทรทัศน์ดาวเทียมเสียงธรรมทั้งภาพและเสียงได้แล้วที่
http://www.luangta.com
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
วีรยุทธ
บัวทอง
บัวทอง


เข้าร่วม: 24 มิ.ย. 2005
ตอบ: 1790
ที่อยู่ (จังหวัด): สกลนคร

ตอบตอบเมื่อ: 27 มิ.ย.2007, 7:33 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

Image
หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต


12. พบหลวงปู่มั่นครั้งแรก

พระอาจารย์บุญช่วยได้พิจารณาเห็นว่า สามเณรพวง ลุล่วง ได้ศึกษาความรู้ทางด้านปริยัติพอสมควรระดับหนึ่ง ต้องการให้มีความรู้ทางด้านปริยัติเพิ่มเติมให้มากขึ้นกว่านี้ จึงตั้งใจว่าจะส่งสามเณรพวง ไปศึกษาปริยัติธรรมให้แตกฉานยิ่งขึ้นที่วัดศรีเทพ จ.นครพนม ซึ่งมีพระเทพสิทธาจารย์ (จันทร์ เขมิโย) เป็นเจ้าอาวาส และเป็นเสาหลักในการเผยแผ่ความรู้ด้านปริยัติและการศึกษาธรรมบาลี ขณะนั้น โดยระหว่างทางก็จะแวะนมัสการพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ที่สกลนครก่อน

พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต เป็นพระสงฆ์ที่มีความสำคัญในสายปฏิบัติกรรมฐาน มีลูกศิษย์ลูกหามากมาย เป็นที่เล่าขานว่าท่านเป็นผู้ที่มีจริยาวัตรงดงาม เคร่งครัดในพระธรรมวินัย ฉลาดรอบรู้ในการเทศน์ และสามารถรู้วาระจิตคนได้หมด ลูกศิษย์ลูกหาที่อยู่ปฏิบัติธรรมกับท่าน ล้วนกลัวท่านทุกๆ คน เพราะคิดสิ่งใดไม่ดีท่านจะรู้หมด เป็นผลให้ลูกศิษย์ของท่านต้องสำรวมจิต ระมัดระวัง และตั้งใจในการปฏิบัติธรรมยิ่งนัก

ครั้นเมื่อเดินทางถึงวัดป่าบ้านหนองผือ พระอาจารย์บุญช่วย ธัมวโร พร้อมทั้งสามเณรพวง ลุล่วงก็ตรงเข้าไปกราบหลวงปู่มั่นทันที หลวงตาพวงเล่าให้ฟังว่า เมื่อกราบท่านแล้วหลวงปู่มั่นท่านก็ถามขึ้นทันทีว่า “ตั้งใจจะปฏิบัติหรือตั้งใจเรียน ถ้าตั้งใจปฏิบัติก็ต้องปฏิบัติเอาจริงเอาจัง ถ้าจะเรียนก็ต้องไปเรียน ไปหาสำนักเรียน ทำเล่นไม่ได้นะ จะไปทางไหนก็ต้องตัดสินใจ”

ผลที่สุดก็สามเณรพวง ลุล่วงตัดสินใจเลือกปฏิบัติกรรมฐาน “สาเหตุที่ตัดสินใจเลือกปฏิบัตินั้นเป็นเพราะในคำเทศน์ของหลวงปู่มั่น ท่านรู้วาระจิตของหลวงตาหมดทุกอย่าง ทั้งๆ ที่ไม่ได้เล่าให้ฟังเลย เพราะทีแรกพระอาจารย์บุญช่วยกำลังจะส่งไปเรียนปริยัติธรรมที่วัดศรีเทพ จ.นครพนม แต่แวะมากราบหลวงปู่มั่นเสียก่อน แล้วท่านก็เทศน์เรื่องปริยัติและเรื่องกรรมฐานต่างๆ จึงเกิดศรัทธาในคำสั่งสอนของท่านในที่สุดก็ตัดสินใจอยู่ศึกษาอบรมกับหลวงปู่มั่นต่อไป”

นับเป็นบุญญาบารมีของสามเณรพวงที่ได้มีโอกาสมากราบหลวงปู่มั่นก่อนเดินทางไปเรียนทางด้านปริยัติ ได้ฟังธรรมเทศนาของท่านจนเกิดซาบซึ้งและมุ่งมั่นในการปฏิบัติสมาธิกรรมฐานตามแนวทางคำสั่งสอนของหลวงปู่มั่น เลิกล้มความตั้งใจในการเรียนทางด้านปริยัติทันทีเพราะพิจารณาเห็นตามคำแนะนำของหลวงปู่มั่น

ในช่วงแรกสามเณรพวงต้องออกไปอยู่วัดป่าท่าสองคอน ซึ่งเป็นวัดสาขาอยู่ใกล้ๆ กับวัดหลวงปู่มั่น และยังอยู่ห่างจากวัดป่าอุดมสมพร อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร เพียง 3 กม. เวลาลงปาติโมกข์บรรดาพระเณรจะมารวมกันที่วัดป่าอุดมสมพรซึ่งขณะนั้นเป็นสำนักสงฆ์ หลวงปู่ฝั้นยังไม่ได้ไปอยู่

ถึงแม้ว่าวัดป่าท่าสองคอน จะอยู่บริเวณใกล้เคียงกับวัดป่าบ้านหนองผือซึ่งเป็นที่พักของหลวงปู่มั่น แต่ก็ต้องใช้ระยะเวลาเดินทางด้วยเท้าข้ามภูเขาตลอดทั้งวันกว่าจะถึงวัด ซึ่งต้องใช้ความวิริยะอุตสาหะในการเดินทางไปมาหาสู่ระหว่างวัดท่าสองคอน กับวัดป่าบ้านหนองผือ สามเณรพวงมิได้ย่อท้อ หมั่นเพียรเดินทางไปฟังธรรมจากหลวงปู่มั่นเป็นประจำ ที่วัดป่าท่าสองคอนแห่งนี้ พระอาจารย์บุญช่วย ธัมวโร ซึ่งเป็นเจ้าอาวาสวัดศรีฐานใน ก็ได้มาพำนักเพื่อศึกษาและปฏิบัติธรรมกับสามเณรพวงด้วย

13. เป็น “สุขินทริโยภิกขุ”

ช่วงที่พำนักอยู่ที่วัดป่าบ้านท่าสองคอน อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร ในปีที่ 2 สามเณรพวง ลุล่วง มีอายุครบ 20 ปีพอดี ได้เวลาที่จะบวชเป็นภิกษุ ประกอบกับมีสามเณรที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกันอีก 3 รูป ก็จะเข้าอุปสมบทด้วย แต่สำนักสงฆ์ที่พำนัก และบริเวณใกล้เคียงไม่มีพระอุโบสถ อันเป็นสถานที่ประกอบพิธีในการอุปสมบท เพราะสำนักปฏิบัติธรรมของสายพระอาจารย์มั่นไม่เน้นที่จะสร้างถาวรวัตถุ หากแต่เน้นการปฏิบัติจริงในการเข้าถึงธรรม ซึ่งเป็นแก่นที่สำคัญที่สุดในพระพุทธศาสนา คณะสงฆ์ศิษย์ของหลวงปู่มั่นจึงได้จัดหาสถานที่สำหรับอุปสมบท โดยเลือกที่สำนักสงฆ์บ้านหนองโดก ตอนหลังได้ยกฐานะเป็นวัดป่าหนองโดก อยู่ในตำบลช้างมิ่ง อ.พรรณานิคม จ.สกลนครเป็นสถานที่สำหรับอุปสมบท

การจัดเตรียมการอุปสมบทในครั้งนั้นได้จัดบนพระอุโบสถกลางลำน้ำ โดยนำเรือพายที่อยู่บริเวณนั้นมาจอดเรียงรายชิดติดกันหลายๆ ลำ แล้วได้นำแผ่นกระดานไม้มาปูเรียงบนลำเรือติดกันจนเป็นแพขนาดใหญ่ที่พอจะประกอบพิธีกรรมในการอุปสมบทได้

การอุปสมบทของสามเณรพวงครั้งนี้ มีพระเดชพระคุณพระธรรมเจดีย์ (จูม พันธุโล) เป็นพระอุปัชฌาย์, พระอาจารย์อ่อน ญาณสิริ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระอาจารย์ฝั้น อาจาโร เป็นพระอนุสาวนาจารย์

พระภิกษุสงฆ์ที่เข้าร่วมพิธีในการอุปสมบทในครั้งนี้ นับว่าเป็นพระอริยสงฆ์ที่ทรงภูมิปัญญาทางธรรมเป็นอย่างยิ่ง ล้วนแล้วแต่เป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ มีศีลธรรมจริยาวัตรที่งดงาม และเป็นกำลังสำคัญในการเผยแผ่พระศาสนาในด้านวิปัสสนากรรมฐานของสายหลวงปู่มั่น ในเวลาต่อมา สามเณรพวง ลุล่วง ได้รับฉายาในทางพระพุทธศาสนาว่า “สุขินทริโย” ซึ่งแปลว่า “ผู้มีความสุขเป็นใหญ่”

14. เป็นศิษย์หลวงปู่มั่น

หลวงปู่มั่นเป็นพระอาจารย์สายกรรมฐานที่ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ มีวัตรปฏิบัติที่เข้มงวด เหล่าบรรดาภิกษุสามเณรทั่วทุกสารทิศต่างปรารถนาที่จะเป็นลูกศิษย์ของท่าน แต่การที่จะเข้ามาเป็นลูกศิษย์ของท่านได้นั้นต้องผ่านการพิจารณาจากหลวงปู่มั่นและต้องเข้าคิวกันยาวมาก หลวงตาพวงเล่าให้ฟังว่า “ได้มีโอกาสมาปรนนิบัติรับใช้หลวงปู่มั่นด้วยความบังเอิญจริงๆ เพราะโดยปกติแล้ว พระภิกษุที่จะได้เข้ามาอยู่กับหลวงปู่มั่นนั้นจะต้องจองคิวกันยาวมาก และจะต้องได้รับอนุญาตจากหลวงปู่มั่นก่อนด้วย พระภิกษุบางรูปที่วัตรปฏิบัติไม่เรียบร้อยบางครั้งก็ไม่มีโอกาสได้จำวัดที่วัดป่าบ้านหนองผือ”

ด้วยบุญญาบารมีของพระพวงที่จะได้มีโอกาสมาปรนนิบัติรับใช้หลวงปู่มั่น ในช่วงนั้นกำลังจะมีการสร้างถานหรือส้วมให้หลวงปู่มั่นใหม่ไว้บนกุฏิ เนื่องจากท่านสุขภาพไม่ค่อยแข็งแรง จึงได้หาพระหนุ่มๆ ที่มีกำลังวังชาดีๆ ในละแวกนั้น มาช่วยในการก่อสร้าง พระพวงในวัยหนุ่มจึงมีโอกาสได้มาช่วยในการสร้างถานในครั้งนั้น กับพระภิกษุโสม โกกนัทโฒ ทั้งสองรูปจึงได้เข้ามาอยู่ในวัดป่าบ้านหนองผือโดยอาศัยศาลาวัดเป็นที่พักอาศัย

ด้วยเหตุบังเอิญขณะนั้นมีการสร้างวัดใหม่ห่างจากวัดป่าบ้านหนองผือประมาณ 100-200 เส้น แต่มีพระจำพรรษาเพียงรูปเดียว ชาวบ้านจึงได้มานิมนต์พระภิกษุในสำนักของพระอาจารย์มั่นไปจำพรรษาด้วย หลวงปู่มั่นจึงได้ให้พระอาจารย์อ่อนสา สุขกาโร (ปัจจุบันอยู่ จ.อุดรธานี) ซึ่งจำพรรษากับหลวงปู่มั่นและมีพรรษามากแล้ว ไปจำพรรษาที่วัดแห่งนั้น อาจารย์อ่อนสาขัดไม่ได้ จึงทำให้มีกุฏิว่างลง 1 แห่งพอดี แต่เนื่องจากพระพวงได้มาพร้อมกับพระอาจารย์โสม โกกนทโฒ จึงต้องรอกุฏิอีก 1 หลัง ประจวบเหมาะกับมีพระอาพาธด้วยโรคท้องร่วงอีก 1 รูปมีอาการค่อนข้างมาก หลวงปู่มั่นได้ให้ไปรักษาตัวที่โรงพยาบาล ทำให้กุฏิว่างอีก 1 หลัง

หลวงตาเล่าให้ฟังว่า “ตอนเย็นวันนั้น ขึ้นไปกราบหลวงปู่มั่น ท่านได้ให้ไปอยู่กุฏิที่ว่าง ถ้าหากพระทั้งสองรูปยังอยู่ก็คงไม่ได้กุฏิอยู่ บังเอิญโชคดี จึงได้อยู่รับใช้ท่าน ถ้าหากพระสองรูปไม่ได้ออกจากวัด ก็คงจะไม่ได้อยู่ปรนนิบัติหลวงปู่มั่น”

ด้วยบุญญาบารมีโดยแท้ พระภิกษุพวงจึงได้อยู่ปรนนิบัติรับใช้หลวงปู่มั่นและฝากตัวเป็นศิษย์ ซึ่งเป็นพรรษาครั้งสุดท้ายของหลวงปู่มั่น ตลอดพรรษา ท่านได้ให้โอวาท สั่งสอน อบรม ข้อวัตร ปฏิบัติต่างๆ จนเป็นพื้นฐานของการปฏิบัติสืบมาจนปัจจุบัน

15. นั่งสมาธิจนตัวลอย

หลังจากที่ได้รับการชี้แนะแนวทางการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานจากหลวงปู่มั่น สามเณรพวงได้ลองนั่งวิปัสสนากรรมฐานตามคำแนะนำของหลวงปู่มั่น ผลของการนั่งสมาธิครั้งนั้น ปรากฏในจิตว่าตัวเบาเป็นปุยนุ่น ลอยไปในอากาศ จนกระทั่งถอนจิตออกจึงทราบว่าจิตลอยขึ้นไป เป็นผลจากการที่จิตรวมเป็นหนึ่ง เกิดสมาธิระดับอุปปาจารสมาธิ และคงจะเป็นอานิสงส์มาแต่ครั้งก่อนที่เคยมีบุญบารมีได้ฝึกปฏิบัติมา จึงสามารถรวมจิตเป็นสมาธิได้อย่างรวดเร็ว

ด้วยผลการปฏิบัติจากการได้รับคำชี้แนะจากหลวงปู่มั่นในครั้งนั้น หลวงตาเล่าให้ฟังว่า “รู้สึกซาบซึ้ง ดื่มด่ำในรสพระธรรมเป็นอย่างมาก และตั้งใจว่าจะไปกราบเรียนหลวงปู่มั่นว่าจะขอบวชตลอดชีวิต แต่เปลี่ยนใจไม่ไปกราบเรียนท่านเพราะคิดว่าถ้าหากทำไม่ได้คงไม่ดี แต่ในจิตใจก็แน่วแน่มั่นคง มุ่งมั่น ในการฝึกวิปัสสนากรรมฐานให้แตกฉานต่อไป นับแต่บัดนั้นเป็นต้นมา”

“ช่วงที่ปฏิบัติกับหลวงปู่มั่น การปฏิบัติธรรมส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีอุปสรรคอะไร แต่ก็มีบ้างที่มีปัญหาและอุปสรรคในเรื่องผู้หญิง ด้วยความเป็นพระหนุ่มๆ ก็มีความต้องการเช่นเดียวกับชายหนุ่มกับหญิงสาวทั่วๆ ไปทุกคน คือ ราคะ โทสะ โมหะ ศัตรูที่เกิดขึ้นก็เป็นที่จิตใจ ซึ่งก็เป็นธรรมดาในการปฏิบัติ ปัจจุบันก็ผ่านมาหมดแล้ว ก็ได้อาศัยธรรมของครูบาอาจารย์ โดยเฉพาะหลวงปู่มั่นท่านเทศน์ อสุภกรรมฐานให้ฟังทุกวัน แล้วก็พิจารณาทำใจให้เข้มแข็ง เข้าใจความจริง สามารถผ่านอุปสรรคต่างๆ มาได้” หลวงตาพวงเล่าให้ฟังด้วยความเมตตา
 

_________________
ท่านสามารถฟังวิทยุเสียงธรรมหลวงตามหาบัวได้ทั่วประเทศ
และโทรทัศน์ดาวเทียมเสียงธรรมทั้งภาพและเสียงได้แล้วที่
http://www.luangta.com
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
วีรยุทธ
บัวทอง
บัวทอง


เข้าร่วม: 24 มิ.ย. 2005
ตอบ: 1790
ที่อยู่ (จังหวัด): สกลนคร

ตอบตอบเมื่อ: 27 มิ.ย.2007, 7:36 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

Image
พระอาจารย์แตงอ่อน กัลยาณธัมโม


16. พระภิกษุร่วมพรรษา

หลังจากที่ได้ย้ายแหล่งพำนักจากวัดป่าบ้านสองคอนมาอยู่ที่วัดป่าบ้านหนองผือกับพระอาจารย์มั่นแล้ว พระภิกษุพวงก็ได้รับหน้าที่ในการดูแลปรนนิบัติหลวงปู่มั่นโดยใกล้ชิด อีกทั้งยังได้รับคำแนะนำสั่งสอนในข้อวัตรปฏิบัติทั้งหลาย ตลอดจนการฝึกปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานอย่างลึกซึ้ง นอกจากได้อยู่ร่วมพรรษากับหลวงปู่มั่น ซึ่งเป็นพรรษาสุดท้ายของท่านแล้ว ยังมีพระภิกษุที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบอีกหลายองค์ที่อยู่ร่วมพรรษานั้น เท่าที่หลวงตาพวงจำได้ ได้แก่

1. พระอาจารย์มหาบัว ญาณสัมปันโน
2. พระอาจารย์วัน อุตฺตโม
3. พระอาจารย์ทองอยู่
4. พระอาจารย์เนตร กันตสีโล
5. พระอาจารย์แตงอ่อน กัลยาณธัมโม
6. พระอาจารย์ทองคำ ญาโณภาโส
7. พระอาจารย์เนียน
8. พระอาจารย์อร่าม สุสิทขิโต
9. พระอาจารย์คำพอง ติสฺโส
10. พระอาจารย์พล
11. พระอาจารย์หล้า เขมปัตโต
12. พระอาจารย์ศรี มหาวีโร
13. พระอาจารย์จันทร์โสม กิตฺติกาโร
14. พระอาจารย์เดิน
15. พระอาจารย์เคน
16. พระอาจารย์สีหา
17. พระอาจารย์อุ่น
18. พระอาจารย์คำดี
19. พระอาจารย์แดง
20. พระอาจารย์ทองพูล สิริกาโม
21. พระอาจารย์สังวาลย์
22. พระอาจารย์โสม โกกนัทโฒ
23. พระอาจารย์สีหา
24. พระอาจารย์บุญเพ็ง เขมาภิรโต
25. สามเณรอำพล
26. สามเณรสี
27. หลวงปู่บัว

Image

17. หลวงปู่มั่นมรณภาพ

ในพรรษาสุดท้ายของหลวงปู่มั่น ท่านมีอาการไข้ไอเรื้อรังมาตลอด ท่านได้บอกให้ศิษย์ทั้งหลายให้ทราบว่า การเจ็บป่วยของท่านครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายไม่มีทางรักษาให้หายขาดได้ มีเพียงแต่ลมหายใจที่จะรอวันตายไปเท่านั้น เช่นเดียวกับไม้ที่ตายยืนต้น แม้จะรดน้ำพรวนดินเพื่อให้ผลิดอกออกใบ ก็ไม่มีทางเป็นไปได้ รออยู่พอถึงวันโค่นล้มลงจมดินเท่านั้น

ข่าวการอาพาธของท่านได้แพร่กระจายออกไป ใครทราบข่าวไม่ว่าพระภิกษุสามเณรหรือฆราวาส ก็หลั่งไหลพากันมาเยี่ยมมิได้ขาดสาย

อาการอาพาธของหลวงปู่มั่นเริ่มหนักขึ้นเป็นลำดับ พระภิกษุสามเณรในวัด ตลอดจนอุบาสกอุบาสิกาไม่ได้พากันนิ่งนอนใจ จึงได้จัดเวรคอยดูแลหลวงปู่มั่นบนกุฏิของท่าน 2 รูป และใต้ถุนกุฏิ 2 รูปมิได้ขาด ในช่วงนี้เองพระพวงก็ได้สลับผลัดเปลี่ยนกับพระภิกษุรูปอื่นๆ คอยปรนนิบัติหลวงปู่มั่นโดยตลอด

พอออกพรรษา ครูบาอาจารย์พระภิกษุสงฆ์ที่จำพรรษาอยู่ในที่ต่างๆ ก็ทยอยมาเยี่ยมท่านมากขึ้นเป็นลำดับ อาการของท่านก็หนักเข้าไปทุกวัน ศิษยานุศิษย์รุ่นอาวุโสอาทิ หลวงตามหาบัว หลวงปู่กงมา หลวงปู่ฝั้น หลวงปู่เทศน์ หลวงปู่อ่อน ได้เรียกประชุมบรรดาศิษย์ทั้งหลาย เพื่อเตือนให้ทราบถึงอาการของท่าน และแจ้งให้ทราบว่าหลวงปู่มั่น ท่านได้ดำริที่จะให้นำตัวท่านไปที่สกลนคร ไม่อยากมรณภาพที่นี่ เพราะจะทำให้บรรดาสัตว์น้อยใหญ่ทั้งหลายที่นี่ต้องตายไปด้วย เนื่องจากจะต้องมีคนจำนวนมากมาร่วมงาน จะต้องฆ่าสัตว์เป็นอาหาร

เดิมทีเดียวบรรดาญาติโยมบ้านหนองผือมีความประสงค์ว่าจะให้ท่านมรณภาพที่นี่ พวกเขาจะเป็นผู้จัดการศพเอง ถึงแม้ว่าพวกเขาจะยากจนเพียงไรก็ตาม แต่ด้วยความเคารพในหลวงปู่มั่นจึงได้ปฏิบัติตามคำสั่งของหลวงปู่มั่นแต่โดยดี

บรรดาญาติโยมก็ได้ช่วยกันเตรียมแคร่เพื่อหามท่านจากวัดป่าบ้านหนองผือไปสกลนคร โดยได้แวะพักระหว่างทางที่วัดป่าดงภู่ เป็นเวลา 9 วัน บรรดาญาติโยมในจังหวัดสกลนคร อาราธนานิมนต์ท่านเดินทางต่อ ก่อนเดินทางได้นำแพทย์ไปฉีดยาให้หลวงปู่มั่นเพื่อระงับเวทนา เมื่อฉีดยาเสร็จก็นำท่านขึ้นรถไปต่อยังวัดป่าสุทธาวาส อ.เมืองสกลนคร ระหว่างการเดินทางท่านไม่รู้สึกตัวเลย จนกระทั่งเวลาประมาณ เที่ยงคืนถึงตีหนึ่ง (ตรงกับวันที่ 11 พฤศจิกายน 2492) ในคืนนั้นท่านก็มรณภาพอย่างสงบ ยังความโศกเศร้าเสียใจของบรรดาศิษยานุศิษย์ทั้งหลายทั้งพระและฆราวาส นับเป็นการสูญเสียครั้งสำคัญครั้งหนึ่งของพุทธศาสนิกชนไทย

พระพวงติดตามคณะไปด้วย ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกับพระรูปอื่นๆในการดูแลหลวงปู่มั่น ตลอดการเดินทางจวบจนวาระสุดท้ายของหลวงปู่ นับเป็นอีกครั้งในชีวิตของพระพวงที่อยู่ในช่วงเหตุการณ์สำคัญของพระเถรานุเถระที่ยิ่งใหญ่อีกหนึ่งองค์

18. อาพาธหนัก

หลังจากหลวงปู่มั่นมรณภาพแล้ว คณะสงฆ์พิจารณาตั้งศพของท่านเพื่อบำเพ็ญ และรอพระราชทานเพลิงศพ 100 วัน ระหว่างนั้นพระพวงเห็นว่าพอมีเวลาว่าง จึงเดินทางกลับบ้านศรีฐานเพื่อเยี่ยมโยมบิดามารดา พอกลับถึงบ้านศรีฐานเริ่มมีอาการไข้หนาวสั่น ซึ่งเกิดจากได้รับเชื้อไข้ป่าหรือไข้มาเลเรียตั้งแต่วัดป่าบ้านหนองผือ อาการหนักมากขึ้นเรื่อยๆ หลวงตาเล่าให้ฟังว่า “ป่วยเป็นไข้ป่าอยู่ครึ่งเดือน จนผมร่วงหมด ต้องไปตามหมอมาฉีดยาให้ เพราะยังไม่มีโรงพยาบาลยโสธร”

หลังจากฉีดยาแล้วพระพวงสลบไปไม่ได้สติเกิดนิมิตรขึ้น หลวงตาเล่าให้ฟังต่อว่า “พอฉีดยาเสร็จก็สลบไปไม่ได้สติ เกิดนิมิตรเห็นมีคนมาหามหลวงตาไปใส่ในเรือล่องไปตามแม่น้ำโขง ไม่ทราบเขาจะเอาไปไหน มองเห็นดวงไฟลิบๆ สีเขียวอยู่อีกเมืองหนึ่ง แต่ล่องเรือเท่าไรก็ไม่ถึงสักที รู้สึกเหมืนล่องเรือกว่า 3 ชั่วโมงแล้วก็ยังไม่ถึง จนกระทั่งฤทธิ์ยาเริ่มคลายจึงค่อยๆ มีสติขึ้น เริ่มมองเห็นหลังคากุฏิที่มุงด้วยหญ้าแฝก ขณะเดียวกันก็ยังรู้สึกโยกเยกเหมือนนอนอยู่ในเรือ สีเขียวที่มองเห็นนั้นกลายเป็นแสงไฟจากตะเกียงที่ตั้งอยู่ในกุฏิ พอพลิกตัวโยมบิดาถามว่าอาการเป็นอย่างไรบ้าง จึงเริ่มรู้สึกตัวหายใจได้ หลังจากนั้นอาการก็ทุเลาเป็นปกติ แล้วก็เดินทางไปร่วมในงานพระราชทานเพลิงศพหลวงปู่มั่น” นี่เป็นอีกเหตุการหนึ่งที่พระพวงยังจำได้โดยมิลืมเลือนจวบจนปัจจุบัน
 

_________________
ท่านสามารถฟังวิทยุเสียงธรรมหลวงตามหาบัวได้ทั่วประเทศ
และโทรทัศน์ดาวเทียมเสียงธรรมทั้งภาพและเสียงได้แล้วที่
http://www.luangta.com
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
วีรยุทธ
บัวทอง
บัวทอง


เข้าร่วม: 24 มิ.ย. 2005
ตอบ: 1790
ที่อยู่ (จังหวัด): สกลนคร

ตอบตอบเมื่อ: 27 มิ.ย.2007, 7:41 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

Image
หลวงปู่ฝั้น อาจาโร


19. ไปอยู่กับหลวงปู่ฝั้น

หลังจากเสร็จงานพระราชทานเพลิงศพหลวงปู่มั่นแล้ว บรรดาพระเณรในสายของท่านก็มีความระส่ำระสาย ขาดที่พึ่งทางใจ ขาดเสาหลักอันเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ เปรียบเสมือนขาดร่มโพธิร่มไทรให้พึ่งพิง พระพวงก็เช่นเดียวกัน หลังจากที่หลวงปู่มั่นมรณภาพ ได้ตัดสินใจไปอยู่ปฏิบัติกับหลวงปู่ฝั้น อาจาโร ด้วยเหตุที่ท่านเป็นพระอนุสาวนาจารย์ บวชให้ อีกทั้งยังมีความใกล้ชิดสนิทสนมกันเป็นอย่างดี

หลวงตาพวงเล่าให้ฟังว่า “หลวงปู่ฝั้นท่านมีปฏิปทาเหมือนหลวงปู่มั่น แต่ท่านไม่เคร่งเหมือนกับหลวงปู่มั่น มีพระเณรไปอยู่กับหลวงปู่ฝั้นอยู่มาก ที่ยังมีชีวิตอยู่ในปัจจุบันก็เช่น พระอาจารย์สุวัจน์ สุวโจ วัดป่าเขาน้อย อ.เมือง จ.บุรีรัมย์, พระอาจารย์แปลง สุนทโร อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร และหลวงพ่อคำดี ปัญโญภาโส วัดป่าสุทธาวาส อ.เมือง จ.สกลนคร อดีตเจ้าคณะจังหวัดสกลนคร นอกจากนั้นจำชื่อไม่ได้ บางองค์ก็มรณภาพไปแล้ว”

ตอนแรกก็ไปอยู่ที่วัดป่าภูธรพิทักษ์ บ้านธาตุนาเวง ต.พังขว้าง อ.เมือง จ.สกลนคร ซึ่งแต่เดิมเป็นที่พักสงฆ์ซึ่งหลวงปู่พรหม จิรปุญฺโญ วัดประสิทธิธรรม (วัดบ้านดงเย็น) อ.บ้านดุง จ.อุดรธานี ไปสร้างไว้ มีผู้พยายามจะแย่งกรรมสิทธิ์ไป พระอาจารย์ฝั้นต้องต่อสู้ด้วยธรรมอันยอดเยี่ยมของท่าน จึงสามารถรักษาวัดนี้ไว้ได้ ท่านได้ตั้งชื่อวัดว่าวัดป่าภูธรพิทักษ์ เพราะระลึกถึงความช่วยเหลือของตำรวจภูธรในสมัยนั้น

ปฏิปทาและข้อวัตรปฏิบัติเมื่ออยู่กับหลวงปู่ฝั้นนั้น หลวงตาพวงบอกว่า “ปฏิปทาต่างๆ ก็เหมือนอยู่กับหลวงปู่มั่น เพราะหลวงปู่ฝั้นท่านเป็นลูกศิษย์ใกล้ชิดหลวงปู่มั่น หลวงปู่ฝั้นท่านก็เอาปฏิปทาของหลวงปู่มั่นมาปฏิบัติ”

“การปฏิบัติในช่วงนั้น หลวงปู่ฝั้นท่านเทศนาอบรมธรรมวินัย พาภาวนาปฏิบัติธรรม ในวันพระก็จะทำความเพียรนั่งสมาธิตลอดคืน”

พระพวงได้จำพรรษาอยู่กับหลวงปู่ฝั้นที่วัดป่าภูธรพิทักษ์แห่งนี้ถึง 6 พรรษาได้สั่งสมประสบการณ์ทั้งในข้อวัตรปฏิบัติ การเจริญภาวนา ตลอดจนการดูแลปกครองคณะสงฆ์ ได้นำประสบการณ์เหล่านั้นมาใช้ในปัจจุบัน

Image
พระอาจารย์วัน อุตฺตโม


20. เหตุอัศจรรย์ที่ถ้ำเป็ด

ในหน้าแล้งราวพรรษาที่ 7 ของพระพวงนั้น หลวงปู่ฝั้นได้พาคณะอันประกอบด้วยมีหลวงปู่ฝั้น พระพวง สุขินทริโย และเณรอีก 1 รูป ไปธุดงค์ตามป่าเขาต่างๆ เพื่อแสวงหาสถานที่อันเป็นสัปปายะเหมาะในการทำความเพียร การฝึกฝนอบรมตนเองในการธุดงค์ในป่า จะต้องเผชิญกับภยันตรายต่างๆ มากมายย่อมทำให้มีจิตใจที่เข้มแข็ง เด็ดเดี่ยว อดทน

หลังจากที่ออกเดินธุดงค์ไปตามป่าเขา ได้เดินทางไปถึงถ้ำแห่งหนึ่งเรียกว่า ถ้ำเป็ด ห่างจากถ้ำอภัยดำรงธรรม (ถ้ำพวง) ต.ปทุมวาปี อ.ส่องดาว จ.สกลนคร ของพระอาจารย์วัน อุตฺตโม ประมาณ 3 กิโลเมตร หลวงปู่ฝั้นได้พาไปอยู่ที่นั่น 8 เดือน ไปอยู่ครั้งแรกมีความยากลำบากมาก เพราะไกลจากหมู่บ้าน ต้องใช้ระยะเวลานานในการลงมาบิณฑบาตเพราะระยะทางห่างจากหมู่บ้านถึง 5 กิโลเมตร

หลวงตาพวงเล่าให้ฟังถึงประสบการณ์ที่ได้รับในครั้งนั้นว่า “มีอยู่วันหนึ่งเณรที่อยู่ร่วมด้วย เนื่องจากอายุยังน้อยชอบเล่นตามประสาเด็กๆ ในช่วงกลางวันก็ปีนขึ้นไปบนเขา แล้วลองปาก้อนหินดูว่าจะขว้างแล้วไปตกไกลไหม ก็ลองปาดู 4-5 ก้อน หลวงปู่ฝั้นอยู่ข้างล่างได้ยินเสียงก้อนหิน จึงเรียกเณรลงมาถามว่าปาก้อนหินใช่ไหม หลวงปู่ฝั้นก็เตือนว่าทีหลังอย่าทำ การมาอยู่ป่าเขาจะต้องสงบสำรวม ต้องมีกิริยามารยาทที่เรียบร้อย จะเล่นคะนองเช่นนั้นไม่ได้ ท่านได้อบรมสั่งสอนในเรื่องอื่นๆ อีก แล้วก็ให้เณรไปปัดกวาดทำความสะอาดกุฏิ อาบน้ำ เตรียมตัวปฏิบัติธรรม

พอตกกลางคืนในคืนนั้น ประมาณเที่ยงคืน ขณะที่ทุกรูปจำวัดหมดแล้ว ได้ยินเสียงดัง กับ กับ กับ เหมือนม้าวิ่งมาอย่างรวดเร็ว จนถึงบนชานของกุฏิเณรซึ่งอยู่ข้างล่าง เณรได้ยินเสียงดังกล่าว ตกใจกลัวจนตัวสั่นจะร้องก็ร้องร้องตะโกนไม่ออก ในขณะที่หลวงปู่ฝั้นก็ได้ยินเสียงม้าวิ่งเช่นเดียวกัน จึงตะโกนเรียก “เณร เณร” แต่ก็ไม่ได้ยินเสียงตอบ ท่านจึงออกจากกุฏิที่อยู่ข้างบนลงมาดูเณร เพราะกลัวว่าเสือจะคาบเณรไปกิน

เมื่อมาถึงกุฏิจึงเห็นเณรนั่งตัวสั่นอยู่ ในขณะที่ข้างนอกก็ไม่พบสัตว์หรืออะไรเลย หลวงปู่ฝั้นจึงบอกว่า “เรื่องนี้เป็นอุทาหรณ์เตือนใจถึงการปฏิบัติตัว ให้มีความสำรวมกาย วาจา ใจ ในการออกธุดงค์ในที่ต่างๆ เพราะทุกๆ ที่ล้วนแล้วแต่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ดูแลอยู่”
 

_________________
ท่านสามารถฟังวิทยุเสียงธรรมหลวงตามหาบัวได้ทั่วประเทศ
และโทรทัศน์ดาวเทียมเสียงธรรมทั้งภาพและเสียงได้แล้วที่
http://www.luangta.com
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
วีรยุทธ
บัวทอง
บัวทอง


เข้าร่วม: 24 มิ.ย. 2005
ตอบ: 1790
ที่อยู่ (จังหวัด): สกลนคร

ตอบตอบเมื่อ: 27 มิ.ย.2007, 7:44 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

Image
เทสกเจดีย์ เทสรังสีอนุสรณ์ ประดิษฐาน ณ ลานหินวัดถ้ำขาม


21. บุกเบิกถ้ำขามกับหลวงปู่ฝั้น

ในปี พ.ศ. 2496 ขณะที่พระพวง สุขินทริโย มีพรรษาได้ 8 พรรษา ขณะอยู่กับหลวงปู่ฝั้นที่วัดป่าภูธรพิทักษ์ หลวงปู่ฝั้นได้เล่าให้ฟังว่า ระหว่างที่ท่านนั่งสมาธิท่านได้นิมิตเห็นสถานที่แห่งหนึ่งเป็นถ้ำ อยู่ทางทิศตะวันตกของเทือกเขาภูพาน ในถ้ำมี แสงสว่างไปทั่วทั้งถ้ำ มีลมพัดเย็นสบาย อากาศดี สงบวิเวกเหมาะกับการเจริญสมาธิเป็นยิ่งนัก

เมื่อออกพรรษา หลวงปู่ฝั้นพร้อมด้วยพระพวง สุขินทริโย พระสุพล และสามเณรสุวงค์ ได้เดินทางไปค้นหาถ้ำดังกล่าวตามนิมิตของหลวงปู่ฝั้น โดยทางไปปักกลดอยู่ใกล้ๆ หมู่บ้านเชิงเขาภูพานประมาณครึ่งเดือนเพื่อสอบถามญาติโยมเกี่ยวกับถ้ำที่มีลักษณะดังกล่าว หลังจากการสอบถามก็พบว่ามีถ้ำที่มีลักษณะดังกล่าวอยู่บนเทือกเขาภูพาน ท่ามกลางป่ารกชัฏปกคลุมด้วยต้นไม้ใหญ่ หนทางไปสู่ถ้ำก็เป็นไปด้วยความยากลำบาก

เมื่อทราบตำแหน่งของถ้ำแล้วหลวงปู่ฝั้นได้ชักชวนชาวบ้านขึ้นไปบุกเบิก ซึ่งต้องเตรียมข้าวปลาอาหารเพื่อไปหุงหาและเตรียมค้างคืนในป่า เพราะระยะทางค่อนข้างไกล เวลาพลบค่ำชาวบ้านไม่กล้าเดินทางกลับกลัวเสือจะมาคาบไปกินระหว่างทาง

บริเวณปากถ้ำมีต้นมะขามใหญ่เกิดขึ้น จึงเป็นที่มาของชื่อถ้ำแห่งนี้ว่า “ถ้ำขาม” หลวงตาพวงเล่าให้ฟังถึงการไปบุกเบิกถ้ำขามในช่วงแรกนั้นว่า “ตอนไปบุกเบิกครั้งแรกมีพระเณรไปด้วยกัน 4 รูป บริเวณนั้นเป็นบริเวณที่ทุรกันดารมาก มีหมู่บ้านห่างจากถ้ำประมาณ 5-6 กิโลเมตร ช่วงแรกๆ ก็ต้องอาศัยน้ำจากบ่อของชาวบ้านที่มาทำไร่พริกบนเขา ห่างจากถ้ำขามประมาณ 1 กิโลเมตร ต้องตัดกระบอกไม้ไผ่แล้วทะลุปล้อง ยาว 2-3 ปล้องทำเป็นกระบอกน้ำ สะพายหลังปีนลงเขาไปตักน้ำทุกวัน ใช้กระป๋องน้ำไม่ได้เพราะน้ำจะหกหมด เวลาสรงน้ำก็ต้องลงเขาไปที่บ่อน้ำดังกล่าว เวลาบิณฑบาตก็ต้องลงไปบิณฑบาตถึงเชิงเขา ต้องบุกป่าฝ่าดงลงไป ชาวบ้านจะส่งตัวแทนผลัดกันมาใส่บาตรบริเวณเชิงเขา ชาวบ้านส่วนใหญ่มีฐานะยากจนส่วนใหญ่มีอาชีพทำไร่พริก แต่ชาวบ้านมีศรัทธาต่อพระพุทธศาสนายิ่งนัก ในวันพระ ชาวบ้านจะขึ้นไปที่ถ้ำขามเพื่อทำอาหารถวายและปฏิบัติธรรมอยู่บนถ้ำ”

หลวงตาเล่าให้ฟังต่อว่า “เมื่อไปถึงครั้งแรก ก็ไปสร้างกุฏิชั่วคราวขึ้น โดยใช้ไม้ไผ่ ไม้ไร่แถวๆ นั้น มาทำเป็นแคร่ บางส่วนก็ทำเป็นฝากันฝน ในช่วงหน้าแล้งถัดมาก็ได้ร่วมกับชาวบ้านช่วยกันสร้างศาลาและเสนาสนะต่างๆ ทำให้สะดวกสบายมากขึ้น ต่อมาก็สะกัดหินเป็นบ่อเก็บน้ำ ทำถังปูนไว้เก็บน้ำฝน ความเป็นอยู่ต่างๆ ก็ดีขึ้นเป็นลำดับ”

ศาลาใหญ่ที่สร้างขึ้นที่ถ้ำขามแห่งนี้ นับได้ว่าเป็นของที่พิสดารอย่างหนึ่ง ทั้งในแง่สถาปัตยกรรมและความศรัทธา กล่าวคือ ศาลาแห่งนี้กว้าง 10 เมตร ยาวประมาณ 20 เมตร ตั้งอยู่บนไหล่เขาซึ่งมีโขดหินสูงบ้างต่ำบ้างต่างระดับกันไป เสาและต้นไม้ต่างๆ หลวงปู่ฝั้นเป็นผู้กะความยาวให้ตัด เสาแต่ละต้นมีขนาดความยาวไม่เท่ากัน พอทุกอย่างพร้อมแล้วก็ยกเสาขึ้นตั้งโดยไม่ได้ฝังเสาลงไปในดินหรือก้อนหินเลย เมื่อเอาคานติดเข้าไปโครงสร้างก็ไม่คลอนแคลน ไม้ต่างๆ ที่เตรียมไว้ก็เหมาะลงตัว ไม่จำเป็นต้องตัดแต่งอีกเลย เป็นที่อัศจรรย์ยิ่งนัก

ศาลาทั้งหลังทำเสร็จด้วยความรวดเร็ว ศาลาหลังนี้ได้ใช้งานอยู่จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2518 หลวงปู่ฝั้นได้เปลี่ยนให้เป็นศาลาคอนกรีตทั้งหลัง สร้างเสร็จเรียบร้อยรวดเร็วด้วยความศรัทธาของญาติโยม

การบุกเบิกถ้ำขามครั้งนั้น พระพวง สุขินทริโย เป็นผู้ได้รับความไว้วางใจจากหลวงปู่ฝั้นให้ช่วยพัฒนาสถานที่แห่งนี้จนสวยงาม เหมาะสำหรับเป็นสถานที่สัปปายะสำหรับผู้ที่แสวงหาความสงบในการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน

22. ผจญฝูงควายที่จันทบุรี

ในช่วงที่ท่านพ่อลี วัดอโศการามมรณภาพลงนั้น พระพวง สุขินทริโยกับคณะก็ได้เดินทางไปคารวะศพท่านพ่อลีที่จังหวัดสมุทรปราการ หลังจากคารวะศพแล้วคณะก็ชวนพระพวงไปธุดงค์แถวจังหวัดจันทบุรี เพราะได้ข่าวว่าแถบจังหวัดจันทบุรี มีป่าไม้ที่อุดมสมบูรณ์เหมาะแก่การเดินธุดงค์เพื่อหาสถานที่ในการทำความเพียร ประกอบกับทางแถบจังหวัดจันทบุรี มีพระภิกษุที่เคยจำพรรษาอยู่ด้วยกันสมัยอยู่กับหลวงปู่ฝั้นหลายองค์ พระพวงคิดอยากจะไปเยี่ยมเพื่อน จึงได้ออกเดินทางไปจังหวัดจันทบุรีพร้อมกับคณะ

หลวงตาพวงเล่าให้ฟังว่า “เมื่อไปถึงจันทบุรีก็ไปพักที่วัดป่าคลองกุ้ง อยู่หลายวัน หลังจากนั้นก็ออกเดินทางต่อไปเพื่อไปเยี่ยมพระอาจารย์ถวิล ซึ่งเคยจำพรรษาร่วมกันสมัยอยู่วัดป่าภูธรพิทักษ์ ท่านอยู่ที่วัดยางระหงษ์ ก็เลยพาคณะที่เดินทางมาด้วยกันไปเยี่ยมพระอาจารย์ถวิล พักอยู่ที่นั่น 15 วัน พระอาจารย์ถวิลได้พาไปดูวัดเขาสุกิม ขณะนั้นพระอาจารย์สมชายเพิ่งจะไปบุกเบิกได้ใหม่ๆ ยังเป็นกระท่อมเล็กๆ ยังไม่ได้สร้างเป็นถาวรวัตถุเช่นทุกวันนี้

ต่อจากนั้นได้ทางไปเยี่ยมพระอีกรูปที่วัดเขาน้อย มีพระติดตามไปด้วย 3 รูป ลูกศิษย์ถือปัจจัยอีก 1 คน เดินทางโดยรถโดยสารแล้วก็ลงเดินทางด้วยเท้าต่อ ระหว่างทางก็พบกับชาวบ้านที่กำลังจะไปเก็บผลไม้ที่สวนใกล้ๆ วัดเขาน้อย ชาวบ้านได้อาสานำอัฐบริขารล่วงหน้าไปวัดให้ก่อน เพราะตนเองมีรถมอเตอร์ไซร์ พระพวงและคณะมิได้ขัดศรัทธา ให้ชาวบ้านนำอัฐบริขารล่วงหน้าไปก่อนเหลือแต่ย่ามสะพาย

พอเดินทางไปถึงทางแยกทางไปวัดเขาน้อย บริเวณดังกล่าวเป็นบริเวณทุ่งนาโล่งๆ ราวๆ 4-5 เส้น ข้างหน้าก็เป็นป่าสวนยางโล่งๆ ไม่ทราบว่ามีควายมานอนอยู่บริเวณดังกล่าวตั้งแต่เมื่อใด พอควายเห็นพระเดินมาหลายรูป มีจีวรสีสะดุดตาจึงวิ่งรี่เข้าใส่ บรรดาพระและลูกศิษย์ที่มาด้วยเห็นดังนั้นจึงออกวิ่งนำหน้าพระพวงในทันที

หลวงตาเล่าให้ฟังว่า “หลวงตาวิ่งไปได้ 2-3 ก้าว ก็คิดได้ทันทีว่า ถ้าวิ่งก็ตายเดี๋ยวนี้ เลยหันหลังกลับ มือล้วงไปในย่าม มีผ้าปูนั่งในย่าม เอามาแกว่งเป็นวงกลม ควายเห็นก็หยุดไม่มาทำอะไร หลวงตาก็ตกประหม่าขาสั่นยิกๆ ควายเองก็มีอารมณ์โกรธ มีลมพ่นออกจากจมูก ฟึด ฟัด ฟึด ฟัด ตลอดเวลา เป็นอยู่อย่างนี้ประมาณ 10 นาที ควายจึงเดินหันหลังกลับไปทุ่งนา”

สาเหตุที่หลวงตารอดพ้นจากภัยครั้งนั้นมาได้ หลวงตาเล่าให้ฟังต่อว่า “เพราะอะไรที่รอดมาได้ ก็เพราะเราไม่มีกรรมไม่มีเวร เรามีเมตตาสัตว์ ไม่เคยทำร้ายสัตว์ ไม่เคยฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ไม่เคยเป็นกรรมเป็นเวรซึ่งกันและกัน เราแผ่เมตตา มีเมตตาธรรม เป็นเกราะไม่ให้ควายมาชน เรียกอีกอย่างว่า พระธรรมย่อมรักษาผู้ปฏิบัติธรรม มีพระธรรมเป็นเกราะป้องกัน จิตใจของเขาก็อ่อน ไม่สามารถมาทำร้ายเราได้”

“หากดูจากประวัติของครูบาอาจารย์องค์อื่นๆ เช่น หลวงปู่ขาว อนาลโย หลวงปู่ชอบ ฐานสโม เดินธุดงค์ไปพบช้าง พบเสือในป่า ท่านเหล่านั้นก็ไม่มีอาวุธอะไรที่จะใช้ต่อสู้ ท่านมีแต่เมตตา ใช้อำนาจของเมตตาทำให้สัตว์ไม่ทำร้าย ครั้งนี้ก็เหมือนกัน เพราะอำนาจของเมตตา ทำให้สัตว์ไม่ทำร้ายเราได้”

หลวงตาเล่าให้ฟังว่า “เหตุการณ์ครั้งนี้เป็นเหตุการณ์ที่ตื่นเต้นที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิต ที่ไม่เคยลืม พระที่ติดตามไปด้วยก็พูดให้ฟังว่า ถ้าหากหลวงตาพวงไม่มาด้วย พวกกระผมคงตายไปแล้ว เพราะถ้าวิ่งหนี วิ่งไปไม่เท่าไหร่ควายก็วิ่งทัน ครั้งนี้เพราะหลวงตาเอาใจสู้ จึงรอดมาได้”

หลวงตายังพูดถึงหลวงปู่แหวน ตอนที่ท่านมีชีวิตอยู่ ก็มีบรรดาลูกศิษย์ที่เป็นทหารเข้าไปกราบนมัสการ แล้วก็ขอเหรียญ “เราสู้” ของหลวงปู่แหวน ซึ่งมีชื่อเสียงโด่งดังมาก หลวงปู่แหวนท่านให้ธรรมว่า เราสู้ นั้นหมายถึง เราสู้กิเลสตัณหา ความทุกข์ ความอยาก

กรณีควายไล่ในครั้งนี้ หลวงตาไม่มีศัตราวุธเลย มีแต่ศีลธรรมและเมตตาธรรมที่คอยสู้และสามารถเอาชนะควายเกเรได้

23. กลับบ้านศรีฐาน

ในช่วงที่จำพรรษาอยู่กับหลวงปู่ฝั้น ในพรรษาที่ 7 ขณะที่อยู่ที่ถ้ำขามได้ทราบข่าวจากบ้านศรีฐานว่าโยมบิดาป่วยหนักและเสียชีวิตลง แต่กว่าโทรเลขจะเดินทางไปถึงเวลาก็ล่วงเลยไปกว่า 1 สัปดาห์ พระพวงจึงได้กราบลาหลวงปู่ฝั้นกลับบ้านศรีฐานเพื่อบำเพ็ญกุศลให้โยมบิดา เมื่อกลับถึงบ้านศรีฐานพระพวงได้อยู่ดูแลจัดงานศพของโยมบิดาจนเรียบร้อย

ระหว่างนั้นเองพระอาจารย์บุญช่วย เจ้าอาวาสวัดบ้านศรีฐานใน กำลังบูรณะอุโบสถที่วัดอยู่ ด้วยความกตัญญูรู้คุณที่ท่านได้เคยสั่งสอนอบรมมา พระพวงจึงอยู่ช่วยงานพระอาจารย์บุญช่วย เพื่อจะได้บูรณะอุโบสถให้แล้วเสร็จ

หลังจากที่อยู่ช่วยบูรณะอุโบสถได้ประมาณหนึ่งเดือน พระอาจารย์บุญช่วยอาพาธด้วยโรคชรา พระพวงก็ได้อยู่ดูแลท่าน แต่อาการก็ไม่ดีขึ้น มีแต่ทรุดกับทรุด จนกระทั่งมรณภาพในอีกหนึ่งเดือนต่อมา วัดบ้านศรีฐานในขาดพระผู้ใหญ่ที่เป็นที่พึ่งของญาติโยม อุบาสก อุบาสิกาทั้งหลาย ชาวบ้านทั้งหลายจึงได้พร้อมใจกันนิมนต์ให้พระพวงอยู่จำพรรษาต่อไป

หลวงตาพวงเล่าให้ฟังว่า “ได้พิจารณาแล้วว่าญาติโยมทั้งหลายไม่มีที่พึ่งเพราะไม่มีพระผู้ใหญ่อยู่จำพรรษาเลย ก็เลยตัดสินใจจำพรรษาที่วัดบ้านศรีฐานในเวลาต่อมา”

“ในช่วงใกล้ๆ เข้าพรรษาในปีนั้น ก็ได้กลับไปลาหลวงปู่ฝั้นที่สกลนคร จริงๆ แล้วหลวงปู่ฝั้นท่านก็ไม่อยากให้มา เพราะหลวงตาเป็นกำลังสำคัญในการรับภาระหน้าที่ต่างๆ โดยเฉพาะการก่อสร้างวัดถ้ำขาม ซึ่งขณะนั้นกำลังเกณฑ์สามเณรและชาวบ้านช่วยกันสร้าง จึงจำเป็นต้องมีคนคอยดูแล”

“แต่ด้วยจำเป็นหลวงปู่ฝั้นก็ได้อนุญาตให้กลับมาจำพรรษาที่วัดบ้านศรีฐานใน ตามความประสงค์” นับจากนั้นหลวงตาพวงได้จำพรรษาอยู่ที่จังหวัดยโสธรตลอดมา

ช่วงเวลากว่า 10 พรรษา ที่พระพวงได้พัฒนาวัดบ้านศรีฐานในให้มีความเจริญรุ่งเรืองเป็นที่ศรัทธาของชาวบ้าน จนกระทั่งได้รับแต่งตั้งเป็นพระครูฐานานุกรมในราชทินนามที่ พระครูใบฎีกาพวง สุขินทริโย
 

_________________
ท่านสามารถฟังวิทยุเสียงธรรมหลวงตามหาบัวได้ทั่วประเทศ
และโทรทัศน์ดาวเทียมเสียงธรรมทั้งภาพและเสียงได้แล้วที่
http://www.luangta.com
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
วีรยุทธ
บัวทอง
บัวทอง


เข้าร่วม: 24 มิ.ย. 2005
ตอบ: 1790
ที่อยู่ (จังหวัด): สกลนคร

ตอบตอบเมื่อ: 28 มิ.ย.2007, 12:00 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

Image
หลวงตาพวง สุขินทริโย


24. สร้างเจดีย์หลวงปู่ฟ้ามืด

รายละเอียดในช่วงนี้เช่นเดียวกับที่หลวงตาบันทึกไว้ในส่วน อภินิหารพระครูฟ้ามืด

25. ไปอยู่วัดศรีธรรมาราม

ในพรรษาที่ 21 ของท่าน ประมาณปี พ.ศ. 2511 เนื่องจากวัดศรีธรรมาราม อ.ยโสธร จ.อุบลราชธานี (ในขณะนั้น) เจ้าอาวาสองค์เดิมมรณภาพลง ไม่มีผู้ใดดำรงตำแหน่ง คณะสงฆ์จังหวัดอุบลราชธานี พร้อมด้วยฆราวาสชาวอำเภอยโสธรนำโดยพระเทพกวี (นัด เสนโก) เจ้าคณะจังหวัดอุบลราชธานีในขณะนั้น ได้ไปอารธนานิมนต์พระอาจารย์พวงมาดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดศรีธรรมาราม พระอาจารย์พวงท่านได้พิจารณาเห็นว่าวัดศรีธรรมารามเป็นวัดสำคัญของอำเภอยโสธร จำเป็นต้องมีพระผู้ใหญ่เป็นหลักให้กับพระเณรและญาติโยมจึงได้ย้ายมาจำพรรษาที่วัดศรีธรรมาราม อ.ยโสธร จ.อุบลราชธานี พร้อมทั้งได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าคณะตำบลยโสธรดูแลคระสงฆ์อีกตำแหน่งหนึ่ง

วัดศรีธรรมารามตามคำจารึกจากแผ่นทองคำที่ขุดได้มีชื่อว่า วัดธรรมหายโศรก บ้างก็เรียก วัดท่าชี, วัดท่าแขก, วัดนอก, วัดสร่างโศรก สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2461 โดยพระสุนทรราชวงศาเจ้าเมืองขณะนั้นเป็นผู้สร้าง ได้เปลี่ยนชื่ออีกหลายครั้ง จนกระทั่งเปลี่ยนชื่อเป็นวัดศรีธรรมาราม จนกระทั่งปัจจุบัน

หลังจากที่ได้รับนิมนต์ไปอยู่ที่วัดศรีธรรมาราม อ.เมือง จ.ยโสธร หลวงตาเล่าให้ฟังว่า “เมื่อไปถึงทีแรกชาวเมืองยโสธรใส่บาตรพระเณรเพียงแต่ข้าวเปล่าๆ ประมาณสองปั้นหรือสองกำมือ หลวงตาได้พิจารณาเห็นว่าเป็นเพราะเจ้าอาวาสหรือพระผู้ใหญ่ไม่ได้บิณฑบาต ชาวบ้านจึงขาดศรัทธา จึงมีผู้สนใจในการทำบุญน้อย หลวงตาจึงออกบิณฑบาตด้วยตนเอง มิได้ขาด ถึงแม้ฝนจะตกก็ออกบิณฑบาตเป็นปกติ แม้ในวันพระ วัดต่างๆ ไม่ออกบิณฑบาต หลวงตาก็ยังคงพาพระเณรออกบิณฑบาตโปรดญาติโยมเป็นปกติ โดยไม่เลือกว่าเป็นวัดใด ถึงฝนจะตกแดดจะออกหลวงตาก็ยังไป จวบถึงวันนี้แม้อายุของท่านจะล่วงเลยเข้าสู่ปีที่ 75 ท่านก็ยังออกบิณฑบาตทุกวันมิได้ขาด ชาวเมืองยโสธรจะเห็นภาพที่คุ้นเคยของหลวงตาออกบิณฑบาตทุกๆ เช้าเป็นประจำทุกๆ วัน มิได้ขาด ชาวเมืองยโสธรก็มีศรัทธาใส่บาตรมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งปัจจุบันวันหนึ่งๆ ต้องเทบาตรออกถึง 4 ถึง 5 ครั้ง

ด้วยอานิสงค์ของการบิณฑบาตมิได้ขาด เมื่อได้อาหารมาก็นำมาเลี้ยงพระ เลี้ยงเณร เด็กเล็ก ตลอดจนชาวบ้านที่มีความลำบากก็ได้อานิสงค์จากข้าวก้นบาตรของหลวงตากันถ้วนหน้า หลวงตาพวงท่านเปรียบเทียบการให้ผู้อื่น หรือการให้ทานก็เหมือนกันสายน้ำที่มีไหลออกไปตลอดเวลา หล่อเลี้ยงผืนแผ่นดินให้ชุ่มเย็น เมื่อมีน้ำไหลออกก็ย่อมมีน้ำไหลเข้าเป็นธรรมดา เช่นเดียวกับการให้ทานยิ่งให้ก็ยิ่งได้ เฉกเช่นกับหลวงตาที่บิณฑบาตทุกวันก็สามารถเผื่อแผ่ถึงพระเณร ญาติโยม หากไม่รู้จักให้หรือทำทานก็เปรียบได้กับน้ำบ่อที่มีจำนวนจำกัด มีแต่จะแห้งขอดและเน่าเสียต่อไปในไม่ช้า หลวงตาได้ถือปฏิบัติการบิณฑบาตตลอดมาตั้งแต่อยู่ปฏิบัติกับพ่อแม่ครูบาอาจารย์จวบจนกระทั่งปัจจุบัน

นอกจากนั้น หลวงตาพวงยังมีอุบายพัฒนาจิตใจชาวเมืองยโสธร เพื่อให้เกิดความเลื่อมในศรัทธาในพระพุทธศาสนา โดยหากวัดทางสายปฏิบัติของหลวงปู่มั่น เช่น หลวงปู่แหวน หลวงปู่ขาว หลวงปู่ฝั้น หลวงปู่ชอบ ที่ใดจัดงาน หลวงตาก็จะชวนญาติโยมไปร่วมงานไม่ว่าไกลหรือใกล้ก็จะไป ด้วยเหตุดังกล่าวชาวเมืองยโสธรจึงเกิดความเลื่อมในศรัทธาในพระพุทธศาสนามากขึ้นเรื่อยๆ ชาวบ้านก็เข้าวัดทำบุญมากขึ้น ส่งผลให้เกิดความสงบสุขร่มเย็นในจังหวัดยโสธร นี่เป็นกุศโลบายการพัฒนาจิตใจที่แยบยลยิ่งนัก หลวงตาพวงมีความวิริยะอุสาหะอย่างในการพัฒนาจิตใจ จนได้รับรางวัลผู้ทำประโยชน์แก่พระพุทธศาสนา คือ ธรรมจักรทองคำ ในด้านเผยแผ่พระศาสนาจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ในปี พ.ศ. 2537

อีกทั้งหลวงตาพวงยังได้นำความเจริญมาสู่ศรีธรรมาราม จากเดิมมีที่ดินเพียง 3 ไร่ ปัจจุบันมีที่ดินกว่า 100 ไร่ ได้ก่อสร้างถาวรวัตถุต่างๆ มากมาย อาทิ สร้างหอไตร กุฏิพระสงฆ์จำนวน 33 หลัง ถนนคอนกรีตภายในวัด บูรณะพระอุโบสถ บูรณะศาลาการเปรียญ บูรณะหอไตร เป็นต้น จนได้รับยกย่องให้เป็นวัดพัฒนาตัวอย่างในปี พ.ศ. 2528 และยกฐานะเป็นวัดอารามหลวงในปี พ.ศ. 2532

26. สร้างวัดป่าใหม่นิคมพัฒนาราม

เดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2542 หลวงตาพวงได้กลับมาบ้านศรีฐาน บ้านเกิดของท่าน ได้ดำริที่จะสร้างวัดที่บ้านนิคม ต.กระจาย อ.ป่าติ้ว เพื่อให้ชาวบ้านได้พึ่งพิง

เดือนมิถุนายน พ.ศ. 2542 ท่านได้ย้ายมาจำพรรษาที่วัดป่าใหม่นิคมพัฒนารามแห่งนี้ จากเดิมมีที่เพียงป่าช้าบ้านนิคมที่รกร้างมานานเพียง 10 ไร่ ปัจจุบันสามารถขยายออกไปได้กว่า 80 ไร่ ด้วยบารมีของท่าน ลูกศิษย์ลูกหาทั้งหลาย ก็ติดตามมาที่วัดป่าใหม่นิคมพัฒนารามเพื่อช่วยท่านพัฒนาวัดแห่งนี้ ได้เงินเพื่อใช้ในการสร้างวัดกว่า 7 ล้านบาท ท่านพาชาวบ้านตัดถนน ต่อไฟฟ้า นำความเจริญมาสู่มาตภูมิของท่านเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังพาชาวบ้านเข้าวัดทำบุญ ปฏิบัติธรรม พัฒนาจิตใจให้มีความสงบร่มเย็น เป็นที่พึ่งของชาวบ้านแถบนั้น

ถึงแม้ว่าท่านจะดำรงสมณศักดิ์ถึงระดับท่านเจ้าคุณพระราชธรรมสุธี รองเจ้าคณะภาค 10 (ธ) อายุของท่านกว่า 75 ปีแล้ว ท่านก็ยังพาพระเณรในวัดบิณฑบาตทุกเช้าเป็นประจำทุกวัน อีกทั้งยังดูแลความเรียบร้อยภายในวัด ดูแลการก่อสร้างต่างๆ ด้วยตัวของท่านเองมิได้ขาด ท่านเป็นพระเถรานุเถระผู้ใหญ่ที่ทำงานหนักโดยไม่เห็นแก่ความเหน็ดเหนื่อยเป็นแบบอย่างที่ดีกับพระเณรรุ่นต่อๆ มาเป็นอย่างดี

27. ฝ้ายเจ็ดสีและวัตถุมงคล

นอกจากปฏิปทาและจริยวัตรอันงดงามของหลวงตาพวงและการถือปฏิบัติตามแนวทางสายพระป่าของพ่อแม่ครูบาอาจารย์ของหลวงปู่เสาร์และหลวงปู่มั่น อันที่เป็นที่รู้จักโดยทั่วไปแล้ว ยังมีฝ้ายเจ็ดสีและวัตถุมงคลของหลวงตาอีกอย่าง ที่เป็นที่ศรัทธาและรู้จักของพุทธศาสนิกชนโดยทั่วไป มิใช่เพียงแต่ชาวยโสธรเท่านั้น ชื่อเสียงของฝ้ายเจ็ดสีและวัตถุมงคลของหลวงตาขจรกระจายไปทั่วทุกสารทิศ มีญาติโยมหลั่งไหลมามิได้ขาด

ความเป็นมาของฝ้าย 7 สีซึ่งคงเอกลักษณ์เฉพาะตัวนั้นมีความเป็นมาตั้งแต่ 6-7 ปีที่ผ่านมา ชาวบ้านใน ต.สิงห์ อ.เมือง จ.ยโสธร ประกอบด้วยหมู่บ้านสิงห์ หมู่บ้านหนองขอน หมู่บ้านหนองเยอ หมู่บ้านนาสีนวล มีผีปอบ (หมายถึงบุคคลที่มีวิชาคาถาอาคม แต่ไม่ปฏิบัติตนอยู่ในศีลในธรรม แล้วเกิดร้อนวิชา) มารังควาน ชาวบ้านไม่มีที่พึ่ง จึงพากันมาหาหลวงตาพวง โดยชาวบ้านไปซื้อด้ายสายสิญจน์ จากตัวเมืองยโสธรเพื่อให้หลวงตาแผ่เมตตาให้ แล้วนำไปผูกข้อมือบ้าง ผูกคอบ้าง ผูกตามบ้านเรือนบ้าง ชาวบ้านชุดแรกๆ ที่ได้ไป ร่ำลือกันว่าสามารถป้องกันผีปอบได้ ต่อมาเมื่อข่าวแพร่สะพัดออกไปก็มีญาติโยมมาขอเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

ไม่นานนักชาวบ้านในตำบลสิงห์ เกือบทุกบ้านได้สายสิญจน์จากหลวงตาไป ผลที่สุดคนที่ถูกหาว่าเป็นปอบก็เสียชีวิต หลังจากนั้นมาก็ไม่มีผีปอบมารบกวนชาวบ้านอีกเลย เมื่อข่าวสะพัดออกไปอีก ชาวบ้านหมู่บ้านและตำบลอื่นๆ ก็เริ่มหลั่งไหลมาขอฝ้ายเจ็ดสีกันมิได้ขาด บางคนก็ขอให้ผูกข้อมือให้ ซึ่งการผูกข้อมือแต่ละคนต้องเสียเวลามาก ถ้าหากมีญาติมาพร้อมกันมากๆ ก็ยิ่งเสียเวลานาน เพราะหากคนหนึ่งได้รับการผูกข้อมือจากหลวงตาแล้ว คนอื่นๆ ก็อยากได้บ้าง ด้วยเหตุนี้ลูกศิษย์ของท่านจึงเห็นว่าการผูกด้ายสายสิญจน์เสียเวลานาน จึงได้นำเชือกไนลอนที่มีเจ็ดสีมาถวาย เพราะไนลอนเจ็ดสีนั้นสามารถทำเป็นวงๆ สำเร็จรูปไว้ก่อน เมื่อญาติโยมมาขอก็แจกได้เลยโดยไม่เสียเวลา

สาเหตุสำคัญอีกประการหนึ่งที่ทำให้ฝ้ายเจ็ดสีเป็นที่รู้จักของคนทั่วไปก็เพราะเหตุว่ามีชาวบ้านคนหนึ่งป่วยหนัก เป็นมะเร็งในระยะสุดท้าย ใกล้จะเสียชีวิตเต็มที ญาติได้มาขอฝ้ายเจ็ดสีจากหลวงตาไปผูกข้อมือเพื่อเป็นสิริมงคล แต่หลังจากนั้นอีก 3-4 วันคนป่วยคนนั้นก็เสียชีวิต ญาติจึงได้นำศพไปบำเพ็ญกุศล และนำไปเผา ปรากฏว่าศพไม่ไหม้ แม้ว่าจะใช้เวลาเผานานพอสมควรโดยใช้ถ่านถึงสองกระสอบแล้ว ศพก็เพียงแต่ดำเป็นตอตะโก ญาติของผู้ตายไม่ทราบจะทำอย่างไร นึกได้ว่าก่อนเผา ลืมถอดฝ้ายเจ็ดสีจากข้อมือศพ จึงได้มานิมนต์ หลวงตาพวงไปเผา หลวงตาก็รับนิมนต์ไปเผาให้ และให้นำถ่านมาอีกหนึ่งกระสอบ หลวงตาบอกว่า “ถ้าเผาไม่ไหม้เมื่อถ่านหมดกระสอบนี้แล้ว ก็ให้นำศพไปลอยแม่น้ำชีให้ปลากิน” แต่ทว่าในที่สุดศพก็ไหม้เป็นที่เรียบร้อย

ญาติของผู้ตายเลยนำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไปเขียนลงในหนังสือพิมพ์ ว่าฝ้ายเจ็ดสีของหลวงตาพวงยิงไม่เข้า เผาไม่ไหม้ เมื่อข่าวแพร่กระจายออกไปก็มีญาติโยมมาขอฝ้ายเจ็ดสีมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งไม่มีปัจจัยเพียงพอในการซื้อฝ้ายเจ็ดสีมาแจก

ในที่สุดบรรดาลูกศิษย์จึงต้องขออนุญาตหลวงตานำฝ้ายเจ็ดสีไปจำหน่ายเพราะต้องการทุนมาทำต่อไปให้เกิดการหมุนเวียน จวบจนปัจจุบันฝ้ายเจ็ดสีที่ได้แจกจ่ายไปมีเป็นจำนวนมากเทียบได้กับจำนวนบรรทุกของรถสิบล้อ 2-3 คันในช่วงเวลา 6-7 ปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ยังมีเหตุการณ์อื่นๆ อีกเป็นจำนวนมากที่ผู้ได้รับฝ้ายเจ็ดสีประสบด้วยตนเองจนร่ำลือต่อๆ กันไปแต่มิได้บันทึกไว้ ณ ที่นี้

ในส่วนของวัตถุมงคลอื่นๆ นั้น ก็มีเหรียญรุ่นแรกสร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2513 ในวาระโอกาสฉลองพัดยศ ในครั้งนั้นท่านรับแต่งตั้งเป็นพระครูอมรวิสุทธิ์ ซึ่งมีประมาณ สองพันเหรียญเท่านั้น ส่วนเหรียญรุ่นที่สองสร้างในช่วงที่หลวงตาพวงกำลังบูรณะวัดศรีธรรมาราม ซึ่งต้องใช้ปัจจัยเป็นจำนวนมากในการว่าจ้างรถดินมาถมที่ลุ่มน้ำท่วมขังภายในวัด ส่วนรุ่นอื่นๆ หลวงตาก็พิจารณาสร้างตามความจำเป็นเท่านั้น และทุกๆ ครั้งที่พยายามสัมภาษณ์เกี่ยวกับเรื่องวัตถุมงคลหลวงตามักไม่ให้ความสำคัญและเปลี่ยนเป็นเรื่องอื่นเสมอๆ ในส่วนประวัติการสร้างวัตถุมงคลรุ่นอื่นๆ ขณะนี้ลูกศิษย์ของท่านกำลังรวบรวมจัดพิมพ์อยู่ซึ่งแต่ละรุ่นที่สร้างก็มีที่มาและเหตุผลต่างๆ กันไปตามเหตุและปัจจัย

ผู้เขียนทราบอยู่เพียงรุ่นเดียวที่ท่านดำริให้ทำเอง คือเหรียญรูปไข่รุ่นที่ทำไปแจกญาติโยมในพิธีพุทธาภิเษกพระประธาน วัดป่าใหม่นิคมพัฒนาราม อ.ป่าติ้ว จ.ยโสธร ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2543 จำนวนห้าพันเหรียญ ซึ่งแจกให้กับผู้ร่วมพิธีหมดในวันนั้นนั่นเอง
 

_________________
ท่านสามารถฟังวิทยุเสียงธรรมหลวงตามหาบัวได้ทั่วประเทศ
และโทรทัศน์ดาวเทียมเสียงธรรมทั้งภาพและเสียงได้แล้วที่
http://www.luangta.com
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
วีรยุทธ
บัวทอง
บัวทอง


เข้าร่วม: 24 มิ.ย. 2005
ตอบ: 1790
ที่อยู่ (จังหวัด): สกลนคร

ตอบตอบเมื่อ: 28 มิ.ย.2007, 12:11 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

Image
หลวงพ่อคูณ ปริสุทฺโธ


28. หลวงพ่อคูณกล่าวถึงหลวงตาพวง

ชื่อเสียงของหลวงพ่อคูณ ปริสุทฺโธ แห่งวัดบ้านไร่ ต.กุดพิมาน อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา ย่อมเป็นที่รู้จักกันดีของคนไทยทั่วประเทศเพราะด้วยปฏิปทาที่เรียบง่าย สมถะและเมตตาแก่ทุกๆ คนที่ไปหา มิใช่แต่ชาวจังหวัดนครราชสีมาที่เลื่อมใสและศรัทธาท่าน ชาวยโสธรเองก็เช่นเดียวกันที่เลื่อมใสศรัทธาในวัตรปฏิบัติ และพากันไปกราบนมัสการหลวงพ่อคูณ เพื่อความเป็นสิริมงคล รวมทั้งขอวัตถุมงคลเพื่อคุ้มครองป้องกันภยันตรายต่างๆ มิได้ขาด

แต่ทุกๆ ครั้งที่ชาวยโสธรไปกราบนมัสการหลวงพ่อคูณนั้น หากท่านทราบว่าเป็นชาวยโสธรแล้วท่านจะไม่ยอมให้วัตถุมงคล และบอกว่าให้กลับไปเอาที่ยโสธร ท่านมักจะพูดว่า “ที่ยโสธรมีคนเก่งกว่ากูอีก ผมหงอกๆ ขาวๆ ที่อยู่ริมแม่น้ำชีนั่นแหละ”

เมื่อสัมภาษณ์หลวงตาพวงถึงเรื่องนี้ ท่านก็เล่าให้ฟังว่า “ก็เคยได้ยินมาจากญาติโยมหลายสิบคนแล้ว ที่เล่าให้ฟังเหมือนกันว่าเมื่อชาวยโสธรไปกราบหลวงพ่อคูณ ท่านมักจะไล่กลับมาหาหลวงตา”

“หลวงตาเองก็ไม่เคยได้พูดคุยกับหลวงพ่อคูณสักครั้งเดียว หลวงตาก็เคยไปวัดบ้านไร่มาสองครั้ง แต่ไม่เคยมีโอกาสพูดคุยกับท่านเพราะมีญาติโยมเป็นจำนวนมากจึงไม่มีโอกาสพูดคุยกัน หลวงพ่อคูณจะทราบได้อย่างไรก็ไม่ทราบหรืออาจเป็นเพราะมีลูกศิษย์เล่าให้ฟังถึงประวัติหลวงตากระมัง”

29. เดินข้ามแม่น้ำชี

มีเรื่องเล่าขานกันในหมู่ชาวบ้านแถบลำน้ำชีอันเป็นที่ตั้งของ วัดศรีธรรมารามซึ่งหลวงตาพวงเคยจำพรรษาอยู่ ฝั่งตรงข้ามของวันศรีธรรมารามเป็นหมู่บ้านที่อยู่ในเขตของอำเภอพนมไพร จังหวัดร้อยเอ็ด ชาวบ้านเล่ากันว่ามีคนออกไปเก็บกับดักหนูที่ดักไว้ในช่วงเช้ามืดได้เห็นหลวงตาพวงออกเดินบิณฑบาตโดยเดินบนแม่น้ำชีจากวัดศรีธรรมารามไปบิณฑบาตในหมู่บ้านฝั่งอำเภอพนมไพร

คุณสมจันทร์ โพธิศรี อยู่บ้านเลขที่ 68 บ้านกุดกุง (คุ้มหนองแสง) ต.เขื่อนคำ อ.เมือง จ.ยโสธร เล่าให้ฟังเป็นภาษาอิสานว่า “เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2538-2539 เช้าวันหนึ่งข่อยไปดักหนูป่าแมะ ได้เห็นหลวงตาพวงเพิ่นเดินข้ามแม่น้ำชีไปแมะ ข่อยนี้แหละเป็นผู้เห็นท่านเองเลย” (คัดจากหนังสือโลกทิพย์)

เมื่อถามเรื่องนี้กับหลวงตา หลวงตาก็ตอบว่า “เป็นเรื่องของเขาเห็นปรากฏในสายตา หลวงตาไม่ค้าน ไม่ได้ปฏิเสธ เขาคงเห็นด้วยสายตาของเขา จะเล่าลืออย่างไร หลวงตาไม่ได้พูด ไม่ได้อวดอะไร” แล้วหลวงตาก็เปลี่ยนเรื่องพูดถึงเรื่องหมู่บ้านในฝั่งอำเภอพนมไพรว่า "หลวงตาก็รับนิมนต์ไปสวดหรือไม่ก็ฉันที่หมู่บ้านฝั่งนี้เป็นประจำทุกวันออกพรรษาชาวบ้านทั้งหมู่บ้าน ก็พากันมามอบกายถวายตัวเป็นลูกศิษย์ มากราบขอพรเพราะพวกเขาไม่มีที่พึ่งในหมู่บ้าน เขาจึงมาพึ่งหลวงตา เมื่อมีการงานอะไรพวกเขาก็มาช่วยเสมอๆ แม้แต่มาอยู่ที่วัดป่าใหม่นิคมพัฒนาราม พวกเขาก็ยังมา”

อภินิหารพระครูฟ้ามืด

30. พระครูฟ้ามืด

หมู่บ้านศรีฐาน ต.ศรีฐาน อ.ป่าติ้ว จ.ยโสธร ตามประวัติเล่าสืบต่อกันมาว่า ชาวศรีฐานเหล่านี้ได้อพยพหนีภัยสงครามเมื่อเกิดศึกจราจลที่นครเวียงจันทร์ ชาวศรีฐานนี้ได้รวมมากับขบวนของพระวอและพระตา มีประชาชนพร้อมทั้งพระสงฆ์รวมกันเป็นกลุ่มใหญ่ มาตั้งชัยภูมิอยู่ที่เมืองหนองบัวลำภู ประมาณปี พ.ศ. 2315 พระเจ้าสิริบุญสาร เจ้ามหาชีวิตของลาว ผู้ครองนครเวียงจันทร์ได้มีบัญชาให้กองทหารกวาดล้างกลุ่มชนที่ไม่ยอมสวามิภักดิ์ด้วย กลุ่มชนเหล่านี้จึงได้ต่อสู้บ้างถอยบ้างลงมาเรื่อยๆ จนมาถึงดอนมดแดงก็ได้เป็นบ้านเป็นเมืองคือจังหวัดอุบล ฯ และเมื่อถึงที่ใดที่มีชัยภูมิดีมีแหล่งทำมาหากินก็จะได้ตั้งเป็นบ้านเป็นเมืองไปเรื่อยๆ ส่วนขบวนของท่านพระครูอังวะและท่านพระครูฟ้ามืดนี้ได้พากันตั้งทัพอยู่ที่ชายป่า ได้เรียกว่าหนองทัพมาจนทุกวันนี้ โดยได้ใช้วัดดงศิลาเลขเป็นศูนย์กลาง (แสดงว่าวัดดงศิลาเลขนี้มีมาตั้งแต่โบราณแล้ว)

เมื่ออยู่มาหลายปี เกิดอุทกภัยและภูติผีปีศาจรบกวน จึงพากันอพยพขึ้นมาบนที่ดอนที่ใกล้เคียงกัน เรียกว่าบ้านศรีฐานตามชื่อชุมชนเดิมของตนที่อยู่เวียงจันทร์ ได้สร้างวัดขึ้นมาเพื่อเป็นศูนย์รวมของชุมชน ให้ชื่อตามวัดเดิมของตนคือวัดศรีษะเกศ (ปัจจุบันคือวัดศรีฐานใน) จะสังเกตได้ว่าสิ่งปลูกสร้างในวัดนั้นไม่ว่าจะเป็นโบสถ์หรือเจดีย์ของหลวงปู่ฟ้ามืดองค์ก่อนนั้น ล้วนแต่เป็นศิลปะของลาวทั้งสิ้น รวมทั้งการแต่งกายก็จะเป็นลักษณะของชาวเวียงจันทร์คือผู้หญิงจะเกล้าผม นุ่งผ้าซิ่นลายมัดหมี่ มีเชิงทั้งบนและล่าง ดังนั้น หลวงปู่ฟ้ามืดนี้คงเป็นชาวลาวที่อพยพหนีภัยสงครามมาตั้งแต่ครั้งนั้นแล้ว จึงได้นำลูกหลานปลูกบ้านแปลงเมืองขึ้นมา คือ หมู่บ้านศรีฐานนี้เอง

พระครูฟ้ามืด ตามประวัติที่เล่าติดต่อกันมา ท่านมีความรู้ในด้านไสยศาสตร์และจิตศาสตร์ รู้วาระจิตของคนอื่น และสามารถรู้ภาษาสัตว์ต่างๆ เช่น รู้ภาษาของนก เป็นต้น ตัวอย่างคือ ในวันพระ ท่านมักจะเอาขันตักน้ำ แล้วท่านจะไปนั่งสาธยายมนต์อยู่ทางทิศเหนือของโบสถ์ ไม่นานนักก็มีนกชนิดต่างๆ บินมากินน้ำที่ขันของท่านถืออยู่ เมื่ออิ่มแล้วก็จะบินจากไป

บางครั้งท่านยังใช้สามเณรนำขันตักน้ำมาถวายท่าน แล้วท่านก็จะให้สามเณรนั่งอยู่ข้างหลังของท่านๆ ก็จะสาธยายมนต์เช่นเดิม ขณะที่นกบินลงมากินน้ำที่ขันของท่านที่ถืออยู่ ท่านก็จะถามสามเณรว่า เมื่อนกตัวนี้กินน้ำอิ่มแล้ว มันจะบินไปทางไหน เมื่อสามเณรตอบว่าไม่ทราบ ท่านก็จะบอกเองว่านกมันจะไปทางนั้น แล้วนกจะบินไปตามที่ท่านชี้บอก

อีกประการหนึ่งในวันตรุษสงกรานต์ในหน้าร้อน ตามประเพณีนิยมเมื่อถึงวันตรุษสงกรานต์นี้ ทายกทายิกาชาวบ้านทั้งหนุ่มและสาว พร้อมทั้งคนแก่เฒ่า จะพากันน้ำเอาน้ำอบน้ำหอมไปสรงพระพุทธรูปตามวัดต่างๆ เมื่อเสร็จแล้วจะนำน้ำอีกส่วนหนึ่งไปสรงท่านพระครูฟ้ามืดและพระเถระอื่นๆ ท่านพระครูฟ้ามืดก็จะแสดงอภินิหารทำให้ท้องฟ้ามืดลงราวกับกลางคืน ทั้งๆ ที่เป็นกลางวันเฉพาะในบริเวณวัด ชาวบ้านจึงได้เริ่มเรียกชื่อของท่านเอาตามนิมิตที่ได้เห็นนั้น จึงได้เรียกว่าพระครูฟ้ามืดมาจนทุกวันนี้ แต่ชื่อเดิมของท่านนั้นไม่ทราบชื่ออย่างไร

บางคราวท่านไปกิจนิมนต์นอกวัดหรือไปที่วัดอื่น ซึ่งเป็นระยะทางไกล ท่านจะเดินออกจากหมู่บ้าน พอพ้นเขตหมู่บ้านที่เป็นที่ลับตาคนแล้ว ท่านจะเอาผ้าอาบน้ำมาเสกคาถาเป่าลงที่ผ้าอาบน้ำ แล้วท่านจะเอามือลูบอีก 3 ครั้ง ผ้าอาบน้ำก็จะกลายเป็นเสือโคร่งตัวใหญ่ขนาดแปดศอก ท่านก็จะขึ้นขี่เป็นพาหนะ พอไปใกล้หมู่บ้านที่ท่านมีกิจนิมนต์มา ท่านก็จะลงจากหลังเสือ แล้วจะเอามือลูบหลังเสือ 3 ครั้ง เสือตัวนั้นก็จะกลับมาเป็นผ้าอาบน้ำเหมือนเดิม

ตามที่เล่ามานี้ข้าพเจ้าก็ได้ยินจาก ปู่ ย่า ตา ยาย คนเฒ่าคนแก่ได้เล่าให้ฟัง จะเท็จจริงอย่างไรก็ขอให้ผู้อ่านใช้วิจารณญาณเอาเอง

การที่ข้าพเจ้าได้เล่าประวัติของพระครูฟ้ามืด ก็เพราะท่านเป็นพระเถระที่มีความสำคัญ และเป็นเจ้าอาวาสวัดศรีฐานในที่พิเศษกว่าเจ้าอาวาสองค์อื่นๆ หลวงปู่พระครูฟ้ามืดนี้ท่านก็ได้มรณภาพในเพศสมณะ เป็นไปตามวัฏสงสารของธรรมชาติ เมื่อท่านมรณภาพ ศิษยานุศิษย์ก็ได้ช่วยกันจัดการฌาปนกิจอย่างสมเกียรติ

31. การสร้างเจดีย์

เมื่อพระครูฟ้ามืดมรณภาพแล้ว ก็เป็นการสูญเสียพระเถระที่สำคัญองค์หนึ่ง ซึ่งศิษยานุศิษย์และบรรดาผู้ที่มีความเคารพเลื่อมในในตัวของท่านพระครูฟ้ามืด ได้มีความคิดที่สร้างเจดีย์ไว้เป็นที่บรรจุอัฐิของท่านพระครูฟ้ามืดเพื่ออนุชนรุ่นหลังจะได้สักการะบูชา เพื่อเป็นการระลึกถึงคุณงามความดีของท่าน เมื่อสร้างเจดีย์ก็ได้บรรจุอัฐิ พร้อมกับสิ่งของที่มีค่าบรรจุไว้เพื่อเป็นการบูชาท่านพระครูฯ และเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา

เจดีย์ที่บรรจุอัฐิของท่านพระครูฟ้ามืดนั้น ได้สร้างอภินิหารมากมาย เช่น เมื่อเทศกาลการทำบุญเทศน์มหาชาติ หรืองานบุญบั้งไฟ ชาวบ้านได้จัดขบวนแห่ด้วยช้าง ด้วยม้า ถ้ามีการแห่เวียนรอบไปด้านหลังอุโบสถข้างเจดีย์พระครูฟ้ามืดแล้ว ช้างม้าเหล่านั้นจะไม่ยอมเดินต่อไปแม้จะเฆี่ยนตีเท่าไร ช้างม้าก็จะไม่ยอมเดินต่อไป ก็จะมีแต่เดินไปทางอื่น จะไม่ยอดเดินผ่านเจดีย์ เคยมีชาวบ้านได้เอาปืนไปทดลองยิงข้ามเจดีย์ เมื่อยิงแล้วกระสุนไม่ยอมออก กลายเป็นกระสุนด้าน แต่ถ้าหันปลายกระบอกปืนไปทางอื่น ปืนก็จะยิงออกตามปกติ แล้วหันปากกระบอกปืนมาทางเจดีย์ยิงแล้วปืนก็จะไม่ลั่นเหมือนเดิม

เจดีย์นี้จึงเป็นที่เคาระนับถือของชาวบ้านศรีฐานและชาวบ้านแถบนั้น เป็นที่สักการะบูชาในการประกอบพิธีกรรมทางศาสนา เช่น การสักการะตามวันสำคัญของศาสนา การขอขมาสิ่งศักดิ์สิทธิ์และเป็นที่ชาวบ้านได้อ้อนวอนต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เพื่อขอในสิ่งที่ตนต้องการ เจดีย์องค์นี้ถือว่า มีความสำคัญต่อชาวบ้านศรีฐานและชาวบ้านใกล้เคียง นับเป็นโบราณสถานที่สำคัญอีกแห่งหนึ่ง

32. เจดีย์ล้ม

เมื่อวันที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2507 ตรงกับวันอังคาร แรม 1 ค่ำ เดือน 10 ปีมะโรง ได้เกิดพายุโซนร้อนพร้อมทั้งฝนตกกระหน่ำลงมาอย่างหนักตลอดทั้งคืน พายุฝนได้พัดกระโชกเอาองค์พระเจดีย์หักพังสลายล้มลงทั้งองค์ โดยไม่มีส่วนติดต่อกันได้เลยอนิจาวตฺสังขารา ในโลกนี้ขึ้นชื่อว่าเป็นสังขารแล้วหาความยั่งยืนไม่มี จะเป็นสังขารที่มีใจครอบครองหรือเป็นสังขารที่ไม่มีใจครอบครองก็ตาม ย่อมจะแตกดับพังสลายกลายเป็นดินไม่วันใดก็วันหนึ่ง

เจดีย์หลวงปู่พระครูฟ้ามืดนี้ วัดฐานกว้าง 4 เมตร สูงจากพื้นจนถึงฉัตร สูง 8.50 เมตร สร้างด้วยอิฐถือปูน สร้างมาตั้งแต่ พุทธศตวรรษที่ 21 ได้คำนวณมาจากจารึกที่พบที่ฐานพระพุทธรูปเงินองค์หนึ่งที่ขุดได้จากฐานเจดีย์ เมื่อคำนวณจากคำจารึกตั้งแต่ปี พ.ศ. ที่สร้างมาจนถึงปีที่ขุดได้มีอายุ 407 ปี นอกจากนั้นไม่ชัดเจนเนื่องจากลบเลือนมาก

33. ขุดค้นเจดีย์

เมื่อวันที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2507 ข้าพเจ้าพร้อมด้วยทายกทายิกาชาวบ้านศรีฐาน นำโดยผู้ใหญ่เศียร วระพันธ์ ผู้เป็นผู้ใหญ่บ้านขณะนั้น มีความเห็นพ้องต้องกันว่า จะต้องตรวจค้นองค์เจดีย์ที่ล้มลง เพื่อตรวจดูสิ่งของที่บรรจุไว้ ถ้าปล่อยเอาไว้กลัวว่าจะมีคนมาลักลอบขุดค้นขโมยของไปเสียก่อน จึงได้ทำการขนย้ายเอาก้อนอิฐและดินออก แล้วขุดลงไปในบริเวณฐานรากเจดีย์

เมื่อขุดลงเสนอพื้นดินเดิม ก็ได้พบแผ่นหินปิดปากหลุมขนาดกว้าง 60 เซนติเมตร ยาว 1 เมตร ครั้นขุดเอาแผ่นหินที่ปิดอยู่ออกแล้ว ปรากฏว่าเป็นหลุมขนาดคนลงไปได้ ได้ค้นดูพบพระพุทธรูป 10 กว่าองค์ พร้อมทั้งสิ่งของอีกมากมาย แต่ได้กลายเป็นเหยื่อของปลวกและเปื่อยกลายเป็นดินเสียสิ้น ไม่เป็นชิ้นส่วนที่สมบูรณ์ เมื่อรื้อหลุมบนออก จะพบกับแผนหินอีกแผ่นหนึ่งซึ่งรองอยู่ข้างล่างหลุมบน

เมื่อขุดเอาแผ่นหินขึ้นมาก็พบไหที่มีขันสัมฤทธิ์ปิดครอบปากไห รอบๆ ไหมีดินทรายล้วนๆ ที่มีสีขาวบริสุทธิ์กลบไว้ เมื่อขุดไหขึ้นมาเปิดดูก็พบกับพระเงินจำนวน 200 กว่าองค์ ส่วนอัฐิของหลวงปู่พระครูฟ้ามืด ได้อยู่พื้นล่างโดยเอาไหทับเอาไว้ นี่คงจะเป็นความประสงค์ของหลวงปู่ฟ้ามืดที่ได้ดลบันดาลให้พวกเราทั้งหลายได้พบ และเป็นการที่จะเสริมบารมีของท่านอีกทอดหนึ่งและสิ่งของที่ได้พบภายใต้ฐานเจดีย์นี่ก็มีจำนวนมากมาย
 

_________________
ท่านสามารถฟังวิทยุเสียงธรรมหลวงตามหาบัวได้ทั่วประเทศ
และโทรทัศน์ดาวเทียมเสียงธรรมทั้งภาพและเสียงได้แล้วที่
http://www.luangta.com
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
วีรยุทธ
บัวทอง
บัวทอง


เข้าร่วม: 24 มิ.ย. 2005
ตอบ: 1790
ที่อยู่ (จังหวัด): สกลนคร

ตอบตอบเมื่อ: 28 มิ.ย.2007, 12:14 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

34. สร้างเจดีย์องค์ใหม่

เมื่อเจดีย์องค์เก่าได้หักพังลง ข้าพเจ้าจึงได้ประชุมปรึกษาหารือคณะกรรมการและชาวบ้าน ได้มีมติให้สร้างเจดีย์ขึ้นทดแทนองค์เก่าที่ได้พังสลายลง เพื่อเป็นที่สักการะของคนทั่วไปเหมือนเดิม และเพื่อบรรจุสิ่งของที่มีค่าที่ขุดขึ้นมาได้

การก่อสร้างเจดีย์องค์ใหม่ได้เริ่มลงมือก่อสร้างวางศิลาฤกษ์เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2508 เจดีย์องค์นี้สร้างด้วยคอนกรีตเสริมเหล็ก เป็นรูปทรงเจดีย์ย่อไม่สิบสอง มีซุ้มประตูเข้าภายในเจดีย์ 1 ซุ้ม ภายในเจดีย์เป็นที่โล่ง มีแท่นสำหรับตั้งพระประธานไว้เป็นที่สักการะบูชา เจดีย์มีฐานกว้างด้านละ 6 เมตร 40 ซ.ม. สูง 21 เมตร สิ้นเงินทั้งสิ้น 120,000 บาท (หนึ่งแสนสองหมื่นบาทถ้วน) รวมเวลาในการก่อสร้าง 11 เดือน

ทุนทรัพย์ที่ใช้สร้างเจดีย์นี้ได้มาจากการบริจาคของผู้มีจิตศรัทธาร่วมใจกันสมทบทุนในการก่อสร้าง พ.ศ. 2520 พระอาจารย์วัน อุตฺตโม วัดถ้ำอภัยดำรงธรรม (วัดถ้ำพวง) อ.ส่องดาว จ.สกลนคร ได้นำพระสารีริกธาตุมาบรรจุที่เจดีย์ มีประชาชนมาร่วมในพิธีครั้งนี้เป็นหมื่นๆ คน นับเป็นประวัติการณ์และเป็นสิริมงคลอย่างยิ่ง มีนายพีระศักดิ์ สุขสวัสดิ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดยโสธร คนที่ 2 เป็นประธานในพิธี

35. นิมิตก่อนงานฉลองเจดีย์

ก่อนงานฉลองเจดีย์ 5 วัน ข้าพเจ้าได้เกิดนิมิว่า มีพระสงฆ์รูปหนึ่งเดินเข้ามาหาข้าพเจ้าแล้งท่านก็บอกว่ามีพระพุทธรูปฝังไว้ที่หลังโบสถ์ ข้างเคียงกับเจดีย์ที่หักลง มีพระพุทธรูปเป็นจำนวนมากไม่สามารถบอกจำนวนได้ เมื่อท่านได้บอกแล้วพระภิกษุรูปนั้นก็หายไปทันที เมื่อข้าพเจ้าตื่นจากนิมิตก็ได้พิจารณานิมิตว่าจะเป็นจริงหรือไม่ แต่ก็ยังสงสัยอยู่ เมื่อรุ่งเช้าก็ได้สอบถามกับทายกทายิกาเรื่องการขุดค้นเจดีย์ว่า เอาสิ่งของขึ้นมาหมดหรือไม่ และที่ข้างเคียงได้ขุดดูหรือยัง ทายกทายิกาเหล่านั้นก็ได้ตอบว่า ได้ขุดเอาขึ้นมาหมดแล้ว ตั้งแต่เจดีย์ยังไม่ล้ม ข้าพเจ้าจึงไม่สงสัยอีก

36. หลวงปู่พระครูฟ้ามืดเข้าประทับทรง

เมื่อได้จัดงานฉลองเจดีย์ คือวันที่ 12-13 มีนาคม พ.ศ. 2511 เป็นงานสมโภชองค์เจดีย์ใหม่เป็นเวลา 3 วัน พอวันที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2511 ในตอนเช้า นางทรัพย์ ไวว่อง ภรรยาของนายทอง ไวว่อง (อดีตอาจารย์ใหญ่โรงเรียนบ้านศรีฐาน) ได้แสดงอาการโกรธกริ้วกำหมัดกัดฟันต่อว่าข้าพเจ้าและชาวบ้านว่าทำอะไรก็ไม่บอกไม่กล่าว ทำล่วงเกินไม่มีสัมมาคารวะ ไม่รู้จักทางขึ้นทางลง

ชาวบ้านเข้าไปถามว่าทางขึ้นทางลงคืออะไร นางทรัพย์ก็บอกว่า ทางขึ้นคือปีใหม่ตรุษสงกรานต์ ทางลงคือวันเพ็ญเดือน 3 เป็นต้นปีและท้ายปี นางทรัพย์บอกว่าต้องจัดเครื่องสักการะเพื่อเป็นการคารวะ นางทรัพย์ยังได้ต่อว่าข้าพเจ้าและชาวบ้านว่าละทิ้งฮีดสิบสองครองสิบสี่ ละทิ้งมาหลายปีแล้วไม่มีการทำบุญให้ทาน จัดงานขึ้นที่วัดก็ไม่บอกเล่า แล้วยังบอกว่า กูจะบิดท้องบิดไส้ให้สูตายทั้งบ้านทั้งวัด แต่กูก็ยังสงสารอยู่ตรงว่าจะไม่มีใครรักษาวัดวาอาราม ผู้คนที่ได้ยินต่างก็พากันขนลุกขนพอง จึงนึกถึงตอนเจ็บท้องในคืนนั้น คงเป็นเพราะท่านได้เตือนให้รู้สึกตัว ก็คือตอนกลางคืนนั้นภายในวัดทั้งภิกษุสารเณร ตลอดจนทายกทายิกาที่อยู่ภายในบริเวณวัด ต่างก็มีอาการเจ็บท้องกันแทบทุกคน ข้าพเจ้าคิดว่าคงเป็นเพราะกินอาหารแสลง ข้าพเจ้าเอง ก็รู้สึกปวดท้องเหมือนกัน แต่ก็ยังได้วิ่งหายาในตู้ยามาแจกแก่คนอื่นๆ จนยาไม่พอที่จะแจก ต่างก็พากันบ่นนานาประการ

ครั้นสว่างเป็นวันใหม่ ทุกคนก็หาย ไม่ถึงกับเป็นอันตราย บางคนไม่ได้กินยาอะไรก็หายไปเอง แล้วตัวแม่ทรัพย์เองได้บอกว่า ตัวท่านคือผู้เป็นใหญ่อยู่ในขอบเขตบริเวณบ้านศรีฐาน มีนามว่าหลวงปู่ฟ้ามืด เมื่อเป็นดังนั้น ชาวบ้านที่อยู่ในที่นั้นต่างก็พากันวิตกหวาดกลัว ต่างหาดอกไม้ธูปเทียนมาขอขมาลาโทษและจะยอมปฏิบัติตามทุกอย่าง ครั้งแรกท่านไม่ยอมรับขันที่ขอขมา ท่านได้บอกว่าให้ชาวบ้านไปหาผู้มารับใช้ปฏิบัติท่านในเวลามีเทศกาลมีงาน จะได้ให้คนที่ท่านพอใจไปขอขมาโทษหรือไปบอกเล่าเก้าสิบให้ท่านทราบเสียก่อน

มีชาวบ้านคนหนึ่งถามว่า ท่านจะเอาใครเป็นผู้ปฏิบัติรับใช้ หลวงปู่พระครูฟ้ามืดในร่างทรงได้บอกว่าพวกสูไม่รู้หรือว่าใครเป็นผู้มีศีลมีธรรม ผู้ถามก็ได้ถามอีกว่าใครมีศีลมีธรรมละ ท่านพระครูฟ้ามืดก็ได้ด่าเป็นการใหญ่ แล้วคณะชาวบ้านก็ได้เสนอชื่อบุคคลที่จะได้เป็นผู้ปฏิบัติรับใช้เป็นรายๆ หลายสิบคน ท่านบอกว่าท่านไม่ชอบ พอเอ่ยชื่อคนที่ท่านชอบคือ ข้าพเจ้า * ท่านก็ได้พยักหน้าให้แล้วก็ล้มนอนลงไปประมาณ 15 นาที ก็ลุกขึ้นมาพูดในทำนองบอกสอนเป็นเวลานานพอสมควร

37. เข้าทรงครั้งที่ 2

ชาวบ้านได้จัดหาพานดอกไม้ใหม่ตามที่ท่านได้แนะนำ โดยให้จัด 2 ที่ เมื่อนำมาแล้วได้เป็นที่ถูกใจอย่างมากและได้สูดดมดอกไม้เหล่านั้นอย่างพอใจ หลวงปู่ฟ้ามืดได้เข้าทรงร่างของแม่ทรัพย์เป็นเวลานานพอสมควร นับตั้งแต่เวลาฉันภัตตาหารเช้าจนกระทั่งถึงเวลาฉันภัตตาหารเพล จนกระทั่งไปชี้บอกที่จะให้ขุดเอาพระขึ้นมา จึงได้ออกจากร่างของแม่ทรัพย์ ไวว่อง

เมื่อหลวงปู่ฟ้ามืดออกจากร่างแม่ทรัพย์แล้ว จึงได้ลืมตาขึ้นมองหน้ามองหลังเห็นมีคนมุงล้อมรอบตัวเองอยู่ ก็มีความอาย จึงได้ลุกออกไปจากที่ชุมชนนั้นอย่างรวดเร็ว เพราะเกิดความอายว่าทำไมตัวเองจึงมาอยู่ท่ามกลางหมู่ชนในสถานที่แห่งนี้

38. พิธีจัดเครื่องสักการะ

เมื่อถึงวันสำคัญดังที่หลวงปู่ฟ้ามืดบอกไว้แล้ว ข้าพเจ้าและชาวบ้านได้จัดเตรียมเครื่องสักการะ คือเป็นพานดอกไม้ 2 พาน ที่มีจำนวนเครื่องสักการะต่างกัน คือ มีจำนวนดอกไม้ธูปเทียน 5 คู่ 1 พาน มีดอกไม้ธูปเทียนจำนวน 8 คู่ 1 พาน ชาวอีสานเรียกว่า ขัน 5 ขัน 8 ดอกไม้เป็นดอกบั่นทดและได้จัดอาหารที่เป็นขนมหวาน 1 สำรับ และได้จัดสำรับกับข้าวถวายพระประธานในโบสถ์เป็นประจำ

เมื่อหลวงปู่ฟ้ามืดมาเข้าทรงแม่ทรัพย์ ไวว่องอีกก็ยังดุข้าพเจ้าและชาวบ้านเหมือนเดิม ว่าไม่เอาใจใส่ของเก่าของแก่ ชาวบ้านก็พากันสงสัยได้ถามต่อไปว่าของเก่าของแก่ที่ว่านั้นคืออะไร ท่านจึงได้บอกว่าอยู่ที่หลังพระอุโบสถฝังไว้ที่เสาสั้นๆ ข้าพเจ้าจึงนึกได้ว่าสถานที่ๆ ท่านบอกนั้น ได้ตรงกับนิมิตก่อนที่จะได้จัดงานฉลองเจดีย์ ก็คือในนิมิตว่ามีพระสงฆ์มาบอกให้ไปขุดเอาพระที่อยู่หลังอุโบสถแล้วพระองค์นั้นก็หายไป

คราวนี้หลวงปู่ฟ้ามืดในร่างทรงของแม่ทรัพย์ได้ดุข้าพเจ้าอีกว่า กูบอกมึงแล้วไม่เชื่อ ได้มีชาวบ้านหลายคนในที่นั้นได้อ้อนวอนให้ท่านไปชี้บอกสถานที่นั้น เมื่อท่านชี้ก็ตรงกับสถานที่ที่พระบอกในนิมิตของข้าพเจ้า เมื่อท่านชี้บอกแล้วชาวบ้านก็ได้เตรียมวัสดุอุปกรณ์ขุดในทันที

เมื่อขุดได้ลึก 1 ศอก ก็ได้พบพระกัจจายนะที่สร้างด้วยศิลา สูงประมาณ 1 ฟุต จำนวน 1 องค์ ได้พบชื่อของพระสลักไว้ที่ฐานพระว่า พระองค์นี้มีนามว่าโมมา และได้ไปเข้าฝันของชาวบ้านว่า พระสังกัจจายนะองค์นี้ได้สร้างในสมัยพระนเรศวรมหาราช เมื่อขุดลงไปอีกก็ได้พบพระจำนวนมากเป็นพระปางต่างๆ วันนั้นได้สิ่งของมีค่าต่างๆ มากมาย เมื่อขุดเรียบร้อยแล้วจึงได้อัญเชิญพระและสิ่งของมีค่าต่างๆ ไปไว้ในเจดีย์องค์ใหม่ที่ได้สร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว และในวันนั้นชาวบ้านได้พร้อมใจกันนำน้ำอบน้ำหอมมาสรงพระสิ่งของที่ขุดได้ในวันนั้น

Image
หลวงพ่อพุธ ฐานิโย


39. ได้พระประธานองค์ใหม่

ในวันเดียวกันนั้น ท่านพระราชสังวรญาณ (หลวงพ่อพุธ ฐานิโย) ครั้งดำรงสมณศักดิ์ที่พระครูพุทธิสารสุนทร อดีตเจ้าคณะอำเภอวาริชำราบ (ธรรมยุต) วัดแสนสำราญ พร้อมด้วยทายกทายิกาได้ถวายพระพุทธรูป หน้าตักกว้าง 30 นิ้ว หล่อด้วยทองเหลือง ข้าพเจ้าและชาวบ้านจึงได้จัดรถไปรับมาในตอนเย็นวันนั้น ซึ่งขณะนี้ได้ประดิษฐานอยู่ที่ศาลาการเปรียญ เป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่พระพุทธรูปที่อยู่ใต้ดินและบนพื้นดินได้ดลบันดาลมารวมกันในวันเดียวที่สถานศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้

ในคืนวันนั้นข้าพเจ้านอนไม่ค่อยจะหลับ เพราะด้วยความปิติที่ได้พระศักดิ์สิทธิ์มาไว้สักการะบูชา และยังมีความสงสัยอยู่ในใจว่าคงจะต้องมีพระพุทธรูปและสิ่งของจำนวนมากที่ฝังอยู่ในดินภายในบริเวณนั้น เมื่อรุ่งเช้าตรงกับวันที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2511 ข้าพเจ้าจึงได้ให้ชาวบ้านขุดอีกทีหนึ่งซึ่งตรงกันข้ามกับที่ขุดเมื่อวานนี้อยู่ข้างเจดีย์องค์เก่าทางทิศตะวันตก พอขุดลงไปลึกเท่ากับวันวานนี้ ก็ได้พบพระจำนวนมาก ส่วนมากจะเป็นพระผงและพระว่านเป็นพิมพ์แตกต่างกันออกไปจำนวนประมาณ 10,000 องค์ และยังได้พระศิลาอีกประมาณ 10 กว่าองค์

วันนี้ชาวบ้านได้ยินข่าวว่าได้ขุดพระขึ้นมามากมาย จึงหลั่งไหลมาทั่งจตุรทิศทั้งกลางวันและกลางคืน คณะกรรมการหมู่บ้านและของวัดจึงนำเอาพระที่ขุดมาได้ มาตั้งไว้ที่ปะรำพิธีหน้าเจดีย์องค์ใหม่ เพื่อให้ประชาชนที่มา ได้เข้าชมและนำเครื่องมาสักการะบูชา ประชาชนที่ได้เข้าชมพากันอยากจะได้พระเหล่านั้นไปสักการะบูชา คณะกรรมการจึงได้ประชุมกันหารือในเรื่องนี้ และได้มีมติให้มีการจัดงานสมโภชอีกคืนหนึ่ง

จึงกำหนดเอาวันที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2511 ตรงกับแรม 12 ค่ำ เดือน 4 ก่อนวันงานสมโภช ได้จัดขบวนแห่พระพุทธรูปที่ขุดได้ แห่ไปรอบๆ หมู่บ้านต่างๆ ในวันที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2511 เข้าไปยังบ้านกระจาย บ้านหนองคู อำเภอยโสธร ในวันที่ 19-20 มีนาคม พ.ศ. 2511 ได้จัดขบวนแห่ไปยัง บ้านนิคม, เชียงเครือ, คำบ่อสร้าง, ม่วงไข่, ป่าติ้ว, น้ำปลีก และกลับมา การแห่พระพุทธรูปนี้ก็เพื่อให้ประชาชนได้สักการะบูชาและอนุโมทนาให้ได้รู้ข่าวอันประหลาดของพระอันศักดิ์สิทธิ์นี้และเป็นการบอกข่าวงานสมโภชพระด้วย

40. บันทึกเสียงไม่ติด

ครั้นเวลาต่อมา มีผู้ที่อยากจะเห็นสิ่งของและพระที่ขุดขึ้นมา โดยได้ทราบข่าวที่เล่าลือออกไป จึงอยากจะเห็นด้วยสายตาของตนเอง จะเป็นจริงหรือไม่อย่างไร เมื่อเห็นแล้วจึงเกิดความปิติดีใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้เห็นได้พบ จึงได้นำเทปคาสเส็ทบันทึกเสียง มาขอนิมนต์ให้ข้าพเจ้าเล่าประสบการณ์ที่ขุดพระขึ้นมา ข้าพเจ้าจึงได้เล่าเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกี่ยวกับการขุดพระตั้งแต่ต้นโดยได้อัดเทปไปด้วย

เมื่อเล่าเหตุการณ์โดยการบันทึกเสียงเสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงได้ลองเปิดดูปรากฏว่าไม่มีเสียงที่ได้บันทึกไว้ จึงได้ลองอัดบันทึกอีกสามสี่ครั้งก็ยังไม่ติด เข้าใจว่าเครื่องบันทึกเสียงคงจะเสีย จึงลองเอาวิทยุมาเปิดแล้วบันทึกเอาเสียงจากวิทยุนานพอสมควร เมื่อเปิดดูแล้วเสียงต่างๆ ที่ได้บันทึกจากวิทยุได้ดังดีตลอดไม่เสียหาย ชาวบ้านก็ได้ฟังได้เห็นในเหตุการณ์นั้นก็เป็นที่อัศจรรย์ใจและไม่กล้าที่จะบันทึกต่อไป เพราะเข้าใจว่าหลวงปู่ฟ้ามืดท่านคงไม่อนุญาตในการบันทึกเสียง

ท่านคงอยากให้ข้าพเจ้าเล่าด้วยตัวของข้าพเจ้าเองจึงจะมีคนเชื่อถือ เพราะถ้าอัดเทปไปใครอยากจะอัดบันทึกเสียงก็มีความประสงค์ว่า เวลามีคนมาถามถึงเรื่องนี้แล้วข้าพเจ้าจะได้ไม่ต้องเล่าให้เหนื่อยซ้ำๆ ซากๆ ใครอยากจะรู้ก็ให้เปิดเทปฟังก็พอแล้ว การบันทึกเสียงในครั้งนั้นจึงไม่สำเร็จตามความประสงค์
 

_________________
ท่านสามารถฟังวิทยุเสียงธรรมหลวงตามหาบัวได้ทั่วประเทศ
และโทรทัศน์ดาวเทียมเสียงธรรมทั้งภาพและเสียงได้แล้วที่
http://www.luangta.com
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
วีรยุทธ
บัวทอง
บัวทอง


เข้าร่วม: 24 มิ.ย. 2005
ตอบ: 1790
ที่อยู่ (จังหวัด): สกลนคร

ตอบตอบเมื่อ: 28 มิ.ย.2007, 12:18 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

41. พิธีขุดใบเสมาที่วัดดงศิลาเลข

เมื่อขุดพระศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาได้แล้ว 2 วัน ข้าพเจ้าอยากได้ใบเสมาที่วัดร้าง คือที่วัดดงศิลาเลข ซึ่งเป็นวัดเก่าแก่มาช้านานแล้ว มีมาแต่โบราณ ปัจจุบันไม่มีอะไรเป็นหลักฐานหลงเหลือนอกจากใบเสมาเท่านั้น ถ้าเช่นนั้นคงไม่รู้ว่าสถานที่แห่งนี้เคยเป็นวัดมาก่อนและบริเวณนี้ก็เป็นที่ทำไร่ทำนาของชาวบ้าน จะเหลือที่ก็คือที่ใบเสมาตั้งอยู่

ในตอนบ่ายของวันที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2511 ข้าพเจ้าก็ได้ชักชวนชาวบ้านและทายกทายิกา ทีแรกก็ชวนประมาณ 50-60 คน แต่พอไปจริงๆ ก็ประมาณ 300 คน อาจจะเป็นเพราะรุกขเทวดามาดลบันดาลให้ผู้คนไปร่วมพิธีในครั้งนั้น เมื่อไปถึงแล้วก็ได้ทำพิธีขอใบเสมาจากรุกขเทวดาผู้ปกปักรักษาใบเสมาแห่งนี้ เมื่อทำการขอแล้วก็ได้ขุดเอาไปเสมาได้ทั้งหมด 9 ใบ ในวันนั้นสามารถนำเอาใบเสมา มาที่วัดได้โดยนำขึ้นรถยนต์ได้เพียง 2 ใบก็ค่ำพอดี แล้วก็ได้จัดขบวนแห่ด้วยฆ้องกลอง กว่าจะถึงวัดศรีฐานในก็ประมาณทุ่มเศษแล้วจึงย่ำฆ้องกลองเอาชัย

ในวันรุ่งขึ้น ข้าพเจ้าติดธุระทางวัดจึงไม่ได้ไปเอง มีทายกทายิกาและชาวบ้านไปขนเอาใบเสมาที่เหลืออยู่อีก 7 ใบ ที่ยังเอามาไม่หมด เมื่อไปถึงแล้วก็ไม่ได้ทำพิธีใดๆ อีก เพราะว่าได้กระทำแล้วในวานนี้ แต่ก็ได้เอาฆ้องเอากลองไปแห่มาเหมือนเดิม มีชาวบ้านคนหนึ่งชื่อ นายทุย พรมบุตร บ้านนิคม มีน้องชายชื่อนายทองคำ พรมบุตร มีภรรยาอยู่ที่บ้านศรีฐานได้ป่วยมาเป็นเวลานานสันนิษฐานว่าสาเหตุที่ป่วยนั้นคือ ภูติผีปีศาจมารบกวนมีอาการพูดเพ้อละเมอต่างๆ โดยไม่รู้สึกตัว ในวันนั้นมีอาการหนัก นายทุย พรมบุตร ผู้เป็นพี่ชายได้มานิมนต์อาตมาที่วัดไปดูอาการป่วยของนายทองคำด้วย ดังนั้นข้าพเจ้าจึงไม่ได้ร่วมในการขนย้ายใบเสมา

นายทุยได้ให้ข้าพเจ้าทำน้ำมนต์ เพื่อจะได้ประพรมให้นายทองคำ เพื่อว่าอาการป่วยจะได้ทุเลาบ้าง เมื่อข้าพเจ้าเดินทางมาถึงบ้านนายทองคำแล้ว ปรากฏว่านายทองคำได้ทุเลาจากอาการป่วยบ้างแล้ว และกำลังนั่งทานอาหารอยู่ เมื่อทานเสร็จแล้วนายทองคำได้มากราบข้าพเจ้าๆ จึงได้ถามอาการป่วยเป็นอย่างไร นายทองคำได้เล่าให้ฟังว่า ตอนที่นายทองคำนอนหลับนั้นได้มีปีศาจจำนวน 5 ตน โดยมีตัวหนึ่งเป็นหัวหน้ามีนามว่า วีระ ได้อพยพมาจากภูเขาไฟโดยมความต้องการที่จะหาผู้ไปรับใช้ จึงมาฉุดลากนายทองคำไป แต่นายทองคำก็ได้ขัดขืนต่อสู้กับพวกปีศาจ ปรากฏว่าพวกปีศาจถูกนายทองคำเตะตายไปหนึ่งตน บาดเจ็บอยู่ 2 ตน จึงเหลือที่สู้กับนายทองคำอยู่ 2 ตน และพยายามฉุดลากนายทองคำจะเอาไปให้ได้

เมื่อข้าพเจ้าสอบถามพอสมควรแล้ว จึงได้ทำน้ำพระพุทธมนต์และประพรมให้กับนายทองคำ เมื่อประพรมน้ำมนต์เสร็จแล้ว นายทองคำบอกว่าเหนื่อยจึงได้ล้มตัวลงนอน ข้าพเจ้าจึงได้มาคุยกับชาวบ้านที่ได้มาเยี่ยมอาการป่วยของนายทองคำ เมื่อได้สอบถามอาการป่วยของนายทองคำกับญาติๆ ได้ประมาณ 20 นาที พอดีขบวนแห่ใบเสมา ที่มาจากวัดดงศิลาเลขเป็นเที่ยวสุดท้าย

ในวันนี้ได้ขนใบเสมา 2 เที่ยว พอขบวนแห่ใบเสมาจวนจะผ่านหน้าบ้านนายทองคำ นายทองคำซึ่งนอนหลับตาอยู่ได้พูดเป็นภาษาของพระที่ว่า อาตมามาแล้วนะโยม ได้มีชาวบ้านเป็นผู้หญิงคนหนึ่งนั่งอยู่ตรงหน้าข้าพเจ้าเป็นคนที่ฉลาดและนึกในใจว่า ทำไมนายทองคำจึงได้ใช้ภาษาพระเช่นนี้ ก็ได้ถามขึ้นไปว่า ท่านมาจากไหน นายทองคำก็ยังได้ตอบเป็นภาษาพระสงฆ์ที่ใช้เหมือนเดิมว่า อาตมาติดตามมากับขบวนแห่ใบเสมามาตั้งแต่เมื่อวานนี้ยังไม่ได้กลับ เมื่อคืนนี้ก็พักอยู่กับท่านพระครู วันนี้เลยติดตามไปเอาใบเสมาและช่วยขนขึ้นรถจึงทำให้ไม่หนัก แต่เมื่อวานนี้ไม่ได้ช่วยยกก็เลยหนักกว่าวันนี้ อาตมาได้ติดตามมาดูว่าที่พระครูและชาวบ้านที่ได้ไปขอใบเสมาจากอาตมานั้น ท่านจะเอามาประดิษฐาน ณ ที่ใด สมควรหรือไม่ วันนี้อาตมาก็มากับขบวนแห่อีกครั้งหนึ่งคงจะยังไม่กลับ วันนี้คงค้างคืนที่วัดกับท่านพระครู อาตมาก็ได้เดินดูรอบๆ วัด ดูแล้วรู้สึกว่ากว้างขวางสะอาดสะอ้านดี

42. นอนหลับสนิทย่อมไม่มีนิมิตอะไร

พระที่เข้าทรงร่างของนายทองคำ พรมบุตร ยังได้บอกว่า เมื่อคืนนี้อาตมาได้เดินดูพระและสิ่งของมีค่าที่ขุดขึ้นมา ในปะรำพิธีที่หน้าพระเจดีย์ เห็นมีโยมผู้หญิงประมาณ 20 กว่าคน นอนเฝ้าพระเกลื่อนกลาดเต็มไปหมด อันที่จริงแล้วนับตั้งแต่ขุดพระและของมีค่าขึ้นมา ก็ได้มีชาวบ้านทายกทายิกาได้มานอนเฝ้าอยู่เป็นประจำ เพราะยังไม่ได้ถึงวันงานที่จะสมโภช และร่างทรงก็ได้พูดไปอีกว่า โยมผู้หญิงที่พากันไปเฝ้าพระและสิ่งของมีค่านั้น ไม่ได้พากันภาวนามีแต่ภาวนอน ชาวบ้านก็ได้พากันหัวเราะ แล้วโยมผู้หญิงคนนั้นก็ได้เอ่ยปากถามต่อไปว่าท่านพระครูก็ได้มานั่งอยู่ที่นี่แล้ว ท่านอยากจะสนทนากับพระคุณเจ้าด้วย

ขณะนั้นข้าพเจ้าเข้าใจว่า ผู้ได้มาทรงร่างของนายทองคำนั้น คงจะเป็นพระที่มาจากวัดดงศิลาเลขและเป็นเจ้าของใบเสมา ข้าพเจ้าจึงได้เอ่ยบอกว่า เกล้ากระผมรอคอยนานแล้วต้องการอยากจะพบและสนทนาด้วย ร่างทรงนายทองคำก็ได้เอ่ยมาว่า จะถามอะไรก็นิมนต์เถิด เพราะผมจะรีบไปเอาใบเสมาลงจากรถกลัวว่าญาติโยมเขาจะเอาลงไม่ได้ ข้าพเจ้าจึงบอกว่าไม่ต้องเป็นห่วงหรอก มาพบกันใหม่ๆ ยังไม่คุยกันเลย กระผมขอนิมนต์ท่านไว้ก่อน

ข้าพเจ้าจึงได้ถามชื่อของท่าน ท่านบอกว่า ผมชื่ออาจารย์ทน ข้าพเจ้าถามต่อไปอีกว่า ท่านอยู่องค์เดียวหรือหลายองค์ขอรับ ท่านบอกว่าอยู่ด้วยกันสององค์ ชื่อว่าอาจารย์เงียบ เป็นลูกศิษย์ ข้าพเจ้าถามต่อไปอีกว่า อาจารย์มีพรรษาเท่าไหร่แล้ว ท่านบอกว่าผมมีอายุ 800 ปี พรรษาได้ 700 ส่วนองค์ที่ 2 ลูกศิษย์ พรรษาได้ 500 พรรษา ท่านไม่ได้บอกอายุ เกิดอยู่ที่เมืองกลิงคลาด (เมืองพราหมณ์ทั้ง 8 ที่มาขอช้างพระเวสสันดร) เป็นคนสมัยโบราณที่สูงแปดศอก

ข้าพเจ้าได้ถามต่อไปอีกว่า วัดดงศิลาเลขเป็นวัดที่ท่านสร้างเองหรือใครเป็นผู้สร้าง ท่านตอบว่าท่านสร้างเอง จะเป็น พ.ศ. เท่าไหร่นั้นจำไม่ได้แล้ว เพราะที่จารึกไว้มันลบเลือนไปหมดแล้ว ข้าพเจ้าถามต่อไปอีกว่า ที่วัดอาจารย์มีบ้านมีเมืองอยู่ไหม ท่านบอกว่ามี แต่เป็นพวกภูติผีปีศาจ ข้าพเจ้าถามต่อไปอีกว่าบ้านเมืองเขาใหญ่แต่ไหน ท่านก็บอกว่าก็ขนาดอำเภอยโสธรนั่นแหละ ท่านยังพูดต่อไปอีกว่า เขาก็มีรถขี่เหมือนกันกับมนุษย์ ไม่เห็นหรือ เวลารถเขาวิ่งไปตามทุ่งนามันมีลมและควัน ใบไม้ปลิวเป็นฝอยไปตามหลังรถของเขา ข้าพเจ้าตอบไปว่าเห็นแต่ควันไม่เห็นรถ

ข้าพเจ้าได้ถามต่อไปอีกว่า พวกปีศาจเขาไปทำบุญสุนทานกันบ้างหรือเปล่า ท่านตอบว่า เขาไม่รู้จักวัดวาศาสนาหรอก ไม่รู้จักรักษาศีลกินทาน แล้วท่านฉันอะไรเล่า ท่านบอกว่าไม่ได้ฉันข้าวมานานแล้ว ข้าพเจ้าถามต่อไปอีก ท่านไม่ฉันข้าวแล้วฉันอะไรแทน ท่านบอกว่าต้องหมั่นเสกใบไม้ฉัน ขณะนี้ซูบผอมเต็มที่แล้ว ผอมจนหัวเข่าเป็นฆ้องกลอง เนื่องจากไม่มีใครไปทำบุญทำทาน เห็นแต่พวกชาวนาพากันหาบข้าวหาบปลาไปนาไปไร่ เข้าใจว่าจะนำอาหารมาถวาย แต่แล้วก็ผ่านมาเฉยๆ

ข้าพเจ้าได้ถามต่อไปอีกว่า ทำไมท่านจึงได้อยู่ที่นั่น ท่านได้ตอบว่า เพราะเป็นห่วงสิ่งของ กลัวคนจะไปขุดเอาสิ่งของ พอได้ยินว่ามีสิ่งของยังอยู่ใต้ดิน ข้าพเจ้าได้นำสมุดพกออกมาจากย่ามเพื่อจดบันทึกไว้ แล้วข้าพเจ้าได้ถามต่อไปอีกมากเท่าไหร่ ท่านได้ตอบว่ามีจำนวน 4 ลัง ข้าพเจ้าถามอีกว่าเป็นลังไม้หรือลังอะไร ท่านตอบเป็นลังก่อด้วยอิฐ ปิดด้วยหินทำเป็นชั้นๆ ขึ้นมา ข้าพเจ้าถามท่านต่อไปอีกว่า ฝังไว้ลึกเท่าไร ท่านตอบว่าฝังไว้ลึกประมาณ 2 เมตรครึ่ง

ที่ข้าพเจ้าได้ถามนั้นก็เพราะว่าต้องการอยากจะทราบว่า พระอาจารย์ท่านที่กำลังเข้าทรงร่างนายทองคำ พรมบุตรนั้น ได้พูดจริงหรือเท็จอย่างไร ส่วนรายการสิ่งของที่จดบันทึกไว้นั้น ข้าพเจ้าไม่ได้เอามาลงในหนังสือเล่มนี้

43. กลองหมากแข้ง

สิ่งของที่ฝังไว้ในวัดดงศิลาเลขที่หลวงปู่ทน หลวงปู่เงียบเฝ้าอยู่นั้น สิ่งที่สำคัญอีกชิ้นหนึ่งก็คือกลองหมากแข้ง กลองใบนี้เป็นกลองศักดิ์สิทธิ์ มีอิทธิฤทธิ์ศักดา อานุภาพมาก ไปๆ มาๆ ไม่อยู่กับที่ บางทีก็ไปที่หนองหาร หนองคาย บางทีก็อยู่กับที่ บางทีก็หายไป ข้าพเจ้าจึงได้ถามว่า กลองใบนี้มีขนาดใหญ่น้อยเท่าไร หลวงปู่ทนในร่างทรงก็ตอบว่า ใหญ่เท่ากระด้ง มีความหนา 1 คืบ ข้าพเจ้าจึงถามต่อไปอีก ทำด้วยวัสดุอะไร หลวงปู่ทนตอบว่า ทำด้วยทองคำ ไม่ได้หุ้มหน้าด้วยหนังวัวอย่างกลองธรรมดาสามัญ หน้ากลองหุ้มด้วยทองคำทั้ง 2 ข้าง

ข้าพเจ้าถามว่าเคยตีบ้างหรือเปล่า หลวงปู่ตอบเคยตีในเวลาจำเป็น คือ เวลาที่มีการมีงาน จะต้องเรียกพลพยุหเสนาเรียกพลพหลโยธาให้มารวมกัน สามารถตีเอาอะไรก็ได้ทั้งนั้น แต่ไม่ใช่ว่าจะเอาโบสถ์เอาศาลาแล้วจะผุดขึ้นมา แต่เป็นการตีรวม ให้มีผู้คนมาช่วยทำงานให้มากๆ เช่น การสร้างสถานที่สำคัญๆ คือ การสร้างธาตุพนม ตีแล้วคนจะมาช่วยกันก่อสร้าง กลองใบนี้เห็นทีท่านพระครูท่านจะไม่ได้ เพราะเป็นกลองมีฤทธิ์เคลื่อนที่ได้เอง

44. โยมขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์

เมื่อหลวงปู่ทนท่านได้พูดถึงสิ่งของที่มีอยู่ในลัง ที่ได้ฝังไว้ที่วัดดงศิลาเลข ชาวบ้านที่อยู่ ณ ที่นั้นก็ได้เงียบฟังท่านเล่าอย่างตั้งอกตั้งใจ ครั้นข้าพเจ้าได้สอบถามหมดในเรื่องสิ่งของต่างๆ ที่ท่านเฝ้าอยู่ ก็ได้มีโยมผู้หญิงคนหนึ่งพูดไปว่า ให้โยมขอแบ่งสักอย่างได้มั๊ย ท่านตอบมาว่า พวกโยมเอาไปไม่ได้หรอก เพราะพวกโยมไม่มีศีลธรรม ถ้าให้พวกโยมๆ ก็จะแย่งกันและรักษาสิ่งของนั้นไม่ปลอดภัย แล้วโยมผู้หญิงคนนั้นก็ได้ถามต่อไปอีก ถ้าไม่ให้พวกโยมแล้วจะให้ใคร ท่านตอบว่า จะให้ท่านพระครูที่นั่งคุยกับอาตมาอยู่นี่ เพราะท่านเป็นผู้มีศีลธรรม

แล้วโยมผู้หญิงคนนั้นก็ได้ถามต่อไปอีกว่า แล้วเมื่อไหร่ท่านจึงจะให้ หลวงปู่ทนบอกว่า วันไหนจะให้ จะมาบอกในนิมิตของพระครูเอง แล้วอาตมาจะขนขึ้นมาจากลัง มาตั้งไว้ให้ให้ท่านพระครูเอารถไปขนเอาเลย จะไม่ให้ท่านพระครูต้องลำบากในการขุดหา ในวันที่ท่านพระครูพาญาติโยมไปขอเอาใบเสมา ท่านไม่ได้ขอสิ่งของ ท่านขอเฉพาะใบเสมาอย่างเดียว อาตมาจึงยังไม่ให้

หลวงปู่ทนยังได้พูดต่อไปอีกว่า ถ้าอาตมาถวายของให้แก่ท่านพระครูแล้ว ขอให้ท่านพระครูสร้างพระธาตุเจดีย์ให้อาตมาสูง 1 เส้น ชาวบ้านที่นั่งอยู่ในที่นั้นทั้งหลายก็ได้ยกมือสาธุการเปล่งคำว่าสาธุ ข้าพเจ้าพูดอีกว่า จะให้เอาเงินมาจากที่ไหนมาสร้างเจดีย์ใหญ่โตมโหฬารขนาดนั้น ท่านก็ได้ตอบมาว่า ถ้างั้นขอเพียงครึ่งเส้นก็พอ เรื่องเงินทองไม่ต้องเป็นห่วง ถ้าได้สิ่งของมาแล้วเงินทองของใช้มันจะหลั่งไหลมาเอง เมื่อสร้างเสร็จแล้วให้ฉลอง 3 วัน 3 คืน ให้จัดหามหรสพมาแสดงในวันงาน เช่น หนัง รำวง มวย หมอลำกลอน หมอลำหมู่ ให้ครบทุกอย่าง ชาวบ้านที่นั่งฟังก็ได้พากันหัวเราะอย่างเบิกบานใจ

อาจารย์ทนพูดต่อไปอีก เมื่ออาตมาถวายสิ่งของแด่ท่านพระครูแล้ว อาตมาก็จะไม่อยู่ที่นี่ ชาวบ้านได้ถามอีกว่า แล้วอาจารย์จะไปอยู่ที่ไหน ท่านตอบว่าจะไปอยู่ที่อื่น สนทนากันได้ประมาณชั่วโมงครึ่ง อาจารย์ทนก็ได้ชวนข้าพเจ้ากลับวัดศรีฐานใน ท่านบอกว่าหิวน้ำ เมื่อญาติโยมได้ยินท่านพูดเช่นนั้น ก็บอกให้ผู้อยู่ใกล้กับโอ่งน้ำให้ตักน้ำมาถวาย แต่ท่านไม่รับท่านบอกว่าเป็นน้ำไม่สะอาดและไม่ได้กรอง ท่านบอก ท่านเป็นพระธรรมยุติ ต้องปฏิบัติเคร่งครัดฉันข้าวมื้อเดียว ท่านอาจารย์ทนที่อยู่ในร่างของนายทองคำได้บอกอีกว่า จะไปวัดพร้อมกับท่านพระครู และคืนวันนี้ก็จะยังไม่กลับวัด จะพักอยู่กับท่านพระครู ตอนเช้าฉันเสร็จจึงจะกลับวัดป่าดงศิลาเลข

ในระยะนี้นายทองคำได้เงียบไปแล้วต่อมาประมาณ 5 นาที นายทองคำได้ลืมตาแล้วลุกขึ้นนั่งเหลียวซ้ายแลขวา มองเห็นข้าพเจ้าและชาวบ้านที่มานั่งมุงดูตนเองอย่างมากมาย จึงลุกขึ้นกราบข้าพเจ้าแล้วถามกลุ่มชาวบ้านว่ามาทำอะไรกันมากมาย ชาวบ้านก็ตอบว่ามาเยี่ยมดูอาการป่วยแล้วถามดูว่าเมื่อครู่นี้เจ้าเป็นอะไร นายทองคำได้บอกว่าไม่ได้เป็นอะไร นอนหลับไป เมื่อนายทองคำได้มีอาการปกติแล้ว แสดงว่าอาจารย์ทนได้ออกจากร่างนายทองคำแล้ว ข้าพเจ้าก็ได้กลับวัด

ในคืนวันนั้นได้มีชาวบ้านและทายกทายิกาได้มานอนเฝ้าพระและสิ่งของที่ขุดขึ้นมา ข้าพเจ้าได้นำเรื่องอาจารย์ทนที่มาทรงร่างนายทองคำ มาเล่าให้ผู้ที่มานอนเฝ้าพระและสิ่งของฟัง เมื่อฟังแล้วต่างก็พากันหวาดกลัว และระมัดระวัง ได้พากันนั่งภาวนาจนหลังขดหลังแข็ง
 

_________________
ท่านสามารถฟังวิทยุเสียงธรรมหลวงตามหาบัวได้ทั่วประเทศ
และโทรทัศน์ดาวเทียมเสียงธรรมทั้งภาพและเสียงได้แล้วที่
http://www.luangta.com
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
วีรยุทธ
บัวทอง
บัวทอง


เข้าร่วม: 24 มิ.ย. 2005
ตอบ: 1790
ที่อยู่ (จังหวัด): สกลนคร

ตอบตอบเมื่อ: 28 มิ.ย.2007, 12:25 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

Image
หลวงตาพวง สุขินทริโย


45. อาจารย์ทนห่วงใบเสมา

ครั้นวันต่อมาในเวลาเดียวกัน อาจารย์ทนได้มาทรงร่างนายทองคำอีก และได้บอกให้ชาวบ้านคนหนึ่งไปนิมนต์ข้าพเจ้าที่วัด เพราะท่านอยากจะคุยกับข้าพเจ้าอีก ข้าพเจ้าก็อยากจะพิสูจน์ว่าเป็นความจริงหรือเท็จอย่างไร เมื่อข้าพเจ้าเข้าไปในบ้านนายทองคำแล้ว นายนทองคำได้กระแอมขึ้นพร้อมได้พูดว่า ผมมารอท่านพระครูนานแล้ว เพราะอยากจะคุยกับท่านพระครูอีก ผมเป็นห่วงใบเสมาที่ท่านพระครูและญาติโยมไปขอมาจากกระผม ผมจึงมาดูว่าพระครูได้เอาใบเสมาไว้ในที่สมควรหรือเปล่า ผมกลัวว่าท่านจะเอามาทิ้งเฉยๆ ถ้าเอามาทิ้งไว้เฉยๆ ไม่ทำอะไร ผมจะทุบทิ้งให้แตกกระจายหาส่วนติดต่อกันไม่ได้

ข้าพเจ้าจึงได้บอกท่านว่าไม่ต้องเป็นห่วงในเรื่องใบเสมา ผมจะนำใบเสมาไปไว้ในที่สมควรในเร็ววันนี้ ถ้าหากผมไม่ได้ทำตามที่ผมพูดไว้แล้ว อาจารย์จะเอากลับไปผมก็ไม่ว่า เนื่องจากช่วงนี้ผมกำลังมีงานยุ่งๆ อยู่มาก จึงไม่ได้ลงมือจัดการสถานที่ไว้ใบเสมา พรุ่งนี้ผมจะจัดการให้เสร็จเรียบร้อย อาจารย์ทนได้พูดอีกว่าใบเสมาที่ไปขอผมมาทั้ง 9 ใบ ข้อนี้เป็นที่น่าอัศจรรย์ เพราะนายทองคำนอนป่วยอยู่ที่บ้าน จะรู้ได้อย่างไรว่าขุดใบเสมามา 9 ใบ ผู้คนที่นั่งอยู่ในที่แห่งนั้นต่างก็รู้สึกอัศจรรย์แปลกใจไปตามๆ กัน

ได้มีชาวบ้านผู้หญิงคนหนึ่ง ได้เอ่ยขึ้นว่า ใบเสมาของท่าน พระครูก็ได้ไปขอมาแล้ว ก็ขอนิมนต์ท่านได้มาอยู่กับท่านพระครูเสียที่วัดด้วยกันเลย ท่านได้ตอบว่า มาไม่ได้หรอกโยม เพราะเป็นห่วงสิ่งของ ถ้าองค์หนึ่งไม่อยู่ อีกองค์ก็จะต้องเฝ้าสิ่งของ สับเปลี่ยนกัน อาตมาก็อยากจะมาอยู่หรอก แต่พระครูท่านไม่ได้นิมนต์ เมื่อได้ยินท่านพูดเช่นนั้นแล้ว ข้าพเจ้าจึงได้ให้ญาติโยมไปหาดอกไม้ธูปเทียนใส่พานมาและได้นิมนต์ท่านให้มาอยู่เสียที่วัดศรีฐานใน ท่านบอกว่าอยู่เลยไม่ได้นะ ต้องไปๆ มาๆ ญาติโยมจึงได้บอกท่านอีกว่า ถ้าอย่างนั้นในวันแรม 11 ค่ำ จะไปนิมนต์ท่านอีกครั้งที่วัดดงศิลาเลข

ท่านบอกว่าถ้าจะไปนิมนต์ต้องนำฆ้องนำกลองจัดเป็นขบวนแห่ อาตมาจึงจะมาร่วมในงานสมโภชพระที่ขุดขึ้น เมื่อเสร็จงานแล้วอาตมาก็จะกลับวัด เพราะเป็นห่วงสิ่งของมากกว่าใบเสมาที่ท่านพระครูขอมา มีชาวบ้านคนหนึ่งได้ถามไปว่า สิ่งของนั้นวันไหนจะให้ ท่านได้ตอบว่ายังไม่มีกำหนด รอไว้โอกาสหน้า เพราะสิ่งของทางวัดได้ผุดขึ้นมาก่อนแล้ว ทีแรกตั้งใจว่าจะให้ของอาตมาแก่ท่านพระครูก่อน แต่แล้วก็ไม่ทัน จำเป็นต้องเอาไว้ภายหลัง ท่านพูดเป็นทำนองสั่งสอนอีกว่า วันเดียวจะให้โชคเกิดขึ้นสองครั้งเป็นการไม่สมควร อุปมาเหมือนกับวัดเดียว ปีเดียวกัน จะทอดกฐินสองครั้งนั้นไม่ได้ (ปัจจุบันวัดดงศิลาเลขได้สร้างเป็นสำนักปฏิบัติธรรม)

46. อาจารย์ทนติดตามดวงจิต

นายทองคำ พรมบุตร ได้ป่วยเพราะมีภูติผีปีศาจมาฉุดเอาดวงจิตไป มีอาการพูดละเมอ บางครั้งกำหมัดกัดฟัน ถีบ เตะ ชกต่อย เหมือนได้เล่ามาแล้วแต่ข้างต้น พออาจารย์ทนได้ใช้ร่างนี้เป็นร่างทรง อาการที่แสดงออกมาทางกายก็ได้หายไป มีแต่ทางจิตใจก็คือ จิตใจไม่ได้อยู่กับร่างกาย เพราะถูกปีศาจควบคุมไปโดยไม่หยุดยั้ง บางทีก็ร้องออกมาว่าช่วยด้วย ช่วยด้วย เมื่อเป็นเช่นนั้น เวลาที่พระอาจารย์ทนเข้าทรงร่างนายทองคำ พวกญาติๆ ของนายทองคำ ได้ขอร้องอาจารย์ทนได้ติดตามดวงจิตของนายทองคำให้กลับมาด้วย

หลวงปู่ทนได้รับปากว่าจะติดตามมาให้จงได้ นับตั้งแต่นั้นมาท่านก็ได้ติดตามหาดวงจิตของนายทองคำให้ 2 วันแรก ท่านเล่าว่า เห็นแต่ร่องรอบของพวกปีศาจที่ฉุดลากไปมีรอบเลือดหนดไหลติดตามพื้นดินและต้นหญ้า พวกปีศาจได้ฉุดดวงจิตนายทองคำลงน้ำบ้าง เข้ารูตามพื้นดินบ้าง เข้าไปในดงหนามบ้าง

ระยะที่พวกปีศาจฉุดเอาดวงจิตนายทองคำไป ปรากฏว่านายทองคำมีอาการทุรนทุราย อาจารย์ทนติดตามพวกปีศาจไป 2 วัน ท่านบอกว่าตามไม่ทัน ท่านจึงได้กลับมาบอกญาติๆ ของนายทองคำ โดยอาการทรงร่างนายทองคำ ท่านบอกว่าท่านเป็นผู้เฒ่าตามพวกปีศาจไม่ทัน ท่านบอกว่าเหนื่อยมาก ติดตามจนผ้าจีวรของอาตมาถูกขวากหนามเกี่ยวขาดยังกับผ้าขี้ริ้ว พรุ่งนี้จะให้ลูกศิษย์คืออาจารย์เงียบติดตามให้

47. เปลี่ยนให้ลูกศิษย์ติดตามดวงจิต

รุ่งเช้าวันต่อมา ขณะที่นายทองคำนอนอยู่ เวลาประมาณ 1 โมงเช้า นายทองคำได้กระแอมเพื่อเตือนญาติๆ ทราบ เมื่อญาติของนายทองคำมาแล้ว นายทองคำได้บอกว่าตนชื่ออาจารย์เงียบเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์ทน เนื่องจากอาจารย์ใหญ่คืออาจารย์ทน ให้ตัวท่านเองไปติดตามลูกศิษย์ที่พวกปีศาจลักตัวไป อาตมาด่วนมากเพียงแต่มาบอกข่าวเท่านั้น แล้วก็จะรีบไป อาจารย์เงียบพูดแค่นี้แล้วก็อำลาไป นายทองคำรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา ญาติๆ ก็ได้ถามว่าเมื่อกี้ได้พูดอะไรไป นายทองคำบอกว่าไม่ได้พูด นอนหลับ

วันนี้อาจารย์เงียบได้ติดตามหาดวงจิตของนายทองคำจนพบ พวกปีศาจนำจิตของนายทองคำผูกไว้กับต้นไม้ เมื่ออาจารย์เงียบได้ติดตามจนเจอ พวกปีศาจก็ได้หลบหนีไปเพราะเกรงกลังบารมีของท่าน เมื่ออาจารย์เงียบพบแล้ว จึงได้นำดวงจิตของนายทองคำกลับมาแล้วนำมาถวายแก่อาจารย์ใหญ่ วันนี้อาการป่วยของนายทองคำ ได้มีอาการดีกว่าวันก่อนๆ นับตั้งแต่อาจารย์ทนและอาจารย์เงียบมาทรงร่างของนายทองคำเป็นเวลา 9 วัน ได้มีชาวบ้านมานั่งฟังการสนทนาของอาจารย์ทนและอาจารย์เงียบ ยังกับมีเทศกาลงานบุญไปดูหนังฟังหมอลำกัน

48. จัดขบวนไปแห่อาจารย์ทน-อาจารย์เงียบตามคำอาราธนานิมนต์

เมื่อถึงวันงานที่จะสมโภชพระที่ขุดขึ้นได้จากข้างโบสถ์ ครั้นถึงเวลาแล้ว ข้าพเจ้าได้ให้ชาวบ้านจัดเตรียมสิ่งของต่างๆ ตามที่ท่านได้แนะนำไว้ตอนที่ท่านได้ทรงร่างนายทองคำ ตามที่ได้อาราธนานิมนต์ท่านไว้คือ

1. ให้ประกาศให้ญาติโยม ชาวบ้าน ทายกทายิกาไปมากๆ
2. ให้นิมนต์พระภิกษุสามเณรร่วมไปด้วยอย่างน้อย 10 องค์
3. ให้นำเอาฆ้องเอากลองไปด้วยท่านชอบมาก
4. เมื่อจะเข้าไปนิมนต์ให้เวียนซ้าย 3 รอบ คือให้เวียนรองในเขตที่ขุดเอาใบเสมา
5. ให้จัดขัน 5 ขัน 8 พร้อมทั้งขนมหวาน 1 สำรับ และเครื่องสักการะบูชา

เมื่อได้จัดเตรียมของทุกอย่างที่ท่านได้แนะนำไว้แล้ว ข้าพเจ้าได้จัดเอาพระพุทธรูป 2 องค์ สมมุติว่าเป็นตัวแทนของท่านอาจารย์ทั้ง 2 ไปวางไว้ที่โต๊ะบูชาที่จัดเอาไว้ที่วัดดงศิลาเลข ซึ่งเป็นที่อยู่ของอาจารย์ทั้ง 2 ไม่ใช่ว่าจะพาญาติโยมไปกราบไหว้ตามดินตามหญ้าโดยไม่มีเครื่องหมายอะไร เมื่อทำพิธีอาราธนาเสร็จแล้ว ก็นำพระพุทธรูปทั้งสองแห่กลับมา ในการไปนิมนต์อาจารย์ทนและอาจารย์เงียบในครั้งนี้ปรากฏว่ามีประชาชนทั้งบ้านใกล้บ้านไกลที่ได้ยินข่าวเล่าลือ มาร่วมพิธีในครั้งนี้นับเป็นจำนวนพันๆ คน เป็นปรากฏการณ์ที่ไม่เคยมีมาก่อน

49. อาจารย์ทนมอบศิษย์ให้กลับคืน

เมื่อพระอาจารย์ทนได้ดวงจิตของนายทองคำกลับมาจากปีศาจแล้ว ท่านได้ติดตามถึง 3 วัน ท่านได้เอาดวงจิตของนายทองคำไปรักษาให้อยู่กับท่านตั้งแต่ท่านได้ดวงจิตมา ท่านได้กระทำพิธีชุบจิตชุบตัวให้นายทองคำ และทำการบายศรีสู่ขวัญให้แก่นายทองคำเป็นที่เรียบร้อย และท่านพระอาจารย์ทนยังได้สอนวิชาเล่าเรียน เอาธรรมไปเพื่อป้องกันตัวเองจากปีศาจที่จะมารบกวนเหมือนแต่ก่อน

ท่านอาจารย์ทั้งสองก็ได้ถือว่านายทองคำเป็นสานุศิษย์ที่ท่านรักใคร่มาก ในขณะที่อยู่กับท่าน ๆ ก็ได้ให้รับใช้อุปัฏฐากเหมือนกับศิษย์วัดทั่วๆ ไป ในที่นี้หมายความว่าร่างกายของนายทองคำได้นอนอยู่ที่บ้าน แต่ดวงจิตไปอยู่ที่วัดดงศิลาเลขกับท่านอาจารย์ทั้ง 2 และดูจากอาการป่วยของนายทองคำแล้วจะมีอาการดีเกือบจะหายเป็นปกติแล้ว ในครั้งที่อาจารย์ทนท่านมาทรงร่างนายทองคำแล้ว ท่านได้บอกเช่นนั้นและท่านยังได้แนะนำว่า ให้ญาติๆ ของนายทองคำนำเอาขัน 5 และเครื่องสักการะอื่นๆ ไปขอดวงจิตของนายทองคำจากท่าน โดยให้ไปในวันที่ข้าพเจ้าและชาวบ้านที่จะไปนิมนต์ท่านมาร่วมในงานวันสมโภช และท่านจะมอบดวงจิตให้กลับมา โดยให้ข้าพเข้านำดวงจิตกลับมาพร้อมกับให้ข้าพเจ้ารดน้ำพระพุทธมนต์ให้ด้วย นี้เป็นคำพูดของพระอาจารย์ทน ข้าพเจ้าก็ได้ปฏิบัติตามท่านอาจารย์ทนแนะนำ

นับตั้งแต่นั้นมา นายทองคำได้หายเป็นปกติ โดยไม่ต้องกินยาสักเม็ดเดียว ในขณะที่อาจารย์ทั้งสองเข้าประทับทรงร่างนายทองคำ นายทองคำจะไม่รู้สึกตัว แต่จะรู้สึกว่าตัวเองนอนหลับธรรมดาและไม่ได้พูดอะไร ครั้นเลิกจากเข้าทรงแล้ว จึงจะมีคนอื่นมาเล่าให้ฟังจึงจะรู้เรื่องว่าเป็นอะไร นับตั้งแต่นั้นมาอาจารย์ทั้ง 2 ก็ไม่ได้เข้าทรงร่างนายทองคำอีก มีมาแต่เข้าในความฝันของนายทองคำเป็นประจำ

50. พระอาจารย์ทั้ง 2 ได้รับเครื่องไทยทาน

ข่าวนี้ได้เล่าลือไปทั่วทิศานุทิศ ทั้งบ้านใกล้บ้านไกลหลั่งไหลกันมาทำบุญ และงานสมโภชพระพุทธรูปที่ขุดได้จากวัดศรีฐานในพร้อมทั้งงานนี้ได้นิมนต์อาจารย์ทนและอาจารย์เงียบมาร่วมในงานนี้ด้วย ข้าพเจ้าได้จัดผ้าไตรจีวรถวายอาจารย์ทั้ง 2 องค์ๆ ละ 1 ไตร เป็นทักษิณานุประทานถวายแด่ท่านทั้ง 2 นับตั้งแต่ข้าพเจ้าและชาวบ้านได้ทำบุญอุทิศไปให้หลวงปู่ฟ้ามืดแล้วก็ปรากฏว่าเรื่องของท่านเงียบหายไป ไม่ปรากฏอะไรเกิดขึ้นอีก ส่วนอาจารย์ทั้ง 2 ก็ไปเข้าในนิมิตความฝันของนายทองคำ ว่าได้ฉันข้าวฉันปลาอุดมสมบูรณ์อย่างอิ่มหนำสำราญ ตลอดจนได้นุ่งห่มจีวรอันใหม่ เนื่องจากข้าพเจ้าและประชาชน และญาติโยมได้จัดถวาย ครั้นข้าพเจ้าได้ทำบุญสมโภชเสร็จแล้ว ข้าพเจ้าก็ย้ายมาเป็นเจ้าอาวาสวัดศรีธรรมาราม อ.ยโสธร จ.อุบลราชธานี (ในขณะนั้น)

51. นายทองคำเรียนธรรมจากอาจารย์ทน

นายทองคำ ได้บอกว่า ตนเองได้ฝันว่าอาจารย์ทนได้มาเรียกให้ตนไปเรียนเอาวิชา คาถาอาคม ชาวอีสานเรียกว่า ธรรม เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการปราบภูติผีปีศาจต่างๆ จนทุกวันนี้นายทองคำก็ได้เป็นหมอผีหรือชาวอีสานเรียกว่าหมอธรรม ซึ่งแต่ก่อนพวกปีศาจเป็นศัตรูของนายทองคำ แต่บัดนี้นายทองคำได้กลับมาเป็นศัตรูของปีศาจ เป็นหมอธรรมที่มีชื่อเสียงเลื่องลือ ถ้าชาวบ้านมีอาการป่วย ถ้าเกี่ยวกับภูติผีปีศาจเข้ามาเบียดเบียน ต่างก็ได้ให้นายทองคำเป็นผู้รักษาให้หลายราย โดยเฉพาะบ้านศรีฐานเองที่นายทองคำได้รักษาด้วยวิชาอาคมที่เรียนมาจากหลวงปู่ทนให้หายเป็นปกติมาหลายสิบราย โดยไม่ต้องกินยาแม้แต่เม็ดเดียว

ในเวลาที่นายทองคำได้ลงธรรม ยกครูแล้ว ก็นอนลงเรียกผีที่มารบกวนผู้ป่วยนั้น แล้วจะขับด้วยคาถาอาคม บางรายถ้านายทองคำสู้ผีไม่ได้ก็จะต้องไปนิมนต์ผู้เป็นอาจารย์มาช่วย มีอยู่ที่ไหนท่านจะรู้หมดและจะสู้ท่านไม่ได้สักราย เพราะท่านมีไม้เท้าศักดิ์สิทธิ์สำหรับปราบภูติผีปีศาจโดยเฉพาะ
 

_________________
ท่านสามารถฟังวิทยุเสียงธรรมหลวงตามหาบัวได้ทั่วประเทศ
และโทรทัศน์ดาวเทียมเสียงธรรมทั้งภาพและเสียงได้แล้วที่
http://www.luangta.com
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
วีรยุทธ
บัวทอง
บัวทอง


เข้าร่วม: 24 มิ.ย. 2005
ตอบ: 1790
ที่อยู่ (จังหวัด): สกลนคร

ตอบตอบเมื่อ: 28 มิ.ย.2007, 12:30 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

52. วันสงกรานต์

ในวันสงกรานต์ในปีนั้น ตามประเพณีเมื่อถึงวันนี้ชาวพุทธทั้งหลายถือว่าเป็นวันสำคัญและเป็นเทศกาลประจำปีในฤดูร้อน นิยมที่จะอัญเชิญพระพุทธรูปตามวัดวาอารามสถานที่ต่างๆ นิมนต์ลงมาตั้งในสถานอันสมควรตามแต่ทางวัดจะจัดไว้ เพื่อให้ประชาชนได้มาสักการะบูชาและสรงน้ำอบน้ำหอม เป็นการทำความสะอาดพระพุทธรูปและจะได้ขอพรให้ตนมีสิริมงคลที่จะดำเนินชีวิตต่อในปีต่อไป สำหรับวันนี้นายทองคำและภรรยาได้เตรียมเอาเครื่องสักการะพร้อมน้ำอบน้ำหอม ตั้งใจจะไปสักการะพระพุทธรูปที่วัดศรีฐานนอก

ขณะที่นายทองคำได้เดินทางยังไม่ถึงวัดนั้น ก็ปรากฏว่าอาจารย์ทนมาตามนายทองคำ ท่านได้เรียกให้ไปกับท่าน อาจารย์ทนบอกให้นายทองคำหลับตาลง นายทองคำบอกว่าได้รู้สึกตัวเหมือนว่าได้เดินตามท่านไป แต่นางสำ ภรรยาของนายทองคำบอกว่า นายทองคำได้วิ่งไป แต่มองไม่เห็นอาจารย์ทน นางสำ ได้วิ่งตามแต่ก็วิ่งไม่ทัน ตอนนี้นายทองคำได้วิ่งเลยวัดศรีฐานนอก แล้ววิ่งลงไปในท้องนา หันหน้าไปทางวัดดงศิลาเลข ซึ่งเป็นวัดอาจารย์ทน นายทองคำได้บอกว่าไม่ได้วิ่ง เดินไปเฉยๆ บางครั้งก็ลืมตาขึ้นแต่เป็นพอรางๆ ไม่ชัดเจน เมื่อนางสำผู้เป็นภรรยาวิ่งตามไม่ทัน จึงได้ตะโกนให้หยุด นายทองคำไม่หยุด นางสำจึงกลับมาบอกแก่ญาติๆ ที่บ้านให้ไปช่วยติดตามนายทองคำด้วย

เมื่อติดตามไปจนถึงวัดดงศิลาเลข จึงได้เห็นนายทองคำนั่งขัดสมาธิอยู่ พอขณะญาติพี่น้องไปถึงก็พอดีกับรายทองคำได้ลืมตาขึ้น ได้ยินเสียงญาติๆ ร้องเรียก พวกญาติพี่น้องได้ถามถึงเหตุการณ์ทีเกิดขึ้น นายทองคำจึงได้เล่าให้ญาติพี่น้องฟังว่า อาจารย์ทนได้ไปเรียกตน แล้วตนจึงได้เดินตามอาจารย์ทนมา

ท่านได้พามาจนถึงเห็นอุโบสถที่มีลักษณะงดงามมีบานประตูปิดเปิดได้ ท่านได้พาเวียนซ้ายมาเข้าประตูโบสถ์ทางทิศตะวันออกทางลำน้ำโพง แล้วท่านก็นำเข้าไปข้างในโบสถ์ มีแท่นพระพุทธรูปมองดูสวยงามเป็นแสงระยิบระยับเป็นที่น่าประทับใจมาก แล้วท่านอาจารย์ก็ได้มอบดอกไม้ ธูปเทียน ให้นำไปบูชาพระทั้ง 5 ที่ ส่วนพระพุทธรูปมีแต่องค์สวยๆ งามๆ ทั้งนั้น องค์ไม่ใหญ่เท่าไร แต่น่าเลื่อมใสมาก มองดู 2 ข้างแท่นพระพุทธรูป ก็ได้เห็นที่นอนของพระอาจารย์ทั้ง 2 ที่นอนของพระอาจารย์ใหญ่อยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ที่นอนของพระอาจารย์เงียบ อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ที่นอนของพระอาจารย์ทั้ง 2 ไม่มีเสื่อไม่มีหมอน มีเพียงผ้าปูรองเท่านั้น เมื่อได้บูชาพระเสร็จแล้วก็ได้กราบ 3 หน ระลึกถึงพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ ประนมมืออยู่ครู่หนึ่งก็รู้สึกตัว แล้วมโนภาพต่างๆ นั้นก็หายไป เมื่อลืมตาขึ้นแล้วก็ไม่เห็นมีอะไร มีแต่ที่ว่างเปล่า เหมือนสภาพเดิม แล้วพอดีพวกญาติพี่น้องทั้งหลายก็ได้มาถึงนี่แหละ นายทองคำได้เล่าเหตุการณ์ที่ผ่านมาให้ญาติพี่น้องฟัง

53. หมอธรรม (หมอผี) มาทดลองส่องธรรม (นั่งทางใน) ดูสมบัติ

ในระยะที่อาจารย์ทน และอาจารย์เงียบ มาทรงร่างนายทองคำนั้น ได้มีชาวบ้านใกล้ไกลให้ความสนใจมากขึ้น ได้มีหมอธรรม (หมอผี) คณะหนึ่งซึ่งเป็นคนหมู่บ้านอื่น ได้ชักชวนกันไปดูสถานที่ วัดดงศิลาเลข ซึ่งเป็นวัดของอาจารย์ทน หมอธรรม (หมอผี) คณะนั้น อยากจะทดลองส่องธรรม (นั่งทางใน) ดูว่าจะมีสมบัติสิ่งของตามที่ได้เล่าลือหรือเปล่า จึงได้เดินทางมาด้วยกัน 5 คน เมื่อเดินทางมาถึงวัดดงศิลาเลขก็เป็นเวลาพลบค่ำพอดี พอไปถึงสถานที่แล้วก็สังเกตว่าหลุมลูกนิมิตที่สำคัญที่สุดจะต้องอยู่ตรงกลาง ชาวอีสานเรียกหลุมลูกนิมิตหลุมนี้ว่าบือสิม ก็คือสดือโบสถ์นั่นเอง หลุมนี้จะมีสิ่งของมีค่ามากกว่าหลุมอื่นๆ เมื่อคณะหมอธรรม (หมอผี) ตกลงกันแล้ว ก็ได้ลงมือทำพิธีทันที

54. อาจารย์ทนไม่หวั่นไหว

นายทองคำได้เล่าว่า เมื่อพวกหมอธรรมมาทำพิธี ท่านทั้ง 2 ก็ได้นึกอยู่ว่า ตั้งแต่ท่านทั้งสองมาอยู่ที่นี่ก็ไม่เคยเห็นใครมาบังอาจบุกรุกสถานที่จะมาส่องธรรมดูสิ่งของของท่านสักครั้งเดียว เมื่อท่านเห็นเหตุการณ์ในครั้งนี้ ท่านก็ได้เตรียมตัวรับมือเหมือนกัน เพื่อที่จะไม่ให้หมอธรรมเหล่านั้นมาขุดเอาสมบัติอันมีค่าไปได้ เพราะหมอธรรมเหล่านั้นเป็นคนไม่มีศีลธรรม และไม่สมควรที่จะครอบครองสมบัติเหล่านั้น อาจารย์ใหญ่ท่านไม่หวั่นไหว ท่านได้เข้านั่งสมาธิภาวนากำหนดจิตนิ่งเฉย ส่วนอาจารย์เงียบผู้เป็นศิษย์ จิตยังไม่เป็นสมาธิภาวนา เพราะไม่เคยเห็นใครมาบุกรุกอย่างนี้ กลัวว่าอาจารย์ของตนจะรับมือหมอธรรมไม่ได้ จึงต้องรีบมาทรงร่างนายทองคำทันที

ขณะที่นายทองคำนอนอยู่ นายทองคำได้กระแอมขึ้น เมื่อญาติพี่น้องไม่ยินเสียงกระแอมก็ได้มานั่งล้อมดูนายทองคำที่นอนอยู่ในห้อง นายทองคำได้มีอาการหายใจหืดหอบเหนื่อยเหมือนคนที่วิ่งมาอย่งรวดเร็วทันที นายทองคำพูดขึ้นว่าอาตมามาด่วนมาก เพราะมีคนไปบุกรุก 4-5 คน เป็นบ้านใกล้ชิดคนบ้านอื่น ไม่ใช้บ้านศรีฐาน อาตมาจำหน้าเขาได้ แต่ไม่รู้จักชื่อ จำรูปพรรณสันฐานได้หมด อาตมากลัวว่าอาจารย์ใหญ่จะสู้ไม่ได้ จึงต้องรีบมาบอกญาติโยม ให้โยมไปบอกท่านพระครูที่วัด ให้ท่านจัดหาคนไปช่วยด้วย เพราะมีคนไปบุกรุก คำพูดนี้แสดงว่าผู้มาทรงนั้นคืออาจารย์เงียบ ได้มีชาวบ้านถามท่านอีกว่าใครเป็นผู้ไปบุกรุก ท่านบอกว่าเป็นพวกหมอธรรม แล้วท่านก็ย้ำให้รับไปบอกท่านพระครูที่วัดเร็วๆ ด้วย อาตมาจะรีบกลับไปช่วยอาจารย์ใหญ่ ว่าแล้วอาจารย์เงียบก็อำลาญาติโยม

แล้วอีกประมาณอีกอึดใจหนึ่ง นายทองคำก็ได้ลืมตาลุกขึ้นนั่ง แล้วภรรยาของนายทองคำได้ถามนายทองคำว่ามื้อกี้ได้พูดอะไร นายทองคำบอกว่าไม่ได้พูดอะไร นอนหลับ ญาติๆ จึงได้เล่าเหตุการณ์ให้นายทองคำฟัง เรื่องอาจารย์เงียบมาบอกข่าวมีคนบุกรุก ญาติๆ ของนายทองคำก็ได้รีบมาบอกแก่ข้าพเจ้าแล้วกราบเรียน เล่าเรื่องอย่างละเอียด

พอดีวันนั้นเป็นวันพระแรม 8 ค่ำ เดือน 4 มีทายกทายิกาไปรักษาอุโบสถศีลที่วัดข้าพเจ้า กำลังสวดมนต์ทำวัตรอยู่ ข้าพเจ้าจึงได้ชวนทายกทายิกาเหล่านั้นและยังมีชาวบ้านอีกจำนวนหนึ่งประมาณ 50 คน ก็ได้เดินทางไปยังวัดดงศิลาเลข เพื่อไปดูว่ามีคนมาบุกรุกจริงหรือเปล่า เมื่อไปถึงแล้วก็ไม่เห็นมีคนอยู่ และสถานที่เหล่านั้นก็ยังไม่ได้ขุดค้น ข้าพเจ้าจึงได้ถามชาวบ้านที่มาเลื่อยไม้ซึ่งอยู่ใกล้กับวัดดงศิลาเลข ชาวบ้านผู้นั้นได้มานอนอยู่ ณ ที่นั้นเป็นที่ติดกับวัด ข้าพเจ้าได้ถามว่ามีใครมาที่วัดดงศิลาเลขบ้างหรือเปล่า โดยมได้บอกว่ามีอยู่ประมาณ 4-5 คน ไม่รู้ว่ามาทำไม เพราะตนเองกำลังเลื่อยไม้ไม่ได้สนใจกับคนกลุ่มนั้น

ในคืนวันนั้นข้าพเจ้าได้พาญาติโยมนอนอยู่ที่วัดดงศิลาเลขนั้น เพื่อจะได้เฝ้าดูสังเกตการณ์ ส่วนหมอธรรมเหล่านั้น ข้าพเจ้าก็ได้รู้ชื่อทั้งหมด แต่ก็ไม่ได้ทำอะไร เพราะบุคคลเหล่านั้นก็ยังไม่ได้ลงมือทำผิด ในกรณีที่พระอาจารย์ทั้ง 2 ได้ไปทรงร่างนายทองคำคราวนี้ ชาวบ้านศรีฐานเองและหมู่บ้านใกล้ชิด ก็ได้ดูได้เห็นกับตาของตัวเองและในช่วงที่อาจารย์ทั้ง 2 มาทรงร่างนายทองคำอยู่นั้น ท่านได้กำชับให้ข้าพเจ้าประกาศให้ชาวบ้านทราบ และห้ามไม่ให้ใครไปขุดค้นหาสิ่งของเป็นอันขาด ถึงจะขุดก็ไม่พบ แม้พบก็จะนำเอาไปไม่ได้ ถ้าใครไม่เชื่อนำไปก็เกิดความวิบัติฉิบหาย เกิดวิปริตเสียจริตเป็นบ้าเป็นบอไปต่างๆ นาๆ แม้แต่เศษสะเก็ดของสิ่งของเหล่านั้นที่ตกอยู่ตามบริเวณนั้นก็เอาไปไม่ได้ เรื่องนี้ข้าพเจ้าได้ประกาศให้ประชาชน และชาวบ้านใกล้เคียงให้ทราบทั่วถึงกัน เพื่อไม่ให้ไปขุดค้นหา ข้าพเจ้าได้ประกาศตั้งแต่วันที่ได้จัดขบสนแห่ และนิมนต์ท่านมาสมโภชพระแล้ว

55. ข้อสันนิษฐาน

1. เรื่องหลวงปู่พระครูฟ้ามืดนี้ ที่ท่านได้ทรงร่างแม่ทรัพย์ ไวว่อง ให้ไปชี้บอกที่ขุดพระศักดิ์สิทธิ์ที่หลังอุโบสถข้างเคียงเจดีย์องค์ที่ล้มพังสลายลงมา ในเรื่องนี้เป็นความจริงที่ใครๆ ก็ได้เห็นได้ประจักษ์กับตัวเอง ไม่ได้มีเพราะข่าวลือ

2. อาจารย์ทน และอาจารย์เงียบ ที่ได้ทรงร่างนายทองคำ พรมบุตร ท่านทั้งสองได้มาบอกขุดทรัพย์อันล้ำค่าที่ฝังไว้ ท่านได้รักษามาช้านาน เรื่องนี้จะเป็นจริงหรือเป็นเท็จอย่างไรยังบอกไม่ได้ เพราะทรัพย์สมบัติเหล่านั้นยังไม่ได้ขุดค้นขึ้นมา แต่ก็ได้สันนิษฐานว่าคงจะมีจริง เพราะที่นั่นเป็นโบสถ์เก่าแก่ เพราะมีใบเสมา ถ้าเป็นโบสถ์ก็จะต้องมีหลุมลูกนิมิตหรือบือสิม ที่ผู้สร้างคงจะนำสมบัติใส่ลงไว้เป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา ที่เป็นความเชื่อในการสร้างอุโบสถ และขณะที่อาจารย์ทั้ง 2 ได้ทรงร่างนายทองคำนั้น ชาวบ้านบางคนไม่เชื่อก็จะพูดในเชิงดูถูก หมิ่นประมาทไปต่างๆ นาๆ นายทองคำจะสามารถบอกได้ว่า มีคนอยู่คุ้มโน้นคุ้มนี้ ถนนเส้นโน้นเส้นนี้ กล่าวดูถูกหมิ่นประมาท ซึ่งไม่มีใครมาบอกเล่าให้นายทองคำฟังแต่ประการใด นี้คงเป็นเพราะฤทธิ์เดชอำนาจของอาจารย์ทั้ง 2

ข้าพเจ้าก็ได้ถามผู้คนเหล่านั้น ก็ได้ยอมรับว่าจริงได้พูดไปจริงๆ อาจารย์ทนซึ่งได้ทรงร่างนายทองคำอยู่นั้นได้แนะนำให้ข้าพเจ้าประกาศให้ประชาชนได้ทราบโดยทั่วกัน ข้าพเจ้าก็ได้ประกาศให้ชาวบ้านได้ทราบว่าอย่าได้ไปดูถูกหรือดูหมิ่นในเรื่องนี่ แม้ไม่เชื่อก็ฟังหูไว้หู อย่าได้แสดงออกมา ให้เก็บไว้ในใจ ชาวบ้านเหล่านั้นก็ได้ปฏิบัติตามเป็นอย่างดี

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่แปลก ซึ่งข้าพเจ้าผู้เขียนเองก็ได้ประสบเหตุการณ์ในครั้งนี้เป็นครั้งแรกของชีวิต บางคนก็หาว่าข้าพเจ้าไปเชื่อตื่นข่าวเอง และไปนับถือผีถือสาง ในเรื่องนี้ข้าพเจ้ารู้ดี ข้าพเจ้าไม่โง่พอที่จะเอาผีเอาสางมาเป็นครูบาอาจารย์ มีแต่ภูติผีปีศาจมานับถือข้าพเจ้าเป็นครูบาอาจารย์ เมื่อเขามีทรัพย์สมบัติฝังไว้ เขาก็ได้มาบอกข้าพเจ้าเอง ไม่ต้องไปบังคับไม่ต้องไปสอบถามให้เหนื่อย มีแต่เขามาบอกให้ไปเอาเอง มีประชาชนได้คาดคะเนเหตุการณ์ไปต่างๆ นาๆ เช่น พระห่วงในสิ่งของในทรัพย์สมบัติ เมื่อตายแล้วก็มาเป็นเปรตเป็นผีจะหนีไปไหนก็ไม่ได้ เพราะเป็นห่วงสมบัติ คงไม่ได้ไปเกิดไปนิพพาน เมื่อเฝ้ามานานๆ คงจะเหนื่อย จึงมาบอกกับท่านพระครู ในเรื่องนี้ก็อาจเป็นไปได้เหมือนกัน บางทีก็อาจจะเป็นเทวดาอารักษ์ ปรากฏการณ์ที่ได้กล่าวมานี้

ถ้าพระทั้ง 2 รูปนั้นเป็นภูมิผีปีศาจตามที่คนเข้าใจ คุณงามความดีที่ท่านทั้ง 2 ได้สร้างมา ยังคงไม่ได้ส่งผลให้ท่าน จึงมาเป็นผีเฝ้าสมบัติที่ฝังเอาไว้ แต่ถ้าไม่ใช่พระทั้ง 2 รูปแล้ว ก็คงจะเป็นเทวดาอารักษ์องค์ใดองค์หนึ่ง ซึ่งได้รับมรดกตกทอดมาจากพระภิกษุทั้ง 2 รูปนั้น ให้เป็นผู้รักษาทรัพย์สมบัติไว้แทนท่านทั้ง 2 มาแล้วนานแสนนาน จนวัดวาอาราม กุฏิ วิหาร อุโบสถได้สลักหักพังลงไปจนหมดแล้ว มีแต่หญ้าต้นไม้ต่างๆ ขึ้นมาแทน

เข้าใจว่าเทวดาองค์นี้คงไม่มีที่อยู่อาศัย ต้องทรมานนั่งตากแดดตากฝนมานานแล้ว คงนั่งเฝ้าสมบัติด้วยความเบื่อหน่ายเหน็ดเหนื่อยเต็มทน ถ้าเป็นคนธรรมดาก็คงจะนั่งร้องห่มร้องไห้น่าเวทนาอย่างยิ่ง เพราะชั่วระยะเวลานานเป็นร้อยเป็นพันปี ก็ไม่เห็นมีใครมารับเอาสมบัติเหล่านี้ไปทำบุญทำทาน หรือนำไปดูแลรักษาให้ เทวดาองค์นี้คงจะหาผู้ที่จะมารักษาสมบัติเหล่านี้แทนตนเอง พอตกลงจะให้แก่ท่านพระครูพวงที่อยู่วัดศรีฐานใน เมื่อตกลงใจแล้วว่าจะให้แก่ท่านพระครูยังไม่ได้โอกาส ก็พอดีกับสิ่งของหลวงปู่พระครูฟ้ามืดได้ผุถดขึ้นมาเสียก่อน จึงไม่มีโอกาสได้ถวาย จึงได้ถวายใบเสมาไปก่อน ส่วนสิ่งของที่เหลือนั้นเอาไว้โอกาสหลัง จึงได้มาทรงร่างของนายทองคำ เพื่อจะบอกให้แก่ข้าพเจ้าได้ทราบล่วงหน้าไว้

เทวดาองค์นี้คงได้เห็นข้าพเจ้าปฏิบัติข้อวัตรต่างๆ ของพระสงฆ์แล้ว เป็นที่ชอบอกชอบใจของท่าน ท่านคงจะมีความพอใจและไว้วางใจในตัวข้าพเจ้าดี จะเป็นผู้รักษาสมบัติเหล่านั้นได้ และคงจะนำทรัพย์สมบัติเหล่านั้นใช้ในทางที่ถูกที่ควร เพื่อบำรุงพระพุทธศาสนา และบ้านเมืองให้เจริญรุ่งเรืองต่อไปได้ เทวดาองค์นี้จึงได้ทรงร่างนายทองคำ ให้เป็นปากเป็นเสียงแทนพระภิกษุทั้ง 2 รูปนั้น เพราะว่าตามที่คนเฒ่าคนแก่เล่าว่าเทวดาจะปรากฏตัวเองไม่ได้ แต่จะเข้าทรงร่างของมนุษย์แทนแล้วจึงบอกในสิ่งที่ตนต้องการ

อนึ่ง บางคนก็คงคิดว่าเมื่อไหร่หรอท่านจะเอาทรัพย์สมบัติเหล่านั้นมาให้ รอวันรอคืนจากวันเป็นเดือนจากเดือนเป็นปี เหมือนกับชาวนาที่รอคอยฝนว่าจะตกเมื่อไหร่หนอ เมื่อยังไม่ถึงคราวตกก็จะยังไม่ตก คงเหมือนกับหญิงที่มีครรภ์รอคอยวันที่จะคลอด ถ้ายังไม่ครบกำหนดเวลาก็ยังไม่คลอด

ดังนั้น จึงขอให้ท่านผู้ที่รู้เรื่องและผู้อ่านผู้ฟังให้อดใจทนไปก่อน คือจะได้สอดคล้องกับชื่อของอาจารย์ทั้ง 2 ที่เฝ้าสมบัติอยู่ ก็คืออาจารย์ทน ก็ได้อดทน จงอดจงทนไปก่อน และองค์ที่ 2 คือ อาจารย์เงียบ ก็คือ จะได้หรือจะเงียบไปก็ไม่รู้ บางทีอาจจะจริง บางทีอาจจะไม่จริง ถ้าท่านไม่ให้เรา ก็ไม่เป็นไร ถ้าหากท่านให้ ข่าวคราวทั้งหลายคงจะได้ยินถึงหูท่านอีก แล้วข้าพเจ้าก็จะได้พยายามนำข่าวดีมาบอกมาเล่าแก่ท่านทั้งหลายอีก จึงขอยุติประสบการณ์ของข้าพเจ้าแต่เพียงเท่านี้

56. การมรณภาพ

พระเทพสังวรญาณ (หลวงตาพวง สุขินทริโย) “พระเถราจารย์ชื่อดังแห่งลุ่มน้ำชี” ได้มรณภาพอย่างสงบในห้องไอซียู ตึกศัลยกรรมกระดูกและข้อ โรงพยาบาลยโสธร อ.เมือง จ.ยโสธร เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2552 เวลา 10.52 น. จากการอาพาธด้วยโรคมะเร็งท่อน้ำดีระยะสุดท้าย และมีโรคปอดติดเชื้อในกระแสโลหิตแทรกซ้อนจนระบบหายใจอ่อน หลังนอนรักษาอาการอาพาธมา 5 วัน สิริรวมอายุได้ 81 ปี 11 เดือน พรรษา 62

ขณะเดียวกัน ศิษยานุศิษย์จากทั่วสารทิศทยอยมากราบไหว้ศพของหลวงตาพวงที่โรงพยาบาลจำนวนมาก ท่ามกลางความอาลัย ส่วน หลวงปู่สรวง สิริปัญโญ เจ้าอาวาสวัดบ้านศรีฐาน อ.ป่าติ้ว จ.ยโสธร พระน้องชายหลวงตาพวง และพระ-เณร เร่งจัดเตรียมสถานที่ตั้งบำเพ็ญสวดอภิธรรม ณ ศาลาการเปรียญวัดศรีธรรมาราม และสำนักพุทธศาสนาจังหวัดยโสธร และจะขอพระราชทานน้ำหลวงอาบศพวันที่ 3 เมษายนนี้

หลวงตาพวง สุขินทริโย มีอาการอาพาธกะทันหันขณะไปเป็นประธานทอดผ้าป่า ณ วัดสิริดำรงวนาราม ต.บะฮี อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร เมื่อคืนวันที่ 28 มีนาคม 2552 ที่ผ่านมา ทั้งนี้ โรงพยาบาลยโสธรได้รับตัวองค์หลวงตาพวงจากโรงพยาบาลสกลนคร มารักษาต่ออยู่ในห้องไอซียู กระทั่งมรณภาพในที่สุด

Image
สรีระสังขารพระเทพสังวรญาณ (หลวงตาพวง สุขินฺทริโย)

Image
ในงานพระราชทานเพลิงศพพระเทพสังวรญาณ (หลวงตาพวง สุขินฺทริโย)
ณ วัดศรีธรรมาราม ต.ในเมือง อ.เมือง จ.ยโสธร



สาธุ จบประวัติและปฏิปทาหลวงตาพวง สุขินทริโย
 

_________________
ท่านสามารถฟังวิทยุเสียงธรรมหลวงตามหาบัวได้ทั่วประเทศ
และโทรทัศน์ดาวเทียมเสียงธรรมทั้งภาพและเสียงได้แล้วที่
http://www.luangta.com
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
วีรยุทธ
บัวทอง
บัวทอง


เข้าร่วม: 24 มิ.ย. 2005
ตอบ: 1790
ที่อยู่ (จังหวัด): สกลนคร

ตอบตอบเมื่อ: 06 ก.ค.2007, 2:43 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

Image
หลวงตาพวง สุขินทริโย


พระธรรมเทศนา

กัณฑ์ที่ 1 ศีล

บัดนี้ เป็นโอกาสที่ดี ที่เรามาพบกัน เพื่อที่จะได้รับธรรมะ ธรรมซึ่งจะให้ต่อไปนี้เป็นธรรมง่ายๆ เป็นธรรมที่มีประจำอยู่แล้วก็คือ ศีล ศีลที่เราสมาทานไปก็คือ ศีล 5 ถ้าเรามีศีลบริสุทธิ์ดีแล้ว เราจะยกระดับตัวของเราให้สูงขึ้น หรือว่าทำตัวของเราให้ดีขึ้น จึงมีคำกล่าวไว้ว่า “คนมีศีลเหมือนดินมีน้ำ คนขาดศีลเหมือนดินขาดน้ำ”

คนมีศีลเหมือนดินมีน้ำนั้น เราจะเห็นได้ว่า ถ้าคนมีศีลนั้น บ้านเมืองของเรานั้นก็ชุ่มเย็น เยือกเย็น ไม่เดือดร้อน เหมือนดินที่มีน้ำ ดินที่มีน้ำในเวลาฝนตกลงมาในฤดูฝน เราจะเห็นได้ว่าตามทุ่งไร่ ทุ่งนา จะมีข้าวกล้าเขียวชอุ่มทั่วไปทุกหนทุกแห่ง ต้นไม้ก็ผลิดอกออกผลดูไปที่ไหนเขียวชอุ่มไปหมด หญ้าลดาวัลย์ก็เกิดขึ้น เราไม่ต้องไปบังคับเขาให้เขาเกิดเขาก็เกิดขึ้นนี้แสดงว่า ดินถูกน้ำแล้วมันก็ชุ่มเย็น สิ่งที่ไม่เกิดก็จะเกิดขึ้น สิ่งที่ดีอยู่แล้วก็จะเจริญงอกงามยิ่งขึ้น คนมีศีลจึงทำให้บ้านเมืองของเราอยู่เย็นเป็นสุข ไม่จำเป็นที่จะต้องมีตำรวจ ทหาร มีโรง มีศาล มีคุก มีตาราง ถ้าคนมีศีลอย่างพระ พระสงฆ์ไม่เคยติดคุก ติดตาราง ไม่เคยถูกจับกุมคุมขัง เว้นไว้แต่คนที่ขาดศีล จะเป็นพระเป็นโยมเป็นใครก็ตาม ถ้าขาดศีลแล้วก็จะมีโทษ อาจจะต้องติดคุกติดตาราง

อำนาจของศีลนั้น จะมีกิตติศัพท์ กิตติคุณฟุ้งขจรกันไปในทิศทั้งสี่ เหมือนบาลีที่ท่านกล่าวไว้ว่า “ศีล ปัญโท อนุตโร” ศีลมีกลิ่นหอมหวน ทวนลม หวนหอมไปทั้งสารทิศ ไม่เหมือนหอมกลิ่นจันทร์ กลิ่นน้ำมัน กลิ่นน้ำหอมต่างๆ นั้นจะหอมไปตามลมเท่านั้น หาหอมหวนทวนลมเหมือนกลิ่นศีลไม่ ดังนั้น ผู้ที่ถือศาสนาพุทธนั้น จึงแสวงหาผู้มีศีล แม้แต่ท่านจะอยู่ไกลสักปานใดก็ตาม อยู่ในดงในป่า อยู่ในถ้ำในเหว ถ้าท่านมีศีลแล้วก็อยากจะไปกราบไปไหว้

อันนี้จะยกตัวอย่าง เช่นว่า เราที่เป็นชาวพุทธนิยมบวชลูก บวชหลาน เมื่อลูกหลานบวชเป็นพระก็ตาม บวชเป็นเณรก็ตาม ถ้าบวชเข้ามาอยู่ในร่มผ้ากาสาวพัสตร์แล้ว ก็ชื่อว่าเป็นผู้มีศีล แม้แต่บิดามารดาก็ต้องมากราบ กราบลูกของตนที่บวชนั่น ที่อยู่ในผ้าเหลืองนั่น นี่แสดงให้เห็นว่าผู้มีศีลนั้น มีคุณงามความดี หรือว่าศีลนี้มีอำนาจวาสนา แม้แต่นายร้อย นายพล นายพัน พระราชา มหากษัตริย์ ก็มากราบผู้มีศีล จะอยู่ในวรรณะไหนก็ตาม ถ้ามาบวชแล้วถือว่าเป็นวรรณะที่สูง เป็นคนที่มีลาภ มียศ สูงกว่าพระมหากษัตริย์ อันนี้แหละคือศีล

ทีนี้ถ้าใครขาดศีล “คนขาดศีลเหมือนดินขาดน้ำ” ซึ่งตรงกันข้าม คนขาดศีลเดือดร้อนบ้านเมือง อย่างศีล 5 ที่ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม กล่าวมุสาวาท ดื่มสุรา เมรัย เป็นที่ตั้งแห่งความฉิบหาย ถ้าคนขาดศีลแล้ว จะเป็นอย่างไร บ้านเมืองเดือนร้อนไหม มีแต่โจรผู้ร้าย ปล้นจี้สะดม ลักขโมย หรือตีชิงวิ่งราว เป็นคน มีมายา ต้มตุ๋น ดื่มเหล้า เมาสุรา ไปทั่วทุกสารทิศ บ้านเมืองจะไม่มีขื่อ ไม่มีแป เดือดร้อน

คนขาดศีล เหมือนดินขาดน้ำ ดินขาดน้ำเหมือนอย่างทุกวันนี้ พวกเราพากันบ่นว่าร้อน เพราะอะไร เพราะดินฟ้าอากาศขาดน้ำ แตกระแหง ตามท้องไร่ ท้องนา เห็นไหมข้าวกล้า เคยเขียวชอุ่มก็แห้งกรอบ มิหนำซ้ำยังเอาไฟสุม เผาตามทุ่งไร่ ทุ่งนา ต้นไม้ก็ตาย เคยมีข่าวมาบ่อยๆ ว่าคนเอาไฟสุมป่า มีข่าวเกี่ยวกับไฟไหม้ป่าที่ผ่านมา ที่จังหวัดนครพนมชาวบ้านเอาไฟเผาป่าที่อำเภอบ้านแพง ไฟไหม้ป่าหมดเป็นหลายๆ หมื่นไร่ หรืออย่างอินโดนีเซียที่เราได้ยินข่าวที่ผ่านมาแล้ว เมื่อปีที่แล้วหลายหมื่นหลายแสนไร่ ไฟไหม้มันเดือดร้อน เดือดร้อนแม้กระทั่งประเทศไทยของเราอยู่ห่างไกลก็ยังเดือดร้อนเพราะควัน ควันมลพิษมันพุ่งมาถึงประเทศไทยของเรานี้ นี่แสดงให้เห็นว่าความเดือดร้อนจากคนไม่มีศีลกับดินไม่มีน้ำ เดือดร้อนแค่ไหน

ดังนั้น ศีล 5 ข้อนี้ จึงเป็นศีลมาตรฐาน เป็นศีลพื้นฐาน เมื่อพื้นฐานดีเราก็ดี พื้นฐานเหมือนอย่างสร้างอาคารนี้ ช่างเขาต้องสร้างพื้นฐานให้มั่นคง คือตอกเสาเข็ม วางตะแกรง วางคานให้มั่นคง จึงสร้างอาคาร ถ้าวางฐานไม่ดีอาคารก็ชำรุด ทรุดพังลงได้ง่ายๆ ดังนั้น ช่างเขาจึงคำนวณว่า อาคารหลังนี้จะมีน้ำหนักเท่าไร สร้างกี่ชั้น จะต้องใช้เหล็กเท่าไรใช้ปูนเท่าไร ใช้ตะแกรงหนาเท่าไร คำนวณดูน้ำหนักของอาคาร เรียกว่าวางพื้นฐานให้ดี

ถ้าวางพื้นฐานดี เมื่อก่อสร้างอาคารก็ไม่ชำรุดทรุดพังง่าย ที่ชำรุดทรุดพังลงได้ง่ายๆ ก็เพราะพื้นฐานไม่ดี เราจะเห็นได้อย่างเขาสร้างถนน เขาอัด บดดิน คืออัดดินให้แน่น อัดลูกรังให้แน่น เทคอนกรีตแล้วอัดให้แน่น แล้วลาดยางแล้วอัดให้แน่น ถ้าถนนสายใดทำไม่ได้มาตรฐาน อัดดินไม่ดี อัดหินไม่ดีหรือเทลาดยางแล้ว อัดไม่ดี หรือเทคอนกรีต อัดไม่ดี ไม่แน่น ไม่มาตรฐาน รถก็วิ่งไม่นานเท่าไรก็เกิดหลุมเกิดบ่อ เมื่อถนนเกิดหลุมเกิดบ่อนั่นแหละ เรียกว่าถนนมีปัญหา เวลาเรานั่งรถไปนั้น จะตกหลุม ตกบ่อไม่สบาย ถ้าถนนสายใด ทำได้มาตรฐาน ไม่มีหลุมไม่มีบ่อ เวลาเรานั่งรถไปนั้น นิ่งหรือหลับไป นี่แสดงว่าถนนสร้างได้มาตรฐาน ไม่มีปัญหา อันนี้วิถีชีวิตของเรา

ถ้าเรามีศีล เราจะปลอดภัย คนมีศีล 5 เป็นนิจ เรียกว่าปลอดจากเอดส์ ปลอดจากยาเสพติด ถ้าใครอยากปลอดภัยต้องรักษาศีล 5 ให้มีศีล 5 ในตัว ถ้ามีศีล 5 ในตัวแล้วก็เรียกว่า เรามีพื้นฐานดี ศีล 5 ข้อนี้ จะบอกตัวศีล 5 ให้ รักษาไม่ยาก การรักษาศีล 5 นั้น ก็คือ รักษาตัวของเราเอง ขาสอง แขนสอง ศีรษะอันหนึ่ง รวมเป็น 5

ทำไมจึงต้องรักษาที่ตรงนี้ เพราะอันนี้เป็นต้นของศีล ศีลเกิดจากที่นี่ ท่านให้รักษากาย ให้รักษาวาจา ให้รักษาสำรวมใจ ถ้าเรารักษาต้นศีลไม่ได้ ไม่จำเป็นที่จะไปรักษาอย่างอื่น

อย่างเราปลูกต้นไม้เราก็รักษาลำต้นมัน หรือรักษาโคนมัน ใส่ปุ๋ย รดน้ำ พรวนดิน ก็รักษาที่โคนมันเท่านั้น เราไม่ได้ไปรดกิ่งหรือใบ เรารดที่โคนต้นของมัน รักษาที่โคนต้นของมัน มันก็ให้ดอกให้ผล อันนี้ก็เหมือนกัน เมื่อเรารักษาต้นของศีลก็คือ ขาสอง แขนสอง ศีรษะอันหนึ่ง อันนี้จะอธิบายให้กว้างขวางออกไปว่า ขาของเราทำไมจึงต้องรักษาขาของเรา มันเดินได้ มันวิ่งได้ มันอาจจะเดินไป

สมมุติว่าเดินไปลักไปขโมย เดินไปฆ่าคนอื่นเอามือไปฆ่าไปตีเขา ท่านเลยว่ารักษากาย กายกรรม 3 วจีกรรม 4 กายกรรม 3 นั่นก็คือ ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ประพฤติผิดในกาม อันนี้เรียกว่า รักษาขาสอง แขนสอง ส่วนหัวนั้นก็คือปาก ปากของเรามันอยู่ส่วนของหัว ปากของเรามีหน้าที่อยู่ 2 อย่าง หนึ่งเอาเข้า สองเอาออก ที่เอาเข้านั่นก็คือเรารับประทาน การรับประทานก็ต้องเอาเข้าทางปาก การรับประทานนี้ก็ต้องเลือก เลือกสิ่งที่ไม่เป็นโทษ ไม่เป็นพิษ ไม่เป็นภัย สิ่งไหนที่มันเป็นโทษ เป็นพิษเป็นภัยนั่นเราไม่เอาเข้าไป ถ้าเอาเข้าไปแล้ว มันเป็นพิษเป็นภัย มันให้โทษ

ทีนี้การเอาออกคือ การพูดจาปราศรัย ก่อนที่เราจะเอาออกนั้นเราต้องเลือก เลือกหาคำที่มันไพเราะที่มันเป็นประโยชน์ มิใช่ว่าเราจะเอาออกมา โดยกิเลสบังคับหรือกิเลสสั่ง อย่างคนบางคนนั้นเกิดโทโสโมโหขึ้นมา พูดออกมา เปล่งออกมา พูดไม่ไพเราะ พูดด่าว่ากัน พูดเสียดแทงเสียดสีกัน เมื่อความหลงเกิดขึ้นมา เราก็พูดบ้าๆ บอๆ ไม่มีสาระประโยชน์ อันนี้จึงต้องรักษา ปากของเรา “ปากเป็นเอก เลขเป็นตรี ดีชั่วเป็นตรา” ปากเดี๋ยวนี้มีหน้าที่อยู่ 2 อย่างดังที่กล่าวแล้ว เหตุนั้น ปากของเรานี้ลมมันแรง จึงต้องสร้างกำแพงไว้ 2 ชั้น กำแพงชั้นนอกก็คือริมฝีปาก กำแพงชั้นในนั้นก็คือ ฟัน เพื่อต้านลมปากของเรา

ถึงกระนั้น มันก็ยังทะลุออกมาได้ เมื่อเวลามันเกิดโทโสโมโห ลมมันทะลุกำแพงออกมา เหตุนั้นจึงให้สำรวม สำรวมวาจาของเราให้อยู่ในขอบเขต ไม่ให้พูดโกหก มีมายา ถ้าเราไม่พูดโกหกมีมายานั้น ก็เรียกว่า เราพูดถูก ให้เป็น สุภาษิตา ชยา วาจา การพูดจาเป็นสุภาษิต การพูดจาที่ดีมีประโยชน์นั่น จึงจะถือว่าเราพูดมีศีล หรือพูดมีศิลปะ ปากของเรานี้ พูดให้คนเชื่อถือก็ได้ พูดให้คนรักก็ได้ พูดให้คนชังก็ได้ พูดเอาเงินก็ได้ พูดให้เสียเงินเสียทองก็ได้ พูดให้คนร้องไห้ก็ได้ พูดให้คนหัวเราะก็ได้ พูดให้คนเกลียดชังก็ได้ นี้ปากของเรานี่ เหตุดังนั้น การรักษาศีลนี่จึงต้องรักษาที่ตรงนี้ คือขาสอง แขนสอง และก็ปาก ปากมันอยู่ส่วนของหัว

เมื่อรักษาอันนี้ได้ ไม่จำเป็นที่จะต้องไปรักษาที่ ปาณา อทินนา กาเม มุสา สุรา นั้นเป็นอาการหรือเป็นขั้นแยกออกเป็นข้อๆ ท่านเรียกว่า โทษ เวรมณี คือ ละเว้นโทษ ที่เรารับไปแล้วนั่นคือ ท่านบอกการละเว้น ชี้ว่า สิ่งนั้นเป็นโทษ สิ่งนี้เป็นโทษ ท่านให้ละเว้นโทษ

เมื่อเรามีศีลอยู่ในตัวแล้ว ศีลนั้นจะยังความ สุขมาให้ ซึ่งท่านได้กล่าวไว้ในตอนท้ายว่า สีเล นสุขติง ยันติ บุคคลที่จะมีความสุขก็เพราะศีล สีเล นโภค สัมปทา บุคคลที่จะมีโภคสมบัติก็เพราะศีล สีเล นนิพพุติง ยันติ บุคคลที่จะไปสู่สวรรค์ นิพพานก็เพราะศีล ศีลจึงเป็นสิ่งที่จะอำนวยประโยชน์ให้แก่เรา หรือแก่ทุกคนที่รักษาศีลบริสุทธิ์ ดังนั้น ศีล จึงเป็นสิ่งที่เป็นมาตรฐาน

ศีลที่พระบรมศาสดาจารย์ทรงบัญญัติมานานถึง 2000 ปีเศษมาแล้ว ยังไม่ล้าสมัย ยังทันสมัยอยู่ทุกยุคทุกสมัย นำมาใช้ได้ ไม่มีใครที่จะแก้ไข ไม่มีใครที่จะลบล้างออกไปได้ ไม่เหมือนกฎหมายบ้านเมือง กฎหมายบ้านเมืองนั้น แต่ละรัฐบาลนั้นจะต้องมาล้างกฎหมาย ล้างระเบียบ ทุกยุคทุกสมัย ไม่เหมือนศีล ศีลนี้แม้บัญญัติมาถึง 2000 ปีเศษมาแล้ว ไม่มีใครมาลบล้างออกได้ จึงถือว่าเป็นศีลที่ทันสมัย

เมื่อกล่าวถึงศีลแล้ว ให้เราระวังภัย ภัยที่จะเกิดขึ้นแก่ตัวของเรานั้น ภัยที่มนุษย์จะต้องประสบพบอยู่ไม่ว่าจะอยู่แห่งหนตำบลใด ทุกๆ คนจะต้องประสบภัยใดภัยหนึ่ง ที่ท่านกล่าวไว้ว่า ภัยใหญ่ๆ นั้นมีอยู่ถึง 9 อย่าง คือ

1. ราชภัย พระราชาเป็นภัย
2. โจรภัย โจรผู้ร้ายเป็นภัย
3. อัคคีภัย ไฟไหม้
4. อุทกภัย น้ำท่วม
5. ทุพภิกขภัย แห้งแล้ง
6. วาตะภัย ลม
7. ปีศาจภัย ภูตผีปีศาจ
8. มรณภัย ความตาย
9. มหันตภัย ภัยสงครามหรือภัยยาเสพติด เรียกว่า มหันตภัย คือภัยใหญ่ ภัยกระจายไปทั่วโลก ไม่สามารถต้านทานหรือห้ามปราม ต้องลงทุนลงแรงมาก

ภัย 9 อย่างนี้ มีอยู่ทุกหนทุกแห่ง บางคนนั้นก็สงสัยข้อแรกที่ว่า ราชภัย พระราชาเป็นภัยนั้น พระราชาจะเป็นภัยอย่างไร อันนี้ขอย้อนอธิบายว่าพระราชานั้น พระองค์จะเสด็จไปที่ไหนนั้น ย่อมมีเมตตากรุณาแก่พสกนิกรทุกหนทุกแห่ง ไปแจกสิ่งของไปเยี่ยมเยียน บำบัดทุกข์ บำรุงสุขแก่พสกนิกร อันนี้จริง แต่ส่วนที่เป็นภัยนั้นก็คือ ถ้าพระราชาเสด็จไปที่ไหน ตำรวจ ทหาร เจ้าหน้าที่ต้องไปเคลียร์พื้นที่ให้เรียบร้อยเสียก่อน

ถ้ามีใครคนใดคนหนึ่งคิดอิจฉา พยาบาท คิดประทุษร้าย พระราชาถูกประทุษร้าย เจ้าหน้าที่ที่ไปอารักขานั้น ไม่รอบคอบ หรือว่าไม่ให้ความปลอดภัย เจ้าหน้าที่นั่นแหละจะต้องได้รับภัย คือจะต้องลงโทษอย่างหนัก จำเป็นพระราชาจะเสด็จแห่งไหนต้องไปเคลียร์พื้นที่ให้เรียบร้อยให้ปลอดภัย เป็นหน้าที่ของเสนาอำมาตย์ ราชบริวาร ตำรวจ ทหาร จะต้องไปอารักขาให้ความปลอดภัย นอกจากให้อารักขาความปลอดภัยแล้ว ถ้าพระราชาดำรัส ตรัสสั่งจะมีใครที่จะสามารถขัดคำสั่งได้ไหม ไม่มีใครสามารถขัดคำสั่งของพระราชาได้ต้องปฏิบัติตาม

ถ้าใครไม่ทำตามก็เรียกว่า ขัดคำสั่ง ขัดถ้วยโถโอจานนั้น ขัดเท่าไรยิ่งใส ยิ่งสะอาด แต่ขัดคำสั่งนี้อันตราย ขัดคอคนก็อันตราย สองอย่างนี้อันตราย ขัดคำสั่งกับขัดคอคน อันนี้แหละ พระราชาจึงเป็นภัย นอกจากนี้คณะรัฐมนตรีแก้กฎหมายเกี่ยวกับการบริหารประเทศชาติบ้านเมือง ยกตัวอย่างเช่นว่า กฎหมายเกี่ยวกับการเก็บค่าภาษีอากร เมื่อแก้เสร็จแล้วเอามาถวายให้พระราชาพิจารณา ถ้าพระองค์เห็นชอบก็จะลงพระปรมาภิไธยเห็นชอบ ถ้ากฎหมายข้อไหนไม่เห็นชอบก็ให้ไปแก้ไขใหม่ ถ้าแก้ไขใหม่เห็นชอบ พระองค์ก็จะลงพระปรมาภิไธยรับรองว่าใช้ได้ เมื่อกฎหมายฉบับนั้นใช้ได้ เจ้าหน้าที่ก็ต้องปฏิบัติตาม เก็บภาษีอากร ผู้มีรายได้ต่างๆ ก็ต้องเสียค่าภาษีอากร ไม่มีใครที่จะขัดคำสั่งนี้ได้ ถ้าหากมีคนขัดคำสั่งก็จะถูกลงโทษ จึงเป็นภัยอย่างนี้ นอกจากนั้น ถ้าใครคิดประทุษร้ายแก่พระราชานั้นมีโทษต้องจำคุก หรือประหารชีวิต อันนี้พระราชาจึงนับเอาข้อหนึ่งว่า ราชภัย พระราชาเป็นภัย

ภัยอื่นนอกจากนั้น ทุกคนก็คงจะไม่มีความสงสัย อัคคีภัย ไฟไหม้ น้ำท่วม หรือเกิดภัยแล้ง วาตภัย ลม ปีศาจภัย ภูตผีปีศาจ มรณภัย ความตาย ความตายนั้นครอบงำพวกเราอยู่ เราจะไปที่ไหนก็ครอบงำอยู่ ความตายนั้นแม้จะดำดินบินวนอยู่ เดินเท้าอยู่ในผืนแผ่นดินนี้ ไม่มีใครที่จะพ้นความตายไปได้ แม้แต่ขึ้นเครื่องบินอยู่บนฟ้าบนอากาศ ก็ต้องตกลงมาสู่ดิน

ภาษาอิสานเรียกว่า “แมงเม่าบินอยู่บนฟ้า บ่อม่ม (ไม่พ้น) ปากอึ่งยาง” แมงเม่ามันจะมีปีกบินได้ เวลาฝนตกบินอยู่อึ่งไม่มีปีกบินไม่ได้ เวลาฝนตกแมงเม่าชอบมาตอมไฟ เห็นไฟสว่างไสวดีใจบินไปตอมไฟ บินไปบินมาปีกหล่นตกลงมา อึ่งยางกระโดดอยู่ข้างล่างบินไม่ได้ คอยท่าเอาเวลาแมงเม่าตก ตกลงมาก็เลียปั๊บๆ แสดงว่า “แมงเม่าบินอยู่ฟ้า บ่ม่ม (ไม่พ้น) ปากอึ่งยาง” คนเราก็เหมือนกัน แม้จะดำดิน บินบนได้ ขึ้นเรือเหาะ บินไปบนอากาศก็ยังตกลงมาสู่ผืนแผ่นดิน อันนี้ คือความตาย อึ่งอ่างก็เหมือนกับความตายนี่ ความตายนี้ครอบงำเราอยู่

ภัยข้อสุดท้ายเรียกว่า มหันตภัย มหาภัยนั้น ภัยใหญ่ ภัยสงคราม ถ้าสงครามเกิดขึ้นที่ประเทศใด ประเทศนั้นก็จะร้อนระอุไปทุกหนทุกแห่ง ประชาชนคนทั้งหลายไม่มีที่จะอยู่จะกิน หนีภัยที่ไหนมันร่มเย็นพอที่จะรอดพ้นจากความตายนั้นก็ต้องไป ค่ำไม่ได้ยืนคืนไม่ได้อยู่ เห็นไหมประเทศเขมร ประเทศเพื่อนบ้านของเรานี้ ตามที่เราได้ยินข่าวนั้น คนตายกี่ล้านคนจากภัยสงคราม คนที่ไม่ตายก็มาพึ่งโพธิสมภาร คือมาพึ่งประเทศไทยเรานี้ ทะลักเข้ามาเขตไทยของเรา มาพึ่งคนไทย เรียกว่า หนีตาย ทิ้งบ้าน ทิ้งช่อง ทิ้งทรัพย์สมบัติมา เอาชีวิต เอาตัวรอดมา อันนี้เรียกว่าภัยสงคราม เขาฆ่ากันด้วยศาสตราอาวุธ

ภัยอันหนึ่งที่เราประสบอยู่ในขณะนี้ คือภัยยาเสพติด ภัยยาเสพติดนี้เห็นไหมที่เขียนขึ้นป้ายไว้ทุกหนทุกแห่ง ทุกบ้านทุกเมืองนี้ ป้ายใหญ่ๆ เขียนว่า “รักในหลวง ห่วงลูกหลาน ต้านยาเสพติด” ป้ายใหญ่ ใครเคยอ่านบ้าง เคยอ่านไหม เออ นี่แสดงว่าเคยเห็นไม่ใช่เห็นแต่หลวงตาคนเดียว ลูกหลานก็เห็น เห็นทุกคน นี่เป็นภัย สมัยนี้เป็นสมัยที่สร้างสงครามเย็น

สงครามเย็นนี้ก็คือสงครามยาเสพติด ไม่ได้สร้างศาสตราวุธอย่างอื่น ไม่ต้องสร้างระเบิด ไม่ต้องสร้างปืน ไม่ต้องสร้างลงแรงอย่างอื่น สร้างอาวุธเล็กๆ นี่แหละเป็นเม็ด เป็นเม็ดมาหว่านให้เรา อันนี้เรียกว่าสงครามเย็น เมื่อเราเอาอันนี้มาสูบมาเสพ มาฉีด มาดม มากินเข้า ก็เรียกว่า เราฆ่าตัวของเราผ่อนส่ง ฆ่าตัวเองเป็นการผ่อนส่ง

นอกจากฆ่าตัวเองแล้วยังไปปล้น ปล้นอะไร ปล้นพ่อ ปล้นแม่ ปล้นเอาเงิน เอาทองจากพ่อ จากแม่ จากพี่ จากน้อง แทนที่เราจะเอาเงินเอาทองมาศึกษา เล่าเรียน ให้มีความรู้ความฉลาด เรายังเอาเงิน เอาทองมาซื้ออาวุธชนิดนี้มาใช้มาบริโภค เรียกว่า เราเป็นทาสของยาเสพติด อันนี้เป็นภัย

ถ้าใครติดอันนี้ก็ให้ถอนตัว ถ้าไม่ถอนตัวก็เรียกว่า เราเป็นภัย เรารับเอาภัยสงครามเข้ามาครอบงำตัวของเรา เหตุดังนั้นจึงควรที่จะถอนตัวออกจากภัยอันนี้ ถ้าใครถอนไม่ได้ก็ตายอย่างเดียว หรือทำให้คนเสียคน เสียการเสียงาน เสียความเจริญของบ้านเมือง อันนี้ที่ติดอาวุธอย่างนี้ไม่ใช่แต่พวกเรารวมทั้งประเทศนี้ หลายล้านคนที่เป็นทาสของยาเสพติด หรือว่าติดภัยอย่างนี้ เหตุดังนั้นให้เราควรที่จะรำลึกนึกถึงอุดมคติที่ได้กล่าวมาว่า รักเคารพในหลวง คือในหลวง เป็นห่วงเป็นห่วงลูกหลานไม่ต้องการให้ลูกหลานของเราไปมอมเมาในสิ่งนี้ แม้แต่คนที่ติดสุรา ติดการพนัน ก็ยังทำลายทรัพย์สมบัติของตนเองให้พินาศฉิบหาย

จะเล่านิทานให้ฟังสักเรื่อง มีเศรษฐีคนหนึ่งมีเงินสมัยก่อนนั้นเป็น 80 ล้าน ถ้าใครมีเงินถึง 80 ล้านในสมัยก่อนถือว่าเป็นมหาเศรษฐี มหาเศรษฐีคนนั้นได้หม้อวิเศษจากเทวดา เศรษฐีคนนั้นเป็นคนมีศีล มีธรรม เทวดาเกิดความรักใคร่ เอาหม้อวิเศษมามองให้เศรษฐีคนนั้น เศรษฐีคนนั้น ก็เอาหม้อมา กราบไหว้ อธิษฐานเวลาต้องการทรัพย์สมบัติ ถ้าหากทรัพย์สมบัติมันขาดเขินแกก็จะไปอธิษฐานยกหม้อขึ้นอธิษฐาน ทรัพย์สมบัติก็จะไหลมาเทมา สิ่งที่ไม่เคยมีก็จะมี ไม่ใช่ว่าทรัพย์มันไหลมาเต็มหม้อ เมื่ออธิษฐานแล้วทรัพย์มา โดยที่แกมีการค้าขายติดต่อคนก็เอามาขายได้กำไรทวีคูณขึ้น เงินไหลนองทองไหลมา โดยที่อธิษฐานจากหม้อวิเศษนั้น

ครั้นต่อมาเศรษฐีคนนั้นมีลูกชายคนหนึ่ง ครั้นมีลูกชาย ลูกชายก็ไม่ได้หาทรัพย์สมบัติ อาศัยมหาสมบัติจากพ่อ พ่อเป็นคนมีศีลธรรม แต่ลูกเป็นคนเกเร เป็นคนเล่นการพนัน เป็นคนกินเหล้าเมาสุรา เอาทรัพย์เอาสมบัติจากพ่อไปเล่นการพนัน เล่นโบกเล่นไพ่ พนันทุกอย่าง เอาไปซื้อเหล้าแจกหมู่คณะแจกเพื่อนๆ ขนเอาทรัพย์ที่พ่อหามาได้นั่นแหละ ถ้าทรัพย์พร่องลงไป พ่อก็อธิษฐาน ทรัพย์ก็มา แต่ลูกไม่เห็นว่าทรัพย์เกิดขึ้นมาได้อย่างไร คือลูกไม่ได้หาเอง มาด้วยบุญวาสนาของพ่อ ครั้นต่อมาพ่อเขาตายแล้ว ลูกก็มาครองสมบัติ

เมื่อมาครองสมบัติเห็นว่าพ่อมีหม้อวิเศษ ถ้าทรัพย์สมบัติเอาไปเล่นกินเหล้าเมาสุรา ทรัพย์สมบัติมันก็หมดไปๆ แต่อธิษฐานทรัพย์ก็จะไหลมา คือถือปฏิบัติเพียงว่าให้อธิษฐานหม้อวิเศษนั้น ทรัพย์ก็ไหลมา ต่อมาอีกแกไปเล่นการพนันหมดเงินหมดทอง ก็ชวนให้พรรคพวกมาเล่นในบ้าน ตั้งวงเล่นการพนันอยู่ที่บ้านลูกชายเศรษฐี พอกินเหล้าเมาแล้วก็พูดโอ้อวดว่าอย่ากลัวหมดเลย ฉันมีของดี มีหม้อวิเศษ ถ้าฉันหมดเงินหมดทองแล้ว ก็จะเอาหม้อที่พ่อของฉันมอบให้มาอธิษฐานแล้ง เงินทองก็จะไหลมาเทมา

พรรคพวกก็อยากเห็นหม้อวิเศษ ก็ให้ลูกเศรษฐีนำหม้อวิเศษมาให้ดู ทีแรกก็นั่งถือหม้อเมื่อกินเหล้าเมา พรรคพวกที่นั่งอยู่ข้างหลังก็มองไม่เห็นก็โยนหม้อวิเศษขึ้นสูงๆ ให้เพื่อนๆ เห็น โยนครั้งที่ 1 ก็รับได้ โยนครั้งที่ 2 ก็รับได้ โยนครั้งที่ 3 มันเมารับไม่ได้ หม้อวิเศษตกลงถูกพื้นแตก พอหม้อแตกไปอธิษฐานแล้ว เงินทองก็ไม่มาผลที่สุดแกก็ฝ่าฝืน ขืนกินเหล้า เมาสุรา เล่นการพนัน เอาทรัพย์สมบัติที่ยังเหลืออยู่นี้ เล่นจนหมด บ้านก็เอาไปจำนำ จำนำหมดแล้วไม่มีทรัพย์ ไม่มีสมบัติเป็นหนี้เขา

ผลที่สุดบ้านหลังนั้นเขาก็ยึด ลูกเศรษฐีก็ซัดเซพเนจร ไม่มีทรัพย์ ไม่มีสมบัติ เพื่อนๆ ก็แตกสลายออกไป คือไม่มาคบ หมดเงิน หมดทองแล้ว อันนี้เรียกว่า สุราพาเพ เรื่องนี้คือ สุราพาเพ ภาษาอีสานว่า เพ (มาล้าง มาทำลาย) ทำให้ทรัพย์สมบัติทั้งหลายพังทลาย ถ้าเป็นภาษาอิสาน เรียกว่า สุราพาเพ ก็คือ สุรานี้ทำให้ทรัพย์สมบัติมันแตกสลาย

จึงสรุปได้ว่าคนไม่มีศีลนั้น รักษาทรัพย์ไม่ได้ ขาดสัตย์ขาดศีล ขาดทรัพย์สิน ทรัพย์มันอยู่ได้ด้วยศีล ถ้าไม่มีศีลทรัพย์มันอยู่ไม่ได้ อยู่ได้ด้วยศีล ถ้าไม่มีศีล ทรัพย์มันอยู่ไม่ได้ อันนี้พวกเราทั้งหลายที่เป็นลูกหลาน เราห่วงบิดามารดา บิดามารดาของเรานั้นท่านหาทรัพย์มาให้เรา ให้สงสารบิดามารดาของเรา ท่านได้สนับสนุนสงเคราะห์พวกเราได้รับการศึกษาเล่าเรียนก็เพื่อว่าอยากจะให้หาวิชาความรู้ ถ้าใครมีวิชาความรู้สูงก็มีทรัพย์สูง เห็นไหม ใครมีวุฒิสูงๆ ก็มีเงินเดือนสูงมีรายได้สูง ถ้าใครมีวุฒิต่ำก็ได้เงินเดือนต่ำ

พ่อแม่ของเราบางคนนั้นก็เป็นชาวไร่ชาวนา หาเช้ากินค่ำ แล้วตรากตรำลำบาก คิดถึงบิดามารดาของเรา เราเป็นหนี้ เรายืมทรัพย์สมบัติจากพ่อจากแม่ของเรามา ศึกษาเล่าเรียนนี่ยืมนะ เรียกว่าเราเป็นลูกหนี้ เป็นหนี้บุญคุณพ่อแม่ เหตุดังนั้น ทำอย่างไร เราจึงจะตอบแทนบุญคุณของพ่อแม่ คือเป็นลูกที่กตัญญูกตเวที ต้องประพฤติตนให้เป็นคนดี ถ้าเราเป็นคนดี พ่อแม่ก็ดีใจ เป็นการตอบแทนบุญคุณพ่อแม่ ที่เรายืมมานั้นพ่อแม่ไม่ได้ติดใจ พ่อแม่นั้นยินดีที่จะเสียสละเพื่อลูก หรือหามาเพื่อลูก ต้องการอยากให้ลูกเป็นคนดีของพ่อแม่ เป็นคนดีของสังคม เป็นคนดีของประเทศชาติบ้านเมือง

ท้ายที่สุด การบรรยายธรรมะมาวันนี้ ก็เห็นสมควรแก่เวลา ก็ขออำนาจแห่งคุณพระศรีรัตนตรัย คือ คุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จงมาปกปักรักษาอภิบาลให้พวกลูกหลานทั้งหลาย มีความสุขกาย สบายใจ ปราศจากทุกข์ โศก โรคภัย ให้ประสบพบแต่อายุ วรรณะ สุขะ พละ จงทุกประการ ดังได้แสดงมาพอสมควรแก่เวลา ก็สมมุติยุติลงแต่เพียงเท่านี้


สาธุ จบกัณฑ์ที่ 1 ศีล
 

_________________
ท่านสามารถฟังวิทยุเสียงธรรมหลวงตามหาบัวได้ทั่วประเทศ
และโทรทัศน์ดาวเทียมเสียงธรรมทั้งภาพและเสียงได้แล้วที่
http://www.luangta.com
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
วีรยุทธ
บัวทอง
บัวทอง


เข้าร่วม: 24 มิ.ย. 2005
ตอบ: 1790
ที่อยู่ (จังหวัด): สกลนคร

ตอบตอบเมื่อ: 06 ก.ค.2007, 3:05 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

กัณฑ์ที่ 2 ความสามัคคี

นโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธ ธัสสะ (3 จบ)
พหุง เวห สะระณัง ยันติ ปัพพตานิ วนานิจ อารามรุกขเจต ยานิ มนุสสา ภยตชชิตา

ในภาษิตที่ได้ยกขึ้นในเบื้องต้นว่า พหุง เวห สะระณัง ยันติ คือที่พึ่งของมนุษย์นั้นมีหลายอย่างหลายประการ บางพวกถือเอาต้นไม้เป็นที่พึ่ง บางพวกถือเอาพระอาทิตย์ พระจันทร์ เป็นที่พึ่ง บางพวกถือเอาห้วยเหวเป็นที่พึ่ง บางคนก็ถือเอาสิ่งต่างๆ มาเป็นที่พึ่ง แต่ว่าพึ่งที่กล่าวมานี้เป็นที่พึ่งไม่เกษม เป็นที่พึ่งอันไม่อุดม เป็นที่พึ่งอันไม่ประเสริฐไม่เลิศ

พระพุทธเจ้าท่านกล่าวว่า เนตังโข สะระณัง เขมัง ถือเป็นสรณะ อันไม่เป็นมงคล สิ่งใดที่จะเป็นมงคล โยจะพุทธัญจะ ธัมมัญจะ สังฆัญจะ สระระนังคะโต หรือ สะระณังคะตา พระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า พระสังฆเจ้า นี้คือที่พึ่งอันเกษม ที่พึ่งอันประเสริฐ หรือที่พึ่งอันเป็นมงคล ถ้าผู้ใดได้มายึดถือเอาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสรณะ เป็นที่พึ่งแล้วอบายภูมิง คือพ้นจากอบาย ไม่ต้องไปตกนรก ไม่ต้องไปเกิดเป็นเปรต ไม่ต้องเป็นอสูรกาย ไม่ต้องเป็นสัตว์เดียรัจฉาน เกิดมาอย่างน้อยก็มาเป็นมนุษย์ เป็นเทวบุตร เทวดา เป็นอินทร์เป็นพรหม

ถ้าผู้มีสรณะที่พึ่งอันเกษมนี้ เหตุดังนั้นพวกเราที่นับถือพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาพึ่งได้อย่างไร พระพุทธศาสนาพึ่งได้ ซึ่งพระพุทธเจ้านั้น พระองค์มีพุทธานุภาพ มีสิ่งที่เราที่จะพึ่ง คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์นี้ เปรียบเสมือนหลักแก้ว เราจึงเรียกว่าพระรัตนตรัย พระรัตนตรัยแปลว่า แก้ว 3 ประการ แก้วทั้ง 3 ประการนี้ นานๆ จึงจะเกิดขึ้นในโลก มิใช่ว่าจะเกิดขึ้นได้ง่ายๆ พุทธศตวรรษหนึ่ง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จึงจะบังเกิดขึ้น หลายร้อยหลายล้านปี หลายพันปีถึงจะอุบัติบังเกิดขึ้นในโลก

พระพุทธเจ้านั้น พระองค์มีคุณแก่เราอย่างไรนั้น พระพุทธเจ้านั้นมีคุณเป็นอันมาก พระคุณอันยิ่งใหญ่ที่มีในพระองค์นั้นก็คือ พระองค์มีพระปัญญาคุณ มีพระบริสุทธิคุณ มีพระมหากรุณาธิคุณ ส่วนพระปัญญาคุณนั้น หมายเอาปัญญาปรีชาคือความรู้ความฉลาดที่มีในพระองค์ เพราะพระองค์ได้สร้างสมอบรมบารมีมาถึง 4 อสงไขย แสนกำไลมหากัลป์ นับตั้งแต่ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้ามา ทั้งนี้พระองค์ได้อุบัติตรัสรู้แล้วพระองค์จึงเป็นผู้รู้มีปัญญายิ่งกว่าเทวดาและมนุษย์ทั้งหลายนี้ จัดเป็นพระปัญญาคุณ

ส่วนพระบริสุทธิคุณนั้นก็หมายพระหฤทัยของพระองค์นั้นบริสุทธิ์ผุดผ่อง เนื่องจากพระองค์ได้ชำระอาสวะกิเลส มีความโลภ ความโกรธ ความหลงที่ดองอยู่ในจิตสันดานของพระองค์มาช้านาน พระองค์ได้ชำระอาสวกิเลสเหล่านี้ให้หมดสิ้นไปถึงซึ่งเป็นผู้บริสุทธิ์ ไม่มีใครที่จะบริสุทธิ์ยิ่งไปกว่านี้ จัดเป็นพระบริสุทธิคุณ

ส่วนพระมหากรุณาธิคุณนั้น ก็หมายพระหฤทัยของพระองค์นั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยเมตตา กรุณาในหมู่สัตว์ แม้ว่าพระองค์จะได้อุบัติตรัสรู้ล่วงพ้นจากทุกข์เป็นส่วนพระองค์ก็ตาม แต่พระองค์ก็ยังมีความห่วงใยอาลัย ในเวไนยสัตว์ทั้งหลาย จึงได้วางประทานธรรมะคำสั่งสอนนี้ไว้ ให้แก่กุลบุตรที่เกิดมาสุดท้ายภายหลังได้นำไปประพฤติปฏิบัติ จัดเป็นพระมหากรุณาธิคุณ

ท่านผู้ดำรงไปด้วยพระคุณทั้งสามประการ ดังที่กล่าวมาโดยย่อนี้แหละ เรียกว่าพระพุทธเจ้า

พระพุทธเจ้านั้นแม้ว่าพระองค์จะดับขันธ์ เข้าสู่ปรินิพพานไปแล้วก็ตาม แต่ว่าคุณงามความดี พระบารมีของพระองค์นั้นยังคงอยู่ เราเรียกว่าพุทธานุภาพ พุทธานุภาพหรือว่าพระบารมีที่แผ่ไพศาลไปแก่พสกนิกร หรือพุทธศาสนิกชนนั้น ถ้าเราไม่พิจารณาละเอียดถี่ถ้วน เราก็จะไม่รู้ว่าพระพุทธเจ้านั้นมีคุณแก่ใครบ้าง

อันนี้จะยกตัวอย่างพอเป็นรูปธรรม คนที่เคารพนับถือในคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ยกตัวอย่างเช่นว่า ผู้ที่ประกอบอาชีพในการที่แสวงหาทรัพย์มาโดยน้ำพักน้ำแรง ด้วยความขยันหมั่นเพียรของตนนั้น อย่างผู้ที่จำหน่ายเครื่องสังฆภัณฑ์ นับตังแต่อิทธิมัย ไตรจีวร บริขาร เล็กๆ น้อยๆ จนตลอดถึงจำหน่ายพระพุทธรูปซึ่งเป็นพุทธปฏิมากรเป็นตัวแทนของพระบรมศาสดาของเรานั้น อันนี้เรียกว่าพระพุทธเจ้าแบ่งนาให้ แบ่งปันนาให้เขาเหล่านี้ได้ประกอบอาชีพจนเขามั่งมีศรีสุข มีทรัพย์สมบัติอันนี้ก็เพราะอานุภาพแห่งพระพุทธศาสนา ถ้าไม่มีพระพุทธเจ้าเขาเหล่านี้ก็คงจะไม่ได้ค้าขายหรือไม่ได้จำหน่ายสิ่งเหล่านี้ เขาก็คงเป็นคนทุกข์ คนจน ที่เขาร่ำรวยก็เพราะเขาได้ยึดอาชีพเหล่านี้ อันนี้แสดงว่าพระพุทธเจ้านั้น แบ่งปันอาชีพหรือแบ่งนานี้ให้เขา อันนี้กล่าวถึงสิ่งที่เป็นรูปธรรม

นอกจากนั้นผู้ที่เคารพนับถือพระพุทธศาสนาที่มีศีล มีธรรม อยู่ในตัวของเขาเองเป็นผู้บริสุทธิ์ คนที่อยู่ในศีลในธรรมไม่เดือดร้อน ถ้าคนขาดศีลขาดธรรมเดือดร้อน เหตุดังนั้นจึงได้แสดงหรือเทศนาอยู่บ่อยๆ ว่า “คนมีศีล เหมือนดินมีน้ำ” คนมีศีลนี่ปักกุ่ม ชุ่มเย็น บ้านเมืองไม่เดือดร้อน คนมีศีลธรรมจะอยู่ที่ไหนก็ตาม บ้านเมืองไม่เดือดร้อน มีแต่ประชาชนทั้งหลายไปกราบไปไหว้ ไปสักกระบูชาผู้มีศีล ผู้มีศีลแม้จะอยู่ที่กาลีสักปานใดก็ตาม อยู่ในดง ในป่า อยู่ในภู ในเขา ในถ้ำ ในเหว ก็ยังมีคนไปกราบไปไหว้ไปสักการะบูชา อันนี้แสดงว่าศีลนั้นเยือกเย็น แม้แต่เราเอามาปฏิบัติตามก็ไม่มีปัญหา คนมีศีลนั้นไม่มีปัญหา จะรักษาศีลห้าก็ตาม ศีลแปดก็ตาม ไม่มีปัญหาในชีวิตประจำวัน

คนที่ไม่มีปัญหาเขาเรียกว่าไม่เดือดร้อน เหมือนดินมีน้ำ ดินมีน้ำ ปักกุ่มชุ่มเย็น ถ้าฝนตกลงมา ดินถูกน้ำก็ชุ่มชื่น ต้นไม้ เครือเขา เถาวัลย์ เขียวชอุ่ม หญ้าลดาวัลย์ก็งอกงามขึ้นมา ข้าวกล้าในนาก็เขียว ชาวนาก็ได้ทำนา อันนี้แสดงถึงความเยือกเย็น ซึ่งเกิดจากน้ำ คนที่มีศีลก็เยือกเย็นเหมือนดินมีน้ำ ทรัพย์สมบัติที่ไม่เกิดก็เกิดขึ้น

เหตุนั้น ท้ายของศีลท่านจึงว่า สีเล นะ สุขติง ยันติ บุคคลจะมีความสุขก็เพราะศีล สีเล นะ โภคสัมปทา บุคคลที่จะมีโภคสมบัติก็เพราะศีล แสดงว่า ศีลที่พระพุทธเจ้าประทานมานี้ เป็นธรรมะอันหนึ่งที่พึ่งได้ แต่คนขาดศีลเป็นอย่างไร คนขาดศีลนั้นเหมือนดินขาดน้ำเหี่ยวแห้งจนดินแตกระแหง ทำไร่ ทำนาก็ไม่ได้ ต้นไม้เหี่ยวแห้ง

เมื่อ 2-3 อาทิตย์ที่ผ่านมา หลวงตาเดินทางไปกรุงเทพฯ ถูกเขาก่อม็อบ ปิดถนนบริเวณมวกเหล็ก เลยกลับมาทางปากช่อง หลีกไปทางแม่น้ำป่าสัก ออกไปสระบุรี ดูแล้วป่าไม้ ภูเขา ไม่มีต้นไม้ ต้นไม้เหี่ยวแห้ง คนเอาไฟจุดป่า เผาป่าเตียนหมด โล่งหมด ไปเห็นแล้วก็สงสาร แม้แต่ภูเขาก็ยังเตียน โล่ง เห็นแต่ก้อนหิน ต้นไม้แดงฉานไปหมด แต่ก่อนนั้น เขาเรียกดงพญาไฟ มาตั้งชื่อใหม่ว่า ดงพญาเย็น แต่เดี๋ยวนี้มันก็ร้อนขึ้นอีกแล้ว เพราะคนสุมป่า จุดป่า เผาป่า ถากถางเป็นไร่ เป็นสวน เป็นบ้านเป็นช่องไปหมด ต้นไม้มันก็ร้อน ภูเขามันก็ร้อน ปลูกอะไรก็ไม่ได้ จึงเปรียบเทียบได้ว่า คนขาดศีล เหมือนดินขาดน้ำ ต้นไม้ภูเขา เหี่ยวแห้งแดงกรอบไปหมด

อันนี้จะเป็นชีวิตเดี่ยวก็ตาม ชีวิตคู่ก็ตาม ชีวิตหมู่ก็ตาม ชีวิตสังคมก็ตาม ถ้าขาดศีลแล้วอยู่ด้วยกันไม่ได้ เหตุนั้น เราจึงต้องมีความสามัคคี ต้องมีศีล ทุกคนถ้ามีศีลเราจะอยู่เย็นเป็นสุข หรือถ้ามีศีลก็จะมีความสามัคคี เหตุนั้น เราจึงสร้างความสามัคคีให้เกิดมีขึ้นในคณะหรือให้มีศีลเสมอกัน ถ้าเรามีศีลแล้วมันจะเยือกเย็นมีความสามัคคี ถ้าขาดความสามัคคีแล้วก็เรียกว่า เกิดตัวอุบาทว์ขึ้น “อุบาทว์ อุบัติ” อุบัติ อุบัติเหตุ เรียกว่า อุบาทว์ โบราณเรียกว่า อุบาทว์ สวด อุบาทว์ “แฮ้ง (แร้ง) ลงนา พญาขึ้นเฮือน”

อุบาทว์ แฮ้งลงนาเป็นอย่างไร ?

ถ้าแร้งลงนาที่ไม่มีหมูไม่มีหมาตาย ไม่มีวัวควายตาย บินลงไปเฉยๆ ลงไปเหยียบไร่นาของใคร ไร่นาของผู้นั้นอุบาทว์ พญาขึ้นเฮือน (เรือน) ต้องเสียเคราะห์ พญาอะไรบ้าง แม้กระทั่งพญาคันคาก (เขียดคันคาก) ขึ้นบ้านขึ้นเรือนมันไม่เคยขึ้นบ้านขึ้นเรือนผู้ใดได้ทำบุญ ได้เสียเคราะห์ จึงได้ว่า “แฮ้งลงนา พญาขึ้นเฮือน” เสียเคราะห์โบราณว่าซึ่งจะเล่านิทานให้ฟัง เล่านิทานเรื่องอุบาทว์

มีเมืองเมืองหนึ่ง มีพระราชา พระราชามีศีล มีธรรม มีเมตตาแก่พสกนิกร ในวันหนึ่งพระราชานั่งคชสาร คือนั่งช้างพระที่นั่งไปทอดพระเนตรรอบพระนคร ว่าพสกนิกรอยู่เย็นเป็นสุขหรืออยู่อย่างไร พระราชาอยู่แต่ในวังไม่รู้ความสุขความทุกข์ของประชาชนราษฎร เลยให้นายควาญช้างแต่งช้างขี่ไป มีเสนาอำมาตย์ตามเสด็จไปตามถนนหนทาง

สมัยก่อไม่มีรถเหมือนสมัยปัจจุบัน อย่างน้อยก็มีม้า ช้าง ราชรถให้คนจูง เข็น หรือราชรถเทียมด้วยม้า พระองค์ได้ทรงช้าง มีเสนาอำมาตย์ตามอารักขา ทอดพระเนตรไปรอบพระนคร ไปเห็นคฤหาสน์หลังหนึ่งใหญ่โตรโหฐาน แต่ว่าถูกต้นไม้ปกคลุมไปหมด เจ้าของอยู่ไม่ได้ แตกสานซ่านเซ็น (แตกสานะโม) คู่ผัวตัวเมียทะเลาะวิวาทกันหัวร้างข้างแตกทิ้งบ้านทิ้งเรือน ทิ้งคฤหาสน์อันใหญ่โตหนีไป ต่อมาปีสองปีต้นไม้เลยแตกรกหุ้มไปหมดบ้านเลย เศร้าหมองเพราะขาดเจ้าของ

พระราชาเสด็จไปทอดพระเนตรเห็นบ้านหลังนั้นเลยถามว่า เป็นบ้านของใคร เสนาอำมาตย์ทูลว่า บ้านร้าง พระราชาเลยถามว่า บ้านหลังใหญ่โต ทำไมจึงร้าง จึงให้เสนาอำมาตย์ไปสอบถามบ้านใกล้เคียง ได้คำตอบว่า บ้านหลังนี้เกิดอุบาทว์ พระราชาเสด็จกลับพระราชวัง จึงสั่งเสนาอำมาตย์ หาตัวอุบาทว์มาให้ได้ภายใน 7 วัน ถ้าไม่ได้จะถูกลงโทษลงทัณฑ์ เสนาอำมาตย์ร้อนใจออกหาตัวอุบาทว์ ต่างก็แยกย้ายกันออกไปหาตัวอุบาทว์

เสนาอำมาตย์ผู้ใกล้ชิดคนหนึ่งใช้เวลาหาตัวอุบาทว์ล่วงเลยมาแล้ว 6 วัน ยังไม่ได้ตัวอุบาทว์ ก็คิดว่าตนเองอยู่ใกล้ชิดพระราชา ต้องถูกลงโทษคอขาดก่อนผู้อื่น ได้แต่คิดว่าทำอย่างไรจึงจะได้ตัวอุบาทว์ ถ้าไม่ได้จะหนีเอาตัวรอด จึงได้ไปไต่ถามตามบ้านเล็กบ้านน้อย ผู้เฒ่าผู้แก่ ซึ่งก็ไม่มีใครรู้ตัวอุบาทว์ เสนาผู้นี้ก็เลยยอมเสียสละตำแหน่ง เพื่อเอาตัวรอดจะไม่กลับบ้านเรือนและราชวังอีก มุ่งหน้าเดินทางเข้าสู่ป่าลึกไปพบพระฤๅษี

พระฤๅษีเป็นฤๅษีที่ชอบกินหมากบ่อย เสนาได้เล่าเรื่องให้ฤๅษีฟังตั้งแต่ต้นจนจบ ฤๅษีก็รู้ได้ทันทีว่า พระราชาเป็นผู้ไม่มีสติปัญญาไม่รู้ตัวอุบาทว์ ฤๅษีก็เลยสั่งให้เสนาไปตัดไม้ไผ่มาสามปล้อง ทะลุข้อปล้อง สองปล้องเหลือไว้ หนึ่งปล้องให้นำมาให้พระฤๅษีสองบั้ง (ท่อน) พระฤๅษีจึงสั่งให้เสนาไปอาบน้ำพักผ่อนให้สบายใจฤๅษีจะมอบตัวอุบาทว์ให้ในรุ่งเช้า

ฤๅษีเลยมานั่งพินิจพิจารณาหาอุบาย โดยนำหมากกินแล้วคายชานหมากลงในกระบอกไม้ไผ่ กระบอกละ 9-10 คำ แล้วปิดกระบอกด้วยใบไม้ให้แน่น รุ่งเช้าเสนาก็ดีอกดีใจที่ได้ตัวอุบาทว์ ฤๅษีให้สัญญาไว้ว่าห้ามไม่ให้เสนาเปิดกระบอกไม้ไผ่ ไม่เช่นนั้นตัวอุบาทว์จะออก แล้วมาขอใหม่พระฤๅษีจะไม่ให้อีก ต้องให้นำไปเปิดต่อหน้าพระราชาและเสนาอำมาตย์ทั้งหลายเพราะ ถ้าเปิดแล้วตัวอุบาทว์กระโดดออกมา จะได้ช่วยกันตะครุบเอาไว้ได้ ต้องเปิดท่ามกลางสันนิบาต เสนาก็สะพายกระบอกตัวอุบาทว์ไปด้วยความยินดี ไปกราบทูลพระราชาว่า ได้ตัวอุบาทว์แล้ว

พระราชาสั่งให้เสนาอำมาตย์ทั้งปวงเข้าเฝ้า เสนาทั้งหลายตกอกตกใจ กลังคอขาดเพราะตัวเองไม่ได้ตัวอุบาทว์ พระราชาจึงประกาศให้รู้ว่า เสนาผู้ใกล้ชิดได้ตัวอุบาทว์มาแล้ว จะเปิดกระบอกต่อหน้าทุกคน ถ้าตัวอุบาทว์วิ่งออกไปทางใดให้เสนาอำมาตย์ที่อยู่ทางนั้นตะครุบเอาไว้ให้ได้ พระราชาเป็นผู้เปิดแล้วส่องดูในกระบอก กระบอกทั้งลึก ทั้งมืด ส่องลงไปแล้วพระราชาก็บอกทุกคนว่าเหมือนอึ่ง (เพราะชานหมากสีแดงๆ เหมือนอึ่ง) ห้ามไม่ให้เท ให้ส่องดู เสนาทั้งหลายส่องดู บ้างก็บอกว่าเหมือนจิ้งจก กิ้งก่า ฯลฯ ต่างคนต่างบอกคนละอย่าง 10 คน ก็ 10 อย่าง ไม่เหมือนกัน

เสนาอำมาตย์หนุ่มๆ ก็บอกว่า เสนาอำมาตย์แก่ๆ ทั้งหลาย ตาไม่ดี เสนาอำมาตย์แก่ก็บอกว่า เกิดเมื่อวันวานยังมาเถียง เสนาอำมาตย์ก็เลยต่างคนต่างถกเถียงกันขึ้น ไม่ตกลงกันชุลมุนวุ่นวาย ถึงขั้นจะชกต่อยตีกัน คนหนุ่มว่าให้คนแก่ คนแก่ว่าให้คนหนุ่ม ต่างทุ่มเถียงกันไปมา พระราชาเลยห้ามให้หยุดทะเลาะกัน แล้วบอกว่าถ้าฝ่าฝืนเอาตัวอุบาทว์ไว้ในพระราชวัง พระราชวังคงจะแตกแน่ๆ เพียงแค่เอามาดูแค่นี้ก็ยังเกิดการแตกแยกตีกันแล้ว มิน่าเล่าบ้านหลังนั้น จึงร้างเพราะอุบาทว์เข้าสิง พระราชาเลยให้เสนานำไปส่งคืนพระฤๅษี

นี่แสดงว่าความแตกสามัคคีกัน ทำให้อาฆาต บาดหมางกัน ไม่ตกลงไม่เชื่อฟังกัน เราต้องฝังตัวอุบาทว์ อย่าให้ตัวอุบาทว์มาใกล้ เอาตัวอุบาทว์มาฝังมาเผาเสียให้มันหายอุบาทว์ ไม่ให้มีผีอุบาทว์

วันนี้ได้แสดงธรรมเกี่ยวกับตัวอุบาทว์ ที่แสดงให้เห็นถึงความสามัคคี ถ้าเรามีความสามัคคีกัน อยู่ที่ใดก็มีแต่ความเจริญรุ่งเรือง มีชื่อเสียง สามัคคีกันดีกว่าแตกร้าวกัน การชี้แจงแสดงธรรมวันนี้ก็เห็นสมควรแก่เวลา ท้ายที่สุดนี้ ก็ขออำนาจแห่งคุณพระศรีรัตนตรัย จงคุ้มครองป้องกันให้พวกท่านทั้งหลายมีความสุขกายสบายใจ ปราศจากทุกข์โศกโรคภัย ประสบพบแก่ อายุ วรรณะ สุขะ พละ จงทุกประการดังได้รับประทานในทัศนามาพอสมควรแก่กาลเวลา เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้


สาธุ จบกัณฑ์ที่ 2 ความสามัคคี
 

_________________
ท่านสามารถฟังวิทยุเสียงธรรมหลวงตามหาบัวได้ทั่วประเทศ
และโทรทัศน์ดาวเทียมเสียงธรรมทั้งภาพและเสียงได้แล้วที่
http://www.luangta.com
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
วีรยุทธ
บัวทอง
บัวทอง


เข้าร่วม: 24 มิ.ย. 2005
ตอบ: 1790
ที่อยู่ (จังหวัด): สกลนคร

ตอบตอบเมื่อ: 06 ก.ค.2007, 6:36 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

กัณฑ์ที่ 3 ความตาย

นโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธ ธัสสะ (3 จบ)
สัพเพสัตตา มรัญติจะ มะริงสุจะ มะริสสะเร ตะเถวาหัง มริสสามิ นัตถิเม เอตถะ สังสะโย

ในภาษิตที่ได้ยกขึ้นกล่าวในเบื้องต้นว่า สัพเพ สัตตา มรัญติจะ มะริงสุจะ มะริสสะเร ตะเถวาหัง มริสสามิ นัตถิเม เอตถะ สังสะโย มีเนื้อใจความของภาษิตนี้ ก็แปลว่า สัตว์ทั้งหลายทั้งปวงที่มีในโลกนี้จะมีความตายนี้มาครอบงำ และความตายนี้ไม่มีจุดหมายปลายทาง ไม่มีสิ่งที่จะต้านทานความตายนี้ได้ ที่ตายมาแล้วก็ดี ที่ตายอยู่ในบัดนี้ก็ดี ที่จะตายในวันข้างหน้าก็ดี นัตถิเม เอตถะ สังสโย ความสงสัยในเรื่องความตายนั้น ย่อมไม่มีแก่พวกเราท่านทั้งหลายแล้ว แสดงว่า ความตายนี้มีมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ตั้งแต่มีแผ่นดินนี้มาก็สัตว์ เมื่อมีสัตว์เกิดมาในแผ่นดินนี้ก็มีมาเรื่อยๆ

เหตุนั้นพระพุทธเจ้าจึงแสดงธรรมเป็นสัจธรรมไว้ว่า เกิด แก่ เจ็บ ตาย เกิดก็คือความตั้งขึ้นแก่ คือ ความแปรปรวน เจ็บนี่คือความทุกขเวทนา ซึ่งเกิดขึ้นจากแก่ เมื่อเจ็บหนักเข้าก็ทนไม่ไหว ก็ปลงคือว่า ตาย อันนี้ เกิด แก่ เจ็บ ตายนี้เป็นสัจธรรม ไม่มีใครที่จะหลีกเลี่ยงไปได้ เหตุดังนั้น ความตายนี้ ถึงแม้จะมีแก่ตนและบุคคลอื่นก็ตาม ให้พวกเราทั้งหลายนั้นปลง ปลงให้เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

ปลงให้เป็นอนิจจังนั้น คือความไม่เที่ยง ความไม่เที่ยงเราจะเห็นได้ในสังขารที่ไม่มีใครครอง อย่างต้นไม้ บ้านเรือน เมื่อเราสร้างขึ้นใหม่ๆ มันก็สวยงาม นานๆ เข้าความแปรปรวนอันนั้น ก็ชำรุดทรุดพังหรือไปตามกาลเวลา ผลที่สุดก็สลักหักพังลงมา อันนี้เรียกว่า ไม่เที่ยง ต้นไม้ก็เหมือนกัน ต้นไม้ทีแรกมันก็เจริญขึ้น เจริญขึ้น เมื่อใหญ่โตเต็มที่แล้วก็สลักหักพังลงมาหรือตาย เป็นสิ่งแสดงให้เราเห็นเรียกว่า อนิจจัง คือความไม่เที่ยง

ถ้ามาดูใกล้ๆ ตัวของเรา แต่ก่อนเราเป็นเด็ก เปลี่ยนจากเด็กมาเป็นหนุ่ม เป็นสาว เปลี่ยนจากหนุ่มสาวมาเป็นกลางคน จากกลางคนนั้นก็มาเป็นคนเฒ่า คนแก่ คนชรา ดูหน้าตาเนื้อหนังมังสังตลอดถึงเกศา อยู่บนศีรษะก็คนดกดำ ก็หงอกโพลน เนื้อหนังมังสังก็เหี่ยวแห้ง แก้มก็ตอบ ฟันหลุด อันนี้แสดงถึงอนิจจัง ความไม่เที่ยง มันแก่ ความแก่นี้เรียกว่า ความไม่เที่ยง เมื่อเราพิจารณาความแก่แล้วเราก็ปลงสังขารของตัวเองว่า เราเกิดมาตกอยู่ในสามัญลักษณะที่มีลักษณะคล้ายคลึงกันหมด ไม่ว่าใครๆ จะต้องแก่อย่างนี้ ไม่ล่วงพันความแก่ไปได้ พระพุทธเจ้าท่านสอนอย่างนี้

ทีนี้ถ้าเราพิจารณาความแก่แล้วจะพิจารณาความเจ็บต่อไป เมื่อแก่แล้วมันจะต้องเจ็บ โดยเฉพาะผู้เฒ่าผู้แก่ แก่งอม บางทีก็โอดโอย สังขารเคยไปไหนมาไหนคล่องแคล่ว อย่างแข้งขาแต่ก่อนไม่รู้สึกเจ็บปวด แต่เมื่อแก่มาแล้วก็บ่นว่าเจ็บแข้งเจ็บขา เจ็บหลัง เจ็บเอว เจ็บหู เจ็บตา เจ็บที่นั่น เจ็บที่นี่ บ่นหาหยูกหายามาเยียวยาไว้ นี่ความเจ็บมันห้ำหั่นมันบีบคั้นสังขาร ร่างกายของเราเข้าทุกๆ วัน อันนี้เรียกว่าความทุกข์ เมื่อไม่เที่ยงแล้วเป็นทุกข์ บางทีก็ไม่อยากข้าว ไม่อยากน้ำ บางคนกินข้าวแล้วก็บอกบ่นว่าไม่ได้กิน บางคนก็บอกว่าหิว บางคนก็ไม่อยากเสียเลยนี้ เพราะสังขารร่างกายของเรานั้น มันแปรปรวนธาตุขันธ์ ไม่เหมือนแต่เป็นหนุ่มเป็นสาว ขณะที่เป็นหนุ่มเป็นสาว ร่างกายของเรามันเจริญ เหมือนต้นไม้ ต้นหนุ่มๆ หรือว่าเกิดขึ้นใหม่ๆ นั้น เอาปุ๋ยเอาน้ำรดมันยิ่งงามขึ้น แต่เมื่อแก่เฒ่าชราแล้ว จะเอาปุ๋ยเอาน้ำ ไปใส่สักเท่าไหร่ก็ตาม มันก็ไม่งอก ไม่งาม คือมันไม่ดูดปุ๋ย ไม่กินปุ๋ย มันพอแล้ว นี่สังขารร่างกายของพวกเราก็เหมือนกัน มันพอถ้าแก่มาเต็มที่แล้ว มันพอ มันกินอิ่มแล้ว

นี่มันก็เป็นทุกข์เมื่อเจ็บเข้าหนักๆ ก็ปลง คือ ปลงเป็นอนัตตา คือร่างกายของเรานี้ พระพุทธเจ้าท่านสอนว่า เรายืมมาใช้ชั่วคราว เดี๋ยวเขาก็มาทวงเอากลับคืน ตาของเราแต่ก่อนนั้น เคยมองเห็นสิ่งนั้น สิ่งนี้ไกลๆ สิ่งเล็กๆ น้อยๆ สิ่งที่ละเอียดก็มองเห็น แต่เมื่อแก่ชรามาแล้ว ตาฝ้าฟาง มองไม่เห็นอ่านหนังสือไม่ได้ คือ มันทวงเอากลับคืนไป เนื้อหนังมังสังก็ทวงเอาคืนไป กำลังวังชาก็ทวงเอาคืนกลับไป

ผลที่สุดก็ต้องทวงมอบให้มันทั้งร่างกายนี้ คือ ตาย นี่ความตายเป็นอนัตตาคือ ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตนของเรา เราบอกไม่ฟัง ไม่ให้มันเกิดมันก็เกิด ไม่ให้มันแก่มันก็แก่ ไม่ให้มันเจ็บมันก็เจ็บ ไม่ให้มันตายมันก็ตาย ท่านเรียกว่าอนัตตา คือ ของไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน เราบอกไม่ฟังไม่อยู่ใต้อำนาจบังคับบัญชาของบุคคลผู้ใด อันนี้แสดงถึงสามัญลักษณะที่มีแก่สังขาร หรือแก่สัตว์ทั้งหลายที่เกิดมา คนเราเกิดมานั้นนอกจากสังขารหรือร่างกายแล้ว มีอีกอย่างหนึ่ง คือจิตใจของเรานั้นยังมีห่วง ยังมีบ่วงยังมีห่วงอยู่ 3 ห่วง

ห่วง 3 ห่วงนั้นคืออะไร ?

ห่วงบุตร ห่วงภรรยา สามี ห่วงทรัพย์ ห่วงสมบัติ โบราณอีสานของเราจึงพูดกันว่า "ความฮักลูกคือฝ้ายผูกคอ ความฮักผัว ฮักเมีย คือปอผูกศอก ความฮักข้าวของเงินทองคือปลอกสุบตีน" อันนี้เป็นคำภาษาอีสานความรู้ลูกเหมือนเฮือกผูกคอ จะไปไหนมาไหนก็เหมือนว่าเชือกผูกคอมันแขวนคออยู่อย่างนั้น มันคิด ห่วงลูก พ่อ แม่คิดถึงลูก ห่วงลูก เหมือนด้ายผูกคอไว้ ไปไหนก็ต้องกลับมา เห็นไหม วัว ควาย พอเชือกผูกคอมันไว้ผู้ใส่หลักเอาไว้ มันจะไปสุดเชือกแล้วก็กลับมาจนเวียนอยู่ในบริเวณนั้นแหละ อันนี้แหละเชือกผูกคอ ปอผูกศอกนี้ก็คือ คู่หัวผัวเมีย

บางคนนั้น จิตใจยังไม่มีศรัทธา จิตใจไม่ตรงกัน บางคนผัวนั้นมีศรัทธา อยากจะบริจาคทาน แต่ถ้าฝ่ายหนึ่งไม่พร้อมก็บริจาคไม่ได้ คือฝ่ายสามีไม่พร้อมก็บริจาคไม่ได้ หรือฝ่ายภรรยาไม่พร้อมก็บริจาคไม่ได้ อันนี้แหละท่านจึงว่าความผูกพันระหว่างคู่ผัวเมียนั้น มันมีความห่วงความหวงซึ่งกันและกัน จะไปไหนมาไหนก็ห่วง ห่วงผัว ห่วงเมียนี้ ความห่วงนี้ เราตัดไม่ได้ ถ้ายังเป็นปุถุชนคนมืดมนอนธการอยู่ ก็ยังตัดไม่ได้ ตัดคู่ผัวตัวเมียนั้นยาก อันนี้ท่านจึงเรียกว่า “เชือกผูกคอ ปอผูกศอก” คือผูกรัดศอกเอาไว้ มัดศอกเอาไว้

ความห่วงที่ 3 นั้นก็คือ ความห่วงทรัพย์ ห่วงสมบัติ ห่วงทรัพย์ ห่วงสมบัตินั้น ที่ทุกวันนี้ที่เราแสวงหาทรัพย์สมบัตินั้น ก็เพื่อปากเพื่อท้อง เพื่อครอบเพื่อครัว เพื่อลูกหลาน หรือเพื่ออนาคต จึงต้องแสวงหาทรัพย์ แสวงหาสมบัติ ครั้นมีทรัพย์มีสมบัติแล้วเราไปไหนมาไหนก็ห่วงมัน มันห่วงไม่อยากจากทรัพย์สมบัติไป จะเห็นได้อย่างผู้ที่มาบวชเป็นพระเป็นเณร เสียสละเวลามาบวช ลามาบวชทำงานราชการ ลาบวชเพียง 7 วัน 15 วัน แล้วก็ห่วงงาน ห่วงเงิน ห่วงการ ห่วงงาน ห่วงเงิน เงินก็คือทรัพย์ บวชก็ไม่ได้นาน เพราะห่วงอันนี้มันเป็นธรรมดาของจิตใจปุถุชนของเรายังสะสมทรัพย์ สะสมสมบัติ ยังแสวงหาทรัพย์สมบัติ ก็ยังห่วงทรัพย์สมบัติ เมื่อมีทรัพย์สมบัติแล้วก็ต้องห่วง

ความห่วงอันนี้จึงเป็นเหตุให้สัตว์ทั้งหลายข้องอยู่ในวัฏสงสาร คือ เวียนว่ายตายเกิด จะต้องทนทุกขเวทนา หรือว่าต้องแสวงหาอยู่อย่างนี้ ต้องติดอยู่กับโลกอย่างนี้ ถ้าจิตใจของเราไม่ตัดห่วงทั้ง 3 นี้ไปได้ ก็เรียกว่า วัฏฏวน คือ วนไป วนมา วนเกิด แก่ เจ็บ ตาย อยู่อย่างนี้ อันนี้จะยกตัวอย่างคือ ยกนิทานเรื่องหนึ่งมาชี้แจงแสดงให้ญาติโยมฟังว่า ความห่วงลูก ห่วงผัวนั้นมีมากน้อยแค่ไหน

มีเศรษฐีคนหนึ่งอยู่ในเมืองสาวัตถี เศรษฐีคนนั้นมีลูกชายคนหนึ่ง และก็มีลูกสาวคนหนึ่ง ลูกสาวนั้นแกก็ห่วงมากเป็นพิเศษ ไม่ต้องการอยากจะให้ลำบากตรากตรำ เพราะคิดว่าทรัพย์สมบัติก็มีมากแล้ว จึงได้เป็นเศรษฐีถึงแม้ทรัพย์สมบัติมาก แต่ก็ไม่ห่วงเหมือนลูก ลูกสาวนี้เศรษฐีห่วงมากกลัวว่าเขาจะมาหลอก มาลวง มาต้ม มาตุ๋น มาฉุดลูกสาวไป ก็ให้ลูกสาวนั้นอยู่แต่ในคฤหาสน์ อยู่ในปราสาท ไม่ให้ไปไหนมาไหน เพื่อนบ้านร้านตลาดเขาไปเที่ยวเตร่เร่ร่อน หรือไปชมอันนั้น ชมอันนี้ แต่ว่าเศรษฐีคนนี้ห่วงลูกสาวมากไม่ให้ออกจากบ้าน ไม่ให้ไปเที่ยวเตร่เร่ร่อนเหมือนคนอื่น

ครั้นต่อมาในบ้านเศรษฐีนั้นมีชายคนหนึ่ง เป็นชายหนุ่ม รูปหล่อ รูปสวยแต่ว่าเขาเป็นคนฐานะต่ำหรือวรรณะต่ำมาคอยรับใช้อยู่ในบ้านของเศรษฐี เศรษฐีก็ไว้เนื้อเชื่อใจในหนุ่มคนนั้น ก็ใช้เข้านอกออกใน วันหนึ่งเศรษฐีผู้เป็นพ่อเป็นแม่ไม่อยู่ ลูกสาวเห็นชายหนุ่มนั้นก็เกิดความสมัครรักใคร่ ก็มาพูดคุยกันตามภาษาของหนุ่มสาว เกิดความสมัครรักใคร่กัน ผลที่สุดลูกสาวของเศรษฐีก็ชวนอ้ายหนุ่มให้ออกจากบ้านของเศรษฐีนั้นไป คือยอมเป็นคู่หัวผัวเมียกัน โดยที่พ่อแม่ไม่ทราบ ครั้นชวนกันตกลงแล้วก็ออกจากบ้านนั้นไปสู่บ้านของชายหนุ่ม โดยที่ลักลอบไป ไม่ให้พ่อแม่เห็น หรือพ่อแม่ไม่ทราบ

ครั้นติดตามกันไปแล้ว ก็ไปถึงบ้านชายหนุ่ม ครั้นไปถึงบ้านชายหนุ่มนั้น ชายหนุ่มนั้นเป็นคนทุกข์ คนจนมีฐานะต่ำ หาเช้ากินค่ำ หารับใช้ ใช้แรงงานเรียกว่าขายแรงงาน ไปหาทำงานรับจ้างได้ทรัพย์สมบัติมาก็เอามาซื้อข้าวปลาอาหารมาเลี้ยงผู้เป็นภรรยา ส่วนเศรษฐีผู้เป็นพ่อ เป็นแม่ ท่านกลับมาถึงบ้านก็ไม่เห็นลูกสาว ไม่ทราบว่าจะติดตามไปหาที่ไหน สอบถามบ้านใกล้เรือนเคียงก็ไม่รู้ไม่ทราบ มีแต่ความเศร้าโศกโศกาอาดูร คิดถึงลูกสุดแสนทุกข์ระทมเข้าครอบงำเศรษฐีผู้เป็นพ่อเป็นแม่ ถึงอย่างไรก็ตาม ความรักของคนเรานั้นไม่มีพรมแดน ไม่มีชั้นวรรณะ ความรักมันข้ามน้ำ ข้ามทะเล ข้ามฟ้า ข้ามอากาศ ข้ามชาติ ข้ามภพ อันนี้ความรักจะทุกข์ยากลำบากอะไรก็ตาม ถ้าความรักครอบงำแล้วก็ทำให้มืดมนอนธการไม่ทราบว่าจะตกทุกข์ลำบากอย่างไรก็ตาม ก็พอใจจะอยู่กับชายหนุ่มที่เป็นคนจัณฑาลนั้น

ครั้นอยู่ต่อมาก็ตั้งครรภ์ได้ 9 เดือน ก็อ้อนวอนผู้เป็นสามีให้กลับมาสู่บ้านของพ่อแม่ ส่วนสามีนั้นก็คิดว่าถ้าเราไปสู่บ้านพ่อบ้านแม่ของนาง พ่อแม่ของนางนั้นก็จะลงโทษ หรือจะทำร้ายเรา ก็ไม่กล้า ไม่กล้าที่จะพาไป จึงผลัดวันนั้น วันนี้ นางก็ท้องแก่ขึ้นทุกๆ วัน วันหนึ่งผู้เป็นสามีไปทำงานรับจ้าง ภรรยาก็คิดว่าวันนี้เป็นโอกาสดี เราต้องหนีกลับไปคลอดลูกที่บ้านพ่อบ้านแม่ของตนเอง ก็สั่งเสียกับบ้านใกล้เคียงว่า ถ้าหากสามีของฉันกลับมาก็ขอให้บอกสามีของฉันด้วยว่า ฉันกลับไปคลอดลูกที่บ้านของพ่อแม่

ครั้นแล้วก็เดินทางออกจากหมู่บ้านนั้นไป ไปถึงระหว่างกลางทาง ด้วยกำลังที่ครรภ์แก่ผลที่สุดก็อดกลั้นไม่ได้ ก็คลอดลูก ส่วนผู้เป็นสามีนั้นกลับจากทำงานก็ถามหาภรรยา ได้ข่าวจากบ้านใกล้เคียงก็บอกว่า เขากลับไปคลอดลูกที่บ้าน ก็วิ่งตามไป ไปทันกลางทางพอดีนางก็คลอดลูกเป็นชาย คลอดลูกเสร็จแล้วผู้เป็นสามีก็บอกว่า เราก็คลอดลูกแล้วจะไปคลอดลูกที่บ้านพ่อแม่นั้นก็หมดภาระไปแล้ว ไม่สมควรที่จะเดินทางต่อไป ผลที่สุดสามีอ้อนวอนให้กลับมา อยู่ต่อมาหลายปี สัก 2-3 ปีมา ก็ตั้งครรภ์ขึ้นอีก

ครั้นตั้งครรภ์ขึ้นอีกนางก็อ้อนวอนผู้เป็นสามีให้กลับไปคลอดลูกที่บ้านพ่อแม่ ผู้เป็นสามีนี้ก็ผัดวันประกันพรุ่ง คือผลัดวันนั้น วันนี้เหมือนเดิม เพราะถ้ากลับไปก็กลัวพ่อแม่จะดุด่า ว่ากล่าวหรือลงโทษตน พ่อแม่อาจขับไล่ไสส่ง เพราะตนเป็นคนฐานะต่ำ ครั้นแล้วครรภ์ของนางก็แก่เข้าทุกวันๆ ผู้เป็นสามีนั้นก็ทนการอ้อนวอนไม่ได้ ผลที่สุดก็ต้องพาภรรยาเดินทางกลับไปสู่กรุงสาวัตถี บ้านของเศรษฐี

ครั้นเดินทางไปถึงระหว่างทางก็เกิดพายุ ลมฝนตกลงมาอย่างแรง ทั้งสองผัวเมียและลูกคนหนึ่งนี้ ก็หาที่หลบ ก็ไปหลบฝนอยู่ในกลางป่า หาที่หลบฝนอาศัยต้นไม้ใหญ่ เป็นที่กำลังหลบฝนคือรอโอกาสจะให้ฝนมันสร่าง ฝนมันหายตกเสียก่อนถึงจะเดินทางต่อไป ฝนก็ตกไม่หยุด ตกอย่างหนักเป็นชั่วโมงสองชั่วโมง ก็ยังไม่มีท่าทีว่าจะลดละจนน้ำไหลนองน้ำไหลลงตามห้วย ตามคลอง ครั้นแล้วก็เวลาตะวันตกอัสดงคต ค่ำลงมาทุกทีๆ ในขณะนั้นลมอัสสาสะ ปัสสาสะ ในอุทรของนางก็ป่วนปั่นขึ้นโดยกะทันหัน จึงคลอดบุตรคนที่ 2 ออกมาเป็นชาย

เมื่อภรรยาคลอดบุตรออกมาเรียบร้อยแล้ว ผู้เป็นสามีก็หาทางช่วยเหลือเพื่อจะให้ภรรยาและลูกๆ ได้รับความอบอุ่น เนื่องจากสายฝนตกลงมาทำให้หนาวเหน็บ จึงบอกภรรยาว่าตนจะเข้าไปหาไม้แห้ง มาก่อไฟ ครั้นว่าแล้วก็เดินเข้าไปในป่าหาไม้แห้ง ก็พอดีไปพบไม้แห้งอยู่ในจอมปลวกแห่งหนึ่งก็เลยฉุดลากไม้แห้งซึ่งอยู่ในจอมปลวกแห่งนั้นมีงูเห่าอสรพิษออกมาฉกกัดขา ด้วยพิษของอสรพิษก็เลยล้มลงสิ้นใจตายอยู่ข้างจอมปลวก ฝ่ายภรรยาและลูกรอคอยทั้งลูกผู้ใหญ่ก็ร้องไห้เพราะความหนาวเหน็บ รอเท่าไหร่ๆ ไม่เห็นสามีกลับมา นางก็ร้องไห้รำพันบ่นเพ้อละเมอไปต่างๆ นานา นางก็อดทนแสนทุกข์ทรมาน จึงหมอบเอาโครงกาย บดบังเอาลูกทั้ง 2 กอดสวมไว้กลางอก จนตลอดคืน

จนรุ่งสว่างผิวเนื้อของนางซูบซีดเพราะเสียเลือดและอดนอนทั้งคืน กลังทั้งภัยอื่นๆ เป็นต้นว่า สัตว์สาลาสิงห์เพราะอยู่กลางดงกลางป่า พอสว่างนางก็อุ้มลูกคนเล็กจูงลูกคนโตติดตามหาสามี เข้าสู่ป่าตามทางที่สามีไปหาฟืน ก็ไปพบล้มตายอยู่ที่จอมปลวก นางก็ร้องไห้ระทมตรมใจ แต่นางก็ไม่มีปัญญาที่จะนำศพสามีของตนไปได้ จึงปล่อยให้ล้มตายอยู่ที่นั่น เพราะนางขาดที่พึ่งจึงรำลึกนึกถึงพ่อแม่ของตนที่เมืองสาวัตถี แล้วก็อุ้มลูกคนเล็ก จูงลูกคนโตออกจากป่า ทั้งร้องไห้เดินมาตามทางบ่ายหน้ามาสู่บ้านของพ่อแม่

พอมาถึงแม่น้ำอจิระวะดี จึงมองเห็นเมืองสาวัตถีอยู่อีกฟากฝั่งแม่น้ำข้างหนึ่ง เนื่องจากฝนตกหนักในคืนที่ผ่านมาน้ำไหลหลากมาจากทางเหนือ จึงทำให้แม่น้ำอจิระวะดีมีน้ำมาก แต่พอที่จะเดินข้ามไปได้ แต่น้ำก็ไหลเชี่ยวถ้านางนำลูกทั้ง 2 คนไปพร้อมกันก็ไม่มีกำลังพอนางจึงบอกคนโตให้ยืนรออยู่ฝั่งนี้ก่อน แม่จะนำน้องไปไว้ฝั่งโน้นก่อนแล้งจึงจะกลับมารับลูกอีกครั้ง แล้วนางก็นำลูกน้อยที่คลอดใหม่ลุยน้ำข้ามไปฝั่งโน้น หักเอาใบไม้มาปูรองเอาผ้าปูทับใบไม้ เอาลูกน้อยแดงๆ นอนไว้ที่ผ้าปูไว้เสร็จแล้ว นางก็กลับมาเอาลูกคนโต

พอมาถึงระหว่างกลางแม่น้ำ มีเหยี่ยวยักษ์ตัวหนึ่ง บินมาในท้องฟ้ามองลงมาเห็นเด็กแดงๆ เข้าใจว่าเป็นก้อนเนื้อ บินลงมาโฉบเฉี่ยวเอาเด็กแดง ๆนั้น บินขึ้นไปบนอากาศ นางมองเห็นเหยี่ยวโฉบเฉี่ยวเอาลูกของนางไป นางก็ร้องทั้งตบมือไล่เหยี่ยว ฝ่ายลูกคนโตที่รออยู่อีกฝั่งหนึ่งเข้าใจว่าแม่ร้องเรียกก็วิ่งลงไปสู่น้ำ น้ำไหลเชี่ยวก็พัดเอาลูกคนโตไป ไหลไปตามกระแสน้ำ จึงติดตามไม่ทัน

ผลที่สุดนางก็ขึ้นจากน้ำไปสู่ฝั่งร้องไห้เกลือกกลิ้ง รำพันไปต่างๆ ว่า มีผัวผัวก็ตาย มีลูกลูกก็ตาย เราจะไปพึ่งใครที่ไหนหนอ จึงคิดเห็นแต่พ่อแม่และพี่เท่านั้น จึงได้เดินทางต่อไป

ในขณะที่เดินทางก็มีชายคนหนึ่งเดินสวนทางมา เห็นหญิงนั้นร้องไห้ก็ถามว่าเธอร้องไห้เพราะเหตุไร นางจึงเล่าเรื่องของตนให้ชายคนนั้นฟัง เขารู้เรื่องตลอดแล้ว นางก็ถามชายนั้นต่อไปว่า ฉันเกิดอยู่เมืองสาวัตถีเป็นลูกของเศรษฐี ท่านเศรษฐีและแม่ยังสบายดีหรือ บุรุษนั้นก็เล่าเหตุการณ์ให้ฟังว่า เมื่อวานนี้มีพายุฝนตกกระหน่ำลงมาอย่างแรง พายุพัดเอาคฤหาสน์ของเศรษฐีพังทับเศรษฐีทั้งภรรยาและลูกชายตายหมด ขณะนี้เจ้าหน้าที่ยังขุดค้นหาศพอยู่

พอนางได้ทราบเรื่องนี้นางก็เป็นลมล้มลง กลิ้งเกลือกไปมาจนเสื้อผ้าหลุดลุ่ย ไม่มีสติ พอนางลุกขึ้นได้ก็เดินซัดเซไปไม่มีจุดหมายปลายทาง เพราะความเศร้าโศกเสียใจอย่างสุดซึ้ง ไม่มีอะไรที่จะต้านทานไว้ได้ ในวันนั้น พระบรมศาสดาทรงประทับที่วัดเชตวันมหาวิหาร กำลังแสดงธรรมเทศนาแก่พุทธบริษัทจำนวนมาก นางก็เดินเข้าไปภายในวัด โดยไม่มีเสื้อผ้า พุทธบริษัทได้มองเห็นหญิงบ้าเข้าไปสู่สถานที่ไม่บังควรจึงได้ให้คนไปห้ามไม่ให้เข้าไปใกล้บริเวณนั้น แต่พระบรมศาสดาจารย์ได้พิจารณาแล้วว่า นางนี้มีอุปนิสัยสามารถที่จะได้บรรลุธรรมาภิสมัย จึงอนุญาตให้นำผ้าไปให้นางนุ่งห่มปิดกายด้วยดี แล้วนำเข้าไปนั่งฟังพุทธองค์ทรงนำธรรมมาชี้แจงแสดงแก่นางเล่าเรื่องอดีตชาติว่า นางนี้ประสบเหตุการณ์อย่างนี้มาไม่รู้ว่ากี่ภพชาติมาแล้ว น้ำตาของนางไหลนองมากกว่าน้ำในแม่น้ำอจิระวะดี

พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมแก่พุทธบริษัทและนาง โดยยกความรักความเศร้าโศกของคนและสัตว์ โดยยกเป็นบาลีว่า ปิยาโต ชายะเตโสโก ปิยะโต ชายะเตภยัง ดังนี้ ซึ่งมีใจความว่าความรักมีที่ไหน ความเศร้าโศกโศกาอาดูรมีที่นั่น ความรักความผูกพันมากเท่าไร ความทุกข์ความระทมขมขื่นก็มีมากเท่านั้น นางได้ฟังธรรมเทศนาพิจารณาตามทำใจปลงลงสู่วิปัสสนาญาณ จึงได้บรรลุธรรมภิสมัย

สำเร็จพระโสดาปฏิผลเป็นอริยบุคคลในพระพุทธสาสนา ครั้นต่อมา พระพุทธองค์ทรงมีพระมหากรุณาโปรดเมตตาให้อุปสมบทเป็นนางภิกษุณี มีนามตามพระบัญญัติว่า นางปาฏาจราเถรีภิกษุณี นางได้ปฏิบัติธรรมกรรมฐานไม่ช้านานเท่าไรก็ได้บรรลุพระอรหันตผล

ในการที่อาตมาภาพนำอดีตนิทานมาชี้แจงแสดงเป็นอุทาหรณ์สอนใจแก่พุทธบริษัท ในเรื่องความห่วง ความหวง เป็นบ่วงถ่วงจิตใจให้ชอกช้ำทรมานทรกรรมสัตว์อย่างมาก


สาธุ จบกัณฑ์ที่ 3 ความตาย


>>>> จบบริบูรณ์ >>>>

คัดลอกมาจาก ::
http://www.geocities.com/sukhintariyo/
 

_________________
ท่านสามารถฟังวิทยุเสียงธรรมหลวงตามหาบัวได้ทั่วประเทศ
และโทรทัศน์ดาวเทียมเสียงธรรมทั้งภาพและเสียงได้แล้วที่
http://www.luangta.com
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
สาวิกาน้อย
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 27 มี.ค. 2006
ตอบ: 2065

ตอบตอบเมื่อ: 07 ส.ค. 2009, 2:10 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

กระทู้ในบอร์ดใหม่

ประวัติและปฏิปทาพระเทพสังวรญาณ
(หลวงตาพวง สุขินทริโย)

http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=13&t=21725
 

_________________
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นกฎตายตัว
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัวMSN Messenger
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง