Home
•
กระดานสนทนา
•
สมาธิ
•
สติปัฏฐาน
•
กฎแห่งกรรม
•
นิทาน
•
หนังสือ
•
บทความ
•
กวีธรรม
•
ข่าวกิจกรรม
•
แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้
ค้นหา
สมัครสมาชิก
รายชื่อสมาชิก
กลุ่มผู้ใช้
ข้อมูลส่วนตัว
เช็คข้อความส่วนตัว
เข้าสู่ระบบ(Log in)
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
ก้าวใหม่สู่ชีวิตใหม่ (พระไพศาล วิสาโล)
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
:: ลานธรรมจักร ::
»
บทความธรรมะ
ผู้ตั้ง
ข้อความ
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089
ตอบเมื่อ: 22 มิ.ย.2007, 11:34 am
สุขหรือทุกข์ของคนเราขึ้นอยู่กับปัจจัยสองส่วน
คือ ปัจจัยภายนอกและปัจจัยภายใน
ในบรรรดาปัจจัยสองส่วนนี้
ปัจจัยภายในคือ ตัวเรามีความสำคัญที่สุด
บางครั้งปัจจัยภายนอกไม่มีอะไรน่ากลัวหรืออันตรายเลย
แต่เหตุใดเราถึงเป็นทุกข์
ละอองเกสรนั้นไม่มีพิษมีภัย แต่หลายคนกลับมีอาการแพ้อย่างแรง
บางคนแพ้อาหารทะเล กินแล้วเป็นต้องเกิดผดผื่นคัน
ละอองเกสรหรืออาหารทะเลนั้นไม่ได้เป็นปัญหามาก
เท่ากับปฏิกิริยาบ้าคลั่งจากบางส่วนในร่างกายของเรา
คนเราล้มป่วยได้ ไม่ได้เพราะเชื้อโรคอย่างเดียว
แต่ยังเป็นเพราะภูมิคุ้มกันในร่างกายของเราอ่อนแอด้วย
จึงปล่อยให้เชื้อโรคลุกลามและอาละวาดได้
ขณะที่บางคนมีเชื้ออย่างเดียวกันอยู่ในร่างกาย แต่ไม่เป็นอะไรเลย
เนื่องจากภูมิคุ้มกันสามารถควบคุมมันไม่ให้ขยายตัวได้
คนที่ตาย เพราะโรคซารส์หรือไข้หวัดนก
ปอดของเขาถูกทำลายยับเยิน
ไม่ใช่เพราะพิษจากเชื้อไวรัสที่แปลกปลอม
แต่เกิดจากภูมิคุ้มกันในร่างกายของเขาเอง ที่เข้าไปทำลายเนื้อเยื่อ
โดยปล่อยสารเคมีออกมา ซึ่งทำให้ปอดอักเสบอย่างรุนแรง
นอกจากเนื้อเยื่อที่ดีจะตายแล้ว หลอดเลือดในปอดยังรั่ว
ทำให้เลือดและของเหลวท่วมปอด จนถึงแก่ความตายได้
พูดง่ายๆ ก็คือภูมิคุ้มกันเหล่านี้
โอเวอร์รีแอคท์ จนกลายเป็นอันตรายต่อร่างกายของตัวเอง
ความทุกข์ทางใจก็เช่นเดียวกัน
ปัจจัยภายนอกไม่สำคัญเท่ากับปัจจัยภายใน
คือ การวางจิตวางใจของเราเอง
อยู่ในบ้านคนเดียว แม้ไม่มีใครมาก่อกวนรังควานเลย
แต่ใจกลับผวาจนไม่เป็นอันทำอะไร
เพราะปรุงแต่งไปต่างๆ นานา
หาไม่ก็ฟุ้งซ่านกระสับกระส่าย เพราะคุมความคิดไม่อยู่
คนจำนวนไม่น้อย แม้จะอยู่ในบ้านที่เต็มไปด้วยพ่อแม่พี่น้อง
เต็มไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย
แต่กลับเป็นทุกข์ เพราะรู้สึกอ้างว้าง
การสำรวจเมื่อเร็วๆ นี้พบว่า เยาวชนในกรุงเทพฯ
ใช้เวลาอยู่กับโทรศัพท์มือถือวันละสามชั่วโมงโดยเฉลี่ย
เหตุผลหลักคือ เหงา
เวลาเป็นทุกข์ เพราะถูกตำหนิ จนกินไม่ได้นอนไม่หลับ
เรามักโทษคนที่พูดเช่นนั้นกับเรา
แต่เราลืมนึกไปว่า ลมปากของเขานั้นสลายไปกับอากาศธาตุนานแล้ว
เหตุใดคำพูดของเขาจึงยังดังก้องอยู่ในหัวของเราครั้งแล้วครั้งเล่า
แถมยังชัดเจนเหมือนกับเปิดเทปกรอกหูซ้ำแล้วซ้ำอีก
ใครกันที่จดจำคำพูดของเขาจนประทับแน่นในใจ
ซ้ำยังเอามาทวนย้ำซ้ำเติมตัวเองไม่หยุดหย่อน
แม้เขาอาจพูดด้วยวาจาสุภาพ ด้วยความปรารถนาดี
แต่เหตุใดมันจึงกลายเป็นเสมือนค้อนทุบใจเรา
เป็นเพราะเขาหรือเรากันแน่
ที่จริงไม่ใช่ใจเราดอกที่รู้สึกเหมือนถูกค้อนทุบ
เมื่อได้ฟังถ้อยคำดังกล่าว
แต่เป็นกิเลสหรืออัตตาต่างหากที่เจ็บปวด
ความหลงตัวพองตนว่า กูแน่
กลับมีอาการฝ่อบุบบี้ไปทันที เมื่อถูกคนตำหนิ วิจารณ์
หรือเพียงแต่ไม่ชื่นชมอย่างที่เราหวังเท่านั้น
แต่เมื่อกิเลสหรืออัตตาเจ็บปวดทุรนทุราย
ควรหรือที่เราจะไปเจ็บปวดกับมันด้วย
หรือเหมาเอาความเจ็บปวดของมันมาเป็นของเรา
แทนที่จริงควรยินดีด้วยซ้ำที่เห็นมันถูกทรมาน
มันจะได้เลิกพองตนเสียที
จะได้ไม่มีเรี่ยวแรงมาขี่คอข่มขู่เราอย่างที่แล้วมา
บางคนฉลาดที่จะมองเห็นประโยชน์จากคำตำหนิ
อย่างน้อยก็ทำให้เห็นจุดบกพร่องที่ควรแก้ไข
ช่วยให้ผลงานออกมาดีขึ้น
ด้วยเหตุนี้คุณเล็ก วิริยะพันธุ์ ผู้ก่อสร้างเมืองโบราณ
จึงกล่าวว่า วันไหนไม่ถูกตำหนิ วันนั้นเป็นอัปมงคล
คำตำหนิไม่อาจทำให้เราทุกข์ได้เลย
กลับเป็นประโยชน์ด้วยซ้ำ หากเรารู้จักมอง
เมื่อรู้ข่าวว่าเป็นโรคร้าย
ทั้งๆ ที่ก้อนมะเร็งยังไม่ได้ก่อกวนร่างกายเลย
เพราะยังเล็กกระจิริดอยู่
แต่หลายคนกลับทรุดลงทันที ไม่มีเรี่ยวแรง
กินไม่ได้ นอนไม่หลับ เซื่องซึม ไร้ชีวิตชีวา
อะไรทำให้เขาเป็นเช่นนั้น
เป็นเพราะก้อนมะเร็งกระนั้นหรือ
หรือว่าเป็นเพราะใจของเขาที่นึกไปถึงวันตายข้างหน้า
ทั้งๆ ที่ยังอยู่อีกไกล
มะเร็งทำอะไรจิตใจเราไม่ได้ หากใจเราไม่ทำร้ายตัวเอง
มะเร็งทำร้ายได้ ก็แต่ร่างกายของเราเท่านั้น
แต่เมื่อวางใจไว้ถูก มะเร็งกลับมีประโยชน์ต่อชีวิต
หลายคนพบธรรมะหรือจุดหมายของชีวิต หลังจากเป็นมะเร็ง
มรณสติที่มะเร็งช่วยเตือนให้ระลึกถึงบ่อยๆ
ทำให้คนจำนวนไม่น้อยเห็นคุณค่าของชีวิต
และใช้ทุกวินาทีที่เหลืออยู่อย่างมีคุณค่า
แทนที่จะมัวเสพสุขหรือหาเงินอย่างเคย
ผลก็คือ คุณภาพชีวิตดีขึ้น
มีความสุขสงบในจิตใจมากขึ้นอย่างไม่เคยประสบมาก่อน
ด้วยเหตุนี้หลายคนจึงพูดว่า โชคดีที่เป็นมะเร็ง
ขณะที่บางคนบอกว่า โชคดีที่เป็นแค่มะเร็งสมอง
ด้วยเหตุผลที่ไม่ซับซ้อน แต่นึกไม่ถึง
นั่นก็คือ หากเธอเป็นมะเร็งปากมดลูก
จะต้องเจ็บปวดทุกข์ทรมานกว่านี้มาก
หลายคนประสบเหตุร้ายจนพิการ
แต่เมื่อปรับตัวได้ คนพิการเหล่านี้
กลับมีความสุขมากกว่าหลายคนที่มีอาการครบ ๓๒
บางคนสามารถสร้างสรรค์ผลงานชั้นเลิศ
ทั้ง ๆ ที่ทุพพลภาพตั้งแต่คอลงมา แม้มือใช้การไม่ได้
แต่ก็ยังมีปากงับพู่กันวาดภาพ แต่ละชิ้นราคานับแสน
จนสามารถเลี้ยงพ่อแม่และน้องๆ ได้ทั้งบ้าน
บางคนกลายเป็นอาจารย์กรรมฐาน
หลังจากประจักษ์แจ้งในความจริงที่ว่า
กายต่างหากที่พิการ แต่ใจไม่ได้พิการด้วย
เมื่อใจลาออกจากความพิการ จิตก็สดใสแจ่มกระจ่าง
ไม่ว่าปัจจัยภายนอกจะเป็นอย่างไร
เงินฝืดเคือง สูญเสียทรัพย์สิน งานการไม่ก้าวหน้า
ตำแหน่งติดตัน คนรักตีจาก เพื่อนพ้องพลัดพราก
หรือแม้เคราะห์กรรมจะมากระทบกับร่างกาย
จนสุขภาพเสื่อมทรุด ร่างกายไม่สมประกอบ
ทั้งหมดนี้ก็ไม่ทำให้เราทุกข์ได้ หากใจยังมีสติมั่นคง
ไม่จมปลักอยู่กับอดีตที่หวานชื่น
หรือหมกมุ่นกับอนาคตที่หม่นมอง
อีกทั้งไม่เผลอใจไปยึดเอาความทุกข์ของกิเลสมาเป็นของใจ
มีปัญญาที่รู้จักใช้ประโยชน์จากทุกสถานการณ์
และจากทุกอย่างที่ยังมีอยู่กับตัว
ตระหนักว่า ทุกอย่างที่เกิดกับเรานั้นดีเสมอ
อย่างน้อยๆ ก็ดีที่มันยังไม่เลวมากไปกว่านี้
ปีใหม่นี้ใครๆ ก็ปรารถนาจะเห็นโชคลาภ ความสำเร็จ
ชื่อเสียงเกียรติยศพร้อมพรั่งบริบูรณ์รออยู่เบื้องหน้า
แต่จะดีกว่าหากมองเข้ามาที่ใจของเรา
ด้วยความหวังว่า ธรรมทั้งหลาย มี สติ ปัญญา สมาธิ เป็นต้น
จักเจริญงอกงาม เพื่อเป็นเครื่องคุ้มครองใจ
โดยไม่หวั่นกลัวเคราะห์ภัยใดๆ
เพราะมั่นใจว่าธรรมเหล่านี้ จะสามารถเปลี่ยนทุกข์ให้เป็นสุข
เปลี่ยนเคราะห์ให้เป็นโชคได้
แต่หวังเท่านั้นย่อมไม่พอ ต้องลงมือบำรุงเลี้ยงธรรมดังกล่าวด้วย
โดยควรถือเอาศักราชใหม่เป็นนิมิตหมาย
สำหรับการสร้างคุณภาพใหม่ให้แก่จิตใจ เพื่อชีวิตใหม่ที่เปี่ยมสุข
ที่มา...ก้าวใหม่สู่ชีวิตใหม่ [ กรุงเทพธุรกิจ 31-12-49 ]
โดย พระไพศาล วิสาโล
http://www.budnet.info/webboard/view.php?category=textc&wb_id=39
I am
บัวบานเต็มที่
เข้าร่วม: 25 ต.ค. 2006
ตอบ: 972
ตอบเมื่อ: 25 มิ.ย.2007, 8:00 am
โมทนาจ้า คุณลูกโป่ง สาธุครับ ...
_________________
ทุกข์ใดดับได้ด้วยปัญญา ทุกข์นั้นจะไม่เกิดอีก
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:
แสดงทั้งหมด
1 วัน
7 วัน
2 สัปดาห์
1 เดือน
3 เดือน
6 เดือน
1 ปี
เรียงจากเก่า-ใหม่
เรียงจากใหม่-เก่า
:: ลานธรรมจักร ::
»
บทความธรรมะ
ไปที่:
เลือกกลุ่ม บอร์ด
กลุ่มสนทนา
----------------
สนทนาธรรมทั่วไป
แนะนำตัว
กฎแห่งกรรม
สมาธิ
ฝึกสติ
การสวดมนต์
การรักษาศีล-การบวช
ความรัก-ผูกพัน-พลัดพลาก
กลุ่มข่าวสาร-ติดต่อ
----------------
ข่าวประชาสัมพันธ์
ธรรมทาน
รูปภาพ-ประมวลภาพกิจกรรมต่างๆ
สำหรับนักเรียน นักศึกษา ขอความรู้ทำรายงาน
แจ้งปัญหา
รูปภาพในบอร์ด
กลุ่มสาระธรรม
----------------
หนังสือธรรมะ
บทความธรรมะ
นิทาน-การ์ตูน
กวีธรรม
นานาสาระ
ต้นไม้ในพุทธประวัติ
วิทยุธรรมะ
ศาสนสถานและศาสนพิธี
----------------
สถานที่ปฏิบัติธรรม
วัดและศาสนสถาน
พิธีกรรมทางศาสนา
พุทธศาสนบุคคล
----------------
พระพุทธเจ้า
ประวัติพระอสีติมหาสาวก
ประวัติเอตทัคคะ (ภิกษุณี, อุบาสก, อุบาสิกา)
สมเด็จพระสังฆราชไทย
ประวัติและปฏิปทาของครูบาอาจารย์
ในหลวงกับพระสุปฏิปันโน
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณ
ไม่สามารถ
สร้างหัวข้อใหม่
คุณ
ไม่สามารถ
พิมพ์ตอบ
คุณ
ไม่สามารถ
แก้ไขข้อความของคุณ
คุณ
ไม่สามารถ
ลบข้อความของคุณ
คุณ
ไม่สามารถ
ลงคะแนน
คุณ
สามารถ
แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ
สามารถ
ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้
เลือกบอร์ด •
กระดานสนทนา
•
สมาธิ
•
สติปัฏฐาน
•
กฎแห่งกรรม
•
นิทานธรรมะ
•
หนังสือธรรมะ
•
บทความ
•
กวีธรรม
•
สถานที่ปฏิบัติธรรม
•
ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ
•
วิทยุธรรมะ
•
เสียงธรรม
•
เสียงสวดมนต์
•
ประวัติพระพุทธเจ้า
•
ประวัติมหาสาวก
•
ประวัติเอตทัคคะ
•
ประวัติพระสงฆ์
•
ธรรมทาน
•
แจ้งปัญหา
จัดทำโดย กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ
webmaster@dhammajak.net
Powered by
phpBB
© 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
www.Stats.in.th