Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 ไฟไหนเล่า ร้อนเท่าไฟนรก (สุทัสสา อ่อนค้อม) อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 23 พ.ค.2007, 12:18 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ไฟไหนเล่า ร้อนเท่าไฟนรก
โดย สุทัสสา อ่อนค้อม

Image


คัดลอกจาก...
http://www.jarun.org/v3/HF001.htm

สาธุ สาธุ สาธุ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 23 พ.ค.2007, 12:30 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน



เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดของหมู
ยามที่มันถูกมีดปลายแหลมแทงคอนั้น
ช่างบาดลึกเข้าไปในจิตใจของอาตงทุกครั้งที่ได้ยิน
เด็กชายวัยสิบสามไม่เข้าใจเลยว่า
เหตุใดบิดาจึงมายึดอาชีพที่แสนจะทารุณโหดร้ายเช่นนี้
แม้จะได้ยินมาตั้งแต่เกิด
เพราะตาแป๊ะเตี๋ยวยึดอาชีพขายหมูชนิดเลี้ยงเองฆ่าเองเสร็จ
หากเขาก็หดหู่หม่นหมองใจทุกครั้ง
ที่ได้ยินเสียงมันร้อง เหมือนจะขอให้ไว้ชีวิต
เด็กชายเคยฟังพวกผู้ใหญ่เขาพูดกันว่า
คนที่ฆ่าสัตว์เมื่อตายไปจะต้องตกนรก
เขาไม่อยากให้ผู้บังเกิดเกล้าตกนรก
เพราะเคยเห็นภาพของนรกที่มีผู้วาดไว้ตามผนังโบสถ์มาแล้ว
มันช่างน่าเกลียดน่ากลัวเสียเหลือเกิน

นับแต่มารดาจากโลกนี้ไปตั้งแต่ปี ๒๔๖๐
เขาก็เหลือบิดาเพียงผู้เดียว ไม่มีญาติพี่น้องที่ไหนอีก
เนื่องจากผู้บังเกิดเกล้าทั้งสองพากันอพยพมาจากเมืองจีน
ตั้งแต่เขายังไม่เกิด จำได้ว่าตอนนั้นเขาร้องไห้มากที่สุดในชีวิต
บิดาของเขาก็โศกเศร้าอยู่นานกว่าจะทำใจได้
สามปีแล้วสินะที่มารดาจากเขาและบิดาไป
ก็พวกผู้ใหญ่อีกนั่นแหละที่พูดเข้าหูเขาบ่อยๆ ว่า
ที่มารดาเขาอายุสั้น ก็เพราะ บิดาของเขาชอบฆ่าสัตว์
ถ้าเรื่องที่พวกเขาพูดมานั้นเป็นความจริง
ป่านฉะนี้มารดาก็คงถูกลงโทษอย่างสาหัสสากรรจ์อยู่ในนรก
ช่างน่าสงสารมารดานัก เด็กชายวัยสิบสามออกสับสนว่า
ก็ในเมื่อบิดาเป็นคนทำ แล้วใยกรรมจึงไปตกที่มารดา
คนเราทำกรรมแทนกันได้กระนั้นหรือ
อาตงเคยขอร้องไห้ตาแป๊ะเตี๋ยวเลิกอาชีพนี้
แต่กลับถูกตะคอกเอาว่า
“ลื้อมังลูกนอกคอก สองให้ก็ไม่เอาว่าฆ่าหมูนั้งลี ทำให้ลวยเล็ว
อีกหน่อยลื้อต้องมาฝึกกะเตี่ย โตขึ้งจะล่ายยึกอาชีกนี้เลี้ยงตัว”

บิดาของอาตงบอกอย่างนี้

“แต่มันบาปนะเตี่ย” เด็กชายท้วง

“บากเบิกชิกหายอาลาย
อั๊วะเลี้ยงลื้อมาจงโตป่างนี้ไม่ใช่เพาะขายหมูเลอะ”

ยามใดที่ตาแป๊ะใช้คำว่า “อั๊วะ” กับลูกแสดงว่าแกกำลังโกรธ

“เห็นเขาพูดกันว่า คนที่ฆ่าสัตว์เมื่อตายไปต้องตกนรกนะเตี่ย”
ลูกชายบอกกล่าว

“แล้วลื้อไปเชื่อมังทำมายฮึอาตง เชื่อทำมาย
ไอ้ชิกหายพวกนั้งมังอิกฉาอั๊วะ มังเห็งอั๊วะลวยกว่ามังน่ะ”

ตาแป๊ะเตี๋ยวคิดไปอีกอย่าง

“ก็ไหนๆ เตี่ยรวยแล้ว ก็น่าจะเลิกได้
หันไปขายผักขายหญ้าดีกว่า จะได้ไม่ต้องทำบาปทำกรรม เชื่อข้าเถอะ”

อาตงพยายามเกลี้ยกล่อมผู้เป็นพ่อ

“เลื่องอาลายอั๊วะจาเลิก ก็อั๊วะทำมาตั้งแต่ลื้อยังไม่เกิก
ตั้งแต่มาจากเมืองจิง เลี้ยวมังก็ลวงขึ้งๆ
ว่าแต่ลื้อเถอะ ต่อไปนี้ต้องมาฝึกงางกะเตี่ย”
แกออกคำสั่ง

“ไม่เอาหรอกเตี่ย ข้ากลัวตกนรก” เด็กชายรีบปฏิเสธ

“นาลกนาแล้กอาลายโง่ตายห่า
อ้ายพวกเชื่อนาลกมังพวกขี้เกียก
คงเลาเกิกมาเลี้ยวก็ตาย ตายเลี้ยวก็เลี้ยวกัง
นาลกซาหวังมีที่ไหน เลื่องโกหกทั้งน้าง
อีเอาไว้หลอกคงโง่ต่างหาก”

ตาแป๊ะเตี๋ยวพูดไปตามความเชื่อของตน
แกไม่เชื่อเรื่องบาปบุญคุณโทษ
ตรงข้ามกับลูกชายซึ่งแอบไปคุยกับหลวงตาที่วัดบ่อยๆ
จนเกิดศรัทธาปสาทะอยากจะบวชเป็นเณร
จะได้ไม่ต้องมาฆ่าหมูขายอย่างบิดา

“เตี่ย ข้าขออะไรเตี่ยอย่างนึ่งได้ไหม”
เด็กชายทำท่าประจบด้วยการเข้ามาโอบเอวบิดา
ตาแป๊ะอารมณ์ดีขึ้น ตอบลูกไปว่า
“ขออาลาย ลื้ออยากล่ายอาลาย เตี่ยจาให้หมกทุกอย่าง
แต่ลื้อต้องมาฝึกงางกะเตี่ย”
แกตั้งเงื่อนไข

“แต่สิ่งที่ข้าขอเตี่ยนั้น หากเตี่ยให้ ข้าก็มาฝึกงานกับเตี่ยไม่ได้”
ลูกชายชี้แจง

“ลื้อจะขออาลาย”
ตาแป๊ะเตี๋ยวออกสงสัย อาตงรวบรวมความกล้าแล้วตอบว่า

“ขอบวชเณร นะเตี่ยนะ ข้าอยากบวชเณร อยากบวชมานานแล้ว”

“หา ! เลื้อว่าอาลายนะ” บิดาถามเสียงดัง

“ข้าอยากบวชเณร” ลูกชายตอบเสียงดังไม่แพ้กัน

“บวกเนง” ตาแป๊ะเตี๋ยวทำตาโต

คำพูดของลูกชายทำให้แกตระหนก
“ลื้อจาบวกทำชิกหายอาลาย นี่ลื้อเป็งบ้าไปเลี้ยวเหลอ”
พูดอย่างฉุนเฉียว

“ข้าไม่ได้เป็นบ้า ข้าพูดจริงๆ ให้ข้าบวชเณรเถอะนะเตี่ยนะ”
อาตงวิงวอน

“อั๊วะไม่ให้บวก ข้าวบ้างเลามีกิง เลื่องอาลายจาไปเที่ยวขอข้าคงอื่งกิง”

แกพูดโกรธๆ รู้สึกผิดหวังในลูกชายคนเดียวมาก
ท่าทางอาตงคงจะเอาดีไม่ได้เสียแล้ว
มีอย่างที่ไหน แทนที่จะยึดอาชีพดีๆ อย่างที่แกทำอยู่
กลับจะไปบวชเณร ข้างฝ่ายลูกชายก็รู้สึกผิดหวังในบิดาเช่นกัน
บิดาไม่เคยรับฟังความคิดเห็นของเขา
ไม่เคยเชื่อเรื่องบาปบุญคุณโทษ
ตัวเขาเคยหนีไปคุยกับหลวงตาที่ วัดพุทธาราม บ่อยๆ
เคยชวนแกไปด้วย หากก็ได้รับการปฏิเสธไปเสียทุกครั้ง
ด้วยเหตุผลที่ว่า “เสียเวลาทำมาหากิน”
และที่เขาไม่ชอบบิดาอีกอย่างหนึ่ง ก็คือ แกด่าเก่ง
พูดคำด่าคำ มาแต่ไหนแต่ไร
โดยเฉพาะคำว่า “ฉิบหาย” นั้น แทบจะติดปากเลยทีเดียว

ตอนสายวันนั้น เด็กชายตงถือโอกาสตอนบิดาไปขายหมู
แอบไปหาหลวงตาที่วัดพุทธารามด้วยดวงหน้าเศร้าสร้อย
เด็กชายคลานเข้าไปหาท่านแล้วกราบเบญจางคประดิษฐ์
อย่างที่ครูเคยสอน

“หลวงตาครับ ผมพูดกับเตี่ยเรื่องบวชเณรแล้ว แต่แกไม่อนุญาตครับ”
อาตงรายงาน ขณะพูดมือทั้งสองยังคงอยู่ในท่าประนม
อันแสดงถึงความเคารพนบนอบต่อภิกษุอาวุโส

“ไม่อนุญาตก็บวชไม่ได้”ท่านกล่าวเสียงเรียบ
เด็กชายจึงต่อรองว่า “หลวงตาบวชให้ผมก่อน
แล้วค่อยไปขออนุญาตทีหลังจะได้ไหมครับ”


“ไม่ได้หรอกอาตงเอ๊ย มันผิดวินัย
ผู้จะบวชต้องได้รับความเห็นชอบจากพ่อแม่ผู้ปกครองเสียก่อน
ไม่งั้นบวชไม่ได้”
ท่านอธิบาย
เด็กชายตงครุ่นคิดอยู่ประเดี๋ยวหนึ่งก็ถามอีกว่า
“ถ้าขออนุญาตแม่คนเดียวจะได้ไหมครับ”

“คงได้มั้ง” ท่านผ่อนผัน
ครั้นนึกได้ว่าเด็กชายเป็นกำพร้าจึงพูดขึ้นว่า
“ก็แม่ของเจ้าเขาตายไปตั้งนานแล้วไม่ใช่หรือ”

“ผมจะบอกดวงวิญญาณของแกนะครับ จะไปจุดธูปบอกที่ฮวงซุ้ย”
อาตงออกอุบาย ภิกษุสูงวัยซึ่งมีตำแหน่งเป็นสมภารวัด
นึกชมในความเป็นคนเจ้าความคิดของเด็กอายุสิบสาม จึงตอบว่า
“ตามใจเจ้าก็แล้วกัน จะเอายังงั้นก็ได้”
ท่านมองอาตงอย่างถูกชะตา ดูหน่วยก้านแล้วเด็กคนนี้
มีทีท่าว่าจะเหมาะสมกับเพศบรรพชิต
บางทีอาจจะทำให้กรรมของผู้ที่เป็นพ่อทุเลาเบาคลายลงได้บ้าง
นับเป็นวาสนาของตาแป๊ะเตี๋ยว
ซึ่งแม้แกจะเป็นมิจฉาทิฐิ หากก็มีลูกเป็นสัมมาทิฐิ

“เตี่ยของเจ้าคงไม่มาอาละวาดเอากะข้านา” ท่านพูดไปอย่างนั้นเอง
รู้ว่าตาแป๊ะจะไม่ทำอย่างนั้น เด็กชายตงก็รับรองว่า
“เตี่ยไม่ทำอย่างนั้นแน่ครับ ผมรู้”
เขารู้ว่าบิดาเกลียดพระ เกลียดแบบจงเกลียดจงชัง
โดยที่เจ้าตัวก็ไม่รู้สาเหตุว่าทำไมต้องเป็นเช่นนั้น
บิดาเคยปรารภกับเขาบ่อยๆ ว่า

“เตี่ยไม่อยากเห็งพะเลยอาตง เห็งเลี้ยวมังคื่งไส้อยากจะอ้วก
ทำมายคงอื่งมังไม่เป็งอย่างเตี่ยก็ไม่ลู้”
อาตงเคยเอาไปเล่าให้เพื่อนบ้านฟัง
เขาก็พูดให้อาตงไม่สบายใจว่า ที่เตี่ยเป็นเช่นนั้น
เพราะเป็นบาปหนาสาหัสมาก

อยากจะถามหลวงตาอยู่เหมือนกัน
แต่ก็เกรงว่าจะได้รับคำตอบที่ทำให้ไม่สบายใจอีก
สู้ไม่ถามเสียยังดีกว่า
อาตงเองก็ไม่รู้ว่าเพราะบิดาเกลียดพระ
จึงทำให้บิดาคลื่นไส้เมื่อเห็นพระ
หรือว่าคลื่นไส้เมื่อเห็นพระ จึงทำให้บิดาเกลียดพระ มันอะไรกันแน่
ยิ่งคิดก็ยิ่งงง เหมือนจะรู้ว่าเด็กชายกำลังคิดอะไรอยู่
ภิกษุสูงวัยจึงเอ่ยขึ้นว่า
“เตี่ยของเจ้าน่ะกรรมหนัก
ไม่งั้นก็คงไม่ถึงกับเกลียดพระเกลียดเจ้าหรอก
แต่ก็ยังโชคดีที่ได้ลูกมีปัญญาอย่างเจ้า
จำคำของข้าไว้นะอาตง บวชแล้วก็ขอให้ทำกรรมฐานให้เคร่งครัด
แล้วจะช่วยเตี่ยของเจ้าได้บ้าง ไม่มากก็น้อย”


“ถ้าอย่างนั้น ผมจะไปจุดธูปบอกแม่
แล้วหลวงตา บวชให้ผมเลยนะครับ”
เด็กชายพูดอย่างปลาบปลื้ม
บวชเสียวันนี้จะได้ไม่ต้องฟังเสียงหมูร้องให้ใจหม่นหมองอีก

“อย่าเพิ่งบวชวันนี้เลย ทางที่ดีเจ้ากลับบ้านไปก่อน
พรุ่งนี้เช้าค่อยมา
อย่าลืมเขียนหนังสือบอกเตี่ยเจ้าไว้เสียด้วย
แกจะได้ไม่ห่วงว่าเจ้าหายไปไหน” ท่านสมภารแนะ


“เตี่ยอ่านหนังสือไม่ออกหรอกครับ
แต่ไม่เป็นไรเดี๋ยวแกก็คงเอาไปให้เพื่อนบ้านอ่านให้ฟัง
ขอบพระคุณหลวงตามากครับที่กรุณา”

เขาก้มลงกราบเบญจางคประดิษฐ์สามครั้ง
แล้วคลานถอยหลังออกมา
เมื่อได้ระยะห่างพอสมควรจึงลุกขึ้นเดินลงบันไดกุฏิมุ่งหน้ากลับบ้าน


สาธุ สาธุ สาธุ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 23 พ.ค.2007, 1:13 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน



อาตงรู้สึกใจหาย
ที่จะต้องทิ้งตาแป๊ะเตี๋ยวผู้เป็นพ่อให้อยู่เพียงลำพัง
รู้ว่าแกจะต้องเปล่าเปลี่ยวเดียวดาย หากไม่มีเขา
ถึงอย่างไร บิดาก็รักเขามาก เขาเองก็รักบิดามากไม่แพ้กัน
ไม่อยากทิ้งแกไป แต่ก็นั่นแหละ
วันหนึ่งบิดาคงบังคับให้เขาฆ่าหมู
แล้วก็คงพากันตกนรกตามมารดาไป
เด็กชายมีความเชื่อมั่นว่า
การบวชของตนจะช่วยให้ผู้เป็นพ่อพ้นจากนรก
มิฉะนั้นท่านสมภารคงไม่พูดว่าเขาจะช่วยบิดาได้
คืนนั้นเด็กชายตงนอนกระสับกระส่าย
ไม่อาจข่มตาให้หลับลงได้
พรุ่งนี้แล้วสินะที่เขาจะต้องจากบิดาไปอยู่วัด

ตาแป๊ะนอนกรนเสียงดังเช่นทุกคืน
แกคงไม่รู้ว่าพรุ่งนี้จะต้องถูกทิ้งให้อยู่คนเดียว
“ไม่มีทั้งอาอี๊และอาตง”
แกคงจะเหงามาก น่าสงสารเหลือเกิน

คิดมาถึงตอนนี้น้ำตาเด็กชายไหลรินลงมาอาบแก้ม
ลุกขึ้นจากที่นอน ค่อยๆ คลานไปที่ปลายเท้าของบิดา
แล้วก้มลงกราบขอขมาลาโทษ
อีกไม่กี่ชั่วโมงก็จะถึงเวลาที่บิดาตื่นขึ้นมาฆ่าหมู
เพราะทำเช่นนี้ทุกวันเป็นกิจวัตร
ครั้งนี้คงเป็นครั้งสุดท้ายที่เขาจะได้ยินเสียงร้อง
อย่างน่าเวทนาของเจ้าหมูเคราะห์ร้ายเหล่านั้น

เวลาตีสองเศษๆ ตาแป๊ะเตี๋ยวตื่นขึ้นมา
ปฏิบัติภารกิจประจำวันของแก
ลำดับแรกคือ การจุดตะเกียงเจ้าพายุ
ซึ่งจะส่องแสงสว่างไสวไปทั่วบริเวณเล้าหมู
วันนี้จิตใจแกไม่สดชื่นแจ่มใสเอาเสียเลย
มันวาบๆ หวิวๆ เหมือนชีวิตขาดอะไรไปสักอย่าง
ความรู้สึกเช่นนี้เคยเกิดขึ้นครั้งหนึ่ง
ก่อนหน้าที่เมียรักของแกจะจากโลกนี้ไปอย่างไม่มีวันกลับ
หรือว่า...อาตงกำลังจะจากแกไปอีกคน เป็นไปไม่ได้
อาตงร่างกายแข็งแรงออกอย่างนั้น
คงไม่เจ็บไข้ได้ป่วยถึงกับเสียชีวิตเป็นแน่
“เป็งปายม่ายล่าย เป็งปายม่ายล่าย”


ชายวัยห้าสิบเศษปลอบตัวเองพลางสะดัดศีรษะอย่างแรง
เหมือนจะไล่ความคิดร้ายๆ ออกไป
แกรีบจุดไฟในเตาด้วยฟืนที่อาตงหาเตรียมไว้ให้
จากนั้นจึงเอากระทะใบใหญ่ตั้งบนเตา
ตักน้ำใส่ลงไปจนเกือบถึงขอบ
น้ำจะเดือดทันเวลากับที่แกแทงคอหมูเสร็จ
นำมันลงไปลวกทั้งตัว
ก่อนลงมือชำแหละเจ้าหมูเคราะห์ร้ายตัวนั้น
ถูกแกจับมัดขาทั้งสี่ข้างอย่างแน่นหนา
แล้วจึงใช้มีดปลายแหลมแทงที่คอให้ทะลุไปถึงขั้วหัวใจ
มิฉะนั้นมันไม่ยอมตายง่ายๆ เลย
เสียงร้องโหยหวนของมัน
นอกจากจะไม่สามารถเรียกความสงสารจากแกได้แล้ว
ยังทำให้แกรำคาญอีกด้วย
บิดาของเด็กชายตงไม่เคยเกิดความรู้สึกร่วม
ในความเจ็บปวดของเจ้าหมูตัวใดทั้งสิ้น


ชำแหละหมูเสร็จ ตาแป๊ะเตี๋ยวจึงนำมันมาจัดเรียงไว้ในเข่งเตี้ย
มีใบบัวรองที่ก้นเข่ง แยกส่วนที่เป็นเนื้อ มัน กระดูก
และเครื่องในไม่ให้ปะปนกัน
จากนั้นจึงล้างหน้าใส่เสื้อเตรียมออกไปขาย
อาตงลูกชายคนเดียวของแกลุกขึ้นหุงหาอาหารเช่นทุกวัน
ดูเหมือนว่าวันนี้จะลุกเช้ากว่าปกติ
ไม่รู้ว่าเกิดขยันอะไรขึ้นมา
อีกหน่อยแกจะให้อาตงลุกขึ้นมาช่วยชำแหละหมู
แล้วจึงค่อยๆ สอนวิธีแทงให้
ถึงตอนแกแก่ทำไม่ไหวจะได้มีคนทำแทน

ใกล้เที่ยง ตาแป๊ะเตี๋ยวก็หาบเข่งซึ่งมีเพียงตาชั่งคันยาว
กับมีดและเขียงกลับมา ส่วนหมูนั้นขายหมดไม่มีเหลือ
บ้านดูเงียบเหงาวังเวงผิดปกติ
“หลืออาตงอีหลับ ก็ไม่เคยนองกางวังนี่นา หลือว่าอีไม่ซำบาย”

แกคิดไปร้อยแปด เพื่อความแน่ใจแกจึงตะโกนเข้าไปในบ้าน
“อาตง อาตง เตี่ยกลับมาเลี้ยว”
ไม่มีเสียงตอบออกมาจากข้างใน
แกตะโกนเรียกซ้ำๆ กันอีกสองสามครั้ง
แล้วจึงผลักประตูบานหนาเข้าไป
ภายในบ้านว่างเปล่า ไม่มีวี่แววว่าอาตงจะอยู่ในนั้น
บนโต๊ะกินข้าวมีกระดาษวางอยู่แผ่นหนึ่ง
แกเดินไปใกล้ๆ ก็จำได้ว่าเป็นลายมือของลูกชาย
เขียนไว้ด้วยตัวหนังสือภาษาไทย
พอจะเดาออกว่าได้เกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น
คว้ากระดาษแผ่นนั้น ได้ก็ตรงแน่วไปยังบ้านเพื่อนของลูกชาย
“อาเปี๊ยก อาเปี๊ยกอยู่ละป่าว ออกมาหาอาแปะหน่อย”
แกตะโกนเรียกเพื่อนของอาตงอยู่หน้าประตูรั้วบ้าน
เสียงตะโกนของแกทำให้สุนัขสี่ห้าตัววิ่งกรูเข้ามาพร้อมเสียงเห่าระงม
หญิงสาวผู้หนึ่งรีบลงจากเรือนมาไล่ฝูงสุนัข
ซึ่งวิ่งแตกกระจุยไปคนละทิศละทาง แล้วเชื้อเชิญแกขึ้นบ้าน

“อั๊วะจามาหาอาเปี๊ยก” แกบอกจุดประสงค์ของการมา

“เปี๊ยกไม่อยู่จ้ะ” เถ้าแก่มีอะไรหรือจ๊ะ
ฉันเป็นพี่สาวเขาเอง หล่อนแนะนำตัว
“อาเปี๊ยกอีไปหนาย”
“ไปนากับพ่อตั้งแต่เช้า ประเดี๋ยวก็คงกลับ
เถ้าแก่ขึ้นไปรอบนบ้านก่อนก็ได้จ้ะ”

หล่อนเชื้อเชิญอีก ตาแป๊ะมีท่าทางลังเล แต่แล้วก็พูดขึ้นว่า
“อั๊วะจาให้อีอ่างไอ้นี่หน่อย”
พูดพร้อมกับยื่นกระดาษแผ่นนั้นให้หญิงสาว
หล่อนรับมาอ่าน ตาแป๊ะแอบสังเกตว่า
คิ้วทั้งสองของหล่อนขมวดเข้าหากัน
ขณะที่อ่านข้อความในกระดาษแผ่นนั้น

“อีเขียงว่ายังไง” ถามอย่างอยากรู้

“อาตงหนีไปบวชเณรแล้วละเถ้าแก่” หล่อนบอก

ตาแป๊ะเตี๋ยวตบอกผางพูดอย่างโกรธกริ้วว่า
“อั๊วะนึกเลี้ยวว่ามังต้องทำอักปียังงี้
หนายลื้อลองอ่างให้อั๊วะฟังหน่อยซิ”

แกบอก หญิงสาวจึงอ่านตามตัวอักษร
ที่ปรากฏในแผ่นกระดาษนั้นให้แกฟัง

“กราบเท้าเตี่ยที่เคารพรักอย่างสูง
เมื่อเตี่ยพบหนังสือฉบับนี้
อาตงของเตี่ย ก็คงเป็นเณรเรียบร้อยแล้ว
ที่อาตงต้องหนีมาบวช ก็เพราะเคยขอจากเตี่ยแล้วเตี่ยไม่ยอม
อาตงก็เลยต้องทำเช่นนี้ โปรดอโหสิให้อาตงด้วย
ขณะเดียวกัน อาตงก็ให้หนังสือฉบับนี้
เป็นเสมือนหลักฐานการขออนุญาตจากเตี่ย
ขอเตี่ยอย่าได้คิดว่าลูกชายของเตี่ยเป็นคนเนรคุณ
เพราะการบวชครั้งนี้ ก็เพื่อจะช่วยเตี่ยโดยแท้
อยากขอร้องเป็นครั้งสุดท้าย ให้เตี่ยเลิกขายหมู
แล้วหันไปทำอย่างอื่น ที่ไม่ต้องฆ่าสัตว์ตัดชีวิต
หากเตี่ยเลิกได้ อาตงจะสึกออกมาช่วยเตี่ยค้าขาย
แต่ถ้าเลิกไม่ได้ลูกชายของเตี่ยก็จะขอบวชไปจนตลอดชีวิต
สุดท้านนี้ขอให้เตี่ยจงรักษาเนื้อรักษาตัวให้ดี
อย่าคิดอะไรมาก จะทำให้เจ็บไข้ได้ป่วยไปเสียเปล่า
ถึงอย่างไรอาตงคนนี้ ก็ยังรักยังเคารพและอยากเห็นเตี่ยมีความสุข
ขอกราบแทบเท้ามาด้วยความเคารพรักอย่างสูง
...จากอาตงลูกชายของเตี่ย”


ระหว่างที่ฟังหญิงสาวอ่านหนังสือฉบับนั้น
ตาแป๊ะเตี๋ยวใช้มือหยาบกร้านของแกลูบคลำเคราดำ
ที่ยาวลงมาจนถึงราวนมเล่นอยู่ไปมา เพื่อคลายความเครียด
ไม่นึกไม่ฝันมาก่อนว่า จะต้องมาพบกับความผิดหวังมากมายถึงเพียงนี้
ลูกหนอลูกช่างไม่รักดีเอาเสียเลย
แกอุตส่าห์ทำให้เป็นตัวอย่างที่ดี
ในเรื่องการทำมาหากิน หวังจะให้ลูกเอาเป็นเยี่ยงอย่าง
แต่ลูกกลับเกลียดคร้านไม่เจริญรอยตาม
ดีแต่จะไปเที่ยวขอทานเขากิน ช่างไม่มีศักดิ์ศรีเอาเสียเลย
จิตใจของตาแป๊ะเตี๋ยวกำลังหวั่นไหวปั่นป่วน
ทั้งรักทั้งแค้นประดังแน่นอยู่ในอก
จนมิรู้ที่จะจัดการกับชีวิตอย่างไร
ทันทีที่หญิงสาวอ่านจบ
แกรีบกล่าวคำของใจแล้วหันหลังกลับ
เพื่อมิให้ฝ่ายนั้นได้เห็นน้ำตาแห่งความระทมทุกข์
ที่กำลังไหลพ้นขอบตาลงมาอาบแก้ม


พี่สาวของเด็กชายเปี๊ยกเห็นตาแป๊ะเตี๋ยวเดินคอตกจากไป
ก็ให้รู้สึกสงสารแกยิ่งนัก แม้จะไม่ค่อยชอบแกสักเท่าไหร่
เพราะน้องชายเคยมาเล่าให้ฟังบ่อยๆ ถึงความร้ายกาจของแก
ในตำบลนี้ จะหาคนรักใคร่ชอบพอกับแกสักคนก็ทั้งยาก
พวกชาวบ้านพากันลงความเห็นว่า
แกเป็นคนบาปหนา เพราะนอกจากจะไม่เคยทำบุญสุนทานแล้ว
ยังด่าเก่งอีกด้วย แกเที่ยวด่าเขาไปหมด
แม้กระทั่งพระ เถร เณร ชี ก็ไม่มียกเว้น
เขาว่าคนอย่างแกตายไปจะต้องตกนรกอเวจีไม่ได้ผุดได้เกิดเลยทีเดียว
แต่ก็น่าแปลกที่อาตงลูกชายของแกกลับเป็นคนดี
ไม่น่าเป็นไปได้ที่คนเลวๆ อย่างแกจะมีลูกดีๆ อย่างอาตง
แสดงว่า นางเซาะกิม เมียของแกต้องเป็นคนดี
แล้วอาตงมีนิสัยติดมาทางแม่
ทว่าหล่อนก็ยังสงสัยอยู่อีกนั่นแหละว่า

ถ้าเมียของแกเป็นคนดีจริง
แล้วทำไมจึงมาอยู่กับคนเลวๆ อย่างแกได้
มันเหมือนน้ำกับน้ำมัน
ที่ไม่มีวันจะผสมกลมกลืนเป็นเนื้อเดียวกันได้เลย
แล้วหล่อนก็สรุปเอาเองว่า ที่นางเซาะกิม อายุสั้น
ก็เพราะไม่อาจอยู่ร่วมกับคนเลวๆ อย่างตาแป๊ะเตี๋ยวได้นั่นเอง

ความจริงความทิฐิ ทำให้ตาแป๊ะเตี๋ยวไม่ไปตามลูกชายกลับ
แกคิดเอาเองว่าเมื่ออาตงทนต่อความลำบากไม่ไหว
ก็คงจะสึกออกมาอยู่กับแกเอง
เป็นนักบวชต้องเที่ยวขออาหารคนอื่นกิน
ไหนเลยจะพอเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง
อีกไม่นานเมื่ออดอยากปากหมองหนักเข้า ก็ต้องซมซานกลับมา
ตาแป๊ะเตี๋ยวไม่ศรัทธาในพระสงฆ์องค์เจ้า
แกดูถูกคนพวกนี้ว่าเกียจคร้านในการทำมาหากิน
และชอบเอาเปรียบผู้อื่น
แกเกลียดพระเกลียดเณรมาแต่ไหนแต่ไร
ไม่อยากพบ ไม่อยากเสวนาด้วย
เพียงเห็นกันไกลๆ ก็ยังรู้สึกคลื่นไส้ชวนให้อาเจียนเสียแล้ว
ทำไมหนออาตงลูกชายของแกจึงคิดผิด
ด้วยการเที่ยวไปเบียดเบียนคนอื่น
ทั้งที่แกก็มีให้กินให้ใช้อย่างเหลือเฟือถึงปานนี้
การกระทำของอาตงถือเป็นความผิดใหญ่หลวงนัก
ซมซานกลับมาเมื่อใด แกจะตีเสียให้เข็ด จะได้หลาบจำ


สาธุ สาธุ สาธุ
 


แก้ไขล่าสุดโดย ลูกโป่ง เมื่อ 24 พ.ค.2007, 11:25 am, ทั้งหมด 3 ครั้ง
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 23 พ.ค.2007, 1:37 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน



สามเดือนผ่านไป
อาตงก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะกลับมาอยู่บ้าน
ตาแป๊ะเตี๋ยวรู้สึกผิดหวังและว้าเหว่ระคนกัน
แกคงจะต้องทำอะไรสักอย่าง
นั่นคือ ต้องไปเอาตัวอาตงกลับมาก่อนที่อะไรๆ มันจะสายเกินแก้


ข้างฝ่ายอาตงนั้นเมื่อได้เปลี่ยนจากเพศฆราวาสมาถือเพศบรรพชิตแล้ว
ก็ได้ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานอย่างเคร่งครัด
หลวงตาซึ่งเป็นสมภารวัดได้ให้ความเมตตาแก่เณรตงเป็นพิเศษ
ด้วยเห็นว่าเป็นเด็กดีมีความกตัญญูสูง

“หลวงตาครับ ทำอย่างไรจึงจะได้ชื่อว่า
เป็นผู้ตอบแทนคุณของพ่อแม่ได้อย่างเลิศที่สุด”

เณรตงถามท่านสมภารในเช้าวันหนึ่ง
ทุกครั้งที่พูดกับภิกษุอาวุโสรูปนี้
มือทั้งสองจะอยู่ในท่าประนมเสมอ

“เออ! เข้าใจถามดีนี่นะ เอาละเมื่อเจ้าอยากรู้ข้าก็จะบอกให้เอาบุญ”

พูดจบก็ลุกขึ้นเดินไปที่ตู้พระคัมภีร์
หยิบพระไตรปิฎกมาพลิกดูสี่ห้าเล่ม
แล้วจึงหยิบติดมือมาเล่มหนึ่งพูดกับเณรตงว่า

“นี่ หลักฐานอยู่ในเล่มนี้ ฟังให้ดีนะข้าจะอ่านให้ฟัง”
ท่านเปิดคัมภีร์เล่มนั้นแล้วอ่าน

“...ภิกษุทั้งหลาย สำหรับบุคคลสองท่าน
เราไม่กล่าวว่าจะกระทำตอบแทนได้ง่ายเลย
สองท่านคือใคร คือ มารดาและบิดา
หากบุตรจะเอามารดาไว้บนบ่าข้างหนึ่ง
เอาบิดาไว้บนบ่าข้างหนึ่ง
ปรนนิบัติ ถึงเขาจะมีอายุยืนด้วยการขัดสี นวดเฟ้น อาบน้ำให้
และแม้ว่าท่านทั้งสองจะพึงถ่ายอุจจาระปัสสาวะบนบ่าทั้งสองของเขา
นั่นก็ยังไม่ชื่อว่าเป็นอันได้กระทำคุณหรือได้ตอบแทนแก่มารดาบิดา
ถึงบุตรจะพึงสถาปนามารดาบิดาไว้ในราชสมบัติ
ทรงอิสราธิปัตย์บนมหาปฐพีอันมีสัตตรัตนะมากหลายนี้
ก็ยังไม่ชื่อว่าเป็นอันได้ทำคุณ หรือได้ตอบแทนมารดาบิดา
ข้อนั้นเพราะเหตุไร ?
เพราะมารดาบิดามีอุปการะมาก เป็นผู้บำรุงเลี้ยง
แสดงโลกนี้แก่บุตรทั้งหลาย...
ส่วนว่าบุตรคนใด ชักจูง ปลูกฝัง ประดิษฐาน
ซึ่งมารดาบิดาผู้ไม่มีศรัทธาไว้ในศรัทธาสัมปทา
...ซึ่งมารดาบิดาผู้ทุศีลไว้ในสีลสัมปทา
...ผู้มีมัจฉริยะไว้ในจาคสัมปทา
...ผู้ทรามปัญญาไว้ในสัญญาสัมปทา
ด้วยการกระทำเพียงนี้จึงชื่อว่าเป็นอันได้แทนคุณ
ได้ตอบแทนแก่มารดาบิดา...


เณรตงฟังท่านสมภารตั้งแต่ต้นจนจบอย่างตั้งอกตั้งใจ
เข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้างตามภูมิความรู้ระดับประถมสี่ของตน
อ่านจบท่านสมภารถามผู้เป็นศิษย์ว่า

“เป็นไง เข้าใจซาบซึ้งแล้วหรือยัง”

“ครับ หลวงตากรุณาสรุปอีกครั้งเถิดครับ
ตอนท้ายๆ ผมยังไม่เข้าใจนัก”

เณรตงขอร้อง ท่านสมภารจึงสรุปให้ฟังว่า

“กล่าวโดยย่อก็คือ พระพุทธองค์ทรงสอนว่า
บุคคลจะทำการตอบแทนบุญคุณพ่อแม่ได้อย่างดีเลิศที่สุด
ก็คือ การทำให้พ่อแม่
เปลี่ยนจากความเห็นผิด มาเป็นความเห็นถูกต้อง
เช่น ถ้าพ่อแม่ไม่เชื่อเรื่องบาปบุญคุณโทษ
แล้วบุตรสามารถทำให้ท่านเชื่อได้
อย่างนี้ถือว่าเป็นการตอบแทนอย่างสูงสุด”


“ถ้าอย่างนั้นผมจะต้องทำให้โยมเตี่ย
หันมาเชื่อเรื่องบาปบุญคุณโทษให้ได้” เณรตงพูดอย่างมั่นใจ

“ดี ขอให้สำเร็จเถอะ ข้าขออนุโมทนาด้วย
คงต้องใช้ความพยายามอย่างยิ่งยวดเชียวละ
เพราะตาแป๊ะเตี๋ยวแกมีความเห็นสุดโต่งออกอย่างนั้น
แต่ข้าเชื่อว่าเจ้าต้องทำได้สำเร็จ อย่าท้อถอยเสียก่อนก็แล้วกัน”

ท่านสมภารพูดให้กำลังใจ

“ผมจะพยายามจนสุดความสามารถเลยเชียวครับ”
ตอบด้วยหัวใจที่เปี่ยมด้วยความรักและความกตัญญูต่อผู้บังเกิดเกล้า

“หมั่นเจริญกรรมฐานแล้วแผ่เมตตาให้แกทุกวัน ไม่ช้าคงเห็นผล
เอาละนะได้เวลาแล้ว แยกไปปฏิบัติที่กุฏิของเจ้าได้
ค่ำๆ ค่อยมาสอบอารมณ์กับข้า”

“กราบของพระคุณหลวงตามากครับ”

พูดพร้อมกับก้มลงกราบท่านสมภาร
ด้วยความรู้สึกซาบซึ้งในบุญคุณของท่าน
จากนั้นจึงแยกตัวไปปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานที่กุฏิของตน

กุฏิที่ท่านสมภารให้เณรตงอยู่เป็นเรือนไม้หลังเล็กกะทัดรัด
ตั้งอยู่ใกล้ป่าช้ามากกว่าหลังอื่นๆ
ภายในเป็นห้องสี่เหลี่ยมผืนผ้ากว่าสองวา ยาวสามวาสองศอก
นอกจากใช้เป็นที่อยู่อาศัยแล้ว
ยังเป็นที่ปฏิบัติธรรมของเณรรูปนี้อีกด้วย

เมื่อถึงกุฏิเณรตงเริ่มลงมือปฏิบัติกรรมฐาน
โดยสวดมนต์ทำวัตรเช้าอัน ถือเป็นขั้นเริ่มต้นของการปฏิบัติ
เพราะการสวดมนต์เป็นการสำรวมจิต
ให้ระลึกถึงพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ
แล้วจึงเดินจงกรม เริ่มตั้งแต่ระยะที่หนึ่งไปจนถึงระยะที่หก
เดินจงกรมอยู่ประมาณหนึ่งชั่วโมง
จิตของท่านเริ่มจะตั้งมั่น
จากนั้นจึงนั่งกรรมฐานในท่า “ขัดสมาธิเพชร”
โดยยกขาซ้ายวางทับบนขาขวา
แล้วจึงยกขาขวาวางทับบนขาซ้ายอีกทีหนึ่ง
มือทั้งสองวางบนตักโดยให้มือขวาวางทับมือซ้าย
ตั้งกายให้ตรง ดำรงสติให้มั่น
แล้วเพ่งพิจารณาลมหายใจเข้าออก
ด้วยการบริกรรมว่า “พอง-หนอ”
เมื่อท้องพองเพราะหายใจเข้า
และ “ยุบ-หนอ” เมื่อท้องยุบเพราะหายใจออก
พยายามให้สติจับอยู่กับอาการพองยุบอย่างนี้
มิให้ซัดส่ายไปที่อื่น จนกว่าจิตจะตั้งมั่นเป็นสมาธิ
ซึ่งจะสามารถข่มนิวรณธรรมให้สงบระงับลงได้
จากนั้นจึงตั้งสติพิจารณากาย เวทนา จิต ธรรม
ตามแนวสติปัฏฐานสี่
พิจารณาเห็นความเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป
ของรูปนามตามสภาวธรรมและตามกฎของไตรลักษณ์
คือ ความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และปราศจากตัวตนที่เที่ยงแท้

อาศัยความเพียรอันยิ่งยวด
การปฏิบัติของเณรตงจึงก้าวหน้าขึ้นทุกวัน
แม้จะปฏิบัติมาเพียงสามเดือนเท่านั้น
พระเณรหลายรูปที่บวชมาก่อนท่าน
บางรูปก็ยังไม่สามารถแยกรูป แยกนามได้
เพราะย่อหย่อนในความเพียร
ด้วยจริยาวัตรอันดีงามนี้
ทำให้ท่านเป็นที่โปรดปรานรักใคร่ของท่านสมภารยิ่งนัก

ออกจากกรรมฐานแล้ว
เณรตงก็ตั้งจิตแผ่เมตตาและอุทิศส่วนกุศล
ไปให้ผู้บังเกิดเกล้าทั้งสอง
ท่านสมภารสอนไว้ว่า
บุญกุศลที่ได้จากการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานนั้น
สามารถอุทิศไปได้ทุกภพภูมิ
ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่ล่วงลับไปแล้วหรือผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่
ดังนั้นทั้งโยมบิดาและโยมมารดา
จะต้องได้รับบุญกุศลที่ท่านอุทิศไปให้อย่างแน่นอน
ส่วนบุญกุศลที่เกิดจากการทำบุญบริจาคทาน
จะอุทิศให้ได้เฉพาะผู้ที่ตายไปเกิดเป็นเปรตเท่านั้น
หากไปเกิดเป็นสัตว์นรก สัตว์เดรัจฉาน
มนุษย์หรือเทวดา จะไม่ได้รับบุญกุศลอังกล่าว


เวลาสองยามของคืนวันหนึ่ง
ขณะที่เณรตงกำลังหลับสนิทอยู่ในกุฏิของท่าน
ก็ต้องตกใจตื่นเพราะเสียงเคาะประตูปังๆ
อย่างไม่เกรงอกเกรงใจของผู้มาเยือนในยามวิกาล

“นั่นใคร มีธุระอะไรดึกดื่นป่านนี้”
ท่านร้องถามออกไปและเสียงที่คนข้างนอก
ตะโกนตอบเข้ามาทำให้ท่านตระหนก

“เตี่ยเอง เปิดปาตูให้เตี่ยหน่อย”
เป็นเสียงของตาแป๊ะเตี๋ยวบิดาของท่านนั่นเอง
ทั้งดีใจทั้งหวั่นหวาดระคนกัน
ดีใจเพราะจะได้พบบิดา
หากก็หวั่นว่าฝ่ายนั้นจะบังคับให้สึก
ท่านคลำหาไม้ขีดมาจุดเทียนไข
ยังผลให้ห้องแคบๆ นั้นสว่างขึ้นแล้วจึงเดินไปเปิดประตู

“เจริญพร โยมเตี่ยทำไมถึงมาดึกดื่นอย่างนี้”
ท่านทักพลางเชื้อเชิญให้บิดาเข้ามาข้างใน
ตาแป๊ะเข้ามานั่งพลางกวาดสายตาสำรวจไปทั่วห้อง
ไม่เห็นสมบัติมีค่าอันใด
นอกจากของใช้เล็กๆ น้อยๆ เพียงไม่กี่ชิ้น
ไฟฉายที่แกถือติดมือมากระบอกหนึ่งนั้น
ยังดูมีค่ามากกว่าสมบัติที่ลูกชายมีอยู่
อาตงช่างมีความเป็นอยู่อย่างขัดสนเสียเหลือเกิน
ในความคิดของผู้เป็นพ่อ

“อาตง เตี่ยมาลับลื้อกับบ้าน” แกเอื้อนเอ่ย
มองหน้าลูกก็อุปาทานว่าทั้งผอมทั้งดำ
ไม่อ้วนท้วนขาวผ่องเหมือนตอนที่อยู่กับแก

“โยมเตี่ยเลิกฆ่าหมูขายแล้วหรือ”
ถามเพื่อทบทวนเงื่อนไขที่เคยให้ไว้กับบิดา

“เตี่ยจาเลิกทำมาย มังเป็งอาชีกสุกจาหลิก
ที่ถ่ายทอกมาจากบังพะบุหลุก”

แกพยายามพูดให้ลูกชายเห็นความสำคัญของอาชีพที่ทำอยู่

“ทำไมโยมเตี่ยถึงมาดึกดื่นอย่างนี้”
เณรตงเปลี่ยนเรื่องถามด้วยคร้านที่จะฟังบิดา
พร่ำพรรณนาถึง สิ่งเป็นโทษว่าเป็นคุณ

“เตี่ยจามาทำมายกางวัง ม่ายอยากเห็งหน้าพะ
พวกอีขี้เกียกชิกหาย ลีแต่ขอทางคงอื่งกิง”

แกบอกเหตุผลแต่ไม่ได้บอกว่า เพราะคิดถึงลูก
คิดถึงมากกว่าทุกวันจนนอนไม่หลับ

“ลื้อต้องสึกไปอยู่กะเตี่ย”
คำว่า “สึก” ช่างบาดใจเณรตงเสียนัก
ท่านรีบปฏิเสธทันควันว่า “อาตมาไม่สึก
ตราบใดที่โยมเตี่ยไม่เลิกขายหมู อาตมาก็จะไม่สึก”
นอกเหนือจากเงื่อนไขที่ให้ไว้กับบดาแล้ว
ท่านเองก็ไม่อาจปฏิเสธว่า พึงพอใจกับความสงบแห่งจิต
ซึ่งจะหาไม่ได้นอกเสียจากการถือเพศบรรพชิต

“อั๊วะไม่เลิกเลี้ยวอั๊วะก็จาให้ลื้อสึกล่วย”
ตาแป๊ะเตี๋ยวพูดเสียงดังด้วยความโกรธ

“โยมเตี่ยฟังอาตมพูดสักหน่อยเป็นไร
ที่อาตมามาบวชนี่ก็เพื่อจะช่วยโยมเตี่ยหรอกนะ”

“ช่วยชิกหายอาลาย ลื้ออย่ามาพูกให้เสียเวลา
ถ้าลื้อจาช่วยอั๊วะจิงก็ต้องสึกเหลียวนี้”

แกพูดพร้อมกับลุกขึ้นฉุดมือเณรลูกชาย
น่าแปลกที่ไม่รู้สึกคลื่นไส้เหมือนทุกครั้งที่เข้าใกล้ผ้าเหลือง
ทว่าเณรตงรู้ว่านั่นเป็นอานิสงส์ของบุญกุศล
ที่ท่านอุทิศส่งมาให้ทุกค่ำคืน ช่างได้ผลทันตาเห็นดีเหลือเกิน

“อย่า...โยมเตี่ยจะทำอย่างนี้ไม่ได้ อาตมาเป็นเณรนะ”
ท่านห้ามเสียงหลง

“เนง เนิงอั๊วะไม่สงใจ ลื้อต้องไปกะอั๊วะเหลียวนี้”
แกเข้ายื้อยุดฉุดลากเป็นพัลวัน

“อาตมาไม่ไป ถึงจะเอาไปฆ่าให้ตาย อาตมาก็จะไม่ยอมสึก”
เณรลูกชายพูดเสียงหนักแน่นเฉียบขาดจนบิดานึกท้อ
หากทิฐิมานะที่แนบเนื่องอยู่ในกมลสันดานมาตั้งแต่เกิด
ทำให้แกไม่ยอมแพ้

“ให้ลื้อลู้ไปซีว่าจะลีกว่าอั๊วะ”
ว่าแล้วก็ลากลูกชายถูลู่พูกังออกมาจากห้อง
เณรตงพยายามสะบัดแขนออกจากการเกาะกุม
หากก็ไม่สำเร็จ เพราะบิดาแข็งแรงกว่า

“ปล่อยอาตมาก่อน ไม่งั้นโยมเตี่ยจะต้องเสียใจ” ท่านขู่

“อั๊วะไม่ป่อย ลื้อต้องไปกะอั๊วะเหลียวนี้
ลู้ละป่าวอีกไม่กี่วังอายุลื้อก้อจาคบสิกสี่เลี้ยว
ยังจามาเที่ยวขอทางเค้ากิง น่าอายชิกหายเลย” แกบ่นอุบ

“เอาละ ในเมื่อพูดกันไม่รู้เรื่องเราก็อย่าได้เจอะเจอกันอีกเลย”

พูดจบก็สะบัดแขนอย่างแรงจนหลุดจากการเกาะกุม
แล้วกระโจนลงจากกุฏิ วิ่งหายไปทางป่าช้าหลังวัด
เมื่อหายตกตะลึงตาแป๊ะเตี๋ยววิ่งลงบันไดไล่ตามไป
แสงจันทร์สลัวรางในคืนข้างแรม
ทำให้พอมองเห็นทางโดยไม่ต้องพึ่งไฟฉาย
สุนัขในวัดพากันเห่าเสียงขรมและวิ่งกรูเข้ามา
ความกลัวจะถูกสุนัขกัด ทำให้แกหันหลังกลับ
แล้ววิ่งอ้าวไปทางหน้าวัด
ครั้นแน่ใจว่าสุนัขเหล่านั้นไม่ตามมา
จึงเปลี่ยนเป็นเดินเร็วๆ แล้วค่อยช้าลงๆ กระทั่งถึงบ้าน
จิตใจของแกในยามนี้ช่างรันทดหดหู่เสียนัก
น้ำตาไหลรินอาบแก้มโดยมิรู้ตัว

สาธุ สาธุ สาธุ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 23 พ.ค.2007, 1:49 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน



ความหวาดกลัวว่าบิดาจะติดตามมา
ทำให้เณรตงวิ่งเตลิดไปอย่างไม่คิดชีวิต
รู้สึกเจ็บระบมที่เท้าทั้งสอง เพราะถูกหนามแหลมทิ่มแทง
กระนั้นท่านก็มิยอมหยุดผ่านป่าช้าไปทะลุทุ่งกว้างหลังวัด
แล้ววิ่งตัดทุ่งตรงไปศาลาท่าน้ำ
นั่งหอบฮั่กๆ อยู่ที่นั่น
อาศัยแสงสลัวจากพระจันทร์ครึ่งเสี้ยว
มองกลับไปยังทางที่วิ่งมา
ก็ไม่ปรากฏแม้เงาของผู้เป็นบิดา
จึงค่อยเบาคลายหายหวาดกลัวลงได้บ้าง
มองลงไปยังแม่น้ำเจ้าพระยาที่นอนสงบนิ่ง
ภายใต้แสงจันทร์เลือนสลัว
คิดจะว่ายข้ามฟากไปยังวัดฝั่งโน้น
ก็เกรงจะหมดเรี่ยวแรงเสียก่อนที่จะถึงฝั่ง
ครั้นจะกลับไปที่กุฏิ ก็เกรงว่าบิดาจะซุ่มรออยู่
เพื่อเอาตัวกลับบ้าน

เณรตงเริ่มว้าวุ่นใจกับปัญหาที่กำลังเผชิญอยู่
ในที่สุดจึงใช้อุบายทำให้จิตสงบ ด้วยการเจริญกรรมฐาน
ท่านเริ่มต้นเดินจงกรมตั้งแต่ระยะที่หนึ่งไปจนถึงระยะที่หกโดยปฏิโลม
ไม่ยอมนั่งสมาธิ ด้วยต้องคอยระแวดระวังบิดา
กลัวว่าขณะที่นั่งหลับตาอยู่
ฝ่ายนั้นอาจจู่โจมเข้ามาจับเอาตัวไปก็เป็นได้
เดินจงกรมอยู่ประมาณสองชั่วโมง


จิตของท่านก็สงบตั้งมั่นเป็นสมาธิ
เกิดปัญญาแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้

ท่านรู้ว่าประมาณตีสองของทุกวัน
เป็นช่วงเวลาที่บิดาลงมือปฏิบัติภารกิจ
คือ การฆ่าหมูเตรียมไปขายในตอนเช้า
อย่างไรเสียบิดาจะต้องไม่รออยู่ที่กุฏิ
เพราะห่วงภารกิจที่บ้าน
ท่านจะกลับไปที่กุฏิ
รอจนฟ้าสางแล้วค่อยไปกราบลาท่านสมภาร
เพื่อขอไปอยู่วัดโบสถ์ทางฝั่งโน้น
บิดาคงไม่ตามไปเซ้าซี้อีก
เพราะยามค่ำคืนไม่มีเรือข้ามฟากประการหนึ่ง
และอีกประการหนึ่งบิดาเป็นคนเกลียดพระเกลียดเณร
ถึงขนาดไม่ยอบพบปะพูดจาด้วย
จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะไปตามท่านในตอนกลางวัน
คิดได้ดังนี้ เณรตงจึงเดินกลับไปที่กุฏิ
ปิดประตูลงกลอนอย่างแน่นหนา
แล้วจึงเก็บเครื่องบริขารต่างๆ มัดรวมกันไว้
เวลาที่เหลือท่านใช้ในการเจริญกรรมฐาน

โดยเดินจงกรมแล้วจึงนั่งสมาธิ
ปฏิบัติอยู่อย่างนี้จนกระทั่งฟ้าสาง
จากนั้นจึงเดินไปที่กุฏิท่านสมภาร
เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ท่านฟัง


“ผมคิดว่าจะขออนุญาตไปอยู่ วัดโบสถ์ ทางฝั่งโน้นครับ”
เมื่อเล่าเสร็จ เณรตงจึงบอกความประสงค์

“วัดโบสถ์หรือ ได้สิ สมภารวัดนั้นใช่ใครที่ไหน ลูกศิษย์ข้าเอง”
ท่านบอกง่ายๆ ยังผลให้คนฟังใจชื้นขึ้นเป็นกอง

“ถ้าอย่างนั้นหลวงตากรุณาเขียนหนังสือให้ผมถือไปด้วยจะได้ไหมครับ”

“ไม่ต้อง ไม่ต้องถือหนังสือไป เดี๋ยวข้าไปส่งเอง”


“ไม่รบกวนหลวงตาเกินไปหรือครับ” พูดอย่างเกรงใจ

“รบกงรบกวนอะไรเล่า ข้าถือเป็นหน้าที่ที่จะต้องดูแลเจ้าอยู่แล้ว
อีกอย่างหนึ่งข้ากับสมภารกรอด ก็ไม่ได้เจอกันเสียนาน
จะได้ถือโอกาสไปเยี่ยมเยียนกันเสียเลย”

“สมภารวัดโบสถ์ชื่อกรอดหรือครับ”

“งั้นสิ เป็นไงฟังดูแปลกหรือไง”
“ครับ ผมไม่เคยได้ยินคนชื่อนี้มาก่อน”

“เขาว่าตอนเกิดใหม่ๆ ไม่ได้ชื่อนี้
ตอนหลังๆ ชอบนอนกัดฟันกรอดๆ ทุกคืน
พ่อแม่ก็เลยพร้อมใจกันเรียกว่า กรอดมาตั้งแต่นั้น”

ท่านสมภารเล่าถึงที่มาของชื่อลูกศิษย์

แล้วก็เลยเล่าของท่านเองบ้างว่า
“ส่วนข้าที่ชื่อ กร่าง เพราะโยมแม่คลอดที่ใต้ต้นกร่าง
ไปทำไร่กับโยมพ่อแล้วเกิดปวดท้อง
ยังไม่ทันกลับบ้านข้าก็คลอดออกมาเสียก่อน
โยมแม่ว่าลูกทั้งท้องมีข้าคลอดง่ายที่สุด”
เสียงที่พูดบอกความภูมิใจนิดๆ


“หลวงตาจะไปวัดโบสถ์ตอนเช้าหรือตอนเพลครับ”
เณรตงวกกลับมาถามเรื่องที่ยังพูดค้างอยู่

“ตอนเช้าสิ ฉันเช้าแล้วค่อยไป
วันนี้เจ้าไม่ต้องตามข้าไปบิณฑบาตหรอกนะ รออยู่ที่นี่แหละ
รับรองว่าเตี่ยเจ้าไม่มาที่กุฏิข้าแน่”

สั่งเสร็จสมภารสูงอายุ จึงมุ่งหน้าไปยังหมู่บ้าน เพื่อโปรดสัตว์
ระหว่างการรอคอย
เณรตงมิได้ปล่อยเวลาให้ล่วงเลยไปโดยเปล่าประโยชน์
ท่านจัดการกวาดถูทำความสะอาดกุฏิให้ท่านสมภาร
จัดเก็บข้าวของเข้าที่ให้อย่างเรียบร้อย
เนื่องจากเป็นคนจีนโดยกำเนิด
อุปนิสัยที่ติดตัวมาจากชาติพันธุ์ คือ ความขยันขันแข็ง
ไม่เคยนิ่งดูดายไม่ว่าจะด้วยเรื่องอันใด
ท่านขวนขวายทำกิจของตนและของผู้อื่น เท่าที่โอกาสจะอำนวย
ท่านสมภารเคยพูดสัพยอกในความขยันขันแข็งของเณรตงว่า
“เจ้าเณรรูปนี้ท่าจะไม่เคยหายใจทิ้งเลยกระมัง”
ด้วยความขยันขันแข็งและชอบช่วยเหลือผู้อื่น
ทำให้เณรตงเป็นที่รักใคร่ของพระเณรทั้งวัด
จะมีผู้ใดเกลียดชังท่านแม้สักคนก็หาไม่

ฉันเช้าแล้วสมภารกร่าง จึงพาเณรลูกศิษย์ออกทางหลังวัด
เดินลัดเลาะไปตามคนนากลางทุ่ง เพื่อตรงไปท่าน้ำ
ต้นข้าวเขียวขจีกำลังตั้งท้องอ่อนๆ
รอวันที่จะผลิดอกออกรวงมาให้มนุษย์ได้เก็บเกี่ยวไว้เป็นอาหาร
ภิกษุสูงอายุรู้สึกสงสารและเสียดายคนดีๆ อย่างเณรตง
ที่จะต้องระเหระหนไปอยู่ที่อื่น
มิใช่แต่วัดโบสถ์ที่กำลังจะไปนี่ดอก
หากจะต้องเร่ร่อนต่อไปอีก
เพราะดวงชะตาบ่งบอกไว้เช่นนั้น
แต่ถึงอย่างไรตาแป๊ะเตี๋ยวผู้เป็นพ่อ
ก็ไม่สามารถจะทำให้ลูกชายสึกหาลาเพศได้ ไม่ว่าจะโดยวิธีใด
ข้างฝ่ายเณรตงผู้ซึ่งกำลังสาวเท้าตามภิกษุสูงอายุนั้น
ก็ให้รู้สึกสะท้านสะเทือนใจ ที่ต้องจำจากที่เคยอยู่อู่เคยนอน
และผู้ที่เคยสอนสั่งชี้ทางสวรรค์นิพพานให้
ต่อแต่นี้จะมีผู้ใดมาอบรมสั่งสอนด้วยเมตตา
รักใคร่เช่นท่านสมภารผู้นี้อีก
ความผูกพันที่มีต่อท่านสมภารนั้น
นับวันก็จะยิ่งแน่นแฟ้นมากขึ้น
จู่ๆ ก็ต้องมาพลัดพรากจากกัน
ใครเลยจะไม่โศกศัลย์ห่วงหาอาวรณ์


“ไม่ต้องกังวลเรื่องที่อยู่ใหม่
สมภารกรอดจะดูแลเอาใจใส่เจ้าเหมือนอยู่กับข้าทุกอย่าง”

ท่านสมภารพูดขึ้นเหมือนจะล่วงรู้ความคิดของอีกฝ่าย

“หลวงตาไปเยี่ยมผมบ้างนะครับ”
ไม่มีคำตอบจากผู้สูงอายุ
เพราะท่านรู้ดีว่าไม่อาจทำเช่นนั้นได้
ความหง่อมแห่งอินทรีย์
ทำให้ไม่สามารถไปไหนมาไหนได้คล่องแคล่วเช่นแต่ก่อน
ครั้นจะให้เณรตงเป็นฝ่ายมาเยี่ยม
ก็เกรงความจะล่วงรู้ไปถึงตาแป๊ะเตี๋ยว
ต่างเดินตามกันไปเงียบๆ กระทั่งถึงท่าน้ำ
มีเรือแจวลำเล็กรอรับส่งผู้โดยสารข้ามฟากในอัตราคนละหนึ่งสตางค์
ท่านสมภารมาเณรลูกศิษย์นั่งเรือข้ามฟากไปฝั่งโน้น
โดยคนแจวไม่ยอมรับค่าจ้าง
ท่านจึงให้ศีลให้พรแล้วพาศิษย์เดินทางต่อไปยังวัดโบสถ์


สาธุ สาธุ สาธุ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 23 พ.ค.2007, 2:05 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน



วันเวลาผ่านไปรวดเร็วราวกับติดปีกบิน
เณรตงหลบเร้นบิดามาอยู่ที่วัดโบสถ์เป็นเวลาหลายปี
กระทั่งอายุครบบวช วันหนึ่งสมภารกรอดได้มาที่วัดพุทธาราม
และปรึกษากับสมภารกร่าง เรื่องการอุปสมบทเป็นพระภิกษุให้เณรตง
ภิกษุทั้งสองตกลงกันว่า จะไม่แจ้งให้ตาแป๊ะเตี๋ยวทราบ
เพราะถึงอย่างไรแกจะต้องไม่ยินยอมและคงขัดขวางจนถึงที่สุด
กำหนดวันเวลากันเรียบร้อย
สมภารผู้เป็นศิษย์ จึงกลับมาแจ้งให้เณรตงทราบ
ตกค่ำเณรตงจึงขอแรงคนแจวเรือจ้าง
ให้ช่วยมาส่งที่ฝั่งวัดพุทธาราม
ให้เรือรออยู่แล้วท่านจึงแอบไปที่ฮวงซุ้ยของมารดา
จุดธูปบอกกล่าวขออนุญาตอุปสมบท
สามวันต่อมาท่านก็ได้เข้าพิธีอุปสมบท
โดยสมภารวัดพุทธารามเป็นพระอุปัชฌาย์
และสมภารวัดโบสถ์เป็นกรรมวาจาจารย์
บวชแล้วภิกษุตงคงเป็นคนเดิม
ที่ขยันหมั่นเพียรและอ่อนน้อมถ่อมตน
ด้านการปฏิบัติธรรมก็ตั้งอกตั้งใจปฏิบัติอย่างเคร่งครัด
เปี่ยมด้วยวิริยะอุตสาหะเป็นทีชื่นชอบของพระเณรในวัด
ตลอดจนอุบาสกอุบาสิกาที่ได้ทราบข้อวัตรปฏิบัติของท่าน
ต่างพากันอนุโมทนาสาธุการ

เวลาล่วงเลยไปอีกสามปี
ภิกษุตงอายุย่างยี่สิบสาม เหตุการณ์ร้ายได้บังเกิดแก่ท่านอีกครั้ง
กล่าวคือ ในตอนเย็นขณะที่ท่านกำลังกวาดลานวัดอยู่นั้น
บิดาก็มาปรากฏตัวพร้อมชายฉกรรจ์ร่างกำยำสองคน
ตาแป๊ะเตี๋ยวขู่ลูกชายทันทีที่พบหน้า


“อาตง ถ้าลื้อไม่ยอมสึก ลื้อต้องเจ็บตัวแหงๆ”
ภิกษุตงถึงกับตะลึงด้วยคาดไม่ถึงว่า
จะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ซ้ำอีก ครั้นได้สติจึงพูดขึ้นว่า

“โยมเตี่ยนี่หมายความว่าอย่างไรกัน”
ตาแป๊ะเตี๋ยวไม่ตอบ
หากพยักหน้าให้ชายฉกรรจ์ทั้งสองเป็นการให้สัญญาณ
ชายร่างกำยำจึงเดินเข้ามาขนาบข้างท่านไว้ข้างละคน
เตรียมพร้อมที่จะทำตามคำสั่งของผู้ว่าจ้าง
ภิกษุหนุ่มมิได้แสดงอาการหวดกลัวให้ปรากฏ
ท่านหันไปสบตากับบุรุษนั้นทีละคน
ด้วยสายตาที่อ่อนโยนและเป็นมิตร
คนทั้งสองก้มหน้าดูดิน ไม่กล้าสบตาท่าน
กิริยาทะนงองอาจเมื่อครู่ เปลี่ยนเป็นกริ่งเกรงระคนหวาดกลัว

“เอาเลย ลากคอมังกับบ้างเหลียวนี้”
ผู้ว่าจ้างออกคำสั่ง สองบุรุษทำท่าละล้าละลัง
ไม่กล้าเข้ายื้อยุดด้วยเกรงบารมีของผ้าเหลืองที่ห่อหุ้มกายของท่าน
บิดาของภิกษุตงจึงกล่าวสำทับว่า

“ชักช้าอยู่ทำมาย เอาตัวมังไปเหลียวนี้
ถ้าลื้อไม่เอา อั๊วะไม่ให้ค่าจ้าง”


“ท่านสึกไปอยู่กับเตี่ยเถอะ” ชายที่อยู่ทางขวามือพูดขึ้น

“อย่าให้เราสองคนต้องทำบาปทำกรรมเลย” คนทางซ้ายเสริม

“เราไม่สึก เพราะตั้งใจแล้วว่าจะบวชตลอดชีวิต
ถึงเจ้าสองคนจะเอาเราไป ฆ่าเรา ก็จะขอยอมตาย”

ภิกษุตงพูดอย่างไม่สะทกสะท้าน
ฟังคำพูดของท่านแล้วชายฉกรรจ์ทั้งสองก็หมดกำลังใจ
ไม่นึกอยากได้ค่าจ้างแม้แต่น้อย
ถ้าหากต้องแลกกับการฆ่าพระ
หันไปพูดกันตาแป๊ะเตี๋ยวพร้อมกันราวกับนัดว่า

“เถ้าแก่ อั๊วะไม่เอาค่าจ้างแล้ว”

“โยมเตี่ยของเราจ้างเจ้ามาเท่าไหร่หรือ”
ภิกษุตงถามชายที่ยืนขนาบอยู่ข้างซ้ายรีบตอบว่า

“คนละตำลึง ท่านสึกเถอะ ข้าอยากได้ค่าจ้าง
ลูกชายข้าป่วย จะเอาเงินไปซื้อยาให้ลูก”

บุรุษนั้นพูดน่าสงสาร

“งั้นก็ตามเรามาสิ เราจะไปหยิบเงินให้”
พูดจบก็เดินนำชายทั้งสองไปที่กุฏิ
เห็นผู้ที่ตนว่าจ้างมาเดินตามลูกชายต้อยๆ
ตาแป๊ะโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง

“อ้ายพวกจังไร มาหักหลังกูล่าย ขอให้พวกมึงชิกหายตายโหง”
แก่ตะโกนไล่หลัง ชายฉกรรจ์ทั้งสองเอาหูทวนลมเสีย
หากต่อกรด้วยก็เกรงใจพระลูกชายของแก
ที่สำคัญคือ กลัวไม่ได้ค่าจ้าง
เงินที่กำลังจะได้นี้ไม่ต้องแลกกับการทำบาปกรรม
ใครไม่รับก็เขลาเต็มที
เมื่อได้เงินจากภิกษุตงแล้ว
คนทั้งสองก็บอกลา โดยไม่สนใจตาแป๊ะซึ่งโกรธจนตัวสั่น
ลูกชายไม่ยอมสึกก็เสียใจพอแรงแล้ว
ยังมาถูกคนต่ำต้อยหักหลังเสียอีก
แกก่นด่าคนทั้งสามอย่างไม่ไว้หน้า
คำด่าทั้งหลายถูกนำออกมาใช้ไม่มีหลงเหลือแม้แต่คำเดียว
ภิกษุตงรู้สึกอับอายด้วยพระเณรในวัด
ตลอดจนชาวบ้านใกล้เคียงเริ่มทยอยกันมามุงดู
ท่านอายที่มีบิดาปากจัดเช่นตาแป๊ะเตี๋ยว
แต่ทั้งๆ อายก็อดที่จะสงสารผู้เป็นพ่อเสียมิได้
จึงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงวิงวอนว่า
“โยมเตี่ย อาตมาขอบิณฑบาตเถอะ อย่าให้อาตมาสึกเลย”

“ไม่ล่าย ลื้อต้องสึกไปช่วยอ๊วะฆ่าหมูขาย ลู้ละป่าว
เหลียวนี้อ๊วะสูงแลงมังไม่ไหวเลี้ยว อีดิ้งชิกหาย”

แกหมายถึง หมูตอนจะถูกแทงคอซึ่งมันจะดิ้นจนสุดฤทธิ์

“โยมเตี่ยก็เลิกฆ่ามันเสียสิ อาชีพอื่นมีถมเถ
หรือถ้าไม่อยากทำงาน มาอยู่กับอาตมาที่วัดก็ได้
อาตมาจะเลี้ยงดูโยมเตี่ยเอง”
ตาแป๊ะเตี๋ยวมองลูกชายอย่างดูแคลน
หากก็อารมณ์ดีขึ้นนิดหนึ่ง เมื่อลูกชายบอกจะเลี้ยงดู
กระนั้นก็พูดขึ้นว่า
“น้ำหน้าอย่างลื้อน่ะเหลอจามาเลี้ยงเตี่ย
ตัวลื้อเองก็ยังเที่ยวหาขอทางเขากิง
ยังจามีหน้ามาพูกว่าจาเลี้ยงเตี่ย”
เมื่อเห็นว่าไม่อาจเกลี้ยกล่อมบิดาได้
ภิกษุตงจึงบอกให้แกกลับ
“โยมเตี่ยกลับบ้านเถอะ ค่ำแล้วเดี๋ยวจะไม่มีเรือข้ามฟาก”

“อั๊วะไม่กับ ถ้าลื้อไม่ยอมสึก อั๊วะก็จายืงหล่าอยู่อย่างนี้แหละ”
แกยืนกราน อารมณ์ที่เย็นลงเล็กน้อยนั้นกลับคุกรุ่นขึ้นมาอีก

“โธ่! โยมเตี่ย อายคนอื่นเขาน่า เห็นไหมคนมามุงดูกันใหญ่แล้ว”
แทนที่จะเชื่อ แกกลับด่ากราดทั้งพระเณรและชาวบ้าน

“เลื่องของพ่อลูก คงอื่งไม่เกี่ยวอย่ามาเสือกเลื่องชาวบ้าง
ไป ไม่ให้หมก ไม่งั้งอั๊วะหล่ายกโคก”
แกเริ่มพาล ภิกษุตงมิรู้จะทำประการใด
ความอับอายทำให้ท่านเดินขึ้นกุฏิ
ปิดประตูขังตัวเองอยู่ในนั้น ข้างฝ่ายบิดาก็ไม่ยอมแพ้
ตามไปนั่งด่าอยู่หน้าประตู
โดยไม่ฟังคำทัดทานของพระรูปอื่นที่มาพูดห้ามปราม
สมภารกรอดไม่ลงมายุ่งเกี่ยวด้วย
รู้ว่าไม่อาจเปลี่ยนความเห็นผิดของตาแป๊ะให้เป็นความเห็นชอบได้
ด่าจนลูกคอแห้ง ตาแป๊ะรู้สึกกระหายน้ำ จึงเตรียมตัวกลับ
ไม่นึกห่วงว่าคนแจวเรือจ้างจะรอ
เพราะแกได้ว่าจ้างมาเป็นพิเศษ ก็ต้องใช้มันให้คุ้มค่า
และเพื่อไม่ให้เสียเหลี่ยม
แกตะโกนเข้าไปในห้องลูกชายว่า


“พุ่งนี้อั๊วะจามาหล่าลื้ออีก มาหล่าทุกวันจงกว่าลื้อจาสึก”
สั่งเสร็จจึงเดินอย่างเร่งรีบไปยังท่าน้ำที่คนแจวเรือกำลังรออยู่
มิใช่เพราะเกรงใจคนรอ
หากเพราะอยากถึงบ้านโดยเร็วด้วยกระหายน้ำเป็นที่สุด


สาธุ สาธุ สาธุ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 23 พ.ค.2007, 4:28 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน



สามทุ่มคืนนั้น ท่านสมภารได้มาหาภิกษุตง
และปรึกษาหารือเกี่ยวกับปัญหาที่เกิดขึ้น
สมภารกรอดครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงพูดขึ้นว่า
“ไปอยู่บางกอกก็แล้วกัน รับรองคราวนี้เตี่ยของเจ้าตามไปไม่ได้แน่”
ท่านพูดอย่างตัดสินใจดีแล้ว

“ผมไม่รู้จักใครที่นั่นเลยครับหลวงพ่อ
แล้วอีกประการหนึ่งผมก็ไม่เคยไปบางกอก คงจะลำบากมากทีเดียว”

ภิกษุตงแสดงความวิตก

“ลำบากเชียวละ ถ้าจะไปอย่างไร้จุดหมาย
แต่ข้าจะไม่ให้เจ้าทำเช่นนั้นดอก ข้ามีคนรู้จักบวชอยู่ที่วัดยานนาวา
จะฝากเจ้าไปอยู่กับเขาที่นั่น”

สมภารกรอดชี้แจง

“ถ้าอย่างนั้นผมก็ค่อยเบาใจ แต่ก็ยังวิตกเรื่องการเดินทาง
เขาว่าบางกอกกว้างขวางนัก ผมกลัวจะไปไม่ถูก”
ภิกษุหนุ่มยังกังวล

“เรื่องนั้นเย็นใจได้ พรุ่งนี้จะมีเรือโยงบรรทุกข้าวไปขายบางกอก
เจ้าไปกับเรือโยงได้ สองผัวเมียที่คุมเรือรู้จักกับข้าดี
จะให้ส่งเจ้าถึงวัดเลยแล้วข้าจะเขียนหนังสือให้ถือไปถึงพระรูปนั้น”

ท่านสมภารจัดการให้เสร็จสรรพ

“ขอบพระคุณท่านมากครับ”
ภิกษุหนุ่มกล่าวพร้อมกับก้มลงกราบอย่างซาบซึ้งในบุญคุณของท่าน

“ไปอยู่บางกอกก็เรียนบาลี เรียนปริยัติให้เชี่ยวชาญนะ
หากมีโอกาสจะได้กลับมาสอนพระเณรทางบ้านเรา
ส่วนด้านการปฏิบัติเจ้าก็ไปได้ไกลแล้ว
มีเวลาก็ช่วยสอนให้พระเณรทางบางกอกบ้าง
เพราะที่นั่นเขาหนักไปทางปริยัติ
ที่จะปฏิบัติจริงๆ จังๆ อย่างเจ้าหาได้ยาก”

สมภารกรอดบอกกล่าว ท่านพึงพอใจ
ในข้อวัตรปฏิบัติของภิกษุผู้นี้ยิ่งนัก

ภิกษุตงดีใจที่จะได้เรียนบาลีและปริยัติ
คงจะทำให้มีความรู้ความเข้าใจในพระศาสนามากขึ้น
ไม่มีอะไรน่าห่วงใยในส่วนที่เกี่ยวกับตัวท่าน
จะห่วงก็แต่โยมบิดาเท่านั้น เพราะนับวันเรี่ยวแรงก็ลดน้อยถอยลง
เนื่องจากความร่วงโรยแห่งสังขาร
หากเจ็บไข้ได้ป่วยไปใครเล่าจะมาคอยดูแลรักษา
ถ้าโยมมารดายังมีชีวิตอยู่ ก็คงจะช่วยดูแล
และเป็นเพื่อนคลายเหงาได้บ้าง
แม้จะรักและห่วงใยในผู้บังเกิดเกล้าสักเพียงใด
หากภิกษุหนุ่มก็รู้สึกอึดอัดขัดข้อง
ในความเป็นมิจฉาทิฏฐิของฝ่ายนั้น
จนมิอาจอยู่ร่วมบ้านเดียวกันได้
ภิกษุหนุ่มตั้งความหวังไว้ว่า
สักวันหนึ่งบุญกุศลที่ท่านได้ก่อกอปรมา
คงจะช่วยขจัดความมืดบอดในจิตใจของบิดาให้หมดไปได้

การไปบางกอกของภิกษุตงในครั้งนี้ ถือเป็นความลับสุดยอด
บุคคลที่จะรู้เรื่องนี้ นอกจากสมภารกรอดแล้ว
ก็มีสองผัวเมียที่คุมเรือโยงอีกสองคนเท่านั้น
ท่านสมภารได้ไตร่ตรองดูอีกครั้ง
ก็คิดว่าจะไม่ให้สองผัวเมียไปส่งภิกษุตงถึงที่วัดดังที่ได้ตั้งใจไว้แต่แรก
หากจะให้ส่งแค่สะพานพุทธ
จากนั้นจึงให้ภิกษุหนุ่มหาทางไปวัดเอง
ทั้งนี้เพื่อจะได้ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่า ศิษย์ของท่านไปอยู่ที่วัดใด
ตาแป๊ะเตี๋ยวก็จะหมดโอกาสตามไปรังควานลูก
คิดดังนี้ท่านจึงพูดกับภิกษุตงว่า

“เรื่องที่จะให้เรือไปส่งเจ้าถึงวัดยานนาวานั้น ข้าเปลี่ยนใจแล้ว”

“ทำไมหรือครับ” ผู้เป็นศิษย์ถาม

“ข้าอยากให้เรื่องนี้เป็นความลับ”

“ผมก็คิดอย่างหลวงพ่อ กลัวโยมเตี่ยรู้จะตามไปอาละอาดอีก”
ภิกษุหนุ่มเห็นพ้องด้วย

“ถ้าเช่นนั้น ข้าจะให้เขาส่งเจ้าที่สะพานพุทธ
แล้วเจ้าหาทางไปวัดยานนาวาเองก็แล้วกัน
คงไม่เหลือบ่ากว่าแรงเจ้าหรอก
เพราะวัดก็ตั้งอยู่ริมน้ำเจ้าพระยานั่นเอง”

“ถ้าอย่างนั้น ผมก็คงไม่หนักใจอะไร คงถามคนเขาได้
ต้องขอขอบพระคุณหลวงพ่อเป็นอย่างสูง
ที่ให้ความเมตตาต่อผมเป็นอันมาก”

ภิกษุหนุ่มก้มลงกราบท่านสมภารอีกครั้ง
ด้วยสำนึกในบุญคุณของท่าน

“ไม่ต้องห่วงโยมเตี่ยของเจ้าหรอก
แล้วข้าจะส่งคนไปคอยสอดส่องดูแล
ตาแป๊ะเตี๋ยวแกกระดูกเหล็ก คงไม่เป็นอะไรง่ายๆ หรอก”

ผู้อาวุโสกว่าพูดเพื่อให้อีกฝ่ายคลายกังวล

“เป็นพระคุณอย่างสูงครับ ที่ผมเป็นห่วงเพราะแกตัวคนเดียว
ญาติพี่น้องก็ไม่มีเลยสักคน”
ถึงตอนนี้เสียงของภิกษุหนุ่มสั่นเครือเหมือนจะร้องไห้

“ข้าเข้าใจ บุคคลเช่นเจ้าสมกับเป็นผู้เจริญโดยแท้
ผู้มีกตัญญูกตเวทิตาธรรมเชื่อว่าเป็นผู้เจริญ
ตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้ ไฟพิษทำอันตรายไม่ได้
ขอให้จำเร็ญๆ เถิด”
ท่านอวยชัยให้พรแล้วหยุดเว้นระยะนิดหนึ่ง
เพื่อสะกดกลั้นความรันทดหดหู่ที่เกิดขึ้นในจิตใจ
จากนั้นจึงพูดกับภิกษุตงว่า

“นี่แน่ะอาตง”
ท่านเรียกผู้เป็นศิษย์แบบเดียวกับที่ตาแป๊ะเตี๋ยวเรียก

“การจากกันของเราทั้งสองในครั้งนี้ คงจะไม่มีโอกาสได้พบกันอีก”
น้ำเสียงนั้นเศร้าสร้อยจนคนฟังใจเสีย


“ทำไมหลวงพ่อพูดอย่างนั้นเล่าครับ อีกไม่นานผมก็กลับมา
รอให้เรื่องสงบลงเสียก่อน ผมจะเพียรแผ่เมตตาให้โยมเตี่ยทุกวัน
ไม่ช้าแก่ต้องใจอ่อน”
ภิกษุหนุ่มพูดอย่างเชื่อมั่น

“มันไม่ใช่อย่างนั้นน่ะซี ที่ข้าพูดว่าจะไม่ได้พบกันอีก
หมายความว่าข้าจะไม่อยู่ให้เจ้าได้พบต่างหากล่ะ”
สมภารกรอดอธิบาย


“หลวงพ่อจะไปไหนหรือครับ” ถามอย่างสงสัย

“กลับคืนสู่ธรรมชาติ ข้ามาจากที่ไหนก็จะกลับไปที่นั่น
มันเป็นสัจธรรมของชีวิต”

“หมายความว่า...” ผู้อ่อนวัยกว่ามีอาการตระหนก

“ถูกแล้ว ข้าจะละสังขาร
จำได้ไหมที่พระพุทธองค์ทรงสอนว่า...สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง...
สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์...ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา...
ตัวข้าจะละสังขารในอีกเจ็ดวันข้างหน้า” ภิกษุอาวุโสบอกกล่าว

“อีกเจ็ดวัน...อีกเจ็ดวันหลวงพ่อจะ...จะ...”

“มรณภาพ” ท่านสมภารต่อให้ ภิกษุหนุ่มยิ่งตระหนกมากขึ้น

“อย่าตกอกตกใจไปเลยอาตง เรื่องเกิด แก่ เจ็บ ตาย
เป็นของธรรมดาโลก ไม่มีผู้ใดหลีกพ้น
นี่คือ สัจธรรมของชีวิต ของสังขารธรรมทั้งหลาย”
สมภารกรอดพูดปลอบผู้เป็นศิษย์
แม้จะมีสติรู้ตัวทั่วพร้อมอยู่เสมอว่า มิได้อยู่ในเพศฆราวาส
หากภิกษุตงก็มิอาจกลั้นความโศกาดูรเอาไว้ได้
น้ำตาของท่านเอ่อล้นเต็มขอบตาทั้งสองข้าง


“อย่าร้องไห้อาตง อย่าร้องไห้”
ท่านสมภารปรามทั้งที่ท่านเองก็ต้องกลั้นไว้อย่างยากเย็น
อาศัยที่ปฏิบัติธรรมมาก่อน
จึงสามารถหักห้ามความเศร้าโศกได้สุขุมคัมภีรภาพกว่าอีกฝ่าย

“ผมยังทำใจไม่ได้ครับ” ผู้อาวุโสน้อยกว่าสารภาพ

“อาตง ผู้ปฏิบัติธรรมย่อมไม่เศร้าโศกเสียใจ เมื่อความตายมาถึง
อย่าให้เสียชื่อนักปฏิบัติเลยนะ” ท่านเตือนสติภิกษุหนุ่ม
“ตั้งสติไว้ที่ลิ้นปี่แล้วกำหนดว่า เสียใจหนอ... เสียใจหนอ...
จงพิจารณาตามหลักของเหตุผลว่า กำลังเสียใจเรื่องอะไร
หาเหตุที่มาของมันแล้วดับเหตุนั้นเสีย
เมื่อเหตุดับ ผลก็ดับ
นี่เป็นวิธีดับทุกข์ตามแนวอริยสัจ เจ้าทำได้มิใช่หรือ”


“ครับ ผมจะทำเดี๋ยวนี้”แล้วภิกษุหนุ่มจึงนั่งขัดสมาธิหลับตาสำรวมจิต
เพียงชั่วลัดนิ้วมือเดียวก็ลืมตาแล้วรายงานท่านสมภารว่า
“หลวงพ่อครับ ความเสียใจมันเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา”

“นั่นไง เห็นหรือยังล่ะ จิตที่ฝึกดีแล้วย่อมตั้งมั่นได้เร็ว
เพียงชั่วลัดนิ้วมือเดียว เจ้าก็สามารถเรียกสัมปชัญญะกลับคืนมาได้
เห็นอานิสงส์ของการฝึกสติหรือยังล่ะ”
สมภารกรอดพูดอย่างภูมิใจในผู้เป็นศิษย์

“เห็นแล้วครับ ผมเข้าใจแจ่มแจ้งเลยเทียวว่า
สุขหรือทุกข์ ดีใจหรือเสียใจ ล้วนแต่เป็นของไม่เที่ยง
คงอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ แล้วก็ปราศจากตัวตนที่เที่ยงแท้”

“ทีนี้เจ้าก็รู้เท่าทันธรรมชาติของชีวิตแล้วสินะ
ดีแล้วข้าขออนุโมทนาด้วย”


“ผมขออโหสิกรรมต่อหลวงพ่อ
กรรมใดที่ผมได้ล่วงเกินหลวงพ่อ ไม่ว่าจะเป็นกายกรรม
วจีกรรม จะด้วยเจตนาหรือไม่เจตนาก็ตาม
ขอหลวงพ่อได้โปรดอโหสิกรรมนั้นให้ผมด้วย”
ภิกษุตงก้มลงกราบที่เท้าของท่านสมภาร
พร้อมกล่าวคำขอขมาลาโทษ

“เช่นเดียวกันอาตง หากข้าล่วงเกินเจ้า
ก็ขอให้เจ้าอโหสิให้ข้าด้วย
เราจะไม่มีเวรไม่มีภัยต่อกันและกันนะ อาตงนะ”
เงียบกันไปครู่หนึ่ง ภิกษุหนุ่มก็กล่าวขึ้นว่า
“หลวงพ่อครับ ผมขอเลื่อนเวลาไปบางกอกจะได้ไหมครับ
ผมอยากจะอยู่ก่อนเพื่อจัดการเรื่อง...”

“ไม่ได้ ไม่ได้ เลื่อนไม่ได้เป็นอันขาด”
ผู้สูงวัยกว่ารีบโบกมือห้ามทั้งที่อีกฝ่ายพูดยังไม่ทันจบ
“เจ้าไปพรุ่งนี้ดีแล้ว เพราะนานๆ จึงจะมีเรือโยงล่องไปบางกอกสักที”

“ถ้าอย่างนั้น ผมก็เหมือนคนเนรคุณ
หลวงพ่อเมตตาผมมาโดยตลอด แต่ผมไม่เคยตอบแทนบุญคุณ”
น้ำเสียงที่พูดแสดงความน้อยใจ

“ทำไมจะไม่เคย การที่เจ้าปฏิบัติตนเป็นคนน่าเลื่อมใสอยู่จนทุกวันนี้
ก็ถือว่าได้ตอบแทนบุญคุณข้าแล้ว
อย่าไปคิดอะไรมาก แล้วก็ไม่ต้องห่วงซากศพของข้า
มันก็เหมือนท่อนไม้และท่อนฟืนที่หาประโยชน์อะไรมิได้
ข้าทิ้งมันแล้ว ข้าก็ไม่สนใจว่าใครเขาจะทำอะไรกับมัน”
ท่านสมภารพูดอย่างผู้ที่เข้าถึงธรรมโดยแท้

“แต่ถึงอย่างไร ผมก็ยังอยากอยู่ดูแลให้งานเรียบร้อยเสียก่อน
โปรดให้โอกาสผมได้ทดแทนบุญคุณหลวงพ่อเป็นครั้งสุดท้ายเถิดครับ”
เป็นครั้งแรกที่ผู้เป็นศิษย์แสดงอาการดื้อดึง

“อาตง ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นคนดี ความกตัญญูที่แนบเนื่องอยู่ในจิตใจ
ทำให้เจ้าอยากอยู่ทำศพข้า และข้าก็จะไม่ขัดข้องเลย
หากว่าพรุ่งนี้เตี่ยของเจ้าจะไม่มาอาละวาด
เจ้าไปบางกอกพรุ่งนี้แหละดีแล้ว
ไม่ต้องห่วงอะไรทั้งสิ้น เชื่อข้าเถอะ”

ภิกษุตงพิจารณาตามเหตุผลของท่านสมภาร แล้วก็เห็นพ้องด้วย
บิดาของท่านเป็นคนพูดจริงทำจริงมาแต่ไหนแต่ไร
วันพรุ่งนี้หากท่านไม่ไปบางกอกในตอนเช้าเสียก่อน
ตกเย็นก็ต้องพบกับเหตุการณ์เช่นวันนี้อีกเป็นแน่
“ถ้าเช่นนั้น ผมของฝากหลวงพ่อ
ช่วยกราบเรียนหลวงตาแทนผมด้วย
มันกะทันหันเสียจนผมตั้งตัวไม่ทัน”

“ข้าบอกแล้วไงว่าเรื่องนี้จะต้องเป็นความลับ
ข้าคิดว่าจะไม่เรียนให้ท่านทราบ เพราะท่านแก่มากแล้ว
เดี๋ยวจะคิดมากจนล้มเจ็บไป ก็จะเป็นบาปกับข้าและเจ้าเปล่าๆ”
สมภารกรอดชี้แจง เมื่อพูดถึงสมภารกร่าง ภิกษุตงหน้าสลดลง
ด้วยสมภารสูงอายุผู้นั้นเคยให้ความเมตตาเอ็นดูท่าน
มาตั้งแต่ก่อนบวชเณร
ทั้งยังช่วยเหลือให้ได้มาอยู่ที่วัดโบสถ์แห่งนี้อีกด้วย

“อะไรก็ไม่สำคัญเท่าเรื่องเตี่ยของเจ้า
ข้าไม่อยากเห็นแกมาอาละวาดจ้วงจาบด่าพระสงฆ์องค์เจ้า
การด่าพระบาปหนักยิ่งกว่าด่าคนธรรมดา
เพราะพระท่านเป็นผู้ทรงศีลบริสุทธิ์
ฉะนั้นการไปของเจ้าจะช่วยให้แกไม่ต้องทำบาปมากขึ้น”
แม้จะยอมจำนนต่อเหตุผลของท่านสมภาร
กระนั้นภิกษุตงก็ยังรู้สึกห่วงหน้าพะวงหลัง
ห่วงทั้งผู้บังเกิดเกล้าและผู้ให้แสงสว่างแก่ชีวิต
อันได้แก่ท่านสมภารทั้งสอง
แต่ด้วยจิตที่ฝึกดีแล้วนั้น ก็ทำให้ท่านตัดใจได้ในที่สุด


“เอาละ เจ้านอนได้แล้ว ข้าก็จะกลับไปนอนเช่นกัน
พรุ่งนี้เช้าข้าจะไปส่งเจ้าที่เรือ จะได้ฝากฝังเขาให้เรียบร้อย”

สั่งเสร็จท่านสมภารจึงเดินกลับกุฏิของท่าน
ภิกษุตงลุกตามไปส่งจนถึงหัวบันได
เห็นท่านขึ้นกุฏิเรียบร้อยจึงเดินกลับกุฏิของตน


สาธุ สาธุ สาธุ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 23 พ.ค.2007, 4:42 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน



ภิกษุตงมาอยู่บางกอกเป็นเวลาถึงเจ็ดพรรษา
ได้เรียนบาลีและปริยัติจนเชี่ยวชาญ
ด้วยความรู้และความประพฤติอันหาข้อบกพร่องมิได้
ท่านจึงเป็นพระเถระที่ได้รับการยกย่องนับถือทั้งจากอุบาสกอุบาสิกา
และจากเพื่อนบรรพชิตด้วยกัน

วันหนึ่งท่านได้ปรารภกับพระครูเชื้อ สมภารวัดยานนาวาว่า
อยากจะกลับไปอยู่ที่วัดบ้านเกิด
เพื่ออบรมสั่งสอนและเผยแพร่ความรู้ที่ได้ร่ำเรียนมา
แก่พระเณรในท้องถิ่นนั้น
ท่านพระครูฟังแล้วพลอยเห็นดีเห็นงามไปด้วย
จึงมิได้ขัดความประสงค์ของพระลูกวัด

ออกพรรษาปีนั้นภิกษุตง จึงได้เดินทางกลับมาอยู่ที่วัดโบสถ์
ซึ่งสมภารคนใหม่ก็ให้การต้อนรับอย่างดี
ด้วยคุ้นเคยกันมาก่อนที่ท่านจะไปอยู่บางกอก

วันรุ่งขึ้นภิกษุตง ได้นั่งเรือข้ามฟากไปวัดพุทธาราม
เพื่อกราบเยี่ยมสมภารกร่าง
ภาพที่เห็นเมื่อไปถึงทำให้ท่านถึงกับน้ำตาซึม

ภิกษุชรานอนอาพาธอยู่บนเสื่อเก่าๆ ผืนที่เคยใช้มานาน
ร่างนั้นผอมซีดจนเห็นแต่หนังหุ้มกระดูก
เรียกพระลูกวัดรูปหนึ่งมาสอบถามดูก็ได้ความว่า
ท่านสมภารอาพาธมาร่วมปีด้วยโรคชรา
ประกอบกับวัยกว่าเก้าสิบ ทำให้มดหมอไม่อาจเยียวยา
รักษาให้หายเป็นปกติได้ ภิกษุตงมองร่างนั้นด้วยใจรันทด
เป็นเวลาเดียวกับที่ภิกษุอาพาธลืมตาขึ้น เหมือนจะรู้ว่ามีคนมา
ภิกษุหนุ่มก้มลงกราบที่เท้าบอบบางของท่าน
แล้วพูดขึ้นว่า “ทำไมเขาถึงปล่อยให้หลวงตานอนอยู่อย่างนี้
โดยไม่มีใครมาคอยดูแลปรนนิบัติเล่าครับ”


“เจ้าหรอกหรือตง มาทันเวลาพอดี”
เสียงแหบแห้งเอ่ยทักทาย

“ทำไมไม่มีใครมาดูแลหลวงตาเล่าครับ” ผู้มาเยือนถามซ้ำ

“ข้าบอกเขาเองว่าไม่ให้มายุ่งกะข้า นี่ข้ารอวันเจ้ากลับมานะตง”
ตาฝ้าฟางจับจ้องอยู่ที่ดวงหน้าของภิกษุหนุ่ม
รูปร่างใหญ่โตหน้าตาดูมีสง่าราศีนั้น
ทำให้ท่านสบายใจขึ้น อาการเหนื่อยล้าดูเหมือนจะลดน้อยลง
เมื่อได้พบบุคคลที่ท่านรอคอยมานาน

“หลวงตาป่วยมานานเท่าไหร่แล้วครับ”

“ก็กระเสาะกระแสะมาตั้งแต่รู้ว่าเจ้าไปอยู่บางกอกนั่นแหละ
ทำไมถึงไม่บอกข้า” ถามเชิงตัดพ้อ
“เป็นความหวังดีของหลวงพ่อวัดโบสถ์
ที่ไม่อยากให้หลวงตาไม่สบายใจ หลวงตารู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ”


“ปีที่แล้วนี่เอง ไอ้เจ้าสมภารกรอดนี่มันร้ายกาจนัก
ขนาดมันตายก็ไม่ยอมให้ข้ารู้ สั่งลูกศิษย์ลูกหาไว้ไม่ให้บอกข้า”
ท่านพูดพาดพิงไปถึงศิษย์ผู้ล่วงลับ

“ท่านคงเกรงว่าจะทำความลำบากให้หลวงตากระมังครับ”
ภิกษุตงกล่าวแก้และความจริงสมภารกรอดก็มีเจตนาเช่นว่านั้น

“แต่ข้าก็รู้จนได้” ภิกษุชราแย้ง

“ครับ แต่ก็ยังดีกว่าที่หลวงตารู้ในทันที
อย่างน้อยก็ประวิงเวลามาได้ตั้งหกปี”


“เอาละ หยุดพูดเรื่องนี้กันได้แล้ว
มีเรื่องสำคัญกว่านั้นที่จะบอกให้เจ้ารู้ ตั้งใจฟังให้ดีนะ
เวลาของข้าเหลือน้อยเต็มทีแล้ว”

หยุดหายใจแรงๆ อยู่ครู่หนึ่งจึงพูดขึ้นว่า

“พรุ่งนี้เวลาตีสี่ข้าจะละสังขาร เรื่องศพของข้าไม่ต้องทำให้มันเอิกเกริก
ที่สำคัญก็คือ ให้เจ้ารักษาการณ์แทนเจ้าอาวาสไปก่อน
จนกว่าทางการเขาจะแต่งตั้งคนใหม่ขึ้นมา
ใจข้าว่าเจ้าน่ะเหมาะสมกับตำแหน่งนี้
แต่ก็ต้องแล้วแต่ทางการเขาจะเห็นสมควร”

ท่านพูดช้าหากชัดเจนทุกถ้อยคำ เพราะตั้งสติข่มทุกขเวทนาเอาไว้

“แล้วคนอื่นๆ เขาจะยอมหรือครับ
เพราะผมก็เหมือนเป็นคนใหม่ของที่นี่
อีกประการหนึ่งอายุพรรษาก็ยังน้อย เมื่อเทียบกับพระรูปอื่น”

ภิกษุตงท้วงติง

“ข้อนั้นไม่ต้องห่วง ข้าคิดว่าคงไม่มีใครรังเกียจเจ้า
จริงอยู่แม้พรรษาเจ้าจะน้อย แต่ข้อวัตรปฏิบัติของเจ้าก็เด่นกว่าคนอื่นๆ
ทั้งความรู้ด้านปริยัติเจ้าก็คงเล่าเรียนมาจากบางกอกใช่หรือไม่”


“ครับ ผมใช้เวลาเรียนเจ็ดปีเต็มๆ
จนรู้สึกว่าออกจะย่อหย่อนในด้านปฏิบัติไปบ้าง
กลับมาอยู่นี่เห็นจะต้องเร่งรัดทำความเพียรให้มากขึ้น”

“ดีแล้ว ข้าขออนุโมทนา เอาละเจ้าไปได้แล้ว
ข้าขอนอนพักสักหน่อย อ้อ ! อย่าลืมไปเยี่ยมเตี่ยเจ้าล่ะ”

พูดจบภิกษุชราจึงหลับตาลง หายใจระรัวด้วยความอ่อนเพลีย
ภิกษุหนุ่มคลี่ผ้าคลุมกายให้ท่าน
แล้วจึงลุกออกมาจากกุฏิของสมภารกร่าง
ท่านเดินไปที่ฮวงซุ้ยของมารดาซึ่งอยู่หลังวัด
ยืนสงบนิ่งอยู่หน้าฮวงซุ้ยเป็นการคารวะ
จากนั้นจึงเดินทางไปยังบ้านของบิดา


ตาแป๊ะเตี๋ยวถึงกับตะลึง
เมื่อภาพของลูกชายในกาสาวพัสตร์มาปรากฏต่อหน้า
แกขยี้ตาหลายครั้งด้วยคิดว่าฝันกลางวัน
ครั้นลูกชายเอ่ยทักจึงรู้ว่าไม่ได้ฝัน

“เจริญพร โยมเตี่ยสบายดีหรือ”
ตาแป๊ะแทบจะร้องไห้โฮด้วยความปีติ
เจ็ดปีเต็มๆ ที่แกต้องอยู่อย่างอ้างว้างและว้าเหว่
คิดว่าชาตินี้คงจะไม่ได้พบลูกอีกแล้ว
แกร้องไห้รำพันออกมาจนฟังแทบไม่ได้ศัพท์
“อาตงลื้อยังมีชีวิกอยู่เหลอ เตี่ยนึกว่า ลื้อตายตามอาอี๊ไปเลี้ยว
ลื้อใจลำกะเตี่ยเหลือเกิง ทิ้งเตี่ยไปล่าย
เสียแลงที่เตี่ยลักลื้อแต่ลื้อไม่ล่ายลักเตี่ยเลย ไม่ลักเตี่ยเลย”
ฟังคำรำพันของบิดา ภิกษุตงถึงกับนิ่งงัน
หากมิได้อยู่ในเพศบรรพชิต ก็คงจะเข้าไปกราบแทบเท้าของบิดา
เพื่อขอลุแก่โทษ รู้ตัวเหมือนกันว่าออกจะโหดร้าย
ต่อผู้บังเกิดเกล้าไปสักหน่อยที่หลบลี้หนีหน้าไปนานถึงปานนั้น
บิดาคงจะมีความทุกข์มาก
เพราะดูเปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคนกับเมื่อก่อน
เคราดำที่ยาวลงมาถึงราวนมเปลี่ยนมาเป็นสีเทา
ร่างที่เคยแข็งแรงบึกบึนกลับดูร่วงโรย
หลังงองุ้มเนื่องจากหาบของหนักทุกวี่วัน
แทบไม่น่าเป็นไปได้ว่าเวลาเจ็ดปี
ได้เปลี่ยนแปลงสังขารของบิดาได้มากมายถึงปานนี้

“โยมเตี่ยสบายดีหรือ”
ท่านถามอีกด้วยไม่รู้จะพูดอะไรให้ดีไปกว่านี้

“เออ ซาบายลี ซาบายชิกหาย อาตงนะอาตง
อั๊วะเสียใจที่มีลูกไม่ลักลีอย่างลื้อ
นี่ถ้าอาอี๊ลื้อไม่ตายอั๊วะคงมีลูกลีๆ ไว้ใช้มั่ง ลื้อมังลูกลียำ”

หายตื่นเต้นแล้วตาแป๊ะก็เปิดฉากด่า
ทั้งรักทั้งแค้นแน่นอกจนต้องระบายออกมาด้วยการด่า ด่าเสียให้หายแค้น

“โยมเตี่ย ด่าพระด่าเจ้าบาปกรรมนะ”
ลูกชายเตือน

“บาปยังไงอั๊วะหล่าลูกอั๊วะ ลูกอั๊วะมังลียำชิกหาย
ให้มังช่วยหากิงมังก็หนีไปบวก อั๊วะอูส่าห์ตั้งชื่อมังว่าตง
ไม่นึกว่ามังจากายเป็นเฮงซวยไปล่ายไอ้ลูกเฮงซวย”

ผู้เป็นพ่อด่าไม่ลดละ

“ถ้าอย่างนั้นอาตมากลับละนะ
ขืนอยู่นานไปจะทำให้โยมเตี่ยบาปมากกว่านี้”

ท่านลุกขึ้นเตรียมตัวจะกลับ คราวนี้ตาแป๊ะเสียงอ่อนลง พูดกับลูกว่า

“อาตงลื้อจาไม่ยอมสึกมาช่วยเตี่ยขายหมูจิงๆ เหลอ”

“เรื่องนี้อาตมาพูดกับโยมเตี่ยมามากพอแล้ว
เมื่อไหร่โยมเตี่ยจะยอมรับอะไรๆ เสียทีนะ”

ภิกษุตงพูดอย่างท้อแท้ แทบจะหมดกำลังใจในความดื้อรั้นของบิดา

“พูกลีก็เลี้ยว พูกล้ายก็เลี้ยวยังไม่ยอมสึก ไอ้ลูกชิกหาย
ลีแต่หน้าล่านเที่ยวขอทางเค้ากิง
ลื้อไม่คิกจาทำมาหากิงมั่งลึไง จาขอทางเค้ากิงตาหลอกชีวิกเหลอ”

เมื่อไม่ได้ดังใจตะแป๊ะก็โวยวายลั่น

“อาตมาไม่โต้เถียงกับโยมเตี่ยดีกว่า
เพราะถึงชนะก็เป็นชัยชนะที่ว่างเปล่า
อาตมาขอบอกด้วยความหวังดีเป็นครั้งสุดท้ายว่า
ที่อาตมาไม่สึก ก็เพราะต้องการจะช่วยโยมเตี่ย”

แล้วท่านก็หันหลังเดินกลับวัดพุทธาราม
ตาแป๊ะทั้งด่าทั้งร้องไห้ฮือๆ เหมือนคนเสียสติ
ภิกษุผู้เป็นบุตรรับรู้ด้วยความสังเวชใจยิ่งนัก

ตอนตีสี่ของวันรุ่งขึ้น ท่านสมภารก็มรณภาพดังที่ได้ลั่นวาจาไว้
ภิกษุตงอยู่ปรนนิบัติดูแลอาการของท่านตลอดคืน
กระทั่งถึงเวลาที่ท่านจากไปอย่างสงบ
หลังจากสวดพระอภิธรรมครบเจ็ดวันตามประเพณีนิยมแล้ว
ก็มีพิธีบรรจุศพเพื่อรอการฌาปนกิจ
ต่อเมื่อครบร้อยวันนับตั้งแต่วันที่ท่านมรณภาพ
ภิกษุตงได้เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการจัดงาน
และท่านก็ตั้งใจทำอย่างดีที่สุด
เพื่อเป็นการตอบแทนบุญคุณของท่านสมภารเป็นครั้งสุดท้าย
หลังจากการฌาปนกิจเสร็จสิ้นลงแล้ว
บรรดาพระลูกวัดก็ได้นิมนต์ให้ท่านมาจำพรรษาอยู่ที่วัดพุทธาราม
ในฐานะผู้รักษาการณ์แทนเจ้าอาวาส
ดังที่ท่านสมภารได้สั่งไว้ก่อนมรณภาพ
สมภารหนุ่มได้ปกครองพระลูกวัดด้วยความยุติธรรม
และเปี่ยมด้วยเมตตา จนเป็นที่รักใคร่นับถือของพระเณรทั้งวัด
ปีต่อมาท่านก็ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาส
อย่างเป็นทางการ นับเป็นเจ้าอาวาสที่อายุน้อยที่สุดในสมัยนั้น


สาธุ สาธุ สาธุ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 23 พ.ค.2007, 4:52 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน



วันหนึ่งเป็นวันเข้าพรรษา
นายอำเภอกับลูกสาวมาทำบุญที่วัด

นายอำเภอผู้นี้ท่านเป็นคนใจบุญสุนทาน
เพิ่งย้ายมาจากอำเภอทางภาคเหนือ
ภรรยาของท่านเสียชีวิตตั้งแต่ลูกสาวอายุได้ ๓ ขวบ
ความรักที่ท่านมีต่อภรรยา
ประกอบกับความห่วงใยในบุตรสาวคนเดียว
ทำให้ท่านไม่มีภรรยาใหม่
สู้อุตส่าห์เลี้ยงดูบุตรน้อยแต่เพียงผู้เดียว
กระทั่งลูกโตเป็นสาว
สายทองลูกสาวนายอำเภอนั้นมีเค้าสวยมาแต่เด็ก
ครั้นย่างเข้าสู่วัยที่กำลังสดชื่นเปล่งปลั่ง
ความสวยงามของหล่อนก็เบ่งบานเต็มที่
เสียงกล่าวขานเรื่องความงามของหล่อนขจรขจายไปทั่วทิศ
ผู้ที่ได้พานพบต่างก็เห็นพ้องต้องกันว่า
หล่อนช่างงามสมคำร่ำลือ


สมภารหนุ่มถึงกับตะลึงงัน
เมื่อนายอำเภอพาลูกสาวเข้าไปประเคนภัตตาหาร
กามเทพได้แผลงศรรักมาปักกลางใจของท่านเข้าแล้ว
ท่านงกเงิ่นจนทำอะไรไม่ถูก
มือที่ถือผ้ารับประเคนสั่นไหวด้วยความประหม่า
ข้างฝ่ายสาวงามนามสายทองนั้นเล่า
ก็เกิดอาการประหม่าไม่แพ้กัน

ด้วยสายตาคมกริบของสมภารหนุ่มที่จ้องมองมายังหล่อนนั้น
ก่อให้เกิดความรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ สลับกัน
เคยถูกเมียงมองด้วยสายตาเช่นนี้มาก่อนนับครั้งไม่ถ้วน
หากก็ไม่เคยมีความรู้สึกเช่นนี้ หรือว่าจะเป็นเทพอุ้มสม
หญิงสาวพยายามสลัดความคิดแปลกประหลาดนี้ออกไป
ด้วยเกรงจะเป็นบาปเป็นกรรมที่คิดอกุศลกับพระกับเจ้า

กิริยาของสมภารหนุ่มกับสีกาสาว
มิได้รอดพ้นสายตาของนายอำเภอไปได้
อาศัยที่เคยอาบน้ำร้อนมาก่อน
ท่านจึงเข้าใจความรู้สึกของคนทั้งคู่ได้ดี
นึกพึงใจในสมภารหนุ่มและคงจะไม่รังเกียจ
หากฝ่ายนั้นจะสึกหาลาเพศมาสมัครเป็นเขย
ท่านคิดอย่างคนใจบุญใจกุศลว่า
หากบุตรสาวได้แต่งงานกับคนที่เคยบวชเรียนมาแล้ว
ชีวิตก็คงจะราบรื่นอยู่เย็นเป็นสุขไปจนตลอดอายุขัย


“ลูกสาวของผมเองครับ ชื่อสายทอง”
ท่านแนะนำเมื่อสมภารหนุ่มมองบุตรสาวแทบไม่วางตา
“เจริญพร แล้วคุณนายไม่มาด้วยหรือ”
ถามแก้เก้อไปอย่างนั้นเอง

“ภรรยาผมเสียชีวิตตั้งแต่ลูกสายทองยังเล็กๆ
และผมก็ไม่ได้แต่งงานอีกครับ””

นายอำเภออธิบาย สีหน้าสลดลงเมื่อเอ่ยถึงภรรยาผู้ล่วงลับ

“อย่างนั้นหรอกหรือ อาตมาขอแสดงความเสียใจด้วย
ตัวอาตมาเองก็เป็นลูกกำพร้า
โยมมารดาเสียชีวิตตั้งแต่อาตมาอายุได้สิบขวบ”

ท่านเปิดเผยเรื่องราวของตัวเองบ้าง
อย่างน้อยก็เพื่อปลอบใจหญิงสาวว่า
มิใช่แต่หล่อนดอกที่กำพร้ามารดา
หากยังมีท่านอีกผู้หนึ่งที่ตกอยู่ในสภาพเดียวกัน
คุยกันได้ไม่กี่ประโยคก็ได้เวลาฉันภัตตาหาร
ซึ่งแม้ว่ามีอาหารคาวหวานมากมาย เพราะเป็นวันเข้าพรรษา
หากสมภารหนุ่มกลับฉันไม่ใคร่ลง
ดูมันขัดเขินขวยอายอย่างไรพิกล
ท่านรอจนพระรูปอื่นฉันเสร็จแล้ว จึงยถาสัพพีพร้อมกัน
รับพรจากพระแล้วนายอำเภอและลูกสาว
ก็กราบลาท่านสมภารเพื่อกลับบ้าน
เมื่อสองพ่อลูกลุกออกไป
สมภารหนุ่มรู้สึกว่าหัวใจของท่านมิได้อยู่กับตัวอีกต่อไป
หากมันได้หลุดลอยตามสตรีที่ชื่อสายทองไปเสียแล้ว


ตกกลางคืนภิกษุตงมิเป็นอันได้ทำอะไร
ด้วยจิตใจมัวพะวักพะวนถึงแต่สาวงามนามสายทองผู้นั้น
เพื่อขจัดอกุศลธรรมที่ขึ้นในจิตใจ
ท่านจึงเริ่มเดินจงกรมและนั่งสมาธิ
แต่ไม่ว่าจะใช้ความพยายามในการเดินหรือนั่งอย่างไร
ก็มิอาจทำให้จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิได้เลย
ทั้งนี้เพราะกามฉันทนิวรณ์ได้คุกคามท่านอย่างหนัก
จนท่านมิอาจประคองจิตให้ตั้งอยู่ในกุศลธรรมได้
ใบหน้างามผุดผ่องของสีกาผู้นั้น
ลอยมาวนเวียนอยู่ในห้องสำนึก
ทั้งท่านก็พึงพอใจที่จะเพ่งพิศจนมิอาจข่มหรือระงับได้
ในที่สุดท่านจึงตัดสินใจที่จะลาสิกขา
โยมบิดาคงดีใจไม่น้อย หากได้รับรู้การตัดสินใจของท่านในครั้งนี้


นับเป็นเรื่องธรรมดาของบุคคลที่ยังติดข้องอยู่โลกียวิสัย
ที่มิอาจละกามคุณห้าคือ รูป รส กลิ่น เสียง และสัมผัสได้
แม้พระอริยบุคคลระดับต้น เช่นพระโสดาบันและพระสกิทาคามี
ก็ยังละกามคุณห้าไม่ได้ ก็แล้วประสาอะไรกับพระหนุ่มอย่างท่าน
ซึ่งแม้จะปฏิบัติได้ก้าวไกล
หากก็ยังไม่ถึงขั้นเป็นพระอริยบุคคลด้วย
มิใช่เรื่องที่จะทำให้ได้โดยง่าย


อย่างไรก็ตามท่านได้ตั้งปณิธานไว้แน่วแน่ว่า
แม้จะหันไปถือเพศฆราวาส
แต่ก็จะยังคงปฏิบัติธรรมต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง
และหากบุญบารมีที่สะสมไว้มีมากพอ
ก็คงจะมีโอกาสได้บรรลุเป็นพระอริยบุคคลระดับต้นในปัจจุบันชาตินี้
ท่านจะตั้งตนอยู่ในศีลในธรรม
จะทำชีวิตให้สมบูรณ์แบบที่สุดสมกับคำกล่าวที่ว่า
“ทางโลกก็ไม่ให้ช้ำ ทางธรรมก็ไม่ให้เสื่อม”
ตัดสินใจดังนี้แล้ว จึงหยิบกระดาษดินสอขึ้นมาเขียนหนังสือ
พรุ่งนี้เช้าจะให้ลูกศิษย์ถือไปให้สาวสายทอง


เช้าวันรุ่งขึ้น นางสาวสายทองก็ได้รับสารรักจากสมภารหนุ่ม
เด็กที่ถือมาได้บอกหล่อนว่า
ท่านสมภารให้รอรับหนังสือตอบกลับไปด้วย
เพราะท่านอยากรู้คำตอบในวันนี้
หญิงสาวเปิดออกอ่านด้วยความฉงน
เดาเรื่องไม่ออกว่าท่านสมภารจะมีธุระปะปังอะไรกับตน

“เจริญพรสีกา...คงมิเป็นการสมควรเท่าใดนัก
ที่อาตมภาพซึ่งเป็นบรรพชิตจะเขียนหนังสือฉบับนี้ถึงสีกา
อาตมภาพได้ใคร่ครวญไตร่ตรองอย่างรอบคอบแล้ว
จึงได้ตัดสินใจเขียนมาตามความเรียกร้องของหัวใจ
ออกพรรษานี้อาตมภาพจะลาสิกข
าและจะจัดผู้ใหญ่มาสู่ขอสีกาต่อท่านนายอำเภอ
สีกามีความเห็นเป็นประการใด
โปรดแจ้งให้อาตมภาพได้รับรู้ด้วย
และหากสีกาไม่มีไมตรีตอบ
อาตมภาพก็จะขอบวชอยู่อย่างนี้ไปจนตลอดชีวิต
ท้ายที่สุดนี้ อาตมภาพขออวยพรให้สีกาและท่านนายอำเภอ
จงมีความสุขความเจริญตลอดกาลนานเทอญ
ขอเจริญพร...จาก ภิกษุตง ปิยสีโล”


ลายมือของท่านสมภารสวยงามและเป็นระเบียบ
ทั้งข้อความที่เขียนมา
ก็ทำให้เลือดในกายของหล่อนฉีดแรงด้วยความปีติ
หญิงสาวจึงมิรังเกียจที่จะอ่านซ้ำไปซ้ำมาอยู่ถึงสามเที่ยว
กระทั่งศิษย์วัดผู้นำข่าวดีมาให้ต้องเตือนขึ้นว่า
“ท่านสมภารสั่งผมให้รอเอาหนังสือตอบไปด้วยครับ”

“ถ้าอย่างนั้นหนูรอเดี๋ยวนะจ๊ะ น้าจะต้องเข้าไปเขียนก่อน”

พูดจบก็หายเข้าไปข้างใน
ประเดี๋ยวหนึ่งก็ออกมาพร้อมขนมแป้งสิบหนึ่งจาน
กับน้ำฝนใสสะอาดหนึ่งขัน

“หนูทานขนมไปพลางก่อนนะ”
แล้วหล่อนก็กลับเข้าไปข้างในอีกครั้ง ปล่อยให้เด็กชาย
ได้มีโอกาสจัดการกับขนมรสโอชานั้นอย่างเพลิดเพลิน


สาธุ สาธุ สาธุ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 23 พ.ค.2007, 5:20 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน



ทันทีทีศิษย์วัดนำซองสีฟ้ามาให้
สมภารตงรีบฉีกออกอ่านอย่างรีบร้อน
ปกติท่านเป็นคนใจเย็น
แต่รักแรกพบเปลี่ยนท่านให้กลายเป็นคนใจร้อนไปเสียได้


“นมัสการท่านพระคุณเจ้าที่เคารพอย่างสูง
ดิฉันได้อ่านหนังสือของพระคุณเจ้าแล้ว
ก็ให้กระอักกระอ่วนใจมิรู้ที่จะตอบอย่างไร จึงจะเป็นการสมควร
ดิฉันมิประสงค์จะให้คนเขาติฉินนินทาว่าเป็นสีกามาสึกพระ
กลับบาปกลัวกรรมเจ้าค่ะ
สำหรับเรื่องนั้นอยากให้พระคุณเจ้ามาพูดกับคุณพ่อ
หลังจากสึกออกมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ดิฉันมิอาจจะตัดสินใจโดยพลการ
จึงขอให้เป็นเรื่องของบิดาที่จะพิจารณาว่าสมควรหรือไม่อย่างไร
หากพระคุณเจ้ากับดิฉันเคยอุปถัมภ์ค้ำชู้กันมาแต่ชาติปางก่อน
ก็คงจะเป็นไปตามประสงค์ของพระคุณเจ้า
ขอจบเพียงนี้นะเจ้าคะ...
นมัสการมาด้วยความเคารพอย่างสูง จาก นางสาวสายทอง ฤทธิ...”


อ่านจบสมภารหนุ่มให้ปีตินัก
ด้วยถ้อยความในหนังสือนั้นบ่งบอกเป็นความนัยว่า
สาวสายทองมิได้รังเกียจท่าน
บิดาหล่อนคงไม่ขัดข้องหากท่านไปสู่ขอ
เพราะถึงฝ่ายนั้นจะเรียกค่าสินสอดสักร้อยชั่งพันชั่ง
ท่านก็ไม่เดือดร้อน
ด้วยรู้ว่าโยมบิดามีเงินเป็นปี๊บๆ แอบฝังไว้ใต้ดิน
กล่าวกันว่า คนที่กำลังมีความรักมักตาบอด ภิกษุตงก็เป็นเช่นนั้น
แต่ก่อนแต่ไรท่านไม่เคยยินดียินร้ายกับทรัพย์สินเงินทองที่บิดามีอยู่
ด้วยรังเกียจว่ามันสกปรก
เพราะได้มาจากการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตอันถือเป็นมิจฉาอาชีวะ
แต่บัดนี้...ยามมีความรัก
ท่านกลับมองเป็นคุณค่าอันมหาศาลของมัน
ปรารถนาที่จะใช้มันเป็นสะพานทอดไปสู่ความสุขสมหวังในรัก
ลืมเสียสิ้นว่าครั้งหนึ่งท่านเคยรังเกียจเดียดฉันท์มันเสียนัก
ความปรารถนาในกามคุณ ๕
ได้เข้าครอบงำดวงจิตของท่านเสียแล้ว...


อารามดีใจสมภารหนุ่มจึงเดินไปยังบ้านของบิดาเพื่อแจ้งข่าวดี
ผู้บังเกิดเกล้าจะได้สมหวังในตัวท่านเสียที
เพราะอยากให้สึกมานานแล้ว
แต่สำหรับเรื่องฆ่าหมูขาย ท่านยอมรับไม่ได้
เรื่องนี้ค่อยพูดกับบิดาในภายหลัง

“เจริญพรโยมเตี่ย อาตมามีข่าวดีจะแจ้งให้ทราบ”
ท่านบอกบิดาทันทีที่ไปถึง

“ข่าวลีห่าเหวอาลายอั๊วะไม่อยากฟังทั้งนั้ง
ลื้อมังลูกเฮงซวย พาอั๊วะชิกหายหมก”
ตาแป๊ะเตี๋ยวกำลังอารมณ์เสีย
เพราะสินค้าเหลือเบะบานกลับมาบ้าน
เป็นอย่างนี้ติดๆ กันมาห้าวันเข้านี่แล้ว

“ข่าวดีจริงๆ นะ โยมเตี่ยฟังอาตมาก่อนซี
อาตมาจะสึกมาอยู่กับโยมเตี่ยแล้ว”

พระลูกชายไม่รู้สึกหงุดหงิดกับคำด่าทอนั้น
อยากจะคิดว่าเป็นเสียงจากสวรรค์เสียด้วยซ้ำไป
ยามมีความรักอะไรๆ ก็ดูดีไปหมด

“หา...ลื้อว่าอาลายนะ”
ตาแป๊ะเตี๋ยวถามเสียงดังด้วยคิดว่าหูแกเฝื่อนไป

“อาตมาจะสึกมาช่วยโยมเตี่ยประกอบอาชีพ”
สมภารตงย้ำ หากไม่บอกว่าอาชีพที่ว่านั้น
จะต้องไม่ใช่การฆ่าหมูขาย

“เกิกบ้าอาลายขึ้งมาล่ะ หลือว่าขอทางเค้ากิงมังฝืดเคือง”
ทั้งที่ดีใจแต่ยังไม่วายพูดถากถาง

“โยมเตี่ยพูดยังกับไม่อยากให้อาตมาสึก”
คราวนี้ลูกชายแสร้างตัดพ้อ

“ทำมายลื้อจาสึกล่ะ”
ผู้เป็นพ่อถามอย่างเป็นงานเป็นการ

“อาตมาจะแต่งงาน โยมเตี่ยต้องไปขอเขาให้อาตมาด้วยนะ”
ดวงตาเป็นประกายวาววับเมื่อพูดเรื่องแต่งงาน

“ขอคาย อีเป็งลูกเต้าเหล่าคาย”
ถามอย่างยินดี ลูกชายจะแต่งงาน
นั้นหมายความว่า ไม่ช้าแกจะได้อุ้มหลาน
คิดว่าชาตินี้ทั้งชาติจะไม่มีโอกาสเป็น “อากง” เสียแล้ว

“ลูกสาวนายอำเภอ สวยอย่าบอกใครจริงๆ นะโยมเตี่ย”
บอกย่างภาคภูมิ

“แล้วลื้อมาบอกอั๊วะทำมาย”
บิดาเริ่มมีอารมณ์ขัน โลกไม่ได้โหดร้ายต่อแก่อย่างที่คิด

“ก็บอกโยมเตี่ยคนเดียวแหละ โยมเตี่ยอย่าไปบอกใครอีกก็แล้วกัน”
ลูกชายต่อปากต่อคำ นานหนักหนาแล้วที่อารมณ์ขัน
หายไปจากชีวิตของผู้บังเกิดเกล้า
เห็นบิดามีความสุขท่านก็พลอยยินดีด้วย

“แล้วอีจายอมแต่งงานกะลื้อเหลอ อีเป็งตั้งลูกเจ้าเมือง”
ตาแป๊ะชักเป็นห่วงลูกชาย

“แหม...โยมเตี่ยอย่างเพิ่งเลื่อนตำแหน่งให้เขาซี
เขาเป็นลูกนายอำเภอยังไม่ถึงเจ้าเมือง”

ลูกชายรีบชี้แจง

“ไอ๊หยา...ทีนี้อั๊วะก็เลิกขายหมูล่ายเลี้ยวซี
มีลูกตาใภ้เป็งตั้งลูกนายอังเภอ”
ตาแป๊ะอุทานอย่างยินดี แกถือโอกาสละทิฐิ
ความจริงก็คิดจะเลิกขายมานานแล้ว
เพราะหมู่นี้ขายไม่ดีเอาเสียเลย
แกมิรู้ดอกว่านั่นเป็นด้วยอำนาจบุญกุศล
ที่ลูกชายแผ่เมตตาให้ทุกวัน
สมภารตกได้ยินเช่นนั้นก็ปีติเป็นทวีคูณ
สิ่งที่ท่านตั้งความหวังเอาไว้
ตั้งแต่ครั้งเป็นสามเณรได้บรรลุจุดมุ่งหมายแล้วในวันนี้


สาธุ สาธุสาธุ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 23 พ.ค.2007, 5:35 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

๑๐

ก่อนออกพรรษาเพียงสามวัน
ตาแป๊ะเตี๋ยวก็ถูกฆ่าตายอย่างอเนจอนาถ
สันนิษฐานว่าพวกโจรคงรู้ระแคะระคาย
เรื่องที่แกซ่อนเงินไว้ใต้ดิน จึงพากันมาปล้น

คืนนั้นตอนตีสองตาแป๊ะตื่นขึ้นปฏิบัติภารกิจดังเช่นเคย
ขณะที่แกใช้มีดเล่มยาวแทงคอหมู
พวกโจรก็จู่โจมเข้าถึงตัวและบังคับให้แกบอกที่ซ่อนเงิน
นอกจากไม่ยอมบอกแล้วตาแป๊ะยังพยายามต่อสู้
โดยใช้มีดปลายแหลมแทงโจรคนหนึ่งถึงแก่ความตาย
หัวหน้าโจรโกรธจัดสั่งให้ลูกน้องช่วยกันจับแกไว้
ใช้มีดเล่มเดียวกันนั้นแทงคอหอยแกจนทะลุ

ก่อนสิ้นใจตาแป๊ะส่งเสียงร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวด
แวบหนึ่งแกนึกถึงบรรดาหมูที่แกเคยฆ่า
และดูเหมือนพวกมันพากันมาส่งเสียงเยาะเย้ยอยู่รอบๆ ตัวแก
ภาพและเสียงเหล่านั้น เพิ่มความเจ็บปวดให้แกเป็นทวีคูณ
แกดิ้นทุรนทุรายอยู่พักใหญ่ๆ จึงสิ้นใจ


เสียงร้องของตาแป๊ะปลุกชาวบ้านแถบนั้นให้ตื่น
และพากันมายังบ้านของแก โดยถือคบไต้เป็นไฟส่องทาง
พวกโจรพากันหนีไปก่อนที่ชาวบ้านจะมาถึง
เมื่อเห็นว่าได้เกิดอะไรขึ้นกับตาแป๊ะ
ใครคนหนึ่งจึงออกความเห็นให้ไปตามสมภารตง
อึดใจใหญ่ๆ สมภารหนุ่มก็มาถึง
สภาพศพของบิดา ทำให้ท่านต้องหลั่งน้ำตามากกว่าครั้งใดๆ ในชีวิต
ไม่มีแก่ใจที่จะตั้งสติกำหนดรู้ถึงความเสียใจ
ดังที่สมภารกรอดเคยสอนเอาไว้
รู้ในทันทีว่ากรรมได้ตามสนองบิดาตั้งแต่ในชาตินี้
ท่านหมดโอกาสที่จะเลี้ยงดูผู้บังเกิดเกล้าให้เป็นสุขดังที่ได้ตั้งใจเอาไว้
ด้วยมาเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันเช่นนี้ขึ้นเสียก่อน


งานศพของตาแป๊ะถูกจัดขึ้นอย่างดีที่สุด
เท่าที่สมภารหนุ่มจะทำให้ผู้บังเกิดเกล้าได้
ท่านคิดว่าจะได้เป็นการทดแทนบุญคุณบิดาเป็นครั้งสุดท้าย


การสวดพระอภิธรรมศพในคืนแรกผ่านไปด้วยดี
ตะเกียงเจ้าพายุหลายดวงถูกจุดขึ้นจนสว่างไสวไปทั่วทั้งวัด
ชาวบ้านมาร่วมฟังสวดกันคับคั่งด้วยความเคารพนับถือสมภารตง
นายอำเภอกับลูกสาวก็มาร่วมงานด้วย

หลังสวดศพคืนนั้น สมภารหนุ่มใช้เวลาปฏิบัติ
วิปัสสนากรรมฐานนานกว่าทุกวัน
ท่านแผ่เมตตาอุทิศส่วนกุศลไปให้บิดา
ซึ่งท่านเชื่อว่าจะต้องไปเกิดในทุคติอย่างแน่นอน
ตามกรรมที่ได้ทำเอาไว้


ตกคืนที่สอง ขณะที่พระสี่รูปกำลังเริ่มจะสวด
โดยมีสมภารตงและพระรูปอื่นๆ นั่งฟังอยู่แถวหน้า
ถัดไปเป็นนายอำเภอกับลูกสาวและพวกชาวบ้าน
เสียงกุกกักดังมาจากโลงศพ
เป็นเหตุให้พวกคนขวัญอ่อนมองหน้ากันเลิกลั่ก
เพราะคิดว่าผีตาแป๊ะเตี๋ยวคงสำแดงฤทธิ์
ด้วยเชื่อกันว่า ผีตายโหงนั้นดุอย่าบอกใคร


เสียงกุกกักดังขึ้นอีก คราวนี้ชัดเจนกว่าครั้งแรก
หลายคนลุกยืนขึ้น เตรียมพร้อมที่จะวิ่งหากมีอะไรเกิดขึ้น

“ลองปีนขึ้นไปดูซิ เผื่อหนูหรือแมวมันตกลงไปในนั้นแล้วขึ้นไม่ได้”
สมภารหนุ่มสั่งพระลูกวัดรูปที่นั่งติดกับท่าน
พระรูปนั้นทำท่าลังเล เพราะเป็นคนกลัวผี
จึงกระซิบรูปที่นั่งถัดจากตนให้ทำแทน
พระหนุ่มอีกรูปหนึ่ง จึงปีนขึ้นไปยังที่ตั้งโลงศพ
ยกฝาโลงออกแล้วมองลงไป

ภายใต้แสงสว่างจากตะเกียงเจ้าพายุ
ทำให้ท่านมองเห็นว่า ผู้ตายกำลังใช้ข้อศอกกระทุ้งฝาโลง
ด้วยความลำบาก เพราะมือทั้งสองยังอยู่ในท่าประนมไว้หว่างอก
มีผ้าตราสังข์และด้ายสายสิญจน์มัดไว้อย่างแน่นหนา
ลองจับชีพจรดูเห็นยังเต้นอยู่
ทั้งตัวก็ยังอุ่นๆ จึงแกะเทียนสีเหลือง
ที่ทำเป็นเบ้าปิดลูกตาทั้งสองข้างออก
เห็นตาแป๊ะลืมตาโพลงทำหากขมุบขมิบ
จึงตะโกนลงไปว่า “คนตายฟื้นแล้ว คนตายฟื้นแล้ว”
สมภารตงรีบลุกจากอาสนะปีนขึ้นไปดูบ้าง
ครั้นเห็นจริงตามที่พระรูปนั้นบอก
จึงสั่งให้คนมาช่วยกันยกโลงลงมาข้างล่าง
แล้วจึงช่วยกันหามตาแป๊ะออกมาวางบนเสื่อ
แก้มัดผ้าตราสังข์และด้ายสายสิญจน์ออกจากมือ
ตาแป๊ะมีท่าทางอิดโรยและหวาดกลัว
กลอกตามองหน้าคนโน้นทีคนนี้ที
แล้วมาหยุดนิ่งอยู่ที่ดวงหน้าของพระลูกชาย
พยายามจะพูดอะไรด้วย
ทว่าไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากซีดเซียวคู่นั้น

นายอำเภอออกคำสั่งเมื่อเห็นท่าทางอ่อนระโหยโรยแรงของตาแป๊ะ
นางสาวสายทองนั่งสงบเสงี่ยมอยู่ข้างบิดา
มิได้แสดงอาการหวาดกลัวเช่นคนอื่นๆ
โชคดีที่แพทย์ประจำตำบลก็มาร่วมฟังสวดด้วย
เขาขอตัวกลับไปเอาล่วมยาที่บ้านซึ่งอยู่หน้าวัด
อึดใจหนึ่งก็มาถึง ตรวจหัวใจตะแป๊ะด้วยเครื่องหูฟังแล้วพูดขึ้นว่า
“หัวใจเต้นอ่อนมาก เดี๋ยวผมจะฉีดยาบำรุงหัวใจให้หนึ่งเข็ม
อาการคงจะดีขึ้น”

แล้วเขาก็จัดการฉีดยาให้ตาแป๊ะอย่างชำนิชำนาญ
นางสาวสายทองลุกขึ้นเดินไปที่โรงครัวซึ่งอยูทางปีกซ้ายของศาลา
สักครู่หนึ่งจึงกลับเข้ามาพร้อมข้าวต้มร้อนๆ
บรรจุอยู่ในชามใบเขื่อง
หล่อนใช้ช้อนคนข้าวต้มในชามให้เย็นลง
แล้วจึงป้อนใส่ปากตาแป๊ะ ซึ่งฝ่ายนั้นก็กินอย่างหิวโหย


สาธุ สาธุ สาธุ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 23 พ.ค.2007, 5:48 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

๑๑

เมื่ออิ่มหมีพีมันดีแล้ว
ตาแป๊ะเตี๋ยวจึงบอกให้คนช่วยพยุงนั่ง
มองหน้าพระลูกชายแล้วพูดว่า “ท่านตง ท่านต้องช่วยเตี่ยนะ”
สมภารตงรู้สึกแปลกใจที่บิดาเรียกตนว่า “ท่านตง”
แทนที่จะเป็น “อาตง” อย่างแต่ก่อน
รีบตอบบิดาว่า “ช่วยสิ อาตมาจะช่วยโยมเตี่ยทุกอย่างให้บอกมาเถอะ”


“ถ้าท่างตงจาช่วยเตี่ยจิงจาต้องไม่สึกนะ
ต้องบวกอยู่อย่างนี้จงตาหลอกชีวิก ลับปากกับเตี่ยซี่ว่าท่างจาไม่สึก”

แกขอคำมั่นสัญญา

“บวชตลอดชีวิต...นี่อาตมาไม่ได้ฟังผิดไปนะ
โยมเตี่ยจะให้อาตมาบวชตลอดชีวิตจริงหรือ”

ท่านถามอย่างไม่แน่ใจ

“ถูกเลี้ยวท่านตง ถ้าเห็งแก่เตี่ยท่างต้องบวกตาหลอกชีวิก”
ถ้อยคำของบิดาทำให้สมภารตงรู้สึกสับสน
ท่านคิดในใจว่า เอ...โยมเตี่ยนี่เป็นยังไงนะ
ตอนเราขอบวชก็ไม่ยอมให้บวช
ครั้นเราจะสึกกลับมาขอร้องไม่ให้สึกเสียอีก พิกลจริงๆ”

เห็นลูกชายเงียบไปตาแป๊ะจึงย้ำอีกว่า
“อย่าสึกนะ ท่างตงต้องช่วยเตี่ยนะ
เตี่ยจาเล่าให้ฟัง เหลียวนี้ว่าเตียไปเจออาลายมา”

แล้วแกก็ตั้งต้นเล่าท่ามกลางผู้คนซึ่งต่างก็ตั้งใจฟังด้วยความสนใจ

ตาแป๊ะเตี๋ยวเล่าว่า ตอนที่แกถูกมีดปลายแหลมแทงคอนั้น
แกปวดเจ็บมากแล้วก็เห็นบรรดาหมูที่แกเคยฆ่า
มาลอยวนเวียนอยู่ตรงหน้า พวกมันพากันมาเยาะเย้ยแก
มีเสียง “สมน้ำหน้า สมน้ำหน้า” ดังก้องอยู่ริมหู
แกดิ้นทุรนทุรายอยู่พักหนึ่ง
ความรู้สึกก็ดับวูบลง เพราะวิญญาณออกจากร่าง
แกเห็นตัวเองนอนแผ่หราอยู่ข้างเล้าหมู หน้าตาบิดเบี้ยวเหยเก
ที่คอมีมีดปลายแหลมเสียบอยู่
แกดูอยู่อย่างนั้นกระทั่งชาวบ้านมาถึง
แล้วมีคนไปตามพระลูกชายมา
แกพยายามจะปลอบสมภารตงไม่ให้ร้องไห้
แต่ฝ่ายนั้นไม่ได้ยินเพราะอยู่คนละภพภูมิกัน
สักครู่ก็มีชายฉกรรจ์ร่างกำยำสองคน
มีผ้าแดงคาดที่ศีรษะมาเอาตัวแกไปยังที่แห่งหนึ่ง
เป็นที่ที่น่ากลัวมาก มีคนถูกทรมานทรกรรมด้วยวิธีต่างๆ
บ้างถูกบังคับให้ปีนต้นไม้ที่มีหนามแหลมยาว
มีแร้งกาปากเหล็กรุมจุกตามเนื้อตัวหน้าตา
บ้างถูกจับโยนลงไปในกระทำทองแดงที่มีน้ำกำลังเดือดพล่าน
บ้างถูกเลื่อยกลางลำตัวจนขาดเป็นสองท่อน
แล้วมันก็กลับมาติดกันใหม่ให้ถูกเลื่อยอีก
ด้วยจิตสำนึกบอกแกว่าสถานที่แห่งนั้นก็คือ นรก
แล้วความหวาดกลัวก็ประดังขึ้นในจิตใจของแก
เมื่อนึกถึงกรรมที่เคยทำไว้ตอนยังมีชีวิต
แกนึกเสียใจที่ไม่เชื่อลูกชายเสียแต่แรกว่านรกมีจริง
บุรุษทั้งสองพาแกมาหาบุรุษอีกผู้หนึ่ง
และบอกว่าเป็นพญายมราชผู้เป็นใหญ่ในยมโลก
แล้วแกก็ถูกพญายมราชไต่สวน ซึ่งแกเล่าอย่างละเอียดทุกขั้นตอน


“ตาแป๊ะเจ้าทำอะไร”
พญายมราชถาม

“อั๊วะฆ่าหมูขาย”
ตาแป๊ะตอบ

“แล้วเคยทำบุญบ้างไหม”

“ไม่เคย อั๊วะไม่เชื่อเลื่องบากเลื่องบุง”

“แล้วทีนี้เจ้าเชื่อหรือยังล่ะ เชื่อหรือยังว่า นรกสวรรค์มีจริง”

“อั๊วะเชื่อเลี้ยว เชื่อว่านาลกมีจิง แต่ซาหวังอั๊วะยังไม่เคยเห็ง”

“ก็ยังไม่เชื่องั้นสิ”

“ม่ายเชื่อ” พูดพร้อมกับสั่นหัว

“ก็ถ้าเจ้าทำความดี จะได้ไปสวรรค์
ไปอยู่กับเซาะกิม เมียของเจ้ายังไงล่ะ โน่นสวรรค์อยู่บนโน้น”
พญายมราชชี้มือขึ้นฟ้า คราวนี้ตาแป๊ะเชื่อสนิท
และให้นึกเสียดายว่า น่าจะทำความดี
จะได้ขึ้นไปอยู่บนสวรรค์กับเซาะกิมเมียรัก
แกรู้ว่าเมียแกเป็นคนดี เพราะใครๆ ก็พูดเช่นนั้น


“เจ้าทำบาปไว้มาก จะต้องถูกลงโทษรู้ไหม”
ได้ยินคำว่าลงโทษ ตาแป๊ะกลัวจนตัวสั่น
เพราะเพิ่งเห็นมาเมื่อตะกี้ แกยกมือไหว้ปะหลกๆ พลางอ้อนวอน
“อั๊วะกัวเลี้ยว อั๊วะกัวเลี้ยว อย่าทำอั๊วะเลย
อั๊วะเข็กเลี้ยว ไม่ทำความชั่วเลี้ยว”
แกละล่ำละลัก เหงื่อกาฬแตกพลั่กๆ

“สายไปเสียแล้วตาแป๊ะเอ๋ย เจ้าต้องถูกลงโทษ
ไม่มีใครช่วยเจ้าได้ ใครทำกรรมอะไรไว้ก็ต้องรับกรรมนั้นด้วยตัวเอง
ช่วยกันไม่ได้ รับกรรมแทนกันก็ไม่ได้ เอาละเตรียมตัวรับโทษได้แล้ว”

ถ้อยคำของพญายมราชดุจดังมีดกรีดลงกลางใจตาแป๊ะ
แกรีบบอกกับพญายมราชว่า

“อย่าทำอั๊วะ เลี้ยวอั๊วะจาให้เงิงลื้อสิกชั่ง”
แกให้สินบน

“เสียใจ เงินทองไม่มีความหมายสำหรับสถานที่แห่งนี้
ถึงเจ้าจะให้เราสักร้อยชั่งพันช่าง ก็ไม่อาจช่วยเจ้าให้พ้นโทษได้
ที่เจ้าพูดมานั้น มันแสดงถึงความโง่เขลาเบาปัญญาของเจ้า รู้หรือเปล่า”
ตาแป๊ะยืนคอตกด้วยมิรู้จะทำประการใด
ยิ่งนึกถึงบาปกรรมของตนก็ยิ่งกลัวจนตัวสั่นงันงก

“เจ้าจงรับโทษตามกรรมที่ทำ”

เสียงนั้นดังกังวานบาดลึกเข้าไปในหัวใจของตาแป๊ะ
ทันใดนั้นไฟนรกก็ลุกพรึบขึ้นท่วมตัวตาแป๊ะเตี๋ยว
แกส่งเสียงร้องลั่นด้วยความกลัวสุดขีด
เปลวไฟร้อนแรงน้นแผดเผาเนื้อหนังมังสาของแก
จนปวดแสบปวดร้อน

“ไอ้หยา ช่วยล่วย ช่วยล่วย อั๊วะซี้เลี้ยว อั๊วะซี้เลี้ยว”
แกดิ้นทุรนทุรายปากก็ร้องให้ช่วย

บัดดลนั้นก็มีผ้าเหลืองลอยมาโบกพัด
ปัดเปลวเพลิงนั้นให้สงบลง เหลือแต่ควันพวยพุ่งอยู่รอบตัว

ตาแป๊ะเอามือปัดป้องเป็นพัลวันด้วยสำลักควันไฟ
พญายมราชรู้สึกฉงนในสิ่งที่ปรากฏ ผ้าเหลืองนั้นลอยมาจากที่ใด
เกี่ยวข้องกับตาแป๊ะอย่างไร ด้วยความสงสัยจึงถามขึ้นว่า
“ตาแป๊ะเจ้าเคยบวชหรือเปล่า”
“อั๊วะไม่เคยบวก อั๊วะเกียกพะ”
แกตอบตามจริง ทว่ามิได้บอกเรื่องที่เคยด่าพระด้วย
เกรงจะถูกเพิ่มโทษ

“จริงสิ นอกจากเกลียดพระ
แล้วเจ้ายังเคยจ้วงจาบพระสงฆ์องค์เจ้าด้วยวาจาอีกด้วย
เจ้านี่บาปมากรู้ไหม”
ตาแป๊ะก้มหน้างุด รู้สึกแปลกใจที่พญายมราชล่วงรู้การกระทำของแก


“อั๊วะผิกไปเลี้ยว อั๊วะผิกไปเลี้ยว อย่าทำอั๊วะเลย”
แกคร่ำครวญ สงสัยเหมือนกันว่าผ้าเหลือนั้นลอยมาจากไหน
“เจ้าไม่เคยบวชแล้วทำไมถึงมีผ้าเหลืองมาโบกให้ไฟดับ
ลองนึกดูดีๆ ซิ หรือว่าเจ้าเคยบวชให้ใครบ้าง”


“อั๊วะไม่เคยบวกให้คายทั้งนั้ง”
ตาแป๊ะยืนกราน

“เอ...แล้วผ้าเหลืองจะมาได้ยังไง”
พญายมราชรำพึงอย่างเคลือบแคลง

“อั๊วะนึกล่ายเลี้ยว อั๊วะนึกล่ายเลี้ยว”
ตาแป๊ะพูดอย่างยินดี

“ไหนว่าไปซิ เจ้าเคยบวชให้ใคร”

“อั๊วะไม่เคยบวกให้คาย แต่อาตง อาตงลูกอั๊วะอีหนีไปบวก
อีมาขออั๊วะแต่อั๊วะไม่ให้ อีเลยหนีไปบวกตั้งแต่อายุสิกสาม
เหลียวนี้อีอายุสามสิกสองเลี้ยว” แกบอกล่าว


“อ้อ...อย่างนี้นี่เอง เห็นไหมล่ะ ขนาดเจ้าไม่มีศรัทธาปสาทะ
ที่จะให้ลูกบวช ก็ยังได้รับอานิสงส์ถึงเพียงนี้
นี่แสดงว่าลูกของเจ้าต้องเจริญกรรมฐาน แล้วอุทิศมาให้เจ้า
ถึงได้มีปรากฏการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น
เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน เพื่อเห็นแก่ลูกของเจ้า
ข้าจะให้โอกาสแก่เจ้าได้กลับไปแก้ตัวยังโลกมนุษย์อีกครั้ง
เจ้าจะต้องเลิกฆ่าหมู เลิกด่าพระด่าเจ้า
แล้วก็ต้องถือศีล ๘ อยู่ที่วัด รับใช้พระเณร
โดยเฉพาะพระลูกชายของเจ้า
เพื่อไถ่บาปที่เจ้าได้เคยล่วงเกินท่านไว้ เจ้าทำได้ไหม
ถ้าได้ก็ไม่ต้องกลับมาที่นี่อีก”


“ทำล่าย ทำล่าย”
ตาแป๊ะรีบรับคำ จะให้แกทำอะไรแกยอมทั้งนั้น
ขออย่างเดียวอย่าให้มาตกนรกอีก
แกเข็ดขยาดไฟนรกเสียยิ่งกว่าอะไร

“จำไว้นะ หากเจ้าผิดสัญญา
จะต้องกลับมารับโทษยังสถานที่แห่งนี้และเราก็จะไม่อภัยให้เจ้าอีกเลย”

พญายมราชกล่าวสำทับ

“จำล่าย จำล่าย อั๊วะไม่ผิกสังยา เข็กเลี้ยว เข็กจริงๆ”
แกรับคำเป็นมั่นเป็นเหมาะ

“เอาละ เจ้าสองคนพาตาแป๊ะไปส่งที่เดิมได้”
พญายมราชหันไปสั่งยมทูตทั้งสอง


สาธุ สาธุ สาธุ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
admin
บัวทอง
บัวทอง


เข้าร่วม: 15 ธ.ค. 2004
ตอบ: 1886

ตอบตอบเมื่อ: 24 พ.ค.2007, 4:38 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

๑๒

ตาแป๊ะเตี๋ยว เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับแกจบลง
ทุกคนในที่นั้นพากันนิ่งเงียบราบกับถูกมนต์สะกด
เป็นเรื่องแปลกประหลาดมหัศจรรย์ที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน
พวกที่ประพฤติตนไม่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรมเริ่มได้ข้อคิด
โดยเฉพาะพวกผู้ชายซึ่งคิดว่าจะเลิกดื่มเหล้าเลิกเจ้าชู้เสียที
จะได้ไม่ต้องไปตกนรก


“ท่างตง ท่างต้องช่วยเตี่ยนะ ถ้าท่างสึกเตี่ยต้องไปตกนาลกแหงๆ”
ผู้เป็นพ่อวิงวอน สมภารหนุ่มหันไปสบตากับสาวสายทอง
ในอกของท่านราวกับมีภูเขาทั้งลูกทับเอาไว้
อยากสึกนั้นอยากจนตัวสั่น
หากก็เกรงบิดาจะต้องกลับไปตกนรก
รักสาวก็รัก รักบิดาก็รัก
ใจของท่านปั่นป่วนด้วยมิรู้จะตัดสินใจอย่างไร


นายอำเภอซึ่งรับฟังเรื่องราวมาตลอด
สังเกตเห็นท่าทางลังเลของท่านแล้ว
ให้รู้สึกสงสารเป็นกำลัง แต่ก็มิอาจพูดอะไรในตอนนี้ได้
อุตส่าห์รอจนคนอื่นๆ ค่อยทยอยกันกลับหมดแล้ว
จึงพูดกับสมภารหนุ่มว่า

“นิมนต์ท่านบวชต่อเถิดครับ ไม่ต้องห่วงทางลูกสาวผม
ความกตัญญูย่อมสำคัญกว่าความรัก
คิดว่าผมตัดสินใจแทนท่านก็แล้วกัน”
คำพูดของนายอำเภอทำให้สมภารตงได้คิด
จริงดังที่นายอำเภอพูด ถ้าท่านไม่แต่งงานกับสายทอง
หล่อนก็ยังมีโอกาสที่จะแต่งกับชายอื่นได้
แต่บิดาของท่านนั้นไม่มีผู้ใดจะช่วยได้นอกจากท่าน
สบายใจขึ้นบ้างแล้ว จึงกล่าวกับนายอำเภอว่า
“ขอบคุณท่านนายอำเภอมาก
อาตมายอมรับว่าตัดสินใจไม่ถูก
เมื่อท่านได้กรุณาช่วยแนะนำอาตมาก็ยินดี
ว่าแต่ว่า สีกาจะมีความคิดเห็นเป็นประการใด”

ท่านหันไปถามสาวสายทอง
รู้สึกปวดแปลบที่หัวใจราวกับถูกทิ่มแทง
ด้วยหนามแหลมสักร้อยอันพันอัน
แสนเสียดายดวงหน้างดงาม
ที่ท่านไม่มีโอกาสได้เชยชมแม้สักครั้งในชีวิต
“ดิฉันเห็นด้วยกับคุณพ่อเจ้าค่ะ”
หญิงสาวตอบด้วยความรู้สึกที่ไม่ต่างกับสมภารหนุ่มเท่าใดนัก
ด้วยว่า รักแรกพบต้องมามีอันเป็นไป
ต่อเมื่อได้ไตร่ตรองใคร่ครวญดีแล้ว
ก็เห็นชอบด้วยเหตุผลตามที่บิดากล่าวทุกประการ
ท่านไม่สึกก็ยังดีกว่าที่สึกแล้วไปแต่งงานกับหญิงอื่น
ซึ่งหากเป็นประการหลังหล่อนคงต้องฆ่าตัวตายเป็นแน่แท้
พูดธุระกันเสร็จแล้ว นายอำเภอจึงลากลับพร้อมด้วยบุตรสาว
นางสาวสายทองจากมาด้วยหัวใจรันทด
ชาตินี้เห็นจะต้องอยู่เป็นโสดไปจนตาย
จะรักชายใดได้อีกในเมื่อหัวใจทุกห้อง
ได้มอบให้สมภารหนุ่มไปสิ้นแล้ว

เมื่อแขกชุดสุดท้ายลงจากศาลาไป
สมภารตงจึงเชิญบิดาให้ไปพักยังกุฏิของท่าน
ตาแป๊ะเตี๋ยวได้กำลังใจจากลูกชาย
อาการป่วยก็หายเป็นปลิดทิ้ง เรี่ยวแรงกลับคืนมาดังเดิม
แกเดินตามพระลูกชายต้อยๆ
พิษสงของไฟนรกที่แกเพิ่งประสบมา
ประกอบกับภาพที่สัตว์นรกถูกทรมานทรกรรม
ยังติดตรึงเด่นชัดอยู่ในห้วงสำนึก
แกขอยึดพระลูกชายเป็นสรณะและจะไม่ขอกลับไปยังที่แห่งนั้นอีก
เดชะบุญที่เขาเชื่อในเรื่องราวที่แกเล่า
เกิดเขาคิดว่าเป็นเรื่องไร้สาระและยังยืนยันที่จะสึก
แกคงไม่อาจทัดทานได้ แล้วก็คงต้องกลับไปตกนรกอีก
ดังที่พญายมราชภาคทัณฑ์ไว้

เป็นครั้งแรกที่ตะแป๊ะรู้สึกซาบซึ้งในความกตัญญูของลูก
ที่มีต่อแก เขามิได้เป็นลูกเนรคุณตามที่แกปักใจเชื่อมาแต่ต้น

ข้างฝ่ายสมภารตงนั้นก็มิได้เคลือบแคลงสงสัย
ในสิ่งที่บิดาเล่าเลยแม้แต่น้อย
ท่านกลับยินดีปรีดาที่อำนาจบุญกุศลที่ท่านประพฤติปฏิบัติ
ได้ส่งผลให้บิดารอดพ้นจากไฟนรก และกลับมาแก้ตัวอีกครั้ง
อย่างน้อยก็ทำให้บิดาและคนผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์คืนนี้ได้รู้
และเชื่ออย่างแน่นแฟ้นว่า บาปบุญมีจริง นรกสวรรค์มีจริง
มิใช่เรื่องที่เอาไว้หลอกคนโง่ดังพวกมิจฉาทิฐิเชื่อกัน
ท่านนึกลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับบิดา
ช่วงเวลาที่พญายมราชสอบสวนบิดา
คงเป็นเวลาเดียวกับที่ท่านปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน
และเมื่อท่านแผ่เมตตาอุทิศส่วนกุศลไปให้
ก็อยู่ในช่วงที่บิดากำลังถูกไฟนรกแผดเผา
บุญกุศลนั้นจึงปรากฏออกมาในรูปของกาสาวพัสตร์มาดับไฟนรก
อานิสงส์แห่งวิปัสสนากรรมฐานช่างมากมายน่าอัศจรรย์ใจนัก
แล้วท่านก็นึกถึงถ้อยคำที่คนบางกอก
พูดถากถางพระเณรที่บวชแล้วไม่ปฏิบัติกรรมฐานว่า
“เช้าเอน เพลนอน เย็นพักผ่อน ค่ำจำวัด”
ซึ่งคนประเภทนี้บวชเสียข้าวสุก แล้วก็ไม่ได้อานิสงส์อะไร
และอย่าว่าแต่จะช่วยพ่อแม่ให้พ้นจากนรกไม่ได้เลย
แม้ตัวของตัวเองก็ยังช่วยไม่ได้


นับแต่วันนั้นเป็นต้นมา ตาแป๊ะเตี๋ยวก็มาถือศีลกินเพลอยู่ที่วัด
กับพระลูกชาย ความกลัวจะกลับไปตกนรกอีก
ทำให้แกปฏิบัติตามสัญญาอย่างเคร่งครัด
ตราบจนกระทั่งถึงแก่กรรมเมื่อเวลาล่วงไปอีกสิบปี
สมภารตงก็เป็นเจ้าอาวาสวัดพุทธาราม
จนกระทั่งมรณภาพเมื่ออายุได้ ๘๐ ปี
รวมเวลาที่ดำรงอยู่ในสมณเพศถึง ๖๗ พรรษา


ส่วนนางสาวสายทองนั้น ในเวลาต่อมา
ได้ติดตามบิดาไปอยู่ทางภาคอีสาน
และได้สมรสกับปลัดอำเภอผู้หนึ่ง ซึ่งหล่อนมิได้รักใคร่
หากก็ยอมแต่งงาน เพราะเห็นแก่บิดา
ที่ปรารถนาจะเห็นบุตรสาวคนเดียวเป็นฝั่งเป็นฝา
ด้วยแรงกตัญญูกตเวทิตาธรรมที่นางสาวสายทองมีต่อบิดา
ผู้บังเกิดเกล้า ทำให้ชีวิตการแต่งงานของหล่อน
ดำเนินไปโดยราบรื่น

หล่อนยังจำได้ว่า ครั้งหนึ่งสมภารตง
หยิบยกพุทธวจนะมากล่าวให้หล่อนฟัง
“อโถ เปตฺเตยฺยตา สุขา
การเคารพรักบำรุงบิดา นำมาซึ่งความสุขในโลก”




ดอกไม้ จบบริบูรณ์ ดอกไม้


สาธุ สาธุ สาธุ
 

_________________
-- การให้ธรรมเป็นทาน ชนะการให้ทั้งปวง --
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัว
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง