Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 ความฝันของพระเจ้าปเสนทิโกศล อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
santisuk
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 13 เม.ย. 2007
ตอบ: 22
ที่อยู่ (จังหวัด): LAMPANG

ตอบตอบเมื่อ: 01 พ.ค.2007, 12:59 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน



main03.jpg


พระบาลี มหาสุปินชาดก เอกนิบาต

ปางองค์ ชินวงศ์ พระจอมไตร อันอาศัย สาวัตถี บุรีสถาน
ภิกษุสงฆ์ สองหมื่น เป็นบริวาร พระสำราญ อยู่ในเขต พระเชตุพล

กรุงกษัตริย์ ปัตถเวน ไปทุลถาม ด้วยข้อความ นิมิต คิดฉงน
อภิวาท เบื้องบาท พระยุคล แล้วทูลถาม แต่ต้นไปจนปลาย

พระเจ้าปเสนทิโกศล แห่งแคว้นโกศล มีเมืองสาวัตถี เป็นนครหลวง พระองค์ได้นิมิตประหลาดถึง ๑๖ ประการ ในคืนวันหนึ่ง ทรงตกพระทัยตื่นจากพระบรรทม ทรงพระปริวิตกในพระสุบินยิ่งนัก รุ่งขึ้น จึงรับสั่งให้หาพราหมณ์ปุโรหิตเข้าเฝ้า เพื่อทำนายพระสุบิน พราหมณ์ได้พยากรณ์ถวาย พระองค์ ตามลักษณะพระสุบินนิมิตนั้น รวมความว่า อันตรายจะเกิดขึ้นแก่พระชนม์ชีพของพระองค์ เอง พระอัครมเหสี และ พระราชสมบัติ พราหมณ์ได้แนะนำพระองค์ว่า วิธีที่จะขจัดอันตรายนี้ ก็คือ จัดพิธีบูชายัญสะเดาะพระเคราะห์

พระเจ้าปเสนทิโกศล ทรงทราบดังนั้น ก็รับสั่งให้จัดหาสัตว์ต่างๆ มาให้เป็นอันมาก ตามคำแนะนำของพราหมณ์ปุโรหิต พระนางมัลลิกาเทวี ทรงเห็นความโกลาหลเช่นนั้น จึงได้เข้า เฝ้าพระสวามี ทูลถามถึงการตระเตรียมใหญ่โตเช่นนั้น พระองค์ จึงรับสั่งกับ พระนางตามเรื่องที่ เกิดขึ้น พระนางได้ยับยั้งการฆ่าสัตว์ เพื่อบูชายัญไว้ แล้วแนะนำให้ไปเฝ้าพระพุทธเจ้า พระองค์ ทรงเห็นด้วยกับพระนาง จึงได้เสด็จไปเฝ้าทูลเล่า พระสุบินนิมิต ๑๖ ประการ ถวายพระพุทธเจ้า

สมเด็จพระ ชินศรีห์ โมลีโลก จึงดับโศก กรุงกษัตริย์ ให้เสื่อมหาย
แย้มพระโอษฐ์ โชติช่วง วิเชียรพราย สว่างฉาย พระเขี้ยวแก้ว แวววาว
สว่างวับ จับพระคันธกูฏี พระรัศมีช่วง เป็นเกลียว สีเขียวขาว
อีกนิลแนม แซมหงส์ เป็นวงวาว ทั้งแดงขาว เหลืองเบ็ญจรงค์พราย

ข่มขี่ รัศมี พระสุริยง จากโอษฐ์องค์ งามลออ เป็นช่อฉาย
เผยพุทธ บรรหาร ประทานทาย อันตราย มิได้มี แก่บพิตร
จะได้แก่ ศาสนา ตถาคต โดยกำหนด สองพันเเศษ สังเกตุจิต
ราษฏร จะร้อนใจ ดังไฟพิษ จะวิปริต ทุกอย่าง ต่างต่างเป็น

พระพุทธองค์ ทรงมีพระพุทธฏีกา ทำนายว่า ผลของพระสุบิน จะไม่เกิดแก่พระเจ้าปเสนทิโกศล แต่จะเกิดขึ้นในอนาคต อันห่างไกล ในกาลเมื่อพระราชา มหากษัตริย์ (รวมทั้งผู้ปกครองประเทศ) มิได้ตั้งอยู่ในทศพิธราชธรรม ศีลธรรมและกุศลจิต ของชนทั้งหลาย เสื่อมคลาย หย่อนลง

โปรดติดตามตอนต่อไป

อยู่เย็นเป็นสุข
santisuk


ลูกนก
 

_________________
DHAMMA IS MY LIFE
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
I am
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 25 ต.ค. 2006
ตอบ: 972

ตอบตอบเมื่อ: 02 พ.ค.2007, 9:01 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สาธุ
 

_________________
ทุกข์ใดดับได้ด้วยปัญญา ทุกข์นั้นจะไม่เกิดอีก
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัวMSN Messenger
suntisuk
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 09 พ.ค.2007, 2:18 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

๑. ฝันว่า โคทั้งสี่ มีกำลัง แล่นประดัง มาโดยทิศ นิมิตเห็น
จะชนกัน แล้วหัน ห่างกระเด็น ต่างหลีกลี้ หนีเว้น ไปลับตัว

โปรดภิปราย ทายว่า ฤดูฝน เมฆหมอกบน มืดมิด ทุกทิศทั่ว
ตังจะปราย สายพิรุณ ขุ่นเขียวมัว พายุพัด กลัดกลั้ว ละลายไป
จะลำบาก ยากใจ แก่ไพร่พล ด้วยฟ้าฝน ไม่ตกมา ในนาไร่
ทั้งต้นข้าว เต้าแตง เหี่ยวแห้งไป ผลไม้ ม่วงปราง จะบางเบา
เกิดข้าวยาก หมากแพง ทุกแหล่งหล้า ฝูงประชา แค้นดับ ลงอับเฉา
ด้วยมนตร์ โมหา ปัญญาเยาว์ ลำเอียงเอา อามิส ไม่คิดธรรม์

พระสุบินนิมิต ข้อ ๑. ว่า "โคดำล่ำสัน ๔ ตัว วิ่งมาจากทิศทั้งสี่ มีอาการเกรี้ยวกราด วิ่งเข้ามาดุจจะชนกัน ที่หน้าพระลานหลวง พอเข้าใกล้กันแล้ว ก็ถอยห่าง ออกจากกันเอง ไม่ชนกัน"

พระพุทธองค์ทรงพยากรณ์ว่า "จะไม่เกิดเหตุร้ายอะไรขึ้นแก่พระองค์ พระอัครมเหสี และ พระราชสมบัติ หรือ ใครๆ ในบัดนี้ แต่ต่อไปวันข้างหน้า ในวันที่พระราชา (ผู้ปกครองประเทศ) และ พลเมือง ไม่พากันประพฤติในสิ่งที่เป็นธรรม ต้องพากันเดือดร้อน ข้ายากหมากแพง ฝนก็ไม่ตก มีแต่ฟัาลั่นคำราม ประเทศมหาอำนาจ จะคำรามกันอย่างเอาเป็นเอาตาย เพราะ เกิดกัลปภัยทั้งสาม คือ ทุพภิกขภัย เกิดขึ้นด้วยข้าวยากหมากแพง ภัยจากศาสตราวุธ รบราฆ่าฟันกัน และ ภัยพิบัติจากธรรมชาติ อันเนื่องจากแผ่นดินไหว น้ำท่วม วาตภัย กาฬโรค และ โรคภัยไข้เจ็บต่างๆ"

ประเทศแห่งพระพุทธศาสนา จะถูกลุกล้ำเข้ามา ขอพึ่งพาอาศัย จากทิศทั้งสี่ ที่เดือดร้อนเป็นไฟ เป็นเหตุให้ประเทศพุทธศาสนา ต้องหวั่นไหวไปตาม แต่ไม่ถึงกับอันตรายพินาศ เพราะคุณแห่งพระรัตนตรัย ยังคุ้มครองอยู่ การปฏิบัติในทางพระพุทธศาสนา ก็จะถูกยุคเข็ญ ทำให้ย่อหย่อนท้อถอย เพราะ เหล่ามนุษย์ ที่ถูกครอบงำอยู่ด้วยอคตินั้น มีอำนาจยิ่งขึ้น

๒. ฝันว่า ไม้รุ่น เจริญผล ดูวิกล เหมือนไม้ใหญ่ ในไพรสน
พระทรงสัตย์ ตรัสทาย ทำนายพลัน ภายหน้านั้น ชายหญิง ทิ้งเหล่ากอ
จะคบชู้ สู่หา สมาคม จะเสพสม แต่แรกรุ่น ละมุนหนอ
กุมารี จะมีบุตร สุดรีรอ เริ่มแต่พอ แรกรุ่น ดรุณี

พระสุบิน ข้อที่ ๒. ว่า "ต้นไม้ทั้งหลาย พองอกขึ้นได้ประมาณคืบหนึ่ง หรือ ศอกหนึ่ง ก็มีดอกแลมีผล"

พระพุทธองค์ ทรงทำนายว่า "ต่อไปภายภาคหน้า สมัยหนึ่ง เด็กหญิง จะมีราคะดำกฤษณา ไปสู่อำนาจแห่งบุรุษ แต่ยังเล็กๆ จะมีครรภ์ และ บุตรทั้งที่วัยยังไม่สมบูรณ์"

บัดนี้โลกมีการศึกษามากขึ้น พลเมืองอ่านออกเขียนได้มาก ส่วนมากได้รับการศึกษาชนิดที่เรียกว่า ครึ่งๆ กลางๆ มีการอบรมไม่ดีพอ สิ่งที่จะยั่วยุความใคร่ได้ขยายตัวออกไป โดยอาศัยสื่อต่างๆ ความใคร่เป็นอารมณ์ ที่รุนแรง หากขาดสติและการบังคับใจ และ สภาพแวดล้อมที่ดีแล้ว มันย่อมแสดงออกเสมอ ดังนั้น การมีสิ่งยั่วยุความใคร่ต่างๆ มากหลาย ในสมัยวัตถุกำลังเจริญดี ย่อมสนับสนุน ความใคร่ ให้โหมแรงขึ้น เฉพาะอย่างยิ่งในวัยหนุ่มสาว สมัยเช่นนี้ เด็กหนุ่มสาว ญ่ แม้ชนบทน้อยๆ ก็มี

เรื่องเพศศึกษาในโรงเรียน แม้ว่าจะมีคุณค่าอยู่ไม่น้อย ถ้าการศึกษาไม่ดีพอ ย่อมจะเป็นโทษมากกว่า เพศศึกษาจะกลายเป็นมิดสองคม แก่เด็กหนุ่มสาวที่มีการศึกษาในห้องเรียน

คำบรรยายจาก "วิจารณ์ พุทธทำนาย" โดย "อารยัน"

อยู่เย็นเป็นสุข
suntisuk


ดอกไม้
 
suntisuk
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 14 พ.ค.2007, 11:52 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

๓. ฝันว่า แม่โค คาวิน วอนขอนม ลูกกิน น่าบัดสี
โปรดภิปราย ทายว่า นิมิตนี้ ไปภายหน้า จะมี เป็นแน่นอน
คือพ่อแม่ แก่ชรา มาหาบุตร ด้วยสิ้นสุด ข้าวปลา และผ้าผ่อน
เฝ้าง้องอน มันขอดค่อน สำทับ ให้อับอาย
พูดหยาบช้า ต่อบิดา ชนนี กล่าวพาที ให้ช้ำ ระกำหลาย
มิได้มี หิริ โอตตัปปะอาย ทั้งหยาบคาย ขี่ข่ม คารมพาล

แม่โค กับ ลูกโค

พระสุบินข้อที่ ๓ ของพระยาปัตถเวน ว่า "แม่โคทั้งหลาย ต่างพากันดูดกินนม ของลูกโค ที่ตนเพิ่งคลอดออกมาเอง"

ทรงทำนายว่า " จักมีสมัยหนึ่ง ที่หมู่มนุษย์ พากันละเลย ต่อ เชฏฐาปจายนกรรม คือ การนอบน้อมต่อท่านผู้เจริญกว่า โดยวัย โดยชาติ โดยคุณสมบัติ เด็กหนุ่มทั้งหลาย สามารถเลี้ยง ตัวเองตามชอบใจ ได้ทรัพย์มาแล้ว ชอบใจก็แบ่งบิดามารดาที่แก่เฒ่า ไม่ชอบใจก็ไม่แบ่ง ถือลัทธิ เสรีภาพ แม้แต่กฏแห่งธรรม คนทั้งหลายจะต้องคอยประจบประแจง เอาใจเด็กๆ ของตน เพื่อขอรับประทานไปวันหนึ่งๆ (อีกทั้ง ยังดุด่าว่ากล่าวต่อ ผู้ใหญ่ มี บิดา มารดา เป็นต้น โดยไม่เกรงใจ และบิดา มารดา ผู้ใหญ่ ต้องคอยงอนง้อเอาใจเด็กๆ)"

เหตุการณ์ ทำนองนี้ ได้เกิดขึ้น สมัยที่งานทางสังคมของมนุษย์มากขึ้น อันเนื่องมาจากความก้าวหน้าทางวิทยาการใหม่ๆ ประเทศที่ยังไม่เจริญ ลูกเต้าทั้งหมด อยู่กับพ่อแม่ จนกว่าจะโตเป็นหนุ่มเป็นสาว สมควรมีเหย้าเรือน จึงได้แยกจากครอบครัว ไปประกอบอาชีพ ถ้ายังอยู่ด้วย ก็ประกอบอาชีพรวมกันไปทั้งครอบครัว รายได้รายจ่าย ที่แท้จริง ย่อมอยู่กับพ่อแม่ แม้ลูกเต้าจะไปทัพ หรือ ไปบวชเรียน ก็ยังคงรวมอยู่ในครอบครัวของพ่อแม่ ทรัพย์สมบัติ ยังรวมอยู่ในครอบครัวเดียวกัน สภาพดังกล่าวนี้ ย่อมปรากฏอยู่ในคนทุกชาติ แต่ภายหลัง สภาพสังคมได้เปลี่ยนแปลงไป กล่าวคือ ประเทศต่างๆ ที่เจริญแล้ว มีงานสาขาต่างๆ ที่ต้องทำกัน

คนที่เลี้ยงตัวเองได้แล้ว แต่ขาดการอบรมถึงคุณธรรมด้านความเคารพ พ่อแม่ย่อมจะพึ่งลูก เช่นนี้ได้ยาก ไม่ว่า พ่อแม่จะยากจนหรือมั่งมี เราย่อมทราบกันดีว่า วัฒนธรรมดั้งเดิมของ ชาวเอเชีย มีความอ่อนน้อมในผู้เจริญวัยด้วย วัย ชาติ คุณอยู่ด้วย แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไป ความสำคัญในเรื่องนี้ ก็น้อยลง บางคนกลับดูถูกเหยียบย่ำก็มี เช่น คนหนุ่ม ดูถูกคนแก่ว่า โง่เง่า ไม่ทันสมัยเหตุการณ์ บางคราว สังคมกำลังเสื่อมโทรมทางด้านจิตใจ ในด้านศีลธรรมกำลังบูชา เงินเป็นพระเจ้า คราวนั้น คุณวุฒิ กับ ชาติวุฒิ รวมทั้งวัยวุฒิ ก็หมดความหมาย ในเมื่อคนเหล่านั้น ไม่สามารถหยิบยื่น เงิน ตำแหน่ง ลาภ ยศ สักการะใดๆ ให้ แต่ตรงข้าม คนชั้นไหนอ่อนวัย เลวทราม ไร้คุณธรรม เพียงใดก็ตาม ถ้าสามารถหยิบยื่น เงินทอง ลาภ สักการะ ยศ ตำแหน่ง และ สิ่งอื่นๆ ที่คนปรารถนาให้ เป็นกราบไหว้ โค้งคำนับ นับถือ กราบถึงเท้าได้ อย่างไม่กระดากอาย พฤติการณ์เช่นนี้ ย่อมมีอยู่ในสังคมทั่วๆ ไป ในสมัยที่ คุณธรรมหรือศีลธรรมกำลังหนีเข้าป่า เขา หรือ ทะเล

อยู่เย็นเป็นสุข
santisuk

ลูกนก
 
rain
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 18 พ.ค.2007, 3:15 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

๔. ฝันว่า โคใหญ่ เคยไถนา ไม่นำพา ปล่อยปละ ละสถาน
เอาลูกโค เทียมไถ เข้าใช้การ ไม่เคยงาน เสียรอย ย่อยยับไป
มันเดินแตก แยกข้าม คันนาหนี ไม่รู้ ท่วงที ทำนองไถ
ทรงมีพุทธ บรรหาร ว่านานไป นเรศไท้ ท้าวพยา ทุกธานี
จะคบคน พาลา ปัญญาหยาบ ใจบ้าบาป หนุ่มคะนอง ให้ครองที่
นับถือว่า สุจริต ความคิดดี ได้ท่วงที พวกอุททาม ก็ลามลวน
ถึงได้เป็น เสนา ปรึกษาความ ทำวู่วาม ตามศักดิ์ แล้วหักหวน
เอาความชอบผิด มิได้คิด เป็นข้อควร เอาแต่ส่วน สินบน คนเข็ญใจ

ความฝันข้อที่สี่ โคอ่อนเทียมแอก ปัญหาพระยาปัตถเวน ลำดับต่อมา คือ "หมู่มนุษย์ พากันจับโคอ่อนๆ เข้าเทียมแอก ปล่อยโคหนุ่มแน่นแข็งแรง เสีย ไม่เอาใจใส่ ผลที่ได้คือ ความยุ่งยาก ไม่ลุล่วงสมหมาย"

พระพุทธองค์ มีพระพุทธฎีกาว่า "จักมีสมัยหนึ่ง ซึ่งพระราชา มีความคิดเห็นตรงกันข้าม ปลดอำมาตย์ ที่คงแก่งาน ออกจากตำแหน่ง แต่งตั้ง คนหนุ่มคะนอง เข้าแทนที่ พวกครูอาจารย์ ต้องเก็บตัว หุบปากเงียบ ไม่มีการเกี่ยวข้อง และ พวกเหล่านั้น ลากเอากิจการของหมู่คณะ เข้าไปหาความยุ่งยาก หนักเข้าทุกที"

คำว่า "พระราชา" ในที่นี้หมายถึง พระเจ้าแผ่นดิน ในสมัยที่ประเทศต่างๆ ยังปกครองด้วยราชาธิปไตย อำนาจสุงสุดของประเทศ อยู่ที่องค์พระมหากษัตริย์ ครั้งสมัยดังกล่าว ผ่านพ้นไป ระบอบประชาธิปไตยเกิดขึ้น "พระราชา" ก็หมายถึง คณะรัฐมนตรี ที่เรียกว่า คณะรัฐบาล แม้ว่า อำนาจ ในทางนิติบัญญัติ จะตกอยู่ในอำนาจของ สภาผู้แทนราษฏร ก็ตาม

เมื่อหวนระลึกถึงอดีต ตามประวัติศาสตร์ "อำมาตย์" ซึ่งหมายถึง ข้าราชการประจำ มีทั้งคนแก่ และ หนุ่ม ด้วยกันทั้งนั้น กล่าวโดยทั่วๆ ไป ในระยะหลังๆ คนหนุ่มมีโอกาสได้ดำรง ตำแหน่งงานสำคัญเป็นอันมาก ผิดกับระยะก่อน ที่ผู้ดำรงตำแหน่งสำคัญเกือบเป็นผู้สูงอายุ ทั้งสิ้น ตามปกติ คนหนุ่ม ย่อมจะมีเลือดร้อน และ คนที่สำเร็จการศึกษาขั้นปริญญาตรีขึ้นไป มักจะภาคภูมิใจว่า ตนมีความรู้ดี สูง ทันสมัย ด้วยเหตุ ๒ ประการนี้ ทำให้คนหนุ่ม มีความผยอง ไม่ค่อยเชื่อฟังผู้อื่นโดยที่สุด แม้ครูบาอาจารย์ บุคคลเหล่านี้ ต้องเก็บตัวหุบปากเงียบ เพราะหนุ่มๆ ไม่ยอมปฏิบัติตาม จึงพากันปิดตา หุบปากเสีย

มีอยู่หลายด้านของงาน ที่คนหนุ่ม ผู้มีปริญญาพ่วงท้าย เข้าดำรงตำแหน่งงานไม่ถูกต้องเท่าเสมียน ยิ่งเกี่ยวกับการพิจารณาคดี หรือ การปกครองคนมากด้วยแล้ว ก็ยิ่งผิดพลาดมาก คล้ายๆ กับว่า ไม่มีความรู้ ไร้ความสามารถ เป็นที่ยิ้มเยาะของเสมียน เหตุการณ์เช่นนี้ เพราะ ผู้มีปริญญาพ่วงท้าย มีความรู้ดี ความรู้สูง ก็จริง แต่เป็นความรู้ทางทฤษฏี เป็นความรู้ตามตำรา แต่ความรู้ที่ไม่ได้มีอยู่ในตำรา มีอีกมาก ที่ไม่รู้ คนหนุ่มที่ขาดความสนใจ ที่จะเรียนรู้นอกตำรา เกือบร้อยทั้งร้อย ต้องทำงานผิดพลาด งานต่างๆ จะดำเนินลุล่วงด้วยดี นั้นต้องอาศัย ความรู้ และ ความชำนาญ หลายด้าน

คนหนุ่ม มีความรู้สูง ดำรงตำแหน่งสูง หลงผิดคิดว่า ข้านี้เป็นยอดมนุษย์แล้ว ตำแหน่งสูง เงินดี ไม่มีใครสู้ข้าได้ ไม่ว่าจะเป็นด้านใด แล้วไม่สนใจกับความรู้นอกตำราเรียน เขาก็จะทำให้สังคมที่เขามีอำนาจเหนือนั้น ยุ่งยากขึ้นทุกที เมื่อส่วนงานต่างๆ ที่สำคัญ ได้ผิดพลาดไป ความยุ่งยากทางสังคมก็ติดตามมา การปกครอง การเศรษฐกิจ แห่งสังคมนั้นๆ ก็ปั่นป่วน การแย่งชิงอำนาจของกัน และ กัน ก็ติดตามมา

คนทีไม่มีปริญญาพ่วงท้าย ได้เป็นผู้ให้กำเนิด สิ่งประดิษฐ์ มากหลายแก่มนุษยชาติ เป็นผู้สามารถยิ่งกว่า ผู้ที่จบการศึกษาสูง ก็ไม่น้อย คนแก่ที่ถือทิฎฐิมานะว่า ข้าอาบน้ำร้อนก่อนแก แกจะมาใหญ่กว่าข้าไม่ได้ ซึ่งเป็นจุดถ่วงความเจริย ก็มีอยู่ไม่น้อยเช่นเดียวกัน เมื่อเทียบความสามารถ ระหว่างหนุ่มกับแก่ ในประวัติศาสตร์แล้ว เราต้องยอมรับว่า คนแก่ สามารถมากกว่าในทางจำนวน คนหนุ่มกว่าจะแก่ และ เป็นผู้สามารถจริงๆ ก็ต้องผิดพลาดมากต่อมากแล้ว และนั่น ได้เป็นบทเรียนแก่ชีวิต ซึ่งไม่เคยมีในตำราเรียน ในสถานศึกษาชั้นสูง ทุกวันนี้ โลกกำลังเต็มไปด้วยคนหนุ่มที่สามารถ คนแก่กำลังจะถูกลอยแพ จากตำแหน่งงาน โดยลำดับ

คำบรรยายจาก "วิจารณ์ พุทธทำนาย" โดย "อารยัน"

อยู่เย็นเป็นสุข
santisuk
 
suntisuk
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 21 พ.ค.2007, 9:03 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

๕. ฝันว่า ม้านั้น มีสองปาก เห็นหญ้าอยาก ปากอ้า น้ำลายไหล
บุรุษสอง ปองป้อน จนอ่อนใจ หยิบหญ้าหย่อน ยื่นให้ ไม่เว้นวาย
มีพุทธฏีกา พยากรณ์ ผู้ตัดรอน ความราษฏร์ สิ้นทั้งหลาย
จะรวบรวม กันกิน ทั้งสองฝ่าย จะให้ท้าย ทั้งโจทย์ และจำเลย
กินพลาง ทางข่ม ด้วยลมลวง เหนี่ยวหน่วง ถามติง แล้วนิ่งเฉย
บ้างอาศัย ใช้การ จนนานเลย ความก็เกย แห้งแล้ง อยู่ค้างปี

นิมิตสุบินของ พระเจ้าปัตถเวน ประการที่ ๕ มีว่า "ม้าตัวหนึ่ง มีปากทั้งสองปาก มหาชน เอากล้าข้าวเหนี่ยว หรือ หญ้า ป้อนมันทั้งสองปากอย่างเหลือเฟือ"

พระพุทธองค์ ทรงทำนายว่า "จักมีสมัยหนึ่ง ซึ่งผู้มีอำนาจ ตั้งมนุษย์ผู้ไม่ยุติธรรม ไว้ในฐานะ เป็นผู้วินิจฉัยคดี เขาพากันเรียกเอาสินบน จากคู่ความทั้งสองช้างเสียก่อน แล้วจึงตัดสินเอาตาม ความพอใจของตน"

จักมีสมัยหนึ่งในกาลข้างหน้า หัวหน้า คือ คนมีอำนาจในการแต่งตั้ง มิได้ดำรงอยู่ในสุจริต ยุติธรรม หรือ ขาดวิจารณญาณ ตกอยู่ในอำนาจของพวกสอพลอ ซึ่งเป็นขุนนางผู้ใหญ่ คอยเสนอ พวกของตนซึ่งเป็นพวกพาล ให้วินิจฉัยคดีในโรงศาล เขาเหล่านั้น เป็นคนไม่สนใจในบาปบุญ คุณโทษ ขาดคุณธรรม คือ ความเที่ยงธรรม ความยุติธรรม ตัดสินคดีต่างๆ ด้วยอคติ ประการที่สำคัญ คือ กินสินบนจากโจทก์บ้าง จำเลยบ้าง ถ้าเป็นคดีที่คู่ความทั้งสองฝ่ายต่างเป็น คนร่ำรวย ก็กินทั้งสองฝ่าย กินของทั้งของโจทย์ ของจำเลย ฝ่ายไหนมีเงินให้ หรือ ให้มากกว่าอีก ฝ่ายหนึ่ง ก็ให้ฝ่ายนั้นชนะคดี

การกินสินบาทคาดสินบนของโจทก์ และ ของจำเลยก็ดี กินของฝ่ายที่มีเงินให้ก็ดี แล้วให้ฝ่าย ที่ให้ประโยชน์แก่ตนมากที่สุด ได้เป็นฝ่ายชนะ สภาพดังกล่าวนี้เหมือนกับ พาชี มีสองปาก เคี้ยว ฟ่อนข้าวกล้า ที่คนเลี้ยงเขาให้ ด้วยปากทั้งสอง กินเข้าไปเท่าไร ไม่รู้จักพอ ก็หมายถึง กินสินบน ของพวกตุลาการ ไม่รู้จักอิ่มนั่นเอง เรื่องของมนุษย์กิเลสดก

ความยุติธรรม เที่ยงธรรม เป็นแขนงที่สำคัญแขนงหนึ่ง ที่สังคมมนุษย์ปรารถนา แต่เพราะ อคติ ความลำเอียง อันเป็นสมบัติส่วนหนึ่งของมนุษย์ ความปรารถนานั้นจึงสำเร็จผล ได้น้อย นี่เอง เป็นจุดหนึ่งที่ทำให้สังคมพิการ ความจริงนั้น ทุกคนรักความยุติธรรม เที่ยงธรรม ประสงค์ให้ คนอื่นให้ความยุติธรรมแก่ตน แต่ว่าตนเองไม่ค่อยให้แก่ผู้อื่น ว่าตามประวัติศาสตร์ ตุลาการของ ทุกประเทศ ย่อมจะละเว้นอคติโดยเด็ดขาดได้ยาก ยิ่งในกรณีที่ คู่คดีอีกฝ่ายหนึ่ง เป็นพวกของตน หรือ พรรคของตนเรียกร้อง ก็เป็นอันว่า คดีนั้น จะไม่ดำเนินไปอย่างยุติธรรม เที่ยงธรรม

ถ้าตุลาการ ไม่มีส่วนได้เสียด้วย ก็มีทางเป็นไปได้ ที่ไม่เสียความเที่ยงธรรม กระนั้นก็ตาม อาจารย์จิตวิทยา ผู้มีชื่อเสียง ท่านหนึ่งของเมืองไทย ซึ่งอาจารย์ของข้าพเจ้า ได้กล่าวว่า ความยุติธรรม เที่ยงธรรม เป็นสิ่งที่เกิดได้ยาก จิตใจของมนุษย์ ย่อมมีอคติอยู่เสมอ แม้แต่ ผู้พิพากษา นั่งอยู่บนบัลลังก์ ไม่เคยรู้จัก ไม่มีการเกี่ยวพันอะไร กับคู่คดีเลย เพียงเห็นหน้า ของบุคคลทั้งสองฝ่าย ก็ไม่วายที่มีความคิดชอบ หรือ เกลียดข้างใดข้างหนึ่ง ทัศนะของอาจารย์ ข้าพเจ้า ซึ่งข้าพเจ้าเห็นด้วย แต่หมายถึง ตุลาการ โดยทั่วๆ ไปเป็นส่วนมาก คงมีตุลาการที่ทรง ความเที่ยงธรรม อยู่ทุกหนทุกแห่ง ทุกกาล ทุกสมัย แต่ว่า มีน้อย หาได้ยาก

ตามปกติ ใจมนุษย์ปุถุชน มีความลำเอียงเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว หากมีสินบนให้แล้ว ก็ไม่มีปัญหา อะไร ที่ตราชูแห่งคดีจะเอียงวูบ นี่เราพูดถึงปัญหาพรรคพวกด้วย เพราะนั่นถือว่า ตนมีส่วนได้เสีย โดยตรงอยู่แล้ว ในครั้งพุทธกาล ก็มีเรื่องอำมาตย์ผู้วินิจฉัยคดี เจ้าหน้าที่ฝ่ายตุลาการ ไม่ตั้งอยู่ใน ธรรม ตกอยู่ในอำนาจแห่งอคติ ทำให้รูปคดีเสีย ซึ่งเป็นดังกล่าวข้างต้น เป็นเรื่องธรรมดาเสียเหลือ เกินที่คดีต่างๆ จะหาความยุติธรรมได้ยาก ในที่ทุกหนทุกแห่ง เรื่องราวในอดีต และ ปัจจุบัน ได้บอกเราเช่นนี้ ชาวจีนถืออคติว่า เป็นความกินขี้หมาดีกว่า หรือ อย่างเราๆ ถือกันว่า ใครมีเงินมาก คนนั้นก็ชนะคดี หรือว่า ใครจนคนนั้นก็แพ้

สภาพดังกล่าวนี้ ย่อมเกิดขึ้นสมัยที่ ศีลธรรมไม่มีความหมาย และ เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เป็น ครั้งเป็นคราว ณ มุมต่างๆ ของโลก ถ้าสมัยใด ผู้ปกครองเข้มแข็ง ตั้งอยู่ในศีลธรรม บริหาร ประเทศชาติ เพื่อความสุขแก่ราษฏร สมัยนั้น ความเที่ยงธรรมก็มีมากขึ้น...

บรรยายโดย "อารยัน" จาก "วิจารณ์พุทธทำนาย"

suntisuk


ลูกนก
 
suntisuk
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 24 พ.ค.2007, 4:43 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

๖. ฝันว่า สุวรรณ์ ภาชน์ทอง สุนัขปอง ขึ้นนั่ง น่าบัดสี
เอื้อนพระโอษฐ์ โปรดพุทธ วาที ว่าพาลา จะได้ที่ เสนานาย
จะหยิ่งยศ บทสำทับ ไม่นับปราชญ์ เสพสังวาส คบพาล ประมาณหมาย
เหมือนขมิ้น ขยำน้ำ ปูนละลาย ทั้งไพร่นาย จะคะนอง ลำพองพาล

พระเจ้าปเสนทิโกศล เมื่อได้ทูลสุบินนิมิตที่ ๕ และ พระองค์ทรงพยากรณ์นิมิตนั้นแล้ว ท้าวเธอก็ได้กราบทูลถามนิมิตต่อไปว่า "หมู่มนุษย์ พากันขัดสี ถาดทองคำราคาตั้งแสน ให้สวยสะอาด แล้วนำไปหา สุนัขจิ้งจอกให้ขึ้นนั่ง ถ่ายปัสสวะใส่"

พระองค์ เมื่อทรงทราบสุบินแล้ว ก็ทรงพยากรณ์ พระสุบิน ของท้าวเธอต่อไปว่า "จักมีสมัยหนึ่ง ซึ่งคนตระกุลต่ำพากันยกตัวขึ้นด้วยการศึกษา จนพระราชาแต่งตั้งขึ้นแทน พวกตระกูลสูง และพวกตระกูลสูงนั้น จักต้องยอมให้บุตรธิดาของตน ทำการสมรสกับพวกตระกูลต่ำ"

สังคมมนุษย์ในอดีต ได้มีชีวิตอยู่อย่างอิสระ ท่องเที่ยวกันไป เมื่อเห็นที่ไหนอุดมสมบุรณ์ ก็ตั้งหลักฐานบ้านเมือง ประเด็นที่เราจะวิจารณ์ มีอยู่ดังนี้ คือ "คนตระกูลต่ำ พากันยกตัวขึ้นด้วยการศึกษา" นี่เป็นส่วนเหตุ ข้อความนอกนั้นเป็นส่วนผล เดิมทีเดียวมนุษย์มีความเป็นอยุ่อย่างสัตว์ป่า ปัญหาเรื่องชาติตระกูล ยังไม่มี ครั้นถึงสมัยที่ตั้งถิ่นฐานบ้านเมืองเป็นหลักแหล่งกันมา การถือชาติก็เกิดขึ้น พร้อมๆ กับการถือตระกูล อันเนื่องมาจากตระกูลขุนนาง ตระกูลกษัตริย์ และ ตระกูลเจ้าของที่ดิน

การนับถือตระกูล มีอยู่ในทุกชาติ แต่บางทีชาติถือกันอย่างรุนแรง เช่น จีน และ อินเดีย เป็นตัวอย่าง อินเดีย ได้แบ่งกันออกเป็นพวก ซึ่งเรียกว่า "วรรณะ" แต่ละวรรณะ มีความรังเกียจ ดูหมิ่นเหยียดหยามกันอย่างรุนแรง ไม่มีการคบหากันอย่างเด็ดขาด ไม่กินไม่นอนไม่เข้าเทวสถาน ไม่แต่งงานกับพวกอื่น จีนถือตระกูลสำคัญกว่าชาติ แม้จะไม่รุนแรงเท่าอินเดีย ก็นับว่าถืออย่างเคร่งครัด

เราอาจจะสงสัยว่า พวกเศรษฐีนี่เดิมทีเดียวมาจากไหน ? คนพวกนี้มาจากทุกสาขาอาชีพ ในชุมนุมชนนั่นเอง มีทั้งพวกผจญโชค และ พวกนอกกฏหมาย พวกเหล่านี้ กลายเป็นนายทุนได้โดยง่าย พวกช่างฝีมือ ก็เหมือนกัน นอกจากทำเองแล้ว ยังได้ขยายกิจการจ้างลุกจ้างมาทำงานให้โดยให้ค่าจ้าง แต่พวกนายทุนที่ใหญ่ที่สุดในสมัยต้นๆ มาจากพวกพ่อค้าทางเรือรบ นอกจากนี้ พวกเจ้าของที่ดิน ก้ได้เปลี่ยนมาเป็นนายทุนเหมือนกัน ครั้นต่อมาเมื่อมีนายทุนเกิดขึ้น เศรษฐกิจของโลกก็เปลี่ยนแปลงไป อำนาจของเงินมีมากขึ้น ความสำคัญของคนจึงอยู่ที่เงิน กล่าวคือ แม้ตระกูลจะสูง แต่ถ้ายากจน ก็ไร้เกียรติ์ และ ไม่สามารถจะมีตำแหน่งอำนาจในการปกครองได้

ความสำคัญของเงิน ในชุมชนนายทุน เงินมีบทบาทสำคัญยิ่ง สินค้าทุกอย่างผลิตขึ้นมาก็เพื่อ เงินทั้งสิ้น แต่ความจริง เงิน มิใช่สิ่งที่เพิงมามีขึ้นในยุคนายทุน มีปรากฏในยุคก่อนหน้านี้แล้ว แต่ว่าไม่ได้มีบทบาทสำคัญเหมือนยุคนายทุน การธนาคารยุ่งยาก สินเชื่อ กระแสเงินตรา และ เครื่องมือต่างๆ ในการบัญชี เกือบทั้งหมดเหล่านี้ ล้วนเป็นเรื่องของ เงิน ในรูปแบบต่างๆ ทั้งสิ้น และ เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในยุคนายทุน คนสมัยกลางส่วนมากไม่เคยเห็นเงิน เลยตลอดชีวิตก็มี ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนเลยว่า สมัยปัจจุบันนี้ เงิน จะมีความสำคัญ มากถึงเพียงนี้

กฎหมายต่างๆ ที่ออกมานั้น ล้วนเกี่ยวพันกับค่า และ ราคาทั้งสิ้น แม้แต่การเคลื่อนไหว ในการผลิตส่วนรวม ก็จะต้องมีการกล่าวถึงจำนวนเงินที่เป็นโลหะอยู่ด้วย การใช้เงิน เป็นทุนชนิดที่เรียกกันว่า "เงิน ต่อ เงิน" ในชุมนุมชนอื่นๆ แทบจะไม่ได้ใช้กันเลย เงินในยุคทุนนิยมนี้อาจเปลี่ยนเป็นอะไรก็ได้ เช่น วัตถุดิบ เครื่องจักร เป็นต้น เมื่อผลิตออกมาแล้วก็กลับไปเป็น เงิน อีก หมุนเวียนกันอยู่อย่างนี้ โลกสมัยวัตถุนิยม กำลังก้าวหน้านี้ เงิน ได้มีอำนาจมาก ไม่เพียงซื้อคนเท่านั้น มันยังซื้อเกียรติ ชื่อเสียง และ ตระกูลได้ ทั้งนี้เพราะ ผู้มีเงิน กลายเป็นคนมีชื่อเสียง มีเกียรติ คนนับถือยำเกรง โดยมิได้คำนึงว่า เงิน นั้นได้มาด้วยวิธีใด เดิมมีตระกูลอย่างไร มาจากไหน ขอให้มีเงินมากๆ เป็นพอ ตัวอย่างของคนที่กล่าวนี้ เราจะเห็นได้ในสังคมทั่วๆ ไป


อยู่เย็นเป็นสุข
santisuk
 
suntisuk
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 26 พ.ค.2007, 1:08 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

๗. หนึ่งฝันว่า มีผู้ ขวั้นเชือกหนัง อยู่เคหัง เพิงพัก ในสถาน
ปลายเชือก เสือกห้อย ลงย้อยยาน สุนัขนอน ใต้ร้าน กัดกินไป
ยิ่งขวั้นก็ ยิ่งสั้น ไปหมดสิ้น หายืดลง ถึงดิน นั้นได้ไม่
พระโลกุตตมาจารย์ ทำนายไว้ ว่านานไป จึงจะเห็น ที่เข็ญมี
ชายหาลาภ สักการะ มาบ้านเรือน หญิงเบือน บากบ่าย จำหน่ายหนี
แสนงอน ซ่อนทรัพย์ ทำอัปรีย์ ข่มขี่ หยาบคาย ให้ชายกลัว
ยอกยัก ลักทรัพย์ ส่งให้ชู้ ตะแคงต้อน ข่มขู่ ข่มเหงผัว
ชายเขลา เมารัก สมัครมั่ว เห็นผัว กลับข่ม ให้สมใจ

เมื่อพระองค์ได้ทรงพยากรณ์พระสุบินนิมิตข้อที่ ๖ แล้ว พระองค์ได้ทรงพยากรณ์ปัญหา ที่พระเจ้าปเสนทิโกศลได้ทูลถาม ต่อไป

พระราชา ทุลถามว่า ข้าพระองค์ฝันว่า "มีชายผู้หนึ่ง เอาหนังแห้งมาขวั้นเป็นเชือกอยู่บนม้านั่ง ห้อยส่วนที่ขวั้นแล้วลงไปใต้ม้า นางสุนัขจิ้งจอกตัวหนึ่ง ได้กัดกินเชือกที่ขวั้นแล้วนั้นเสียร่ำไป ขวั้น เท่าไร ก็ไม่เป็นเชือกขึ้นมาสักที"

พระพุทธองค์ทรงทำนายว่า "ในสมัยหนึ่ง จักมีเด็กหญิง พากันเสื่อมจากศีลธรรม สาละวนอยู่ ในการตกแต่งร่างกายให้สวยงาม โลเลในชายหนุ่ม ชอบดื่มน้ำเมา ศึกษาแต่วิชาการ ที่จะยั่วยวนบุรุษ ให้หลงใหล ไม่สนใจในกิจการบ้านเรือน ชอบคบชู้สู่ชายโดยเปิดเผย หมดยางอาย ในสิ่งชั่ว ทรัพย์ที่สามีหามาได้เท่าไร ก็อีลุ่ยฉุยแฉกไปด้วยการหน้าไหว้หลังหลอก ไม่รู้จักเก็บรักษา ให้เหลือ ทำการงานในบ้านเรือน สักว่าขอไปที ใช้เวลานอนั้น เพื่อความสนุกเพลิดเพลินส่วนตัว"

สมัยที่ว่านี้ ได้มาถึงแล้ว มิใช่ปลายสมัย แต่เป็นต้นสมัย กล่าวคือ เด็กหญิงไม่ต่ำกว่า ๕๐เปอร์เซนต์ ที่สาละวนอยู่กับการแต่งกาย การแต่งงาน ได้เป็นไปอย่างง่ายดาย และ เลิกกันไปง่ายดายเช่นเดียวกัน ยิ่งอารยธรรมฝ่ายวัตถุ แผ่ไปถึงไหน ที่นั่นก็เป็นเช่นที่กล่าวนี้ สำหรับกรณีย์ ชอบดื่มน้ำเมา ยังมิสู้เท่าไรนัก คงมีในหมู่หญิงที่เข้าสมาคมต่าง ๆ เท่านั้น สมัยที่ว่านี้ จึงยังไม่ถึง แต่อนาคตจะบอกความจริงต่อไป

กรณีที่จะยั่วบุรุษให้หลงใหล ก็ได้เกิดขึ้นแล้วประปราย วันข้างหน้า เชื่อว่า จะต้องขยายขอบ เขตกว้างขวางออกไป

กรณีที่ไม่ใส่ใจบ้านเรือน นับว่ากำลังขยายวงกว้างออกไป ผู้ดี ผู้มีการศึกษาดี มีตำแหน่งสูง หรือ ผู้มีเงิน เอาใจใส่ในเรื่องบ้านเรือนน้อย เพียงออกคำสั่งเท่านั้น การบ้านเรือน ไม่มีความหมายสำหรับคนประเภทนี้

เราพอพูดได้เต็มปากว่า หญิงสมัยใหม่ นิยมใช้เวลาไปใน ความสนุกสนานมากกว่า การทำงาน ในบ้านเรือน ถือกันว่า เป็นงานต่ำ เป็นงานของคนใช้ในครอบครัว ตัวเองต้องไว้เล็บให้ยาว ตัดให้สวย ขัดให้เป็นเงางาม ทาสีต่างๆ ซึ่งเป็นปฏิปักษ์กันกับงานครัว ผู้ที่ยังต้องเข้าครัว ก็เพราะ ความจำเป็นของฐานะ ที่ยากจน หรือ ไม่มีใครทำแทนเท่านั้น นี่ว่ากันโดยทั่วๆ ไป มิได้หมายถึงหญิงทั่วไป

อย่างไรก็ดี สำหรับข้อนี้เป็นของแน่ว่า ถ้าโลกอนาคต ได้เลิกละศีลธรรม จารีตประเพณี อันดีที่มีมาแต่เดิมแล้ว สภาพของสังคม ก็ต้องเป็นเช่นที่กล่าวมานั้น แต่สมัยนี้สภาพเช่นนั้น โดยทั่วๆ ไป ยังไม่เกิด

(เพิ่มเติม...มาถึงยุคสองพันนี้ จะเห็นได้ว่า เมื่อระบบประชาธิปไตยมีมากขี้น สถานภาพของ ผู้หญิงก็เปลี่ยนไป มีการยกฐานะเท่าเทียมผู้ชาย และผู้หญิงสมัยนี้ ก็มีวี่แววจะเป็นไปตามคำทำนาย ของพระพุทธองค์ ที่ได้ทรงพยากรณ์เอาไว้ สังเกตุได้ว่า ผู้หญิงสมัยนี้ มีการแต่งงานเร็ว หย่าร้าง เร็ว และ ไม่รู้จักการบ้านการเรือน บางคนมีอายุยังไม่ถึงยี่สิบ ด้วยซ้ำ ก็มีคู่แล้ว และ ไม่รู้จักทำมาหากิน บางคนก็อาศัยรูปร่างหน้าตา เมื่อผู้ชายหลงใหล ได้กันแล้ว ก็ไม่สนใจ เอาแต่ แต่งตัว ไปวันๆ หนึ่งเท่านั้น ผู้ชายก็หาเงินให้ใช้ บางคนก็ลักลอบมีชู้ โดยไม่ให้สามีรู้ นำทรัพย์สิน ที่ได้จากสามี ไปให้ชายชู้ ดังที่เป็นข่าวเห็นรู้กันอยู่ ดังนั้น พึ่งระวังสังวรเอาไว้ให้ดี คำพยากรณ์ ขององค์สมเด็จพระภควัน ย่อมเป็นหนึ่ง ไม่เป็นสอง เมื่อพระองค์ทรงตรัส ทำนายไว้อย่างไร ก็จะเป็นไปตามคำทำนายนั้นแน่นอน )


อยู่เย็นเป็นสุข
santisuk
ดอกไม้
 
suntisuk
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 28 พ.ค.2007, 6:37 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

๘. หนึ่งฝันว่า ประชาชน ขนน้ำ ช่วยกันปล้ำ เทส่ง ลงตุ่มใหญ่
ตุ่มน้อย ร้อยพัน เรียงกันไป หามีใคร เข้าใส่ แต่สักคน
พระวรญาณ โปรดประทาน ประกาศิต แนะนิมิต ทายเข็ญ ให้เห็นผล
ว่าภายหน้า เสนา เป็นนายพล ราษฏรจะ ปนทรัพย์ ใส่ตุ่มโต
ยิ่งมีก็ ยิ่งได้ ออกเหลือล้น ยิ่งจนก็ ยิ่งยาก ลงอักโข
จะรุ่งงาน ตระการหน้า แต่พาโล ที่ซื่อก็ จะโซ ดังตุ่มน้อย

พระสุบิน และ คำพยากรณ์ ต่อไปนี้เป็นเรื่องของภาษีอากร ซึ่งการเสียภาษีนี้ เป็นเรื่องที่มีกันมาตั้งแต่โบราณกาลแล้ว เป็นแต่ว่าบางยุคบางสมัย ก็หนักขนาดที่เรียกว่า "ภาษีอาน" แต่บางสมัยก็เบา พระสุบินว่า

"มีโอ่งน้ำใหญ่ ตั้งอยุ่ใบหนึ่ง มีโอ่งเล็กหลายใบ ตั้งอยู่รอบๆ มนุษย์ มาจากทิศต่าง ๆ ตักน้ำใส่โอ่งใบใหญ่ใบเดียว จนล้น ก็ยังตักใส่อีก ส่วนโอ่งใบเล็กๆ แม้จะแห้ง ก็ไม่มีใครตักใส่เลย"

พระสัพพัญญูพระพุทธเจ้าทรงทำนายว่า "จักมีสมัยหนึ่ง ราษฏรจักต้องหารายได้ เพื่อบำรุงพระราชา หรือ รัฐบาลโดยส่วนเดียว โดยไม่คำนึงถึงความมั่งมี หรือ ความยากจน ถูกเก็บภาษีกันถ้วนหน้าฯ"

เรื่องนี้ อาจจะหมายถึง ประเทศที่ปกครองโดยระบอบคอมมิวนิสต์ก็ได้ ซึ่งกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินไม่มี ทำอะไรได้เป็นของรัฐบาลหมด และ ทำงานตามโครงการของรัฐ แต่ว่า รัฐปกครองด้วยลัทธินี้ ราษฏรไม่มีความมั่งมี หรือ ความยากจน คงเป็นคนของรัฐ ทำงานตามโครงการของรัฐ คล้ายกับเป็นเครื่องจักร อย่างไรก็ดี อาจจะหมายถึง บางประเทศ ในบางสมัยก็ได้ ที่เก็บภาษีบางอย่างจากคนทั่ว ๆ ไป โดยไม่มีข้อแม้เกี่ยวกับฐานะ กล่าวคือ มั่งมีหรือยากจน ว่าโดยทั่วๆ ไป สำหรับสมัยนี้ ประเทศประชาธิปไตย และ เผด็จการต่างๆ ยกเว้นประเทศที่ปกครองด้วยระบอบคอมมิวนิสต์ การเก็บภาษี ย่อมคำนึงถึงประเภทของอาชีพ ซึ่งหมายถึง รายได้เฉพาะอย่างๆ ไป ไม่ได้เก็บเสมอกันหมด สำหรับอนาคตอาจเป็นได้ สำหรับเวลานี้ อารยประเทศ ทั้งหลายเท่าที่ทราบ กัน ยังไม่มีสภาพภาษีดังกล่าวนี้


๙. หนึ่งฝัน ว่าสระ ปทุมมา มีหมู่กุ้ง กุมภา มัจฉาหอย
วารีรอบ ขอบใส มิใช่น้อย กลางกลับถอย ขุ่นข้น สุบินมี
พระทรงญาณ บรรหาร ให้เห็นเหตุ ว่าประเทศ ที่สุข เกษมศรี
กษัตริย์ทรง สืบพงศ์ ประเพณี เป็นบุรี ที่ประชุม ประชากร
จะแรมร้าง ว่างรก เป็นป่าแขม ทั้งคาแฝก แทรกแซม อยู่สลอน
ทางชล วิกลกลาย เป็นชายดอน ราษฏร์จะร้อน แรมสุข ทุกเดือนปี
ด้วยกรรม แห่งสัตว์ วิบัติเป็น ไม่เคยเห็น ก็ได้เห็น เป็นถ้วนถี่
น้ำกลาง ขุ่นข้น คือมนตรี จะย่ำยี บีฑา ประชาชน
จะรุกราน แก่ไพร่ ใช้ระดม คิดขี่ข่ม เอาทรัพย์ อยู่สับสน
ในเรือน นอกเรือน ใช้เปื้อนปน สุททน จะทาน ด้วยการรุม
การหลวงแล้ว ก็ให้ ทำนายการ พวกไพร่ราษฏร์ พลัดพราก เข้าส้องสุม
จะหลบลี้ หนีหน้า เข้าป่าชุม ประคองคุม พวกเข็ญ ค่อยเย็นใจ

พระราชาทรงโสมนัสในพระพุทธฏีกาแล้ว ได้ทูลถามถึงความหมายในสุบิน ข้อต่อไปว่า "มีสระน้ำใหญ่อยู่สระหนึ่ง ฝูงสัตว์ทุกชนิด ได้พากันลงไปกินน้ำในสระนั้น น้ำที่ลึกๆ ในกลางสระกลับขุ่น เป็นโคลนตม ส่วนที่ริมขอบสระกลับใสแจ๋วเย็นสะอาด"

พระพุทธองค์ทรงพยากรณ์ว่า "จักมีสมัยหนึ่ง เมืองหลวง จักไม่เป็นที่อาศัยอันผาสุก มหาชนจักพากันหลีกออกไปหาที่อาศัย อันสำราญตามชนบท เมืองหลวงมีแต่ความยุ่งยาก ชนบทจะมีแต่ความเยือกเย็นสบายดี เมืองหลวงถูกบีบคั้นด้วยโจรภัย ราชภัย เป็นต้น ชนบทบ้านนอก จะเต็มไปด้วยความเมตตากรุณา"

ว่าตามหลักสังคมวิทยา นครหลวง ย่อมเป็นที่อยู่ของคนหลายชาติ หลายภาษา ต่างศาสนา ต่างลัทธิ ประเพณี ซึ่งต่างจากชนบท ซึ่งเกือบทั้งหมด เป็นคนถือศาสนาเดียวกัน มีจารีตประเพณีภาษาเดียวกัน ดังนั้น ความเมตตากรุณา จึงหาได้ยากในเมืองหลวง แต่มีอย่างอบอุ่นในชนบท ความยุ่งยากนั้น ไม่จำเป็นต้องกล่าวถึง นครหลวง ย่อมเต็มไปด้วยแหล่งทรุดโทรมนานาชนิด สมัยปัจจุบัน ในนครหลวง ท่านไม่มีญาติ ไม่มีคนรู้จัก ไม่มีเงิน ท่านจะไม่มีข้าวกิน ต้องนอนข้างถนน เจ็บป่วยก็ไม่มีใครเหลียวแล นอกจากเมื่อตายแล้ว องค์การสาธารณกุศล ก็จะได้รับแจ้งให้มาเก็บศพไปเผา ตรงกันข้าม ถ้าเป็นขนบท ท่านจะได้รับความอนุเคราะห์ หรือ ข้าวปลาอาหาร ที่อยู่หลับนอน ก้มีใครให้หยุกยา ด้วยความเมตตากรุณา หากตายลงไปก็จะมีการเผาศพ มีผู้จัดการศพ ยิ่งเป็นชนบทที่ห่างไกลความเจริญเท่าไร ความอบอุ่นในไมตรีจิต ยิ่งจะมีมากขึ้นเท่านั้น ส่วนที่เป็นเมืองใหญ่ แม้จะมิใช่นครหลวง ก็เหมือนๆ กับนครหลวง เป็นแต่ดีกว่าบ้าง


อยู่เย็นเป็นสุข
santisuk ดอกไม้
 
suntisuk
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 29 พ.ค.2007, 8:14 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

๑๐. หนึ่งฝันว่า คนหนึ่ง นั่งหูงข้าว หม้อเดียวเล่า หลากล้น พ้นวิสัย
บ้างดิบบ้างสุก คลุกระคน ปนกันไป บ้างเปียก บ้างไหม้ ไม่มีดี
พระแย้มโอษฐ์ โปรดพุทธฏีกา ว่าเทพา อารักษ์ บุรีศรี
พระเสื้อเมือง ทรงเมือง เรืองฤทธี ประเพณี พลาดเพลี่ยง ไม่เที่ยงทัด
เทวันอัน รักษา พระศาสนา จะรักษา แต่คน ที่อาสัตย์
ผู้มีศีล ก็จะเสีย ศีลวัตร มิตรรัก จะตัด ความรักตน
ประชาราษฏร์ จะอาพาธ เพราะความไข้ เกิดมรณภัย ทุกแห่งหน
ประเพณี ปีเดือน ก็เปื้อนปน ฤดูฝน หนาวร้อน ก็ผ่อนไป

พระสุบินนิมิตของพระราชา อันดับต่อมามีว่า "ข้าวสุกที่หูงในหม้อเดียว ข้างหนึ่งสุก อีกข้างหนึ่งสุกๆ ดิบๆ อีกข้างหนึ่ง ยังดิบเป็นข้าวสารอยู่"

ทรงพยากรณ์ว่า
"สมัยหนึ่งข้างหน้า พระราชา ราชตระกูล มหาอำมาตย์ (ข้าราชการต่างๆ) และ ราษฏรทุกคน พากันถืออำนาจเป็นธรรม ไม่เคารพในหลักธรรม แม้พวกเทพเจ้า ที่มีความสัมพันธ์กับมนุษย์ ก็พลอยเป็นเช่นนั้น ด้วยเมื่อสภาพการณ์เป็นเช่นนี้ แม้ในรัฐเดียวกัน (เมืองหรือตำบลเดียวกัน) ฝนก็ตกเฉพาะส่วนใดส่วนหนึ่ง บางส่วน ฝนไม่ตกเลย บางส่วนตกเพียงเล็กน้อย"

นี่เป็นเรื่องฝนตกไม่ทั่วฟ้า ธรรมชาติก็พลอยเป็นไปตามคนด้วย คือ ไม่มีความยุติธรรม มีใจลำเอียงเต็มไปด้วยอคติ ไม่เที่ยงธรรม ว่ากันในด้านมนุษย์ เมื่อไม่ถือธรรม ความยุติธรรม เป็นใหญ๋ ก็ถือเอาความพอใจเป็นใหญ่ ทำอะไรก็เพื่อตัวเอง เพื่อพวกพ้อง โดยไม่คำนึงว่า นั่นมันเป็นการให้ทุกข์แก่คนอื่น เป็นวิสัยของสัตว์ป่า เมื่อเป็นดังนี้ ก็ตกอยู่ในทำนองว่า ใครดีใครได้ มือใครยาวสาวได้สาวเอา รู้รักษาตัวรอดเป็นยอดคน ความทารุณจะมีอยู่ทั่วไปทุกหนทุกแห่ง ในระหว่างฝ่ายมีอำนาจ กับ ฝ่ายหือไม่ขึ้น


๑๑. หนึ่งฝันเห็น ว่าแก่น จันทน์แดง ราคาแพง เลิศล้ำ ในต่ำใต้
ชายเขลา เอามา ไม่แจ้งใจ จะเอาไป แลกนมโค เสียง่ายดาย
ทรงพุทธทำนาย ภิปรายโปรด ภายหน้าโสด หมู่สงฆ์ สิ้นทั้งหลาย
จะแนะนำ พระธรรม อันเพริดพราย เที่ยวเร่ขาย แลกทรัพย์ มาซื้อกิน
ไม่อดสู ดูร้าย ละอายบาป นิยมหยาบ เอื้อมอาจ ประมาทหมิ่น
ก่อกรรม ทำตน ให้มลทิน เหมือนหนึ่งกิน ยาตาย ไม่หมายเป็น

พระราชาทูลถามถึงความหมายแห่งพระสุบินอันดับที่ ๑๑ ทรงฝันว่า

"มีประชาชนพวกหนึ่ง นำแก่นจันทน์อย่างดีมีราคาสุง เป็นจำนวนมาก เอาไปแลกกับนมเปรี้ยวอย่างเลวๆ เพียงหม้อเดียวเท่านั้น"

ทรงพยากรณ์ว่า

"จักมีสมัยหนึ่ง นักบวชในศาสนานี้ ได้ศึกษาเล่าเรียนธรรมวินัยของตถาคต ซึ่งมีวิมุตติเป็นคุณค่าอันล้ำเลิศ ด้วยพากันนำเอาไปแลก ลาภผล หรือ เครื่องสักการะบูชา ด้วยเห็นแก่ปาก แก่ท้อง แม้เพียงเล็กๆ น้อยๆ เขาจะนำเอาคำสอนของตถาคต ที่ตำหนิติเตียนความโลภ ไปแสดงแก่มนุษย์ทั้งหลาย ให้ละความโลภนั้นๆ โดยสละปัจจัยลาภแก่คนอลัชชีเหล่านั้น เมื่อไม่อาจถอนตนออกจาก ความเป็นทาสแห่งความโลภ หรือ ไม่สามารถจะตั้งอยู่ในธรรม อันเป็นฝักฝ่ายแห่งพระนิพพาน ได้แล้ว ก็จะอาศัย ความรู้ทาง อรรถพยัญชนะ หรือ อาศัยเสียงอันไพเราะ ของตนแสดงธรรม ทายกผู้หลงใหลในความรู้ หรือ ติดในเสียง ก็จะนำไทยทานเป็นอันมากมาให้ อลัชชีบางพวกจะนั่งแสดงธรรม เรื่อง พระนิพพาน ตามข้างถนนหนทาง หรือ ตามประตูพระราชวัง เขาจะนำเอาธรรมที่ตถาคตแสดง อันประกอบด้วยคุณค่าอย่างสูงสุด เพราะ อาจจะยังเวไนยสัตว์ให้บรรลุพระนิพพาน ที่เขาได้เล่าเรียนแล้วเหล่านั้น ไปแลกลาภสักการะ คือ เงินทองเพียงเล็กน้อยเท่านั้น"

สมัยที่ว่านั้น บัดนี้ได้มาถึงแล้ว คือ มีนักบวชบางคน ได้อาศัยธรรมของพระพุทธเจ้า สอนให้คนบริจาคทานด้วยวิธีต่างๆ แต่ท่านผู้แสดงเอง เป็นผู้ได้รับปัจจัย และ กลายเป็นคนมีเงินทองมากมาย บางท่านก็ครองชีวิตอย่างเศรษฐี ทั้งๆ ที่ฐานะเดิม ไม่ได้มีอะไรมาก่อน มีของประดับห้องรับแขกหรูหรา มีเครื่องให้ความสำราญ เช่น โทรทัศน์ ตู้เย็น รถยนต์ส่วนตัว หรือ มีเงินให้เขากู้ ผู้ที่ชอบชักชวนให้คนมีเงินบริจาคเงินทองในการก่อสร้าง หรือ ทำบุญอื่นๆ แต่ผู้ชักชวน กลับเป็นคนตระหนี่เหนียวแน่น ทั้งๆ ที่มีเงินมีทองสะสมไว้มากมาย ไม่ยอมบริจาคเพื่อการสาธารณกุศล หรือ ศาสนาเอาไปหาประโยชน์ เพื่อตนหรือพวกพ้อง

"พระสงฆ์ มีพระธรรมและพระวินัยเป็นหลัก" บางท่านว่า "เป็นของดีและทันสมัยยิ่งกว่าความเปลี่ยนแปลงใดๆ ของโลกภายนอกศาสนา" แต่ทำไม ผู้อยู่ในพระวินัย และ พระธรรม คือ นักบวช จึงไม่สามารถบริหารกิจการของสงฆ์ให้นำหน้า สังคมนอกวัด เช่น บางสมัยเล่า? ข้อที่ชาวพุทธจะปฏิเสธไม่ได้ ก็คือ ปัญหาการเรี่ยไรเงินด้วยวิธีต่างๆ ซึ่งเป็นที่หนักใจของชาวพุทธ เป็นอันมาก แต่ว่าพูดไม่ออก จนบางคนต้องปิดประตูบ้าน

พฤติการณ์ดังกล่าววนี้ เกิดจากพระสงฆ์เพียงหมู่น้อยก็จริง แต่มีความกระทบกระเทือนมากทีเดียว มีส่วนทำให้พุทธศาสนิกชนชาวบ้านไม่มาหาสู่กับพระ นอกจากเมื่อจำเป็นจริงๆ เพราะ กลัวจะชักนำให้บริจาคเงินเพื่ออันโน่นอันนี่ พุทธศาสนิกประเภทนี้ เป็นคนมีศรัทธาในพระพุทธศาสนาอย่างแท้จริง มีฐานะดี ได้มีศรัทธาน้อยถอยลง เพราะเหตุนี้ มากต่อมาก ขาดกำลังสำคัญ สนับสนุนพระพุทธศาสนาไปอย่างน่าเสียดาย

(เพิ่มเติม ยังมีอีกข้อหนึ่งนั่นคือ การที่นำเอาพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า มาสั่งสอน ด้วยเสียงอันไพเราะ เพื่อหวังสิ่งตอบแทน ไม่ว่าจะเป้น ชื่อเสียง ลาภสักการะ หรืออื่นๆ ที่ตามมาจากความศรัทธาของชาวบ้าน บางทีก็บิดเบือนคำสอนของพระองค์ เช่น ในเรื่องนิพพาน เป็นอัตตา ซื่งเป็นข่าวเมื่อไม่กี่ปีมานี้ เป็นต้น หรือ เรื่องอื่นๆ ที่จะนำมาเสกสรรปั้นแต่ง จนเนื้อหาสาระแห่งพระธรรมคำสอน ต้องถูกบิดผันไปต่างๆ นาๆ บางรูป ก็สอนในเรื่องนิพพาน ซื่งบางทีก็ยังไม่ได้ไม่ถึง แต่กลับสอนเหมือนว่าตนได้ตนถึง และ อีกมากมายที่มีในสมัยนี้ ฉะนั้น พึงพิจารณาให้ดี โดยนำพระธรรมที่แท้จริงมาเปรียบเทียบดูว่า เข้ากันได้หรือไม่ หากเข้ากันได้ ก็นับว่าน่าเชื่อได้ อีกอย่างหนึ่ง พฤติกรรมของพระสงฆ์ ในปัจจุบันนี้ ก็เริ่มจะเป็นไปตามคำทำนาย เกือบทั้งสิ้น ซึ่งนับว่ายาก ที่จะหาพระสงฆ์ที่ เป็น สุปฏิปันโน อุชุปฏิปันโน ญายปฏิปันโน และ สามีจิปฏิปันโน ได้น้อยเต็มที)


suntisuk ดอกไม้
 
suntisuk
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 30 พ.ค.2007, 10:20 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

๑๒. หนึ่งฝันเห็น น้ำเต้า จมชล ดูวิกล ไม่เคยพบ ประสบเห็น
พุทธบรรหารว่า นานไป จะเกิดเป็น ที่ข้อเข็ญ ของสัตว์ วิบัติมี
คือนักปราชญ์ ผู้รู้ธรรม จะต่ำต้อย พาลาลอย เฟื่องฟู ชูศักดิ์ศรี
ฝูงพงศา ตระกูล ประยูรมี จะลับลี้ เสื่อมสูญ ประยูรยศ
คนพาลจะ ร่าเริง บันเทิงหน้า เจรจา ผิดธรรม ไปจนหมด
ใครปากปลิ้น ลิ้นลม เป็นคนคด รู้โป้ปด กลอกกลับ จึงนับกัน

พระสุบินข้อที่ ๑๒ มีเนื้อความว่า น้ำเต้าแห้ง กลวง เปล่า ซึ่งตามธรรมดา ย่อมจะลอยน้ำ แต่กลับจมดิ่งลงในน้ำ"

ทรงพยากรณ์ว่า

"จักมีสมัยหนึ่ง ข้างหน้า โลกจะแปรปรวน จนถึงกับนิยมเชื่อถือคำของ คนคดโกง ในราชสำนักก็ดี ในที่วินิจฉัยความก็ดี ถ้อยคำของคนเท็จ วาจาของคนประจบสอพลอ จะได้รับความเชื่อถือ ในท่ามกลางแห่งสังฆสันนิบาต คนทุศีล อาศัยศาสนาหากิน จะเป็นผู้มีเสียงดัง มีคนเชื่อฟังถ้อยคำของเขา เหมือนหนึ่งว่า จะนำสัตว์ออกจากทุกข์ ไปสู่พระนิพพานได้ ส่วนผู้มีศีลบริสุทธิ์ประพฤติตนตรง ปฏิบัติชอบ จะไม่มีเสียง ดุจว่า ไม่มีถ้อยคำที่จะยังผู้ฟัง ให้ออกจากทุกข์ได้ แม้ในการตัดสินอธิกรณ์ เป็นต้น ก็ทำนองเดียวกัน"

โลกแปรปรวนทีเดียว ถ้าวงการต่างๆ ตกอยู่ในอำนาจ ลิ้นที่มดเท็จ คนโกง หรือ คนประจบสอพลอ จะได้รับความเชื่อถือ เป็นประเด็นหนึ่ง คนทุศีล จะมีชื่อเสียง มีคนนับถือ ส่วนผู้มีศีลบริสุทธิ์ ไม่มีชื่อ ไม่มีคนนับถือ

พระพุทธทำนายข้อนี้ แบ่งออกเป็น ๒ พวก คือ พวกข้าราชการทั้งตุลาการ ด้วยพวกหนึ่ง กับ พวกนักบวชอีกพวกหนึ่ง สมัยใดที่คนโกงทุจริตต่อหน้าที่ คนขาดความรู้ทำงานไม่เป็น คอยประจบสอพลอเจ้านายให้เจริญก้าวหน้าในตำแหน่ง หรือ พระสงฆ์ผู้ทุศีล มีคนนับหน้าถือตา เชื่อถ้อยคำ สงฆ์ผู้ทรงศีล ไม่มีคนเหลียวแล ไม่นับถือ ก็หมายความว่า สมัยนั้น เป็นสมัยที่ความดี หรือว่า ศีลธรรม ไม่มีความหมาย ผลประโยชน์ที่จะเกิดแก่ส่วนตัวเป็นสำคัญ ความดี คือ ผลประโยชน์ร่วมกัน การเสียสละ การประพฤติความดี เป็นความเสีย คนโง่เท่านั้นจะพึงใจ ความดีตามหลักศีลธรรม และ จารีตประเพณี อันดีงาม

ผลประโยชน์นั้นแหละ คือ ศาสนาแห่งชีวิต ใครให้ผลประโยชน์ได้ คนนั้น คือ คนดี ใครให้ผลประโยชน์อะไรไม่ได้ คนนั้น ก็คือ คนเลว ไม่ควรจะอยู่ร่วมสังคมด้วย สำหรับชาวบ้านก็ไม่สู้เท่าไร ที่ถือเอาผลประโยชน์ เป็นเกณฑ์ลงว่า ชาววัดเองก็นิยมนับถือคนทุศีล ตัดสินคดีด้วยอคติ ภิกษุมีศีล ไม่เป็นที่นิยมนับถือ สนใจของใครๆ แล้ว โลกก็คงจวนจะแตกดับเต็มทีแล้ว


๑๓. หนึ่งฝันว่า ศิลา นั้นลอยน้ำ ประหลาดล้ำ หลากใจ ที่ในฝัน
พระทรงญาณ บรรหาร ให้เห็นพลัน ภายหน้านั้น ผู้มีศักดิ์ จะรักพาล
จะยกย่อง หมู่ทรชาติ อันต่ำช้า เป็นเอก อัครเสนา ในสถาน
ให้ยศศักดิ์ สืบสาย เป็นนายการ ได้ท่วงที พวกพาล สำราญใจ

เมื่อพระราชาได้สดับคำพยากรณ์ โดยลำดับแล้ว จึงได้ทูลสุบินนิมิต ข้อต่อไป มีเนื่อความว่า "ศิลาใหญ่แท่งทึบ โดยประมาณเท่าตัวเรือน ลอยฟ่องอยู่เหนือน้ำ ประหนึ่งเรือสำเภา ที่มิได้บรรจะสินค้า"

พระพุทธองค์ ได้ทรงทำนาย พระสุบินนิมิต ของพระราชา ในอันดับต่อมา

"จักมีกาลสมัยหนึ่ง โลกแปรปรวน คนตระกูลสูงสุด ตกยากโดยมาก ส่วนตระกูลต่ำจะกลับมั่งมี และ ไม่เคารพคนตระกูลสูง ในที่ประชุม คนตระกูลต่ำ จะพูดเยาะเย้ย ถากถาง เหน็บแนม คนมีตระกูลสูง ในท่ามกลางแห่งสังฆสันนิบาต เช่นกัน พวกอลัชชี จะพูดข่มขู่ข่มเหง เยาะเย้ย ถากถาง เหน็บแนม ภิกษุ ที่เป็นลัชชี"

ข้อที่ ๑๓ นี้ คล้ายคลึงกับข้อที่ ๑๒ อยู่บ้าง เฉพาะ อย่างยิ่ง ตอนว่าด้วยเหตุการณ์ ในสังฆสันนิบาต ภิกษุอลัชชี ไม่มีศีล มีสัตย์ ข่มขู่เยาะเย้ยภิกษุที่มีศีล

เรื่องของคนตระกูลสูง ตกยากโดยมาก คนตระกูลต่ำ กลับมั่งคั่ง เป็นเรื่องของอนิจจัง เป็นธรรมดาอยู่เอง ทายาทแห่งผู้มีตระกูลสูง มีความประมาทในชีวิต คิดว่ามีตระกูลสูง ฐานะดีแล้ว ใช้จ่ายทรัพย์สุรุ่ยสุร่าย หรือ ไม่เอาใจใส่ ต่อการงาน การศึกษาเล่าเรียน ตระกูลนี้ ก็จะยากจนลง เมื่อความยากจนเข้าครอบงำแล้ว ความเป็นผู้มีตระกูลสุง ก็ย่อมจพลอยหมดความหมายไปด้วย ในชีวิตในสังคม คนที่เดิม แม้จะมีตระกูลต่ำ แต่อาศัยความขยันอดทน ได้รับการศึกษาสูง ตำแหน่งสูง ก็ย่อมจะไม่เคารพคนตระกูลสูง แต่ตำแหน่งต่ำกว่า หรือ ยากจนกว่า ถ้ามีความไม่พอใจอะไรเกิดขึ้น ย่อมจะพูดจาถากถาง

สังฆมณฑล ก็เช่นเดียวกัน ถ้าสังคมสงฆ์ เป็นเช่นที่กล่าวมาในพุทธทำยแล้ว ก็เป็นธรรมดาอยู่เอง เมื่อเข้าประชุมกัน ถกเถียงปัญหาต่าง ๆ ฝ่ายทุศีล ย่อมจะเสียงแข็ง เพราะ มีชื่อเสียง และ เป็นที่นับถือ ฝ่ายภิกษุมีวาสนาน้อย ก็ต้องหวานอมขมกลืน เพราะ มีพวกน้อย ไม่มีใครสนับสนุน

suntisuk
 
suntisuk
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 01 มิ.ย.2007, 10:36 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

๑๔ หนึ่งฝัน ว่ากบ ขบงูร้าย กัดตาแย แล้วกิน จนสิ้นไส้
พระแย้มโอษฐ์ โปรดตรัส ภิปรายไป ภายหน้าไซร็ หญิงพาล จะรานชาย
จะข่มขี่ด้วย ลมลิ้น ให้ผัวกลัว จะใช้ผัว เทียมทาส ดังมาดหมาย
ผัวสมาน น้ำใจ มิได้ระคาย หญิงกับร้าย ยิ่งลาม คำรามรน

พระราชาทรงสุบินข้อต่อมาว่า "นางเขียดน้อย ไล่ตามงูเห่าตัวมหึมา แล้วกลืนกินเสีย ประดุจจะว่า กลืนกินก้านหน่อบัว ฉะนั้น"

พระพุทธองค์ มีพุทธฎีกาว่า

"สมัยหนึ่ง ในอนาคต บุรุษ จะตกอยู่ในอำนาจสตรี เพราะ ความหลงใหลในกามคุณ ทรัพย์สมบัติก็ดี ข้าทาสกรรมกรก็ดี จะอยู่ในเงื้อมมือแห่งหญิง ผู้เป็นแม่เรือนทั้งหมด เลยเป็นเหตุให้เล่นตัว เย่อหยิ่ง มีอำนาจเด็ดขาดเหนือสามีตน สามีนั้นจะไม่กล้าปริปากอะไรเลย แม้แต่นิดเดียว"

โลกสมัยที่ว่านี้ เข้าใจว่ายังคงอีกไกลมาก ปัจจุบันจะมีอยู่บ้างก็น้อยเต็มที เช่น ประเภทหลงเมีย จนต้องห่างเหินจากพี่น้องพ่อแม่ หรือ โหดร้ายต่อลูกเก่าที่แม่เขาได้ตายไปแล้ว ได้เมียใหม่ หญิงที่หลงผัว ซึ่งอาจจะเป็นผัวแก่ พ่อม่าย หรือ ชายที่ตนไม่รัก แต่จำต้องแต่งงานด้วยเท่านั้น ก็มีโอกาสเล่นตัว เย่อหยิ่ง มีอำนาจเหนือสตรี สามีไม่กล้าปริปากพูดอะไร


๑๕. หนึ่งฝันว่า พระยา เหมราช เข้าปนฝูง กากาจ น่าฉงน
เคารพ นบนอบ แล้วยอบตน เข้าระคน คบค้า กับกาพาล
สมเด็จพระ สรรเพ็ชร์ โมลีโลก จึงเผยพุทธ วาที ทรงบรรหาร
ว่าผู้ดี มีตระกูล จะกันดาร คนพาล ย่ำยี ผู้ปรีชา
สันดาน ต่ำต้อย จะได้ดี จะข่มขี่ ผู้มี ซึ่งพงศา
คนปราชญ์ จะหลีก กลัววาจา พวกพาลา ได้ที่ ไม่มีอาย

ทรงสุบินข้อที่ ๑๕ มีใจความว่า "หงส์ ที่เป็นราชา สีทองทั้งมวล เที่ยวแห่ล้อมอีกาไปทุกแห่ง"

ทรงพยากรณ์ว่า "สมัยหนึ่ง ซึ่งตระกูล คือ เชื้อพระวงศ์ ไม่ได้รับการเลี้ยงดูจากพระราชา โดยที่พระราชาทรงระแวง จึงคิดตัดกำลังเสีย หรือ ด้วยเหตุอื่นก็ตาม ราชตระกูล คือ เชื้อพระวงศ์ทั้งหลายต้องหันหน้าไปพึ่งคนชั้นต่ำ ซึ่งเป็นราษฎรสามัญ แต่เป็นผู้มีอำนาจได้รับการแต่งตั้งจากพระราชา"

คำพยากรณ์เหตุการณ์ข้อนี้ สืบเนื่องมาจากข้อ ๑๓ - ๑๔ และ เกี่ยวโยงกับข้อที่ว่าด้วย คนตระกูลต่ำได้รับการศึกษา ได้รับแต่งตั้งจากพระราชาในตำแหน่งสูง จึงมีอำนาจมากพอ คนประเภทนี้ มีอำนาจที่จะบริหาร ออกกฏหมาย หรือ สร้างระบอบสังคมต่างๆ เขาเหล่านั้นกลายเป็นคนมีอำนาจวาสนา ก็จำเป็นอยู่เองที่คนมีตระกูลผู้ดีมาก่อน ต้องเข้าหาหรือร่วมมือกับคนพวกนี้ ซึ่งเป็นผู้มีอำนาจในการควบคุมกิจการ ของบ้านเมืองด้านต่างๆ


๑๖. หนึ่งฝันว่า เนื้อนั้น ไล่เสือ พยัคฆ์เบื่อ เบือนหน้า เข้าป่าใหญ๋
จะมีพุทธ บรรหาร ประทานไว้ ว่าสานุศิษย์ ไซร้ จะสู้ครู
จะหักหาญ ผู้ใหญ่ ให้เป็นน้อย สำทับถ้อย ขี่ข่ม ควรขู่
ยกกาย ประกวด อวดอ้างรู้ จะลบหลู่ ลู่ธรรม ด้วยคำพาล
พระทรงศีล บริสุทธิ์ จะทรุดเศร้า ผู้เป็นเจ้า หลีกลี้ จากถิ่นฐาน

พระสุบินของพระราชาว่า "ฝูงเนื้อแพะทั้งหลาย ได้พากันจับเสือ มาเคี้ยวกิน เป็นอาหาร ประดุจ เนื้อเคี้ยวกินฟ่อนหญ้า เสือหนีเข้าป่าไป"

พระพุทธองค์ทรงพยากรณ์ว่า

"สมัยหนึ่งข้างหน้า มีพระราชาประพฤติผิดธรรม ทรงแต่งตั้งตระกูลต่ำให้มีอำนาจ ปราบปรามคนตระกูลสูง หรือ ชาติตระกูล ให้อยู่ในอำนาจของตน กดขี่ข่มเหงหรือ ขู่เอาทรัพย์สินเงินทอง ด้วยอำนาจอันคดโกง จนถึงกับต้องพากันหลีกไปซบเซาอยู่ในที่เงียบ อนึ่ง ภิกษุลามกทั้งหลายเล่า ก็จะพากันเบียดเบียน กดขี่ภิกษุผู้ประพฤติธรรม เมื่อเธอเหล่านั้น ไม่ได้รับความเป็นธรรม จากพระราชา หรือ ใครๆ ก็ตาม ซึ่งเป็นที่พึ่งของตนแล้ว ก็พากันหลบหนีไปอยู่ตามป่าตามดอย"

นี่เป็นข้อสุดท้ายแห่งพระสุบินนิมิต ที่ทูลถามพระพุทธเจ้า พร้อมทั้งคำพยากรณ์ ข้อสุดท้ายนี้ ก็เป็นข้อสืบเนื่องกันมาแต่ข้อต้นหลายข้อติดต่อกันมา และ เป็นข้อแสดงถึงผลของข้อเหล่านั้นทั้งฝ่ายบ้านและฝ่ายวัด ผลสุดท้ายเพียงว่า ฝ่ายปราชัยอำนาจเป็นธรรม ต้องหลีกหนีเข้าป่า เพราะ ทนความกดดันไม่ไหว หมายความว่า เมื่อฝ่ายตระกูลสูง และ พระสงฆ์ผู้มีศีล ทนต่อเหตุการณ์ที่กล่าวมาข้างต้นไม่ไหว ก็พากันปลีกตัวออกจากสังคมนั้นไป อยู่ตามที่ป่าเขาลำเนาไม้ ไม่อยู่ร่วมสังคมวุ่นวายนั้นต่อไป เพราะว่า จะต้องสู้ หรือ ขันแข่ง ก็หมายถึงความพินาศไปข้างหนึ่ง และ ฝ่ายข้างพินาศ ก็คือ ฝ่ายของตัวเอง ซึ่งมีพวกน้อย เพื่อความสงบสุขแห่งชีวิต จึงได้พากันหลีกไปอยู่ที่เงียบสงัด

ซึ่งบพิตร นิมิต สิบหกประการ ไม่มีเหตุ เภทพาล ในพระองค์
จะได้แก่ โลกทั้งหลาย ในภายหน้า วิจารณา จำไว้ อย่าลืมหลง
จะเสื่อมสูญ เมธี กวีวงศ์ และพงศ์เผ่า ประยูร ตระกูลพราหมณ์
จะเฟื่องฟู แต่พวก นิยมหยาบ แบกบาป หาบนรก ไว้เต็มหาม
กงกรรม ก็จะนำ สนองตาม ลงหน้าสุนัข แล้วถาม เมื่อยามตาย
พระรัตนไตร จะวิบัติ มัวหมอง ไม่แผ้วผ่อง รัศมี วิเชียรฉาย
ศักราช คำรบสอง พันปลาย จะต้องพุทธ ทำนาย ไว้แน่เอย ฯ

ได้ทรงตรัสสรุปว่า หลังจากอีกไม่นานปลายสมัยแห่งพุทธศาสนา จะมีเหตุการณ์ต่างๆ ดังที่ได้ทรงทำนายเอาไว้ เกิดขึ้นครบทั้งสิบหกประการ ซึ่งปัจจุบันนี้ คำทำนายบางข้อ ก็ได้เริ่มปรากฏให้เห็นบ้างแล้ว ผู้ที่ไร้ศีลธรรม จะได้ดิบได้ดี จะเป็นใหญ่มีอำนาจ จะกระทำบาปกรรม โดยไม่กลัวต่อผลแห่งบาปที่กระทำลงไปนั้น ผู้ที่มีสติปัญญา มีศีลมีธรรม ก็จะค่อยหายไปจากทีละน้อย จะเหลือแต่ พวกที่หยาบช้า ครองบ้าน ครองเมือง เท่านั้น ดังนั้น หากว่าได้นำไปตริตรองให้ดี จะเห็นว่า คำทำนายนี้ ได้ทำนายไว้ก่อนพระพุทธองค์ จะเข้าสู่ปรินิพพาน แสดงถึงพระสัพพัญญุตญาณ อันยอดเยี่ยมของพระองค์ ควรแก่การเลื่อมใส ศรัทธา เป็นที่ยิ่ง

ขอนอบน้อม พุทธะ ผู้เป็นเลิศ
จะขอเทอด ทูนไว้ อยู่เหนือเศียร
ด้วยเดชะ บารมี ที่ทรงเพียร
แม้จำเนียร กาลผ่านมา มิลืมเลือน

นอบน้อม คารวะ แด่ พุทธองค์ ผู้ทรงเป็นใหญ่เหนือมนุษย์ และ เทวดาทั้งปวง

ดอกไม้
 
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง