Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 เมื่อสูงอายุ - เมื่อสูงวัย (หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม) อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 07 พ.ค.2007, 3:00 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

Image

เมื่อความชราคือ ธรรมชาติของมนุษย์ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่ง
เป็นขบวนการซึ่งมีความต่อเนื่องมาตั้งแต่วัยหนุ่มสาว
เมื่อใดก็ตามที่มนุษย์มีอายุยืนยาวขึ้นนั้น
หมายความว่า มนุษย์ผู้นั้นต้องเผชิญกับความเปลี่ยนแปลง
ตามธรรมชาตินั้นหลีกเลี่ยงไม่ได้


ความเปลี่ยนแปลงที่พบได้ในวัยชรานั้น
พบได้หลายด้าน อาทิเช่น


๑. การเปลี่ยนแปลงทางสุขภาพอนามัย

ด้วยอวัยวะที่เสื่อมสลายประสิทธิภาพการทำงานย่อมลดลง
ผู้สูงอายุจึงอาจมีโรคต่างๆ ได้ง่ายกว่าคนทั่วไป
โรคเหล่านี้ล้วนมีสาเหตุมาจาก ความเสื่อมเสียเป็นส่วนใหญ่
ทั้งป้องกันได้และป้องกันไม่ได้
เช่น โรคสมองเสื่อม ข้อเสื่อม ความดันโลหิตสูง
โรคหัวใจ เบาหวาน มะเร็ง
แม้ไม่เป็นโรคประสิทธิภาพในการด้านอื่นๆ อาจลดลง
เช่น ขี้หลงขี้ลืม คิดช้า ความต้านทานโรคลดลง
การย่อยอาหารลดลง ทำให้เกิดอาการท้องอืดท้องเฟ้อ

๒. การเปลี่ยนแปลงทางด้านจิตใจ

ผู้สูงอายุจะพบกับการสูญเสียในสิ่งต่างๆ มากขึ้น
ซึ่งล้วนแต่เป็นขบวนการทางธรรมชาติเกือบทั้งสิ้น
เช่น การสูญเสียสมรรถภาพความแข็งแรงของร่างกาย
สูญเสียคู่ครอง เพื่อนสนิท ญาติ ผู้ใกล้ชิด
สูญเสียความเชื่อถือจากผู้อื่น จากการเกษียณอายุ
ญาติมิตร คู่ครอง ลูกหลาน แยกครอบครัวไปอยู่ต่างหาก
บางรายพึ่งตนไม่ได้ ภาวะต่างๆ เหล่านี้ ต้องการปรับตัวอย่างมาก
รายที่ไม่สามารถปรับตัวได้ดี จะเกิดโรคต่างๆ
เช่น วิตกกังวล หวาดระแวง ซึมเศร้า เป็นต้น
รายที่ปรับตัวได้พอสมควร อาจแสดงด้วย การจู้จี้ขี้บ่น
อารมณ์แปรปรวนง่าย

๓. การเปลี่ยนแปลงด้านสังคม

การเกษียณอายุจากงานที่ทำประจำ
ความแข็งแรงของร่างกายที่ลดลง
ความเจ็บป่วยจากโรคทางกายและใจ
ล้วนทำให้ผู้สูงอายุพึ่งตัวเองได้น้อยลง
การสูญเสียคู่ครอง เพื่อนฝูงในวัยเดียวกัน
ทำให้ต้องพึ่งอาศัยลูกหลานมากยิ่งขึ้น
ในภาวะสังคมปัจจุบันซึ่งครอบครัวไทยจำนวนมาก
ต่างแยกเป็นครอบครัวเดียวที่มีขนาดเล็กลง
ทำให้ผู้สูงอายุมีโอกาสถูกทอดทิ้งได้ง่าย

๔. การเปลี่ยนแปลงด้านเศรษฐกิจ

ความสามารถในการหารายได้ลดลง
ทำให้ผู้สูงอายุต้องอาศัยเงินทองหรือทรัพย์สิน
ที่สะสมมาตั้งแต่วัยหนุ่มสาวเพื่อการดำรงชีวิต
ผู้ที่สะสมทรัพย์สินไว้น้อยหรือไม่ได้สะสม
จึงจำเป็นต้องพึ่งพาผู้อื่น เช่น บุตรหลาน ญาติมิตร
โอกาสจะประสพปัญหาจึงมีมาก
การเปลี่ยนแปลงต่างๆ เหล่านี้
ล้วนเป็นการเปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติ
ซึ่งมนุษย์สามารถเรียนรู้และคาดการณ์ได้
การเตรียมตัวเตรียมใจไว้เผชิญความเปลี่ยนแปลงดังกล่าว
ต้องการเรียนรู้และศึกษาจากประสบการณ์
และแหล่งความรู้ต่างๆ จึงเป็นการเตรียมตัว
เพื่อการเป็นผู้สูงอายุที่อยู่ดีมีสุข


ดอกไม้ ดอกไม้ ดอกไม้
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 07 พ.ค.2007, 3:07 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ธรรมะกับผู้สูงอาย

ธรรมะรักษา คำว่า ธรรม
ในที่นี้ ขอให้ความหมายตามความเห็น
ของท่านพันเอกปิ่น มุทุกันต์ ว่าความถูก และความดี
ใครก็ตามปฏิบัติตนถูกต้องและดีงามก็ถือว่า
ผู้นั้นมีธรรมะหรือปฏิบัติตามธรรมะแล้ว

“คำว่าผู้สูงอายุ” ในที่นี้ ให้หมายเอาบุคคล
ที่มีอายุตัวหน้าเลข ๕ นำไปแล้ว แม้ว่าบางคนจะดูไม่แก่ไม่ชรา
เพราะเหตุว่าบริหารร่างกายและจิตใจดีก็ตาม

คนสูงอายุ ๓ ประเภท

ก. สูงอายุทางร่างกาย

ได้แก่ บุคคลที่ร่างกายเจริญเติบโตไปตามวัย
หรือตามธรรมชาติ พร้อมทั้งอายุสมองก็เจริญตามไปด้วย
ถ้าเกิดว่ามีใครอายุสมองเจริญไม่ทันร่างกายก็จะได้ชื่อว่า
เฒ่าทารก กล่าวคือ มีอายุร่างกายมากแล้ว
ยังไปทำอะไรๆ ให้ลูกๆ หลานๆ
อับอายหรือหัวเราะเยาะเอาได้

ข. สูงอายุทางสมอง

ได้แก่ บุคคลที่สมองเจริญเติบโตไปตามวัย
ไม่เป็นคนปัญญาอ่อน หรือประเภทที่เรียกว่า “เลี้ยงไม่รู้จักโต”
ถ้าสมองเจริญกว่าร่างกายเขาก็เรียกว่า แก่แดด
เรามักจะว่าเด็กที่รู้อะไรเกินวัยว่าเป็นเด็กแก่แดด
แต่ถ้าใครเกิดว่าอายุสมองเจริญมากเกินไป ก็เรียกว่า “อัจฉริยะ”

ค. สูงอายุทางคุณธรรม

ได้แก่ บุคคลที่ดำเนินชีวิตด้วยปัญญามีคุณธรรมประจำจิต
จัดว่าเป็นบุคคลที่มีแก่น หรือมีสาระแห่งชีวิต
เป็นคนสูงอายุที่มีค่าและประเสริฐ
ยิ่งมีอายุมากเท่าไรก็ยิ่งจะมีค่ามากขึ้นเท่านั้น
เพราะย่อมจะเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรให้ลูกๆ หลานๆ ได้พึ่งพิง
ถ้าเป็นมะพร้าวก็เรียกว่า ยิ่งแก่ยิ่งมัน

บุคคลที่สมบูรณ์จะต้องผนวกเอาทั้ง ๓ สิ่งที่กล่าวมาไว้ในตนให้ครบ
แต่ถ้าเกิดว่าใน ๓ สิ่งนี้มันจะขาดไปสัก ๑ หรือ ๒ ก็ตาม
ก็ควรจะเป็นข้อ ก. และข้อ ข. ตามลำดับ

ถ้าขาดข้อ ค. ไปเพียงข้อเดียวก็จะทำให้ทุกคน
มิใช่เฉพาะผู้สูงอายุเท่านั้นที่ไร้ค่า
หรือจะเรียกว่า เสียชาติเกิดก็คงจะไม่ผิดความจริงไปนักมิใช่หรือ
เพราะตามหลักธรรมะนั้น มิได้วัดค่าของคนที่ร่างกายหรือสมอง
แต่ท่านวัดคนที่คุณธรรม เพราะค่าของคนมิได้อยู่ที่ร่างกายหรือสมอง
แต่อยู่ที่สาระแห่งชีวิตหรือคุณธรรมที่มีอยู่ประจำอยู่ที่จิตใจ


สมกับค่าของคนสมัยก่อนที่ว่า
“คนเรามิได้แก่เพราะกินข้าว เฒ่าเพราะเกิดนาน” เท่านั้นดอก
แต่จะต้องเป็นคนสูงอายุเพราะมีสาระและคุณธรรมต่างหาก
ที่ยิ่งมีอายุมากขึ้นก็ยิ่งจะเป็นที่ภาคภูมิใจ
หรือเป็นหลักให้เกิดความอบอุ่นใจแก่ลูกหลาน หรือคนทั่วไป


ดอกไม้ ดอกไม้ ดอกไม้
 


แก้ไขล่าสุดโดย ลูกโป่ง เมื่อ 07 พ.ค.2007, 3:12 pm, ทั้งหมด 1 ครั้ง
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 07 พ.ค.2007, 3:09 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ธรรมะให้ความสุขแก่ผู้สูงอายุ

คนสูงอายุนั้น เมื่ออนุสรณ์ถึงชีวิตของตนเองว่า
ได้ทำดีไว้ให้ลูก ทำถูกไว้ให้หลานอย่างครบถ้วนแล้ว
ก็ย่อมจะเกิดปีติหล่อเลี้ยงจิตใจให้เกิดความสุขทางจิตใจได้

คนสูงอายุที่ไม่มีธรรมะนั้นมักจะรู้สึกว้าเหว่และสิ้นหวัง
เพราะยิ่งเมื่อสูงอายุมากขึ้นเท่าไร
ก็ยิ่งจะพึ่งตัวเองได้น้อยลงเท่านั้น
แม้ว่าจะมีเงินจ้างคนอื่นช่วย แต่ถ้าเราขาดคุณธรรมหรือไม่มีน้ำใจ
ก็จะหาคนรับจ้างยาก หรือไม่ทำด้วยน้ำใจ
ทำพอให้พ้นๆ หน้าที่ไปเท่านั้น
หรือถ้าเป็นผู้สูงอายุที่โหดร้ายด้วยเงินก็จะไร้ค่าไปทันที

ในทางตรงกันข้าม ผู้สูงอายุที่มีคุณธรรม
มีเมตตาอารีต่อลูกหลานและบุคคลทั่วไป ใครๆ ก็อยากเข้าใกล้
เพราะมันทำให้เขาสงบและอบอุ่น

สติ และ สมาธิ ของผู้สูงอายุ

ผู้สูงอายุทั่วไปมักจะหลงลืมง่าย
แม้กระทั่งกินอาหารแล้วก็ว่ายังไม่กิน เหตุเพราะขาดสติ
หรือไม่เจริญสติอยู่เป็นประจำวันไว้ก่อน
แม้ว่าจะมาเจริญในเมื่อสูงอายุก็มักจะไม่ทันใช้ คือ มักจะไม่ได้ผล

ผู้สูงอายุทั่วไปมักมีจิตใจฟุ้งซ่าน ด่า หรือ บ่นเก่ง
จนลูกหลานไม่อยากเข้าใกล้ เพราะเบื่อระอาในความจู้จี้ขี้บ่น
เหตุเพราะจิตขาดสมาธิและไม่มีสติควบคุม

สติและสมาธิจึงเป็นยอดธรรมะที่คนสูงอายุต้องมีประจำใจ
จึงจะเป็นคนสูงอายุที่น่าเคารพรักเป็นหลักให้ลูกหลาน
ได้มีที่พึ่งทางใจ และการที่ผู้สูงอายุจะทำตนให้เป็นที่พึ่ง
ของผู้อ่อนอายุได้ ตนเองต้องเริ่มทำตนเองให้มีที่พึ่งเสียแต่บัดนี้
ด้วยการสละหรือแบ่งเวลาให้แก่ธรรมะบ้าง
หมั่นศึกษาค้นคว้า ฟัง อ่านธรรมะให้มากตั้งแต่บัดนี้
ที่ควรสังวรก็คือ อย่ามัวแต่อ่านหรือฟังอย่างเดียว
ควรจะมีการปฏิบัติควบคู่กันไปด้วย



คัดลอกจาก...
http://www.jarun.org

สาธุ สาธุ สาธุ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง