Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 สุขได้แม้ภัยมา (พระไพศาล วิสาโล) อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
med_med
บัวพ้นดิน
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 29 ต.ค. 2006
ตอบ: 52

ตอบตอบเมื่อ: 02 พ.ค.2007, 9:27 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

Image

สุขได้แม้ภัยมา
โดย พระไพศาล วิสาโล



เวลาพูดถึงความสุข เรามักนึกถึงสิ่งดีๆ ที่อยากให้เกิดขึ้นกับตน เช่น ความมั่งมี เกียรติยศ สุขภาพ ความสำเร็จ ชื่อเสียง และคำสรรเสริญ เป็นต้น ด้วยเหตุนี้พอถึงวาระสำคัญของชีวิตหรือเทศกาลสำคัญของปี เช่น วันเกิด วันปีใหม่ เราจึงอยากได้คำอวยพรให้เจริญด้วยสิ่งเหล่านั้น ยิ่งหากได้ไปกราบหลวงพ่อคูณด้วยแล้ว ไม่มีพรใดที่ผู้คนอยากได้จากท่านมากไปกว่าคำพูดว่า “กูขอให้มึงรวย” และไม่มีวัตถุมงคลใดที่น่าสักการะเท่ากับแผ่นป้ายที่ (เชื่อว่า) ท่านปลุกเสกเอาไว้ว่า “บ้านนี้อยู่แล้วรวย”

แต่จริงหรือที่รวยแล้วจะมีความสุข คนรวยที่ถูกรุมเร้าด้วยความเครียดมีอยู่ทุกหนแห่ง คนไทยทุกวันนี้รวยกว่าเมื่อ ๔๐ ปีก่อนหลายเท่าตัว แต่ขณะเดียวกันอัตราการป่วยด้วยโรคเครียดก็เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด การวิจัยเมื่อเร็วๆ นี้พบว่าตามโรงพยาบาลชุมชนทั่วประเทศ มีการสั่งยาคลายเครียดหรือยาที่ออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทถึง ๑ ใน ๔ ของใบสั่งยาทั้งหมด ส่วนในกรุงเทพมหานครและภาคกลางก็พบว่ามีการใช้ยาคลายเครียดเพิ่มสูงขึ้นมาก ในชั่วเวลาเพียง ๒ ปี คือระหว่างปี ๒๕๔๔ ถึง ๒๕๔๖ มีการใช้ยาคลายเครียดเพิ่มขึ้น ๔ เท่าตัว

อาจเป็นไปได้ว่าเพราะเครียดและครุ่นคิดกับการทำมาหาเงินนี่แหละถึงทำให้รวย ใครๆ จึงอยากจะรวยโดยไม่ต้องเหนื่อยยาก แต่ความร่ำรวยที่ได้มาง่ายๆ โดยไม่ต้องออกแรงก็ใช่ว่าจะทำให้มีความสุขเสมอไป มีหลายรายที่ได้เงินมาหลายสิบล้านจากการถูกล็อตเตอรี่หรือขายที่นา แต่ในชั่วเวลาไม่กี่ปีกลับกลายเป็นคนติดเหล้า เต็มไปด้วยหนี้สิน หรือลงเอยด้วยการเป็นแรงงานรับจ้าง บางรายหนักกว่านั้น ชั่วเวลาไม่ถึงเดือนที่ได้เงินรางวัล ๒๐ ล้านบาท ก็กินยาพิษฆ่าตัวตาย เนื่องจากเครียดที่ถูกใครต่อใครรุมทึ้ง แม้จะแบ่งให้ไปก็ยังไม่เป็นที่พอใจ จนบางคนถึงกับโทรศัพท์มาขู่ฆ่า เจ้าตัวจึงตัดสินใจดับชีวิตตัวเองเพื่อหนีทุกขลาภ

ในสหรัฐอเมริกาเมื่อปี ๒๕๔๓ มีสามีภรรยาคู่หนึ่งได้เงินรางวัลจากล็อตเตอรี่ร่วม ๑๐๐ ล้านเหรียญ เงินมหาศาลขนาดนี้น่าจะทำให้มีความสุขไปชั่วชีวิต แต่ปรากฏว่าหลังจากนั้น ๕ ปี มีรายงานข่าวว่าสามีภรรยาคู่นี้หย่าขาดจากกัน ต่อมาสามีก็ตายด้วยโรคที่เกี่ยวข้องกับสุรา ส่วนภรรยาก็ตายอย่างโดดเดี่ยวในคฤหาสน์ สามีภรรยาคู่นี้คงไม่จบชีวิตอย่างนี้หากไม่ถูกล็อตเตอรี่ ใช่หรือไม่ว่า “โชค” นั้นมักกลายเป็น “เคราะห์” ได้อย่างที่เรานึกไม่ถึง

พูดมาทั้งหมดนี้มิได้หมายความว่า เงินหรือความร่ำรวยจะทำให้เราเป็นทุกข์เสมอไป ประเด็นอยู่ที่ว่า ความสุขของคนเรานั้นไม่ได้อยู่ที่ว่ามีสิ่งดีๆ เกิดขึ้นกับเรา แต่ขึ้นอยู่กับว่าเราเกี่ยวข้องกับสิ่งนั้นอย่างไร แม้ความมั่งมีเกิดขึ้นกับเรา แต่หากเกี่ยวข้องกับมันไม่ถูกต้อง (เช่น ใช้อย่างไม่บันยะบันยัง หรือไม่คบใครเพราะคิดว่าฉันรวยแล้ว หรือหวาดระแวงกลัวคนมาแย่งไป) ย่อมทำให้ชีวิตตกต่ำหรือเป็นทุกข์

ในทำนองเดียวกัน เมื่อมีชื่อเสียงเกียรติยศหรืออำนาจแล้ว เกิดหลงตัวลืมตนขึ้นมา ไม่คบค้าสมาคมกับใคร ย่อมมีแต่ “พวก” แต่ไร้ “เพื่อน” แม้จะแวดล้อมด้วยผู้คนแต่ในใจนั้นกลับรู้สึกโดดเดี่ยวอ้างว้าง (เหมือนสำนวนจีนที่ว่า “ยิ่งสูง ก็ยิ่งหนาว”) ขณะเดียวกันก็หวาดระแวงใครๆ ว่าจะเด่นดังเกินกว่าตน หรือแย่งอำนาจไปจากตน ไปไหนมาไหนถ้าไม่มีใครมาพินอบพิเทาก็จะขุ่นเคืองใจ มิหนำซ้ำความหลงตนยังทำให้ลุแก่อำนาจ ก่อความเดือดร้อนแก่ผู้อื่น จนเกิดศัตรูไปทั่ว ชีวิตเช่นนี้ย่อมอยู่ร้อนนอนทุกข์ จะมีความสุขได้อย่างไร

ในทางตรงข้ามแม้จะไม่ร่ำรวย แต่พอใจในสิ่งที่มี เพราะได้กินอิ่มนอนอุ่น ซ้ำยังมีเงินเหลือเผื่อแผ่ผู้อื่นหรือได้ทำบุญทำทาน ชีวิตเช่นนี้ย่อมมีความสุขมากกว่าเศรษฐีร้อยล้านที่รู้สึกอยู่ตลอดเวลาว่ายังรวยไม่พอ หรือหวาดวิตกกับราคาหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ ไม่ต้องดูอื่นไกล ชาวบ้านที่พอใจกับผ้าห่ม ๑ ผืนที่ได้รับแจก ย่อมมีความสุขมากกว่าพนักงานที่ได้โบนัส ๑ แสนบาทแต่ไม่พอใจที่เพื่อนร่วมงานได้ ๒ แสนบาท

ผ้าห่มราคาไม่ถึง ๑๐๐ บาท อาจให้ความสุขได้มากกว่าโบนัส ๑ แสนบาท ความแตกต่างนั้นไม่ได้อยู่ที่ใครเป็นผู้รับ แต่ขึ้นอยู่กับว่าผู้รับนั้นวางจิตวางใจอย่างไร ถึงจะเป็นชาวบ้าน แต่ถ้าไปเปรียบเทียบกับบ้านอื่นที่ได้ผ้าห่ม ๒ ผืน ก็ขุ่นเคืองใจได้ง่ายๆ พูดอีกอย่างก็คือ ได้อะไรไม่สำคัญเท่ากับว่ามีท่าทีอย่างไรกับสิ่งนั้น ถึงจะได้เงินมาหลายสิบล้านบาท แต่ถ้าเกี่ยวข้องกับเงินก้อนนั้นอย่างไม่ถูกต้อง ก็เป็นทุกข์ได้ อาจเป็นทุกข์ตั้งแต่รู้ข่าวด้วยซ้ำ เพราะกลัวว่าคนอื่นจะมาขอหรือแย่งไป แต่ถ้าตั้งใจแต่แรกแล้วว่าจะแบ่งปันให้ผู้อื่น ไม่คิดหวงกอดเงินก้อนนั้นเอาไว้คนเดียว เงินก้อนนั้นก็นำความสุขมาให้ได้ไม่ยาก ยิ่งรู้เท่าทันว่าเงินจำนวนมากเช่นนั้นมีโทษอย่างไรบ้าง ก็ยากที่จะถูกเงินก้อนนั้นทำร้ายเอา

ความสุขของคนเรานั้น ปัจจัยสำคัญไม่ได้อยู่ที่มีสิ่งดีๆ เกิดขึ้นกับเรามากน้อยเพียงใด แต่ขึ้นอยู่กับว่าเราเกี่ยวข้องกับมันอย่างไร แม้เจ็บป่วยหรือทุพพลภาพ ก็ยังมีความสุขได้ หากรู้จักวางใจให้เป็น มีผู้ป่วยมะเร็งหลายคนที่มีความสุขมากกว่าคนปกติ หลายคนยอมรับว่าตนเองมีความสุขมากกว่าตอนที่ยังไม่เป็นมะเร็งเสียอีก ทั้งนี้ก็เพราะมะเร็งทำให้เขาหันเข้าหาธรรมะ และค้นพบความสุขที่แท้ซึ่งมีอยู่แล้วในจิตใจของตน ชีวิตที่เคยว้าวุ่นผันผวนและล่องลอยไปตามกระแสโลก กลับกลายเป็นชีวิตที่สงบเย็นมั่นคงและมีจุดหมายในการดำรงอยู่

ก้อนมะเร็งนั้นอันตรายยิ่งกว่าเม็ดสิวบนใบหน้า ใครๆ ก็รู้ แต่เหตุใดมะเร็งถึงทำให้บางคนพบกับความสุขที่ลึกซึ้ง ขณะที่สิวเพียงไม่กี่เม็ดบนใบหน้าสามารถทำให้เด็กสาวบางคนถึงกับฆ่าตัวตายได้ คำตอบนั้นไม่ได้อยู่ที่อิทธิฤทธิ์ของก้อนมะเร็งหรือเม็ดสิว แต่อยู่ที่ท่าทีของเจ้าตัวต่อสิ่งนั้นต่างหาก สิวเพียงไม่กี่เม็ด หากมัวแต่หมกมุ่นครุ่นคิดถึงมัน ด้วยความรู้สึกรังเกียจและอับอาย มันก็กลายเป็นเรื่องใหญ่ จนสามารถผลักไสให้เราทำร้ายตัวเองได้เพียงเพื่อจะหนีมันไปให้พ้นๆ เท่านั้น มะเร็งนั้นทำร้ายเราได้แค่ร่างกาย แต่ไม่สามารถทำร้ายจิตใจเราได้ เว้นเสียแต่ใจเราจะเผลอไปทำร้ายตัวเอง การยอมรับความจริง ไม่คิดผลักไสหรือปฏิเสธ ขณะเดียวกันก็ไม่ไปกังวลหรือหมกมุ่นกับอนาคต ช่วยให้เราอยู่กับปัจจุบันได้อย่างไม่ทุกข์ และถ้ารู้จักมองในแง่บวก ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่าตัวเอง “โชคดี” บางคนเมื่อได้รับแจ้งจากหมอว่ามีมะเร็งอยู่ที่เต้านม ก็รู้สึกขึ้นมาทันทีว่าตัวเองโชคดีที่มารู้ความจริงขณะที่มันยังอยู่ในระยะต้น บางคนพบว่าตัวเองเป็นมะเร็งสมอง แต่ก็ไม่ทุกข์ เพราะรู้สึกว่าโชคดีที่ไม่ได้เป็นมะเร็งปากมดลูก ไม่เช่นนั้นคงจะเจ็บกว่านี้มาก

มะเร็งฉันใด ความพิการก็ฉันนั้น ในขณะที่หลายคนพูดว่า “โชคดีที่เป็นมะเร็ง” บางคนก็พูดว่า “ขอบคุณที่พิการ” เพราะหากไม่พิการ ก็คงไม่มาสนใจธรรมะ จนมีจิตที่โปร่งเบาและสงบเย็นอย่างที่คนธรรมดายังอิจฉา ในทางตรงกันข้าม คนที่มีอาการครบ ๓๒ จำนวนมากมาย กลับมีความทุกข์เพียงเพราะว่าผมแตกปลาย รักแร้คล้ำ น้ำหนักมาก หรือหน้าอกเล็ก บางคนพิการตั้งแต่คอลงมา แต่มีความสุขที่สามารถสร้างสรรค์ภาพวาด โดยใช้ปากคาบพู่กัน จนกลายเป็นศิลปินที่มีชื่อ ขณะที่หลายคนซึ่งมีร่างกายปกติทุกอย่างแต่ทุกข์เพราะไม่เห็นคุณค่าของตัวเอง หรือใช้ชีวิตอย่างเสเพลจนตัวเองเดือดร้อน

การมีสิ่งดีๆ เกิดขึ้นกับชีวิต ไม่ว่าทรัพย์สินเงินทอง ชื่อเสียงเกียรติยศ หรือสุขภาพที่แข็งแรง ไม่ได้เป็นหลักประกันของความสุข สิ่งสำคัญนั้นอยู่ที่ใจของเราต่างหาก ถึงแม้จะมีสิ่งร้ายๆ เกิดขึ้นในชีวิต แต่หากเกี่ยวข้องกับมันอย่างถูกต้อง (เช่น ยอมรับว่ามันเป็นธรรมดาของชีวิต หรือเป็นสิ่งที่ไม่อาจหนีพ้น) และรู้จักใช้ประโยชน์จากมัน หรือรู้จักมองให้เป็น ก็สุขได้ไม่ยาก สำหรับบางคนการตกงานจึงไม่ใช่เรื่องที่ต้องมามัวเศร้าโศกเสียใจ เพราะอย่างน้อยก็ทำให้มีเวลากลับไปอยู่กับพ่อแม่และช่วยงานท่านที่บ้าน บางคนได้มีโอกาสพบงานใหม่ที่ดีกว่าก็เพราะถูกไล่ออกจากงาน สตีฟ จ๊อบส์ ถึงกับพูดว่า การที่ตนเองถูกไล่ออกจากบริษัท แอ๊ปเปิ้ล ที่ตนสร้างมากับมือนั้น “เป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่เกิดขึ้นกับผม” เพราะทำให้เขาไปบุกเบิกเทคโนโลยีแอนิเมชั่นที่บริษัทพิกซาร์ จนมีชื่อเสียงไปทั่วโลกจากผลงานอย่างเช่น Toy Story ก่อนที่ตัวเขาจะดังสุดๆ จากเครื่อง iPod

การที่สิ่งดีๆ จะเกิดขึ้นกับเรานั้น ต้องอาศัยเหตุปัจจัยต่างๆ มากมาย ที่เราควบคุมไม่ได้ จนบางคนยกให้เป็นเรื่องของ “โชค” ไป หลายคนจึงเอาแต่พึ่งโชค หาไม่ก็หวังอำนาจดลบันดาลของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไป โดยหาได้ตระหนักไม่ว่า ถึงแม้จะมีสิ่งดีๆ จะเกิดขึ้นกับเรา แต่อาจลงเอยด้วยความทุกข์หรือความตกต่ำลำเค็ญก็ได้ อย่างไรก็ตามนั่นไม่ใช่เป็นเรื่องของ “เคราะห์” แต่เป็นเรื่องของ “กรรม” กล่าวคือ เกิดจากการกระทำของเราเองที่ไปเกี่ยวข้องกับมันอย่างไม่ถูกต้อง หรือวางใจไว้ไม่เป็นต่างหาก หากวางใจไว้เป็นแล้ว แม้แต่คำตำหนิก็กลายเป็นของดี ที่ช่วยให้เราฉลาดขึ้น (ถ้าไม่ฉลาดเพราะเห็นตัวเองชัดเจนขึ้น ก็ฉลาดเพราะเห็นนิสัยคนตำหนิได้กระจ่างขึ้น) ด้วยท่าทีเช่นนี้ เล็ก วิริยะพันธุ์ ผู้ก่อตั้งเมืองโบราณ จึงกล่าวว่า “วันไหนไม่ถูกตำหนิ วันนั้นเป็นอัปมงคล”

เจออะไร จึงไม่สำคัญเท่ากับเจออย่างไร ในทำนองเดียวกัน เป็นอะไร ก็ไม่สำคัญเท่ากับเป็น อย่างไร ถึงจะเป็นคนสวนหรือเสมียน ก็อาจมีความสุขกว่าเป็นผู้จัดการ หากทำงานด้วยใจรักหรือมีฉันทะและเห็นคุณค่าของงานนั้น ไม่ใช่ทำด้วยตัณหาหรือมีกิเลสเป็นตัวผลักดัน ครูที่สอนด้วยความรักศิษย์นั้น สามารถสร้างสุขและก่อประโยชน์แก่ประเทศชาติได้มากกว่านายกรัฐมนตรีที่หวงอำนาจ ดังนั้น แทนที่จะตั้งหน้าตั้งตาคอยว่าจะได้เป็นอะไรที่เด่นดังสูงส่งเสียที มาให้ความสำคัญกับการเป็นสิ่งที่กำลังเป็นอยู่ให้ดีที่สุดจะไม่ดีกว่าหรือ

สุขหรือทุกข์นั้น ถึงที่สุดแล้วก็อยู่ที่ใจของเราเป็นประการสำคัญ อย่างอื่นนั้นมีความสำคัญรองลงมา กล่าวอีกนัยหนึ่ง ปัจจัยภายในสำคัญกว่าปัจจัยภายนอก ดังนั้น แทนที่จะหวังให้มีอะไรดีๆ เกิดขึ้นกับเรา มาฝึกใจกันให้ฉลาดในการเกี่ยวข้องกับสิ่งต่างๆ ดีกว่า เช่น พอใจในสิ่งที่มี รู้เท่าทันและยอมรับในความไม่เที่ยงของมัน ไม่หลงใหลเพลิดเพลินจนลืมตัว รู้จักใช้ประโยชน์จากทุกสิ่งที่เกิดขึ้น และมองเห็น “โชค” จาก “เคราะห์” พอๆ กับที่รู้ทันว่ามี “เคราะห์” ซ่อนอยู่ใน “โชค” ที่สำคัญก็คือ สามารถเข้าถึงความสุขภายใน โดยไม่ติดยึดกับความสุขจากภายนอก หากทำได้เช่นนั้น อะไรจะเกิดขึ้นก็ไม่สำคัญ เพราะเรารู้ว่าเกี่ยวข้องกับมันอย่างไรจึงจะไม่ทุกข์ แต่เป็นสุขอยู่เสมอ


ที่มาของบทความ
http://www.budnet.info/
 

_________________
ธรรมได้ก็ไร้ค่า ถ้าไม่ทำ
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวMSN Messenger
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 03 พ.ค.2007, 11:51 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สาธุ สาธุ สาธุค่ะ
ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดีดี...ที่นำมาแบ่งปันเสมอ...

ลูกโป่งชอบประโยคที่ว่า

-สุขหรือทุกข์นั้น ถึงที่สุดแล้วก็อยู่ที่ใจของเราเป็นประการสำคัญ
อย่างอื่นนั้นมีความสำคัญรองลงมา

-รู้จักใช้ประโยชน์จากทุกสิ่งที่เกิดขึ้น และมองเห็น “โชค”จาก “เคราะห์”
พอๆ กับที่รู้ทันว่ามี “เคราะห์” ซ่อนอยู่ใน “โชค”
ที่สำคัญก็คือ สามารถเข้าถึงความสุขภายใน
โดยไม่ติดยึดกับความสุขจากภายนอก
หากทำได้เช่นนั้น อะไรจะเกิดขึ้น ก็ไม่สำคัญ
เพราะเรารู้ว่าเกี่ยวข้องกับมันอย่างไร
จึงจะไม่ทุกข์แต่เป็นสุขอยู่เสมอ


ธรรมะสวัสดีค่ะ

ยิ้ม ยิ้ม ยิ้มแก้มปริ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง