Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 ตายอย่างสงบ เรื่องที่ฝึกได้ เตรียมได้ อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
ดอกไม้
บัวเริ่มพ้นน้ำ
บัวเริ่มพ้นน้ำ


เข้าร่วม: 26 ต.ค. 2006
ตอบ: 164

ตอบตอบเมื่อ: 27 เม.ย.2007, 4:55 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

Image

ตายอย่างสงบ เรื่องที่ฝึกได้ เตรียมได

เรื่อง : บิลกีส
ภาพ : กิตติ บวรพัฒน์นนท์
นิตยสาร Image
Volume 17 No.7 July 2004 Issn 0859-6123



“เราตายได้ครั้งเดียว เราจะตายอย่างไร
ร้านกาแฟบางร้านใช้เวลาถึงสามอาทิตย์
เทรนพนักงานให้เชี่ยวชาญในการชงกาแฟ
แต่เรื่องตายที่เป็นเรื่องสำคัญ
กลับไม่เคยมีการเทรนการสอนกันในโรงเรียนไหนๆ
ทั้งที่การตายให้เป็น บางทีก็แยกไม่ออกจากการอยู่ให้เป็น”

คำกล่าวข้างต้นของพระไพศาล วิสาโล
อาจฟังดูเสียดสี หากเต็มไปด้วยน้ำเสียงเตือนสติ
ให้เห็นว่าชีวิตเราช่างเต็มไปด้วยการให้คุณค่าอย่างผิดที่ผิดทาง
มิใช่เพราะทุกชีวิตมีความตายเป็นปลายทางหรอกหรือ
เราจึงพยายามใช้ทุกนาทีชีวิตอย่างมีคุณค่า
มีศิลปะ แม้แต่การกินกาแฟให้ได้รสชาติ

แต่เรื่องความตายกลับไม่ค่อยมีใครใคร่ครวญถึงนัก
ว่าจะเผชิญกับความตายอย่างไร
ศิลปะการใช้ชีวิตแบบไหน จึงจะนำไปสู่นาทีของการตายที่งดงาม
ไม่แพ้นาทีของการมีชีวิต หรือพบกับสิ่งที่ทุกคนปราถนา
นั่นคือ การตายอย่างสงบ


พระอาทิตย์ พระอาทิตย์ พระอาทิตย์
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ดอกไม้
บัวเริ่มพ้นน้ำ
บัวเริ่มพ้นน้ำ


เข้าร่วม: 26 ต.ค. 2006
ตอบ: 164

ตอบตอบเมื่อ: 27 เม.ย.2007, 4:56 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

การอบรม “เผชิญความตายอย่างสงบ” '

ที่จัดขึ้นโดยเครือข่ายชาวพุทธ เพื่อพระพุทธศาสนาและสังคมไทย
และเสมสิกขาลัย เป็นความพยายามอันหนึ่ง
ที่จะนำเรื่องความตายที่ถูกละเลย มาสู่วงสนทนา และการใคร่ครวญ

พระไพศาลเล่าอย่างอารมณ์ดีในการเกริ่นนำการอบรมครั้งที่สอง
ที่จัดขึ้นเมื่อต้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาว่า
“หลายคนบอกให้เราเปลี่ยนชื่อการอบรม เพราะฟังดูน่ากลัว หดหู่
แต่เราบอกเราจะเอาชื่อนี้
เพราะความตาย ถูกทำให้เป็นเรื่องอุจาด อัปมงคลมามากแล้ว
เราเลยไม่พูดไม่จา ไม่สอน กลายเป็นเรื่องหลบๆ ซ่อนๆ
ซึ่งจริงๆ แล้วถ้าเรารู้จักความตายดีพอ
จะพบว่ามันไม่ได้มีด้านลบด้านเดียว
ถ้าเราสามารถเป็นเพื่อนกับความตายได้
ชีวิตเราจะมีความสุขมาก
และความตายของแต่ละคนเป็นเอกลักษณ์เฉพาะ
แต่ละคนตายไม่เหมือนกัน ความตายจึงไม่มีคำตอบสำเร็จรูป”

วิทยากรในการอบรมครั้งนี้ได้แก่ พระไพศาล วิสาโล
นายแพทย์พรเลิศ ฉัตรแก้ว อุมาภรณ์ ไพศาลสุทธิเดช
ดร . วิชิต เปานิล และปรีดา เรืองวิชาธร
โดยมีผู้เข้าร่วมการอบรมกว่า 30 คน
ราวหนึ่งในสามเป็นแพทย์และพยาบาล ทั้งจากโรงพยาบาลรัฐ และเอกชน
ที่เหลือเป็นผู้สนใจซึ่งต่างที่มาต่างอาชีพ
อาทิ เจ้าของกิจการทำทองรูปพรรณ พนักงานบัญชี มัคคุเทศก์
นักเขียนอิสระ แม่บ้าน นักนิเวศวิทยา พนักงานขายประกัน ฯลฯ
บ้างสนใจสมัครเข้าร่วมเอง บ้างเพื่อนชักชวนมา
พาคุณแม่มา ถูกลูกๆ ส่งมา
มาเพราะคนใกล้ชิดกำลังป่วยอยู่ในระยะสุดท้าย
และบางคนกำลังป่วยด้วยโรคร้ายแรง


พระอาทิตย์ พระอาทิตย์ พระอาทิตย์
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ดอกไม้
บัวเริ่มพ้นน้ำ
บัวเริ่มพ้นน้ำ


เข้าร่วม: 26 ต.ค. 2006
ตอบ: 164

ตอบตอบเมื่อ: 27 เม.ย.2007, 4:57 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

“ทำไมความตาย” จึงน่ากลัว

เหตุหนึ่งที่ทำให้ความตายดูน่ากลัว เพราะเรารู้เกี่ยวกับมันน้อยมาก
ในแง่ที่เราไม่เห็นว่า ความตายเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ
มีการเกิด และตายทั้งที่เห็นได้ และไม่ได้ อยู่ตลอดเวลาในตัวเรา
เช่นการเกิดและตายของเซลล์ราว 50 ล้านเซลล์ต่อวัน
มีการเกิดดับของอารมณ์อยู่แทบทุกขณะ
และที่สำคัญเราไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ในนาทีที่ความตายมาถึง
จะมีชีวิตหลังความตายหรือไม่
หากมี - มันเป็นเช่นไร
ขณะเดียวกันเราก็พยายามผลักไสความตายออกไป
ทั้งให้ไกลตัว และไกลความคิด

ในอดีต คนมักสอนให้เห็นว่าความตายเป็นเรื่องธรรมชาติ
ในคติของคนจีนโบราณ เมื่อใครฉลองแซยิดใหญ่แล้ว
จะต้องตระเตรียมเสื้อผ้าไว้สำหรับใส่ในวันตาย
เพื่อช่วยเตือนสติ มิให้ใช้ชีวิตโดยประมาท

หากมีชีวิตอยู่ในหมู่บ้านหรือชุมชนเล็กๆ
เมื่อบ้านไหนมีใครป่วยหรือตาย
จะรับรู้กันไปทั่วเวลาจัดงานศพ ไม่ว่าตั้งที่บ้านหรือที่วัด
เพื่อนบ้านก็จะร่วมพิธีสวดศพ สามวันห้าวันเจ็ดวัน
แต่ละครอบครัวก็จะผลัดกันไป ถือเป็นหน้าที่ เป็นการแสดงน้ำใจ
ข่าวคราวการตายนั้น ก็จะวนเวียนให้รับรู้อยู่จนวันเผา หรือจนสิ้นพิธีไว้ทุกข์
โดยเฉพาะวันเผาผู้คนจะมากันพร้อมหน้าพร้อมตา
ร่วมพิธีบังสุกุล ปลงศพ จนถึงเชิญศพเข้าเตาเผา
ขั้นตอนการเปิดโลงให้ลาศพเป็นครั้งสุดท้าย จนถึงการเก็บอัฐิ และลอยอังคาร
นอกจากเป็นการทำบุญแก่ผู้ล่วงลับ
ก็เป็นมรณานุสติแก่คนเป็นให้เห็นว่า ท้ายที่สุดชีวิตก็มีเพียงเท่านี้

แต่ทุกวันนี้ ความตายถูกทำให้กลายเป็นเรื่องของหมอ พระ และสัปเหร่อ
พิธีศพมักถูกตกแต่งจนทุกขั้นตอนของพธีกลายเป็นเพียงสัญลักษณ์
ที่ยากแก่คนสมัยใหม่จะเข้าใจนัยเดิม
การไปงานศพหากไม่ใช่ญาติสนิทมิตรใกล้ชิดจริงๆ
ก็กลายเป็นหน้าที่และพิธีกรรมทางสังคม
ขณะเดียวกันข่าวความตายที่พรั่งพรูผ่านสื่อต่างๆ ให้ดูและเห็น
ก็มีจำนวนคนเจ็บตายทีละเป็นสิบเป็นร้อย
ทำให้ผู้รับข่าวเองไม่ทันมีโอกาส “ย่อย” สารของความตายมาพิจารณา

พระไพศาลขยายภาพให้เห็นถึงสิ่งซึ่งความตายกระทบต่อชีวิตเราว่า
มันนำเราไปพบกับสิ่งที่ไม่ปรารถนาในทุกมิติ
นับจากกาย สังคม และจิตวิญญาณ

บ่อยครั้งมันก็รุกมาพร้อมกันทุกแนวรบ
และสิ่งที่ถูกกระทบอย่างสำคัญ คือ อัตตา
ลึกๆ คนเรามีความรู้สึกว่า เรามีอำนาจ
แต่พอป่วยหนัก แม้แต่ยกมือ เดินไปเข้าห้องน้ำ
อาบน้ำ ถูฟัน ก็ทำเองไม่ได้ หายใจก็ไม่ออก
นอกจากจะทรมานกายแล้วยังกระทบไปถึงอัตตา

“ในแง่สังคม ความตาย ก็ทำให้เกิดการพลัดพราก
ความไม่รู้ว่าตายแล้วไปไหนนี้ร้ายแรงมาก
อย่างคนที่เป็น perfectionist
จะทำการงานอะไรก็ well plan
ต้องรู้ให้ชัดทุกขั้นทุกตอน ทนไม่ได้ถ้าไม่รู้อะไรที่แน่นอน หรือต้องมารอ
พอต้องเผชิญกับความตายซึ่งไม่มีใครรู้ จะรู้สึกอ้างว้างไปหมด”

“ตัวตนเป็นมายาภาพแล้ว มันยังสร้างมายาภาพ
ให้เห็นว่าโลกนี้สวยสดงดงาม ชีวิตต้องควบคุมทุกอย่างได้
เวลาเราดูโฆษณา ดูโทรทัศน์เห็นนายแบบนางแบบดารา
ที่หน้าตาสะสวย หุ่นดี ดู healthy
ไปห้างสรรพสินค้า โรงแรม เห็นทุกอย่างดูเฟอร์เฟ็กต์ สวยงาม
แต่ความตายมันไม่รับรู้อะไรลวงๆ ที่เราสร้างขึ้นในจิตใจ
มันก็ทำหน้าที่ของมัน มาเตือนให้เราระลึกว่า
ชีวิตนั้นมีสองด้าน มีสุขมีทุกข์
มาเตือนว่าอะไรที่เป็นของเรา
ไม่ว่าบ้าน รถ เงินทอง หรือตัวเราเอง ก็ไม่ใช่ของเรา”


พระอาทิตย์ พระอาทิตย์ พระอาทิตย์
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ดอกไม้
บัวเริ่มพ้นน้ำ
บัวเริ่มพ้นน้ำ


เข้าร่วม: 26 ต.ค. 2006
ตอบ: 164

ตอบตอบเมื่อ: 27 เม.ย.2007, 4:59 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ภาวะใกล้ตาย

คำถามประการสำคัญหนึ่งของการเผชิญกับความตาย
คือ “อะไรคือสัญญาณของภาวะใกล้ตาย”

นายแพทย์ พรเลิศ ฉัตรแก้ว คณะแพทย์ศาสตร์ จุฬาฯ
อธิบายจากมุมมองทางการแพทย์ว่า
ไม่มีใครสามารถตอบได้แน่ชัดว่า เวลาของคนไข้แต่ละคนเหลือเท่าไหร่
เพราะทุกอย่างเป็นการคาดคะเนจากค่าเฉลี่ย
พร้อมกับเปรียบให้ฟังว่า ร่างกายคนเราก็เหมือนเครื่องจักร
เมื่อเสื่อมสมรรถภาพ ก็จะหยุดทำงานเป็นส่วนๆ

“การเดิน เคลื่อนไหวแขนขา การกิน ขับถ่าย
ถ้าระบบเหล่านี้ไม่ทำงาน ก็อาจจะมีชีวิตอยู่ได้เป็นวันหรือเป็นเดือน
แต่ถ้าส่วนอื่นหยุดอาจเป็นชั่วโมง หรือนาที
ถ้ามองแบบแยกส่วน เรามักพูดว่าสมองตาย หัวใจตาย ไตวาย
ที่ชัดที่สุด คือ สมองกับหัวใจ
แต่บางทีสมองตาย แต่หัวใจทำงานอาจอยู่ได้เป็นนาที
ซึ่งการตายในปัจจุบัน ถ้าร่างกายส่วนใดหยุดทำงานแล้ว จะไปช้าเร็ว
ก็ขึ้นกับว่าตายที่ไหนอีก บ้านหรือโรงพยาบาล โรงพยาบาลรัฐหรือเอกชน”

พระไพศาลอธิบายเสริมถึงภาวะใกล้ตาย
จากมุมมองที่ว่า ตัวเราประกอบขึ้นด้วยมิติของกายและจิต
การแตกสลายของรูปหรือร่างกาย
เริ่มจากการแปรปรวนหรือดับของธาตุทั้งสี่ คือ ดิน น้ำ ไฟ และลม
เริ่มจากดินหรือส่วนที่เป็นกล้ามเนื้อ
เช่น ไม่มีแรง เดินไม่ได้
น้ำ คือ คอแห้ง ริมฝีปากแห้ง
จากนั้นตัวจะเย็นลง เป็นสัญญาณว่าธาตุไฟเริ่มดับ
สุดท้าย คือ ลม หรือที่เรียกกันว่าสิ้นลม
ขณะที่ธาตุทั้งสี่แปรปรวนนั้น จิตอาจเริ่มแสดงอาการ
เช่น จำอะไรไม่ได้ หรือจำได้สั้นๆ การับรู้เห็นภาพแปรปรวน
แต่การสิ้นชีวิตเกิดขึ้นเมื่อใด ยังเป็นสิ่งที่ตอบได้ยาก
เดิมเราเชื่อว่า สิ้นสุดเมือสิ้นลม
แต่ในความจริงอาจเป็นการค่อยๆ รางเลือนไปของจิตรับรู้

“เมื่อใกล้ตายการรับรู้ทางเวทนาอาจหมดไป คือไม่เจ็บปวด
เพราะความเจ็บปวดทำงานให้เรามีทุกข์ เอาตัวรอด
แต่บางทีเมื่อไม่มีทางรอดแล้ว
กลไกความเจ็บปวดก็อาจหยุดทำงาน
นั่นอาจอธิบายว่า ทำไมผู้ป่วยบางคนในชั่วโมงท้ายๆ
เขาไม่แสดงอาการเจ็บปวดอีกแล้ว”

เมื่อมีคำถามจากผู้เข้าร่วมการอบรมว่า อาการทุรนทุราย
หรือการเห็นภาพต่างๆ ก่อนสิ้นใจ
เช่น เห็นคนที่ตายไปแล้ว เห็นคนมารับ ฯลฯ
เหล่านี้เป็นนิมิตบอกถึงกรรมเก่าหรือไม่

พระไพศาลอธิบายจากหลักพุทธศาสนาว่า
“นิมิตก่อนตายอาจเป็นได้สองลักษณะ ได้แก่กรรมนิมิต และคตินิมิต
กรรมนิมิต เป็นนิมิตที่เกิดจากกรรมที่เราได้ทำมาในชีวิต
อันเป็นตัวกำหนดว่าเราจะไปไหนหลังตาย
คตินิมิตเป็นภพภูมิที่เรากำลังจะไป
สมองเราเก็บความจำไว้มากมาย พอใกล้ตายมันจะคายออกมา
คนใกล้ตายอาจมีภาวะ life review เหมือนฉายหนังเก่า
อะไรที่เคยกระทบใจ หรือคั่งค้างอาจปรากฏขึ้นมา
บางอย่างอาจทำให้เขาตื่นตกใจ ผวา
ถ้าไปตอนนั้นเขาจะตกใจ คนที่ดูแลต้องช่วยโน้มน้าวให้ไปในทางที่ดี”


พินัยกรรมชีวิต

ทุกวันหลังเลิกงาน เรามักทำบันทึกช่วยจำว่าพรุ่งนี้มีอะไรที่เราต้องสะสางต่อไป
แต่ทำไม – กับชีวิตที่ไม่แน่นอน
น้อยคนนัก ที่คิดทำบันทึกช่วยจำ หรือพินัยกรรมชีวิต
ลองคิดดูว่า หากคุณต้องจากไปโดยมิได้สะสางสิ่งที่คั่งค้าง
ทั้งเรื่องที่คับข้องใจและงานการในหน้าที่
ในเวลาที่กำลังจะสิ้นลม
จิตใจเราจะห่วงกังวล กระสับกระส่ายแค่ไหน
แน่นอนว่า คนที่อยู่ข้างหลัง ย่อมช่วยเหลือสะสางเรืองต่างๆ อย่างเต็มใจ
เพราะอยากให้เราตายตาหลับ
แต่ก็บ่อยครั้งมิใช่หรือ ที่เราได้รับรู้เรื่องราวความขัดแย้ง
นานาสถานการณ์ที่เกิดขึ้นพร้อมๆ กับความตาย
ไม่ว่าการตัดสินใจเรื่อง การรักษาพยาบาล การจัดพิธีศพ
หรือเรื่องทรัพย์สินกองมรดก

ในค่ำคืนแรกของการอบรม วิทยากรชักชวนผู้เข้าอบรม
ให้ตั้งสติทบทวนชีวิต และจรดปากกาลงบนหน้ากระดาษ
นี่เป็นเพียงแบบฝึกหัดแรกของการเตรียมเผชิญกับความตาย
หากนาทีนั้นมาถึง เราประสงค์ให้มีการจัดการกับสิ่งเหล่านี้อย่างไร

• การจัดการกับร่างกายของเรา
• การจัดการทรัพย์สินของเรา
• คำสั่งเสียและร่ำลาต่อคนรัก คนใกล้ชิด เพื่อน
หรือคำขออโหสิกรรมต่อผู้อื่นที่เคยมีเรื่องบาดหมางคับข้องใจ
หรือได้กระทำผิดพลาดต่อกันในอดีต
• ประโยชน์แก่สังคมที่อยากให้คนทำแทนเรา
• งานที่คั่งค้างไว้
• งานศพ

อาจมีเรื่องอื่นๆ อีกมากมายที่คุณอยากบันทึกไว้ เขียนทุกสิ่งทุกข้อให้ชัด
ทั้งที่จะเป็นประโยชน์แก่จิตใจตนเอง และคนที่อาจอยู่ข้างหลัง


พระอาทิตย์ พระอาทิตย์ พระอาทิตย์
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ดอกไม้
บัวเริ่มพ้นน้ำ
บัวเริ่มพ้นน้ำ


เข้าร่วม: 26 ต.ค. 2006
ตอบ: 164

ตอบตอบเมื่อ: 27 เม.ย.2007, 4:59 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

มรณสติ : ตายก่อนตาย

ในค่ำคืนแรกของการอบรมก่อน ที่เราจะแยกย้ายกลับสู่ห้องเพื่อพักผ่อน
เมื่อแต่ละคนเขียนพินัยกรรมชีวิตของตนเองอย่างชัดกระจ่าง
วิทยากรชวนให้เรานอนราบกับพื้นในท่าโยคะท่าศพ
แล้วค่อยๆ หรี่ไฟลงจนมืดสนิท กล่าวโน้มนำให้เราผ่อนคลาย
และภาวนาเสมือนว่านั่นคือ ช่วงลมหายใจสุดท้ายของชีวิต

“เรารับรู้ความรู้สึกที่ไล่ขึ้นมาจากปลายเท้าว่าบัดนี้มันอ่อนแรง
ไม่มีกำลังแม้แต่จะขยับเขยื้อนอวัยวะทุกส่วนของร่างกาย ที่ได้รับใช้เรามา
ในการทำภารกิจต่างๆ และเราได้ดูแลทะนุถนอมมันมาอย่างดี
บัดนี้ได้ถึงอายุขัยของมันแล้ว เราขอบคุณร่างกายนี้

เราทบทวนถึงทรัพย์สินต่างๆ ที่เราได้สั่งสมไว้
เพื่อนำความสุขสบายมาสู่ชีวิต
และครอบครัว เราได้สร้างมาด้วยสัมมาอาชีวะ มิได้เบียดเบียนใคร
เราได้รับความสุขสบายจากมันมาเพียงพอแล้ว
จากนี้ขอให้มันยังประโยชน์แก่ผู้อื่น
เราไม่คิดหวงห่วงอะไร เพราะเรากำลังจะจากไป
แม้แต่ร่างกายนี้เราก็ยังต้องละไป
งานการอื่นๆ ทั้งที่เป็นหน้าที่ และที่ทำโดยสมัครใจ
เราก็ได้ทำประโยชน์มาอย่างเต็มแรง
เรื่องที่สมควรทำเราก็ได้ทำไปแล้ว
เรากำลังจะจากไป ไม่มีอะไรต้องเสียดายอีก

เสียงของคนรัก พ่อแม่...ลูก เพื่อนฝูง แว่วเข้ามาในโสตประสาท
เราขอบคุณพวกเขาที่เคยร่วมทุกข์ร่วมสุข หัวเราะร้องไห้
และเกื้อกูลกันมาเมื่อยามอยู่ เราก็อยู่ด้วยกันดีแล้ว
เราบอกรัก บอกลา และย้ำอย่างเชื่อมั่นว่า
แม้เราจะจากไป เขาจะมีชีวิตที่เป็นสุขได้ ไม่มีอะไรต้องห่วงอีก”

“เราแผ่เมตตาแก่สรรพชีวิตผู้เป็นเพื่อนกันในโลกนี้
ภาวนาบทสวดมนต์ที่พอมีสติจำได้
จดจ่อสติอยู่กับการสวดมนต์นั้น และจากไป”

แสงไฟค่อยๆ สว่างขึ้น เราลืมตากลับมาสู่ลมหายใจ
และโลกที่ชีวิตยังต้องดำเนินต่อไปอีกครั้ง
และตระหนักชัดเจนว่า เรายังมี “การบ้าน” ต้องทำอีกมาก
กว่าที่การตายที่สงบจะมาถึง เช่น การตายแบบฝึกหัดนั้น

พระไพศาลกล่าวสำทับอีกครั้งว่า
“มรณสติเป็นการฝึกทำโจทย์จนคุ้นเคย กับการละความเป็นตัวเรา
ชีวิตเรา ควรทำสม่ำเสมอ จะเดินทางก็ทำมรณสติ
ลองคิดว่าเครื่องบินอาจจะตก คิดบ่อยๆ
นึกถึงอะไรไม่ว่าคนรัก ความผูกพัน สิ่งที่ยึดเหนี่ยว
นึกถึงแล้วก็ปล่อย เพราะถ้าเราไม่ปล่อยภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งวินาที
มันก็ท่วมทับเรา นี่อาจเป็นคำตอบของกรณีตายกระทันหัน
ถ้าเราทำบ่อยๆ จะกลายเป็นวิสัย มีสติ มีความคล่องแคล่ว

เราสามารถฝึกได้กับการพลัดพรากในชีวิตประจำวัน
เวลาดูข่าวลองคิดว่า ถ้าเราอยู่ในสถานการณ์แบบนั้น จะทำอย่างไร
รู้สึกอย่างไรน้อมมาบ่อยๆ เราจะเห็นว่าเราไม่พร้อม
หรืออย่างของหาย เจ็บป่วยเล็กๆ น้อยๆ
ก็ให้รู้ว่าเขามาเตือน หรือคนนินทาก็เป็นเรื่องปกติ
อันนี้เป็นการฝึกมุมมอง
ดีกว่านั้น คือ ฝึกสติ กายเจ็บแต่ใจไม่เจ็บไม่ปวดไปด้วย
คือ การฝึกใช้สติพิจารณาสิ่งที่ไม่พึงปรารถนา
ดีกว่านั้น คือ ปัญญา เห็นความไม่เที่ยงแท้ ความเป็นอนันตา

การฝึกสตินั้นทำได้ตลอดเวลา คือ ดึงสติให้จดจ่ออยู่กับสิ่งที่ทำ
ไม่จำเป็นต้องนั่งหลับตา ถูฟันก็ให้รู้ว่าถูฟัน
มือล้างจานใจก็ล้างจานอยู่ด้วย
คือ ทำอะไรเป็นอย่างๆ ไม่ใช่ใช้เวลาอย่างมีประสิทธิภาพ
กินข้าว ดูโทรทัศน์ แล้วคุยโทรศัพท์มือถือไปพร้อมๆ กัน
ทำอะไรก็อยู่กับสิ่งนั่น นั่นคือ การเจริญสติในชีวิตประจำวัน”


พระอาทิตย์ พระอาทิตย์ พระอาทิตย์
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ดอกไม้
บัวเริ่มพ้นน้ำ
บัวเริ่มพ้นน้ำ


เข้าร่วม: 26 ต.ค. 2006
ตอบ: 164

ตอบตอบเมื่อ: 27 เม.ย.2007, 5:01 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

การดูแลและช่วยเหลือผู้ใกล้ตาย

คำถามสำคัญที่เราต้องเผชิญในชีวิต
เมื่อคนรักหรือคนใกล้ชิดป่วยอยู่ในระยะสุดท้าย หรือใกล้ตาย
คือว่า เราควรจะบอกความจริงกับเขาหรือไม่บอกอย่างไร
จะเลือกการรักษาพยาบาลวิธีใด และยุติเมื่อไร
และเราจะช่วยให้เขาจากไปอย่างสงบ และเป็นกุศลได้อย่างไร

อุมาภรณ์ ไพศาลสุทธิเดช พยาบาลประจำโรงพยาบาลรามาธิบดี
เล่าจากประสบการณ์ว่า หลายกรณีญาติไม่ยอมบอกคนไข้
หรือคนไข้เองไม่อยากให้ญาติรู้
เพราะต่างฝ่ายต่างห่วงใยความรู้สึกซึ่งกันและกัน
แต่ที่สุดแล้วทั้งสองฝ่ายควรร่วมรับรู้ความจริง
และการบอกต้องอาศัยกุศโลบาย

“มีคู่หนึ่ง – สามีเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย ภรรยาไม่ยอมให้บอก
เพราะคิดว่าเขาเป็นทหาร เรื่องแบบนี้ทำใจรับได้ยาก
ก็ถามเขาว่า คุณคิดหรือว่าคนไข้เองไม่รู้ตัว
บอกให้เขารู้เสีย จะได้เตรียมตัวเตรียมไป
เรื่องอะไรที่เขาคิดว่าต้องจัดการในเวลาที่เหลือจะได้ทำได้
พอไปคุยกับคนไข้ เขากลับบอกว่า ผมรู้ตัวอยู่แล้ว
แต่อย่าบอกภรรยาผมนะ เดี๋ยวเขาจะยิ่งเครียด
เราก็จับสองคนมานั่งคุยกัน ปรากฏว่ากอดกันร้องไห้อยู่พัก
แล้วบอกว่าไม่เป็นไร เขาจะสู้ไปด้วยกัน”

สิชล ทองยุทธ์ หรือ “อ้อย” อดีตพนักงานบัญชี
กำลังป่วยด้วยโรคมะเร็งเต้านม เริ่มเล่าด้วยน้ำเสียงมั่นคงว่า
รู้ตัวมาเกือบปีแล้ว แต่ไม่เคยบอกให้แม่รู้
เพราะคิดว่าแม่จะทุกข์กว่าตนเป็นร้อยเท่า

“แต่มันอึดอัดอยู่กันแม่ลูกสองคน แล้วเราไม่ได้แชร์ความทุกข์เรา
เพื่อนๆ ก็แนะนำให้บอกแม่ เพราะแม่เองก็จะต้องเตรียมตัวด้วย
วันหนึ่งเราอาจจะไม่ได้อยู่กับเขาแล้ว”

“เมื่อวันก่อนที่จะมาอบรมก็บอกเขาว่า
แม่หนูเป็นเนื้องอกที่เป็นปัญหา ยังไม่ใช้คำว่ามะเร็ง
แม่นิ่ง (น้ำตาของเธอพรั่งพรู เมื่อทบทวนถึงความรู้สึกของแม่)
แม่ถามว่า ทำไมไม่ไปผ่าตัด ก็บอกว่าไม่ใช่ทางเลือกของเรา
เขาก็นิ่งไปเลย แต่ตอนนั้นรู้สึกว่าโล่งมาก เพราะเก็บเรื่องนี้มาเป็นปี
ตอนเย็นรู้สึกว่ากับข้าวที่แม่ทำอร่อยมาก เขาคงใส่ความรักลงไป”

นายแพทย์พรเลิศกล่าวว่าในทางการแพทย์เองก็ถือว่า
จิตใจของคนไข้เป็นเรื่องที่สำคัญ
ที่ต้องดูแลไม่น้อยไปกว่าการเยียวยาทางกาย
ดังมีคำพูดว่า “เราสามารถรักษาคนไข้ได้ เป็นบางเวลา และบางคน
แต่เราทำให้เขาเป็นสุขได้ทุกครั้ง”
โดยเฉพาะในรายที่รักษาไม่หายแล้ว
นอกจาการพยายามช่วยบรรเทาความเจ็บปวดทางกาย
จะต้องช่วยเหลือดูแลในเรื่อง จิตใจ
และบอกให้คนไข้และญาติ รู้ถึงข้อมูลในการรักษาอย่างเต็มที่
รู้ถึงอาการที่จะเกิด ผลของยา
บอกทางเลือกในกรณีที่มีวิธีรักษาบางอย่างที่ช่วยยืดอายุได้
ไม่ว่าเป็นชั่วโมง วัน หรือสัปดาห์
รวมถึงผลดีที่คาด และผลเสียที่อาจได้รับ
เพราะการยืดอายุ อาจหมายถึง เวลาของการเตรียมตัวเตรียมใจ
การสะสางสิ่งที่คั่งค้าง ตั้งสติและเตรียมจิตอย่างสงบ
หรือเป็นเพียงการยืดสัญญาณชีพ

“กรณีที่เจอบ่อยก็คือจะช่วยชีวิตหรือไม่ ใส่ท่อหรือไม่ใส่ ขึ้นอยู่กับแต่ละราย
เขาให้ความหมายกับอะไร กับการเต้นของหัวใจ
หรือการมีสติรับรู้ต้องคุยกับทีมแพทย์เอง กับคนไข้และญาติ
กรณีที่คนไข้ไม่รู้สึกตัวแล้ว ต้องถามญาติว่าเขาได้เคยสั่งเสียอะไรไว้ไหม
หรือคุยกับคนที่รู้จักคนไข้ดีที่สุด
เพราะถ้าเราเริ่ม life support แล้วจะหยุดไม่ได้
เขาควรรู้ว่าจะต้องเจอกับอะไร ซึ่งอาจจะยืดเยื้อทนทุกข์ทรมาน”

ควบคู่ไปกับการรักษาพยาบาลให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีแล้ว
สิ่งที่เราสามารถช่วยเหลือไปพร้อมกันในทางจิตใจ ได้แก่


การให้ความรักอย่างไม่มีเงื่อนไข :

ในขณะที่ร่างกายกำลังเจ็บปวด และความตายกำลังจะมาถึง
สิ่งที่นเราหวาดกลัวมากที่สุด
คือ การถูกทอดทิ้งให้เผชิญกับความหวาดกลัวต่างๆ เพียงลำพัง
ความรักจากคนรอบข้างรวมถึงแพทย์พยาบาล
ย่อมช่วยให้จิตใจที่เปราะบางของเขาเข็มแข็งขึ้น
และพึงระลึกว่าความเจ็บปวดที่รุมเร้าอาจทำให้จิตใจ
และอารมณ์ของเขาแปรปรวน ควรอดทนด้วยความเข้าใจ

การช่วยให้เขายอมรับความตายที่จะมาถึง :

ในหลายกรณีการยอมรับความตาย อาจทำได้ยาก และต้องใช้เวลา
เราอาจเริ่มต้นด้วยการยอมรับความกลัวตายของตนเอง อย่าเทศนาสั่งสอน
หากรับฟังความรู้สึกเขาอย่างจริงใจ
ผู้ป่วยส่วนใหญ่ไม่ได้ต้องการผู้มากประสบการณ์ หรือนักจิตวิทยาผู้เชี่ยวชาญ
เพียงแต่ต้องการใครสักคน ที่แสดงทีท่าว่า พยายามจะเข้าใจเขา
ในที่สุดแล้ว การรับฟังและแบ่งปัน
อาจช่วยให้จิตใจของเขาคลี่คลาย
คิดได้ว่าความตายนั้นหลีกเลี่ยงไม่ได้
และไม่จำเป็น ต้องลงเอยอย่างเลวร้ายเช่นที่เขากลัว


พระอาทิตย์ พระอาทิตย์ พระอาทิตย์
 


แก้ไขล่าสุดโดย ดอกไม้ เมื่อ 27 เม.ย.2007, 5:04 pm, ทั้งหมด 1 ครั้ง
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ดอกไม้
บัวเริ่มพ้นน้ำ
บัวเริ่มพ้นน้ำ


เข้าร่วม: 26 ต.ค. 2006
ตอบ: 164

ตอบตอบเมื่อ: 27 เม.ย.2007, 5:04 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

การช่วยปลดเปลื้องสิ่งที่ค้างคาใจ :

คนเราไม่อาจจากไปอย่างสงบได้ หากมีภาระที่คั่งค้าง
หรือมีเรื่องราวจากอดีตที่ยังติดค้างอยู่ในใจ
เราอาช่วยสะสางธุระต่างๆ และพูดคุยให้เขาค่อยๆ คายสิ่งที่อยู่ในใจ
ชวนให้เขาแผ่เมตตา อโหสิกรรม
ชวนให้เขายอมรับ และกล่าวขอโทษทั้งต่อหน้า หรือการเขียนจดหมาย
ให้เขาตระหนักว่า ยามใกล้ตายเป็นวาระสำคัญสำคัญสำหรับการคืนดี
และการยอมรับสิ่งที่ได้ทำมา

การช่วยให้จิตใจจดจ่อกับสิ่งดีงาม :

อาจทำได้หลายวิธี เช่น นำพระพุทธรูป สิ่งศักดิ์สิทธิ์
หรือสิ่งที่บุคคลนั้นนับถือมาตั้งไว้ในห้อง
เปิดเทปสวดมนต์ เทปธรรมะ หรือดนตรีที่เขาชอบฟัง
ที่ฟังแล้วช่วยให้จิตใจเขาสงบ
สวดมนต์หรือทำสมาธิภาวนาไปพร้อมกับเขา
ชวนให้เขาระลึกถึงคุณงามความดี และกุศลที่ได้ทำมา
เพราะไม่ว่าคนๆ นั้นจะมีหรือจน หรือทำตัวผิดพลาดมาอย่างไร
ย่อมเคยทำความดีที่น่าระลึกถึงไม่มากก็น้อย
ซึ่งไม่ได้หมายความถึง การทำบุญกับพระหรือศาสนาเท่านั้น
การเลี้ยงลูกให้เป็นคนดี ดูแลพ่อแม่ด้วยความรัก
หรือเสียสละเพื่อคนอื่น ล้วนเป็นกุศล
ที่เขาสามารถมั่นใจได้ว่าจะพาตนไปสู่สุคติ

ชวนให้เขามองการป่วยไข้ในทางที่เป็นประโยชน์
เป็นอีกบทเรียนของการตระหนักรู้ มิใช่การชดใช้กรรม
นอกจากนี้อาจชวนให้เขาทำบุญ เช่นบริจาคทรัพย์สิน
ทำทานแก่คนยากจนไร้โอกาส
ซึ่งจะช่วยให้เขาละจากการติดยึดในทรัพย์สิน และโลกนี้ได้ในทางอ้อม

การช่วยให้ปล่อยวางสิ่งต่างๆ :

ในบรรดาสิ่งยึดติดทั้งหลาย
ไม่มีอะไรที่ลึกซึ้งแน่นหนากว่า ความยึดติดในตัวตน
เราอาจใช้ประสบการณ์จากการทำมรณสติ
ค่อยๆ ชักจูงให้เขาปล่อยวางสิ่งต่างๆ
จากสิ่งที่หยาบอย่างทรัพย์สินไปสู่สิ่งที่ละเอียดอย่างตัวตน
ในทางพุทธแล้วถือว่า การตายเป็นโอกาสอันยิ่งใหญ่
แก่การค่อยๆ ลอกสิ่งที่จิตปรุงแต่งไว้ตลอดชีวิต
ให้เหลือแต่จิตแท้ที่บริสุทธิ์ หรือพุทธภาวะที่จะไม่ยึดอยู่กับสิ่งใดอีกเลย

การสร้างบรรยากาศที่เอื้อต่อการสงบใจ :

พึงระลึกว่าการรับรู้และอารมณ์ของผู้ป่วยนั้นเปราะบาง และละเอียดอ่อนมาก
เราควรให้เขาได้อยู่ในที่ที่เขารู้สึกสงบ และอบอุ่นใจ
ญาติมิตรควรหลีกเลี่ยงการแสดงความเศร้าโศก
สลดหดหู่ หรือการโต้เถียงวิวาท

ทุกวันนี้คนเรามักตายที่โรงพยาบาลมากกว่าที่บ้าน
เราควรพูดทำความเข้าใจกับแพทย์พยาบาล
ให้งดการตรวจ เจาะ หรือการรักษาใดๆ ที่ไม่จำเป็น

พระไพศาลขยายความในประเด็นสุดท้ายว่า
การโน้มน้าวให้จิตผู้ป่วยสงบนั้น ทำได้ทุกที่ทุกเวลา
แม้เขาจะอยู่ในขั้นโคม่า หรือในห้องไอซียู
การสัมผัสมือหรือร่างกายเขาเบาๆ
สวดมนต์ให้เขาฟัง ล้วนมีผลต่อจิตใจของเขา
แม้ว่าร่างกายของเขาดูจะไม่ตอบสนองรับรู้

เช่นมีคนไข้รายหนึ่งนอนหมดสติอยู่ในห้องไอซียูเป็นอาทิตย์
ภายหลังเขาเล่าว่า หลายครั้งเขารู้สึกเคว้งคว้างเหมือนใจจะหลุดลอยไป
แต่แล้วก็มีมือมาแตะที่ตัวเขา พร้อมกับพลังบางอย่าง
ใจที่เคว้ง เหมือนจะขาดก้กลับมาใหม่ และเป็นเช่นนี้อยู่หลายครั้ง
ในที่สุดเมื่อเขาฟื้นขึ้นมาทั้งๆ ที่แพทย์บอกว่าโอกาสรอดน้อยมาก
เขาจึงรู้ว่ามีพยาบาลคนหนึ่ง ที่ทุกเช้าเมื่อขึ้นเวร จะมาจับมือเขา
แล้วแผ่เมตตาให้กำลังใจแก่เขา

พระไพศาลฝากไว้ในตอนท้ายของการอบรมว่า
“แม้สัญญาณชีพหมดแล้ว ก็ควรรักษาบรรยากาศที่สงบนั้นต่อไป
อย่างเพิ่งเข้าไปมะรุมมะตุ้ม หรือร้องไห้กอดรัด
จิตอาจกำลังอยู่ในช่วงละร่าง อาจจะตระหนกตกใจ
เราอาจช่วยตีระฆัง หรือสวดมนต์ส่งจิต
บอกเขาว่าไปแล้วนะ ขอให้ไปในที่ที่ดี ”
เราทุกคนย่อมปรารถนาการตายอย่างสงบ
หากระลึกได้ว่า ความตายติดตามเราอยู่ทุกนาที
เราย่อมมีชีวิตโดยไม่ประมาท
และรู้ตัวดีว่า ยังมีการบ้านอีกมากที่ต้องทำ
และต้องลงมือทำอย่างไม่ผัดวันประกันพรุ่ง”


พระอาทิตย์ พระอาทิตย์ พระอาทิตย์
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ดอกไม้
บัวเริ่มพ้นน้ำ
บัวเริ่มพ้นน้ำ


เข้าร่วม: 26 ต.ค. 2006
ตอบ: 164

ตอบตอบเมื่อ: 27 เม.ย.2007, 5:07 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เพื่อเตรียมเผชิญหน้ากับความตาย
ทั้งของตนเองและคนใกล้ตัว


“เรากลัวความตาย เพราะว่า กลัวตัวตนจะดับสูญ
ความตายมารื้อถอนมันทิ้งทั้งๆ ที่มันพยายามจะเป็นอมตะ
ยิ่งตัวตนใหญ่โตเท่าไร ยิ่งกลัวตายเท่านั้น”

พระไพศาล วิลาโล


“ทุกค่ำคืนก่อนเข้านอน ฉันจะเก็บล้างถ้วยชาที่ได้ใช้ดื่มกินมาตลอดวัน
เผือว่าหากฉันหลับและไม่ตื่นขึ้นมาอีก เมื่อรุ่งเช้ามาถึง
จะได้ไม่ต้องมีใครมาเก็บล้างภาระที่ฉันคั่งค้างไว้”

ลามะ นิกายนิงมาปะ


“ความดับไม่เหลือมีวิธีปฏิบัติเป็นสองชนิด
คือ ตามปกติขอให้มีความดับไม่เหลือ
แห่งความรู้สึกยึดถือ 'ตัวกู' หรือ 'ของกู' อยู่เป็นประจำ
อีกอย่างหมายถึง เมื่อร่างกายจะต้องแตกดับไปจริงๆ
ขอให้ปล่อยทั้งหมดรวมทั้งร่างกาย ชีวิต จิตใจ ให้ดับครั้งสุดท้าย
ไม่มีเชื้ออะไรเหลืออยู่ หวังอยู่ สำหรับการเกิดมีตัวเราขึ้นมาอีก”

พุทธทาสภิกขุ


“ไม่มีวิธีใดอีกแล้วที่จะเร่งให้คุณเติบโตเยี่ยงมนุษย์
ได้ดีไปกว่าการช่วยเหลือผู้ใกล้ตาย
การดูแลเอาใจใส่ผู้ใกล้ตายแท้ที่จริง ก็คือ
การเพ่งพินิจความตายของตัวคุณเองอย่างลึกซึ้ง”

โซเกียล รินโปเช


อ้างอิงจาก : เอกสารประกอบการอบรมเชิงปฏิบัติการ
'เผชิญความตายอย่างสงบ' และ 'ประตูสู่สภาวะใหม่'

สนใจการอบรม 'เผชิญความตายอย่างสงบ'
ติดต่อเครือข่ายพุทธิกา ฯ โทร. (02) 314-7385-6

หนังสือเหมาะแก่การพิจารณาความตาย
คู่มือมนุษย์ : พุทธทาสภิกขุ
เพ่งพินิจเรื่องชีวิตและความตาย : โซเกียล รินโปเช เขียน; พจนา จันทรสันติ แปล
เหนือห้วงมหรรณพ : โซเกียล รินโปเช เขียน; พระไพศาล วิสาโล แปล
มรณกรรมที่งดงาม : สุชีลา แบล็คแมน รวบรวมและเรียบเรียง; ธารา รินศานต์ แปล
เราตายอย่างไร : เชอร์วิน บี นูแลนด์ เขียน; วเนช แปล


สาธุ ที่มา...

http://www.budnet.info/notedead/notedead3.htm

พระอาทิตย์ พระอาทิตย์ พระอาทิตย์
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง