ผู้ตั้ง |
ข้อความ |
yui
บัวผลิหน่อ
เข้าร่วม: 02 เม.ย. 2007
ตอบ: 6
ที่อยู่ (จังหวัด): bangkok
|
ตอบเมื่อ:
23 เม.ย.2007, 3:26 pm |
|
มีคำถามอยากจะถามว่า ถ้าหากไปบวชชีแล้ว ที่วัดนั้นเค้าให้รับประทานอาหารแค่ 1 มื้อ แต่ถ้าเราทนหิวไม่ไหวจริงๆ จะขอทานอาหาร 2 มื้อ (อาจจะเป็นผลไม้หรือขนมปัง) จะเป็นบาปไหมคะ ใครทราบช่วยตอบด้วยนะคะ |
|
|
|
|
|
จิตงาม
บัวพ้นดิน
เข้าร่วม: 06 มี.ค. 2007
ตอบ: 86
|
ตอบเมื่อ:
23 เม.ย.2007, 3:35 pm |
|
อืมมมม บาปหนักเชียวนา อย่าแม้แต่จะคิดเชียว ถ้าทนหิวไม่ได้ เขามีน้ำปานะ เป็นน้ำผลไม้ อะไรพวกนี้ล่ะให้ดื่มแทน การไปบวชฯ จิตต้องละกิเลสได้ จะมามัวคิดถึงตอนดึกๆ ว่า ได้บะหมี่แห้งปูสักชาม ข้าวขาหมูคากิสักถ้วย เส้นเล็กชิ้นหมูน้ำตก เปื่อยไม่งอกร้อนๆ อุ่นนี่คงไม่ได้นะ มันบาปมากๆ เลย ไปบวชฯ ต้องหัดอดให้ได้ อดเพื่อละกิเลสทางใจ ทางกาย |
|
|
|
|
|
จิตงาม
บัวพ้นดิน
เข้าร่วม: 06 มี.ค. 2007
ตอบ: 86
|
ตอบเมื่อ:
23 เม.ย.2007, 3:45 pm |
|
เสริมนิสสสสสนึง
การกินอาหารหนักๆ ได้นี่ หมดเวลาแค่เที่ยงนะ หลังจากนั้นก็ฝึกอย่างเดียวเลย ช่วงหลังเที่ยง บ่ายๆ จะมานั่งคิดถึง ขนมจีนแกงเขียวหวาน ส้มตำไก่ย่าง เย็นตาโฟทรงเครื่อง ปลาร้าทอดบีบมะนาวหอมซอยพริกทอด ไม่ได้เช่นกัน จะแอบคิดถึง กระเพาะปลาร้อนๆ ผัดไท หอยทอด ราดหน้าหมูนุ่ม กระเพราไข่ดาว ไม่ได้จริง มันบาป ต้องทนนะ หัดอดจากทางบ้านไปก่อนล่วงหน้าก็ดี |
|
|
|
|
|
เศษพุทธทาส
บัวใต้น้ำ
เข้าร่วม: 08 เม.ย. 2007
ตอบ: 121
|
ตอบเมื่อ:
23 เม.ย.2007, 3:55 pm |
|
เออ ดี เหมือนกันครับคุณ yui ถ้าเขาบอกว่าเลยเที่ยงไปแล้วจะกินไม่ได้ งั้นก่อนเที่ยงคุณก็ มั่มให้สะใจกระเพาะไปเลย วันละมื้อมันหนักไปสำหรับคนมาใหม่จริงไหมครับ จะเคร่งก็ใจเย็นๆ ก่อน ขอกินก่อน
จะทานสองมื้อมันก็ไม่บาปหรอกครับ หากยังไม่เลยเที่ยง แต่อย่าฉันด้วยความโลภก็แล้วกันครับ
อืม !! มีคำถามเหมือนกันครับ อยากรู้ว่า หากเรากินเย็นไปด้วยอาการของการกำหนด ว่ากินหนอๆ เคี้ยวหนอๆ อย่างนี้จะบาปไหมครับ เพราะเราไม่ได้ฉันด้วยความไรสติ แต่ขณะฉันเราก็เจริญสตินี่ครับ หรือว่าเป็นแค่การเข้าข้างตัวเอง ใครรู้ก็ช่วยตอบที่ครับ
May the Dhamma be with you.ขอธรรมจงสถิตอยู่กับท่าน |
|
_________________ ทำวันนี้ให้ดีและต้องรู้ไว้ว่า ทำดีเพื่อดี ทำหน้าที่เพื่อหน้าที่ อุปสรรคไม่มี บารมีไม่เกิด |
|
|
|
ตาตะวัน
บัวผลิหน่อ
เข้าร่วม: 22 เม.ย. 2007
ตอบ: 9
|
ตอบเมื่อ:
23 เม.ย.2007, 5:36 pm |
|
โดยปกติถ้าเป็นศูนย์ปฏิบัติที่รับบุคคลภายนอก สาธุชนคนดี ที่มุ่งใฝ่เจริญในธรรม เข้าไปปฎิบัติ ธรรม มักจะมีอาหารให้สองมื้อ มื้อเช้าจะเป็นข้าวต้ม มื้อเพลจะเป็นอาหารหนัก และสำหรับเวลาเย็นก็จะมีน้ำปานะ ( นม โอวัลติน น้ำเต้าหู่) ประมาณนี้ให้น่ะ
1-3 วันแรกของการอดมื้อเย็นใหม่ๆ ระบบร่างกายจะปรับสภาพ อาจทำให้มีลมในท้อง หลังจากนั้นจะพอทนได้ และอยู่ได้ ซึ่งการที่ร่างกายถูกฝึกจากการเดินจงกรม นั่งสมาธิ จิตจะถูกปรับและทรงตัวอยู่ในระดับหนึ่ง บวกกับการผ่อนอาหารคือ งดรับมื้อเย็น (ปานะได้) จะทำให้กายวิเวก เบาสบายตัว สังเกตคนที่ทานอาหารมากๆ มักจะง่วง ซึ่งเป็นอุปสรรค์ต่อการเจริญภาวนา
จุดมุ่งหมายของการทานน้อย นอนน้อย ทำความเพียนมาก ก็เพื่อฝึกตัวฝึกตน ละสิ่งที่เคยตัว เคยใจ เราสละออกจากบ้านมาได้ ถือว่ายอดแล้ว สละเพื่อได้ ไม่ว่าจะอยู่ในศีล 5 ศีล 8 จุดมุ่งหมายคือ ละกิเลสที่อยู่ในตัวตามลำดับขั้น ศีล 8 เป็นศีลของนักบวช ถ้าเราจะบวชในช่วงที่โอกาสอำนวย 3 วัน 5 วัน 7 วัน ก็ถือว่าเรามาเรียนรู้ และมาทำความเข้าใจในร่างกาย และจิตใจตัวเอง การจะเข้าใจได้มากน้อยขนาดไหนก็อยู่ที่ความตั้งใจ และความเพียรพยายามของตัวเรา ของให้เดินจงกลม และภาวนา มีสติอยู่กับตัวในอริยาบทต่างๆ แม้ออกจากที่ภาวนา ก็ขอให้มีสติอยู่กับตัว อย่างน้อยตัวเราเองจะเป็นผู้ตอบตัวเองได้ว่าได้มองเห็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในตัวเราหรือไม่ มากน้อยขนาดไหน
ถ้าจำเป็นต้องฉันมื้อเดียวจริงๆ โดยมาก จะเป็นผู้ที่ต้องการฝึกตนเองอย่างอุกฤษ์ มักจะไปปฏิบัติธรรม ยังวัดปฏิบัติที่ห่างไกลบ้านเรือน และสันโดษ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ที่ดูแลตัวเองได้ในระดับหนึ่งแล้ว และปรารถนาความเพียรพยายามที่จะพัฒนาจิตให้ก้าวหน้า
อย่างไรเสีย สถานที่ปฏิบัติธรรมมีให้เลือกปฏิบัติอยู่มาก ก็ให้ศึกษา สอบถาม เพื่อจะได้ประมาณกำลัง สภาพร่างกายของตนเอง
จุดมุ่งหมายใหญ่อยู่ที่การขัดเกลาจิตใจตนเอง ว่าโลภ โกรธ หลง ของเราเบาบางบ้างหรือไม่ ทิฐิมานะ ความถือตัวถือตน ลดลงหรือไม่ ความอ่อนน้อมถ่อมตน ความกตัญญู กตเวทิตา หิริ โอตัปปะ มีหรือไม่ คนที่รักษาศิล 5 และปฏิบัติธรรมสม่ำเสมอ ก็มีศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์อย่างเต็มภูมิน่ะ
ขอให้เจริญก้าวหน้าในธรรม |
|
|
|
|
|
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
24 เม.ย.2007, 11:19 am |
|
คือว่าเค้าให้ทานแค่ตอน 10 โมงเช้าน่ะค่ะจนถึง 11 โมงเช้าแล้วไม่ให้ทานอีกเลย นมก็ทานไม่ได้ ส่วนน้ำปานะก็จะเป็นแค่พวกน้ำหวานน่ะค่ะมันไม่ค่อยจะยู่ท้องซักเท่าไร ก็คิดเหมือนกันว่าจะทานอัดเข้าไปเยอะตอนเวลาที่เค้าให้ทานแต่พอเอาเข้าจริงๆ มันทำไม่ได้ค่ะ เพราะเนื่องจากว่ามันหิวจัดพอกินจริงๆ กินได้แค่ 2-3 คำมันก็เหมือนกับมันจุกแล้วเหมือนจะอาเจียนน่ะค่ะ มีใครเคยเป็นแบบนี้บ้างไหมคะ หรือใครพอจะทราบวิธีที่จะทำให้ไม่มีอาการแบบนี้หรือเปล่าคะ ช่วยตอบด้วยนะคะ |
|
|
|
|
|
yui
บัวผลิหน่อ
เข้าร่วม: 02 เม.ย. 2007
ตอบ: 6
ที่อยู่ (จังหวัด): bangkok
|
ตอบเมื่อ:
24 เม.ย.2007, 11:24 am |
|
|
|
|
ปุ๋ย
บัวเงิน
เข้าร่วม: 02 มิ.ย. 2004
ตอบ: 1275
|
ตอบเมื่อ:
24 เม.ย.2007, 4:10 pm |
|
กราบสวัสดีค่ะ กัลยาณมิตรผู้ปฏิบัติธรรมทุกท่าน
การไปบวชเนกขัมมะ ก็ดังที่คุณตาตะวันกล่าว แต่การทานอาหารจะเป็นมื้อเดียวหรือสองมื้อ ก็แล้วแต่จะสมาทาน การฉันมื้อเดียวจัดอยู่ในธุดงค์วัตร 13 ข้อ ประกอบด้วย
คำว่า ธุดงค์ คือ องค์คุณเครื่องกำจัดกิเลส ส่งเสริมความมักน้อยสันโดษ
1. ปังสุกูลิกังคะ ถือใช้แต่ผ้าบังสุกุล
2. เตจีวริตังคะ ใช้ผ้าเพียง 3 ผืน
3. ปิณฑปาติกังคะ เที่ยวบิณฑบาตเป็นประจำ
4. สปทานจาริปังคะ บิณฑบาตตามลำดับบ้าน
5. เอกาสนิกังคะ ฉันมื้อเดียว
6. ปัตตปิณฑิกังคะ ฉันเฉพาะในบาตร
7. ขลุปัจฉาภัตติกังคะ ลงมือฉันแล้วไม่ยอมรับเพิ่ม
8. อารัญญิกังคะ ถืออยู่ป่า
9. รุกขมูลิกังคะ อยู่โคนไม้
10. อัพโภกาสิกังคะ อยู่กลางแจ้ง
11. โสสานิกังคะ อยู่ป่าช้า
12. ยถาสันถติกังคะ อยู่ในที่แล้วแต่เขาจัดให้
13. เนสัชชิกังคะ ถือนั่งอย่างเดียวไม่นอน
ทีนี้ฆราวาสผู้เข้าไปปฏิบัติธรรมนี่ เราจะไปกินเอามันส์อย่างอยู่ที่บ้านไม่ได้ ไม่งั้นก็ไม่ถือว่าเข้ามาฝึกละสิ่งที่เคยตัว อย่าลืมว่าสมาทานศีลแล้ว สัจจะเป็นเรื่องสำคัญ เรื่องศีล วินัย ไม่ใช่เรื่องเล่น สมาทานแล้วไม่สำรวมไม่ว่าอิริยาบทใด ไร้ระเบียบวินัย มันก็อาเจียนทันที
เวลารับประทานอาหาร ก็ต้องฝึกเจริญสติในการทานอาหาร ตั้งแต่เดินไปตักอาหารอย่างมีสติ ก็ตักแต่พอที่ตนรับประทาน เวลาตักข้าวเข้าปากก็ให้รู้อิริยาบท ตั้งแต่ลิ้นรู้สัมผัสรส เคี้ยวอย่างมีสติอวัยวะภายในปากมันเคลื่อนไหวยังไง กลืนอย่างมีสติรู้ขณะอาหารผ่านลำคอลงไป
น้ำก็เหมือนกัน กระหายก็ทาน แต่ฝึกขั้นอุกฤกษ์ก็แค่จิบเพียงชุ่มปาก ไม่ใช่ดื่มอั้กๆ ถ้าไม่ประมาณในการบริโภค ไม่รู้จักสำรวมในการบริโภค ไม่ฝึกเจริญสติในอิริยาบทขณะรับประทานอาหาร ก็มักจะมีอาการจุก อาเจียน และนั่งหลับเวลาปฏิบัติในเวลาต่อมา
เจริญในธรรม
มณี ปัทมะ ตารา
|
|
|
|
|
|
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
04 พ.ค.2007, 8:31 pm |
|
ทานสองมื้อไม่ผิดดอก (แต่ต้องก่อนเที่ยงวัน) แต่สามมื้อผิด (สมาทานศีล 8)
เมื่อเราทนหิวไม่ไหวจริงๆ ก็บอกเขาได้ |
|
|
|
|
|
อากง
บัวใต้ดิน
เข้าร่วม: 18 มี.ค. 2007
ตอบ: 41
ที่อยู่ (จังหวัด): สตูล
|
ตอบเมื่อ:
09 พ.ค.2007, 11:15 pm |
|
yui พิมพ์ว่า: |
มีคำถามอยากจะถามว่า ถ้าหากไปบวชชีแล้ว ที่วัดนั้นเค้าให้รับประทานอาหารแค่ 1 มื้อ แต่ถ้าเราทนหิวไม่ไหวจริงๆ จะขอทานอาหาร 2 มื้อ (อาจจะเป็นผลไม้หรือขนมปัง) จะเป็นบาปไหมคะ ใครทราบช่วยตอบด้วยนะคะ |
วิกาละโภชะนา เวระมณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิเว้นจากการบริโภคอาหารในเวลาวิกาล คือตั้งแต่เที่ยงวันจนถึงอรุณแดงของวันใหม่เมื่อหิวพระพุทธองค์ทรงอนุญาติให้ทานน้ำปานะ มี ๘ อย่าง หรือ ผลไม้ที่คั้นเอาแต่น้ำและผลไม้นั้นต้องมีผลไม่ใหญ่ไปกว่าผลมะตูม ,น้ำผึ้ง น้ำอ้อย ทานได้ทรงอนุญาติ เป็นต้น
แต่ในพุทธนิกายหินยาน(เถรวาท) ห้ามฉัน นม นมถั่วเหลือง น้ำธัญพืช เป็นต้น |
|
_________________ ทำทาน รักษาศีล เจริญสมาธิ สติ ปัญญา |
|
|
|
แก้ว
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
10 พ.ค.2007, 4:33 pm |
|
ถ้าจิตคุณตั้งอยู่ในสมาธิตลอดเวลานาที แม้คุณจะกินมื้อเดียว 10 คำ มันก็ไม่หิว มันจะอิ่มในสมาธิที่คุณกำหนดรู้ทุกอารมณ์ตลอดเวลานาที
ขณะกินก็กำหนด ค่อยกิน ค่อยเคียว กินช้าๆ อาหารจะย่อยง่าย และไม่หิว หลวงพ่อท่านสอนน่ะค่ะ ดิฉันก็ทำตาม เลยเข้าใจค่ะ ท่านบอกว่า กินช้าๆ เคียวนานๆ พิจารณาตามตลอด อาหารจะย่อยดี ร่างกายก็จะไม่หิว ถ้าคุณกินนาน 1 ชั่วโมงยิ่งดีเลยแต่ต้องกำหนดด้วยน่ะ
ดิฉันเอง ก็มักจะไปปฏิบัติธรรมวัดที่ฉันท์ 1 มื้อ แถมช่วยวัดขุดดิน ต้นไม้ จนถึงเย็นตลอด ก็หมดแรงน้ำข้างต้มเหมือนกัน พอหิวก็จะกินน้ำปานะ มันก็อิ่มอยู่ดอกน่ะ
มันอยู่ที่จิตคุณมั่วแต่ห่วงกิน ไม่กำหนดยืน เดิน นอน นั่ง นิค่ะ ลองทำตามที่ดิฉันบอกซิ รับรองคุณจะพบความมหัศจรรย์แห่งธรรมเชียวล่ะ |
|
|
|
|
|
K.
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
10 พ.ค.2007, 5:53 pm |
|
เป็นกำลังใจให้ครับ
ต้องปฎิบัติให้ได้ตามที่ได้ให้สัจจะไว้
อย่าเครียดครับ เมื่อคิดมากก็เครียด
ผมมีโรคประจำตัวต้องกินยาเช้าเย็น ตอนเย็นผมก็ไม่พึ่งอาหาร ทานนําปานะช่วยได้ดีเลยครับ
ทั้งวันส่วนใหญ่จะใช้แรงกายช่วงงานวัดแทบไม่ได้หยุด เพราะคิดอยากให้กุศลแก่พระได้มีเวลาปฏิบัติให้เยอะๆครับ เราไปอาศัยวัดควรจะช่วยให้มากที่สุด เวลาปฏิบัติของตัวเองจะเหลือแค่ 2-3 ชั่วโมงก็ดีแล้ว ถ้าว่างก็จะรีบทำ แต่ถ้าพระต้องการความช่วยเหลือก็จะเข้าไปอาสาทันที คิดและได้ทำแค่นี้ก็อิ่มเอิบใจเป็นอย่างยิ่งแล้วครับ
เพื่อนๆผมต่างสงสัยเวลากลับจากวิปัสนาว่าทำมัยตัวดำ เหอๆๆๆ ก็ขุดดินกวาดขยะ ล้างห้องนํา กวาดลาน ถูพื้นโบสถ์เก่า ขนของกลางแดดเกือบทั้งวัน ใครจะไปรู้ ได้สมาธิด้วยได้กำลังด้วย
ตอนนี้ถ้าไม่ได้ไปปฏิบัติก็จะพยายามถือศีล 5 ให้ได้ทุกวัน และถือศีล 8 ทุกๆวันพระให้ได้มากที่สุด
บุญกรรม สร้างด้วยตัวเราเอง ไม่มีใครสามารถสร้างและทำให้เราได้ จริงๆน่ะครับ
อดทน อดกลั้น รักษาสติ สมาธิ ให้ดี |
|
|
|
|
|
แก้ว
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
11 พ.ค.2007, 9:52 am |
|
โมทนากะคุณ K ด้วยค่ะ
ดิฉัน-สามี-ลูก และคณะ ก็ไปเข้าวัดปฏิบัติธรรม ก็ทำเหมือนคุณทำเลย
ไปแบกขนต้นไม้ ขุดหลุม ปลูกต้นไม้ รดน้ำ กวาด-ล้าง ทำความสะอาดโบสถ์เถาวัลย์ ผสมปูน แบกปูน เทปูนสร้างโบสถ์ ผูกเหล็ก ตัดเหล็ก เจ็บมือมากเลยล่ะ มีชาวบ้านมาช่วยวัดทำด้วย
พอเห็นหลวงพ่อ+เณรอยู่กลางแดดจ้า ก็จะวิ่งตาตั้งออกไปช่วยทันที ไปต่อท่อน้ำให้วัด ซ่อมโน้น นี่ ทำไฟฟ้าให้ปลอดภัย เอาสมุนไพรไปปลูกที่วัด มีงานให้ทำตลอด
จะช่วยกันทำทั้งสามี-ดิฉัน-ลูกสาว ก็จับถือศีลเหมือนกัน ป่วนวัดนิดหน่อย เพราะยังเด็กไม่กี่ขวบ แต่เขาชอบวัดมาก เลยกลับมาตัวดำปี๊บี๋ บางครั้งมือเจ็บระบมก็มี แต่ไม่สนใจหรอก
เลยชวนคณะถือศีลอุโบสถด้วย จากถือศีล 8 ทุกวันพระเพิ่มศีลอุโบสถอีก ก็ถือศีล 3 วัน แต่ละคนใครกำลังถึงก็ทำตามกำลังใจที่มีน่ะค่ะ |
|
|
|
|
|
|