Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 ความมหัศจรรย์ของท่านเจ้าคุณนรฯ อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
ดอกไม้
บัวเริ่มพ้นน้ำ
บัวเริ่มพ้นน้ำ


เข้าร่วม: 26 ต.ค. 2006
ตอบ: 164

ตอบตอบเมื่อ: 21 เม.ย.2007, 3:47 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

Image

๏ ความเป็นที่หนึ่ง

ท่านธมมวิตกโก ภิกขุ หรือพระยานรรัตนราชมานิต
มีนามเดิมว่า ตรึก จินตยานนท์
ท่านเกิดเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2440
ตรงกับวันเสาร์ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3 ปีระกา
ซึ่งวันนั้นเป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา
คือ เป็นวันมาฆบูชา ท่านเกิดเมื่อ 07.40 น.
ท่านเล่าว่า เมื่อก่อนที่ท่านจะเกิด
โยมแม่ของท่านได้ออกมาใส่บาตรตามปกติ
พอใส่บาตรพระองค์สุดท้ายเสร็จ
ก็เริ่มเจ็บท้องจึงกลับขึ้นบ้าน

สักครู่ก็คลอดและเป็นการคลอดง่ายมาก
ทั้งที่ท่านเป็นบุตรคนแรกของโยมแม่
ท่านบอกอย่างขำๆ ว่า
“อาตมาไม่ได้ทำให้โยมแม่เจ็บนาน”

ท่านเกิดที่บ้านใกล้วัดโสมนัส

เมื่อโตขึ้นก็ได้เข้าเรียนชั้นประถมที่วัดโสมนัส
และมาต่อชั้นมัธยมที่โรงเรียนวัดเบญจมบพิตร
เมื่อตอนจะจบชั้นมัธยมท่านสอบได้ที่ 1 ของสนามสอบ
การสอบในสนามสอบนี้ เป็นการสอบรวมกันหลายโรงเรียน
โดยข้อสอบเดียวกัน
ถ้าจะเปรียบกับสมัยนี้
ก็คงเปรียบได้กับการสอบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5
ซึ่งสอบพร้อมกันทั้งประเทศ โดยใช้ข้อสอบเดียวกัน
ฉะนั้น อาจกล่าวได้ว่าท่านสอบได้เป็นที่ 1
ของประเทศไทยในสมัยของท่าน


เมื่อท่านจบจากโรงเรียนมัธยมแล้ว
ท่านตั้งใจจะเรียนวิชาแพทย์ต่อ
เพราะท่านสนใจวิชานี้มาก
เห็นว่าเป็นประโยชน์ที่จะเกื้อกูล
ต่อผู้ที่ต้องทุกขเวทนาต่อการป่วยเจ็บ
แต่โยมพ่อเป็นนักปกครอง
อยากจะให้ท่านได้เป็นนักปกครองตาม
จึงให้ท่านเรียนวิชาการปกครอง เพื่อจะสืบตระกูลต่อไป
เมื่อโยมพ่อปรารถนาเช่นนั้น ท่านก็ตามใจ
โดยไปเข้าเรียนโรงเรียนข้าราชการพลเรือนในสมัยนั้น
โรงเรียนนี้ท่านเล่าว่าตั้งอยู่ในวังหลวง
ท่านได้เรียนวิชารัฐประศาสนศาสตร์
เมื่อท่านเรียนอยู่ปีสุดท้าย
โรงเรียนนี้ย้ายมาอยู่ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยปัจจุบัน
และท่านก็จบในปีนั้น นับเป็นบัณฑิตจุฬารุ่นแรก
และท่านสอบได้ที่ 1 อีกด้วย
ท่านธมมวิตกโก ท่านนิยมความเป็นหนึ่ง
ท่านบอกว่าในชีวิตของคนเรา
ถ้าทำอะไรให้เป็นหนึ่งแล้ว มักจะดีเสมอ
เมื่อจะทำการงานหรือทำสิ่งใดก็ต้องทำใจให้เป็นหนึ่ง
มุ่งอยู่ในงานนั้นจนสำเร็จ
แม้การทำสมาธิ ก็คือ การทำจิตให้เป็นหนึ่ง คือ เอกัคตา

ท่านบอกว่า ของในโลกนี้ ถ้ามีหนึ่งแล้ว มีค่าเป็นของดี
ในทางโลกเมื่อจะทำงานก็ต้องทำใจให้เป็นหนึ่ง มุ่งมั่นในงานนั้น
ในทางธรรมเมื่อจะทำสมาธิก็ต้องทำใจให้เป็นหนึ่ง คือ เอกัคตา
การสอบถ้าได้ที่ 1 ก็ดี
หรือจะแต่งงานก็ควรมีเมียเดียว คือ มีเพียงหนึ่งไม่เดือดร้อน
ท่านบอกว่า โลกไม่นิยมคนแพ้ โลกชอบคนชนะ
ฉะนั้นเมื่ออยู่ในโลก ต้องเป็นคนชนะต้องเป็นหนึ่ง เหมือนกับมวย
คนแพ้ไม่มีใครรู้จักไม่มีใครสงสาร
หรือในนิยายคนที่เป็นพระเอก ต้องชนะ
ส่วนท่านธมมวิตกโกนั้น ผมเห็นว่าท่านทำได้อย่างที่ท่านสอนจริงๆ
เพราะเมื่อสมัยเป็นฆราวาส ท่านสอบก็ได้ที่ 1
รับราชการผลงานท่านก็เป็นหนึ่ง
เมื่อมีคนรักก็มีเพียงหนึ่ง
แม้เมื่อมาอุปสมบท ท่านไม่ได้ต่อสู้ เพื่อความเป็นหนึ่งกับใครอีก
ท่านแสวงหาแต่ความสงบเพียงประการเดียว
แต่เหตุการณ์ก็บอกว่า ท่านเป็นหนึ่งของพระนักปฏิบัติทีเดียว
ความเป็นหนึ่งของท่านนี้ ไม่ใช่มีแต่เฉพาะเมื่อท่านมีชีวิตอยู่
แม้เมื่อมรณภาพท่านก็เป็นหนึ่งอีกครั้ง
กล่าวคือ คุณละมูน มีนะนันท์ ได้สร้างศาลาถวายวัดเทพศิรินทร์ฯ
ชื่อศาลาละมูนนิรมิต
สร้างเสร็จแล้วฉลอง พอดีท่านธมมวิตกโกมรณภาพ
และท่านก็ได้เป็นศพหนึ่งที่มาบำเพ็ญกุศลที่ศาลาละมูนนิรมิต
นับว่าท่านครองความเป็นหนึ่งมาแต่เกิด
คือ เป็นลูกคนแรกและเป็นหนึ่ง
แม้เมื่อมรณภาพแล้วดังที่ได้กล่าวมา


พระอาทิตย์ พระอาทิตย์ พระอาทิตย์
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ดอกไม้
บัวเริ่มพ้นน้ำ
บัวเริ่มพ้นน้ำ


เข้าร่วม: 26 ต.ค. 2006
ตอบ: 164

ตอบตอบเมื่อ: 21 เม.ย.2007, 4:52 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

๏ ปาหี่บรรดาศักดิ์

เล่ากันว่าในครั้งนั้น เจ้าคุณนรฯ สามารถแสดงกายกรรม
ในท่าที่ยากๆ โลดโผนพลิกแพลงต่างๆ นานา
ได้หลายต่อหลายท่า ดุจดังนักแสดงกายกรรมมืออาชีพ
ผู้ชำนาญเวทีเลยทีเดียว

บางครั้งท่านสามารถแสดงการหมุนตัว ในท่านอนกับพื้นราบ
แล้วหมุนไปรอบๆ โดยใช้ศีรษะกับเท้าทั้งสองข้างยันกับพื้น
มือทั้งสองกอดอกแน่นไว้ แล้วก็หมุนตัวกลิ้งกลับไปกลับมา
ได้ครั้งละหลายๆ นาที

นอกจากนี้ เจ้าคุณนรฯ ยังสามารถบังคับกล้ามเนื้อ
ในร่างกายของท่านได้แทบทุกสัดส่วน
โดยทำให้แข็งแกร่งดุจดังไม้กระดานได้อย่างน่าอัศจรรย์
เฉพาะอย่างยิ่ง ท่านสามารถเบ่งลำคอให้พองออกมา

หลายครั้งเมื่อมีผู้ไปรุมล้อมตั้งวงดูท่านแสดงกายกรรมดังกล่าว
ส่วนใหญ่ก็ล้วนเป็นมหาดเล็กด้วยกันทั้งสิ้น
ท่านเคยบอกให้ทุกคนได้ทราบว่า

“วิชานี้แหละ คือปาหี่บรรดาศักดิ์...”

แล้วเจ้าคุณนรฯ ก็ยังได้สาธยายสืบต่อไปอีกว่า
คนเรานั้นถึงจะมีเงินทองสักเท่าใด ก็ไม่สู้จะมีประโยชน์
เอาไปฝากแบงก์ไว้แบงก์ก็อาจล้มได้
เอาไปซื้อหุ้นใบหุ้นรัฐบาล
ก็อาจระส่ำระสายในยามเศรษฐกิจตกต่ำ

เมืองจีนนั้นเล่า ยามจลาจลด้วยสงครามกลางเมือง
เอาสตางค์ไปซื้อก๋วยเตี๋ยวกินสักชามหนึ่ง
ก็ต้องหอบเอาธนบัตรไปเป็นมัดๆ
แต่วิชานี้แหละไม่มีวันอดตาย

ลงท้ายท่านยังเตือนบรรดาผู้ที่มันเมาประมาทไว้ด้วยว่า
วันนี้เป็นเศรษฐี พรุ่งนี้อาจเป็นกระยาจก
(มีตัวอย่างครั้งนั้นก็คือประเทศเยอรมัน
ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 1)

นอกจากนี้ เจ้าคุณนรฯ ท่านยังแสดงความสามารถพิเศษ
ให้ผู้คนทั้งหลายได้ประจักษ์ชัดกันอีกอย่างหนึ่ง
กล่าวคือท่านสามารถที่จะบังคับเกร็งกล้ามเนื้อตรงส่วนชายโครง
หรือตรงสีข้างของท่านให้แข็งแกร่งทนทานเป็นพิเศษ
ดุจดังแผ่นโลหะหรือกระดาน
ซึ่งสามารถพิสูจน์กันได้ด้วยการให้ใครก็ได้ลองเตะดู
โดยเตะให้เต็มแรง ชนิดที่ไม่ต้องเลี้ยงกันเลยทีเดียว

ผลปรากฏว่า คนที่เตะท่านนั่นแหละ
ต้องเจ็บเท้าระบมไปตามๆ กัน
โดยที่ท่านหาได้สั่นสะเทือนหรือได้รับความเจ็บปวดแต่ประการใดไม่ !

แต่อย่างไรก็ดี โลกนี้อนิจจังทุกคนย่อมมีวันพลาดได้
ดังที่โบราณท่านกล่าวกันมาว่า
“สี่เท้ายังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง”
เจ้าคุณนรฯ ก็มีวันพลั้ง โดยพลาดท่าให้มหาดเล็ก
เด็กรุ่นน้องเตะผิดจังหวะ
ทำเอาเจ้าคุณนรฯ ต้องถึงกับทรุดตัวลงนั่งจุกไปชั่วขณะ !

ที่ว่าเตะ “ผิดจังหวะ” นั้น
ก็คือ ท่านถูกเตะตอนที่ท่านถอนหายใจ หรือ หายใจออก
ทำให้เกิด “จุดอ่อน” ต้องเจ็บตัวเสียอานไปเลย !
(ท่านที่เรียนรู้เรื่องอำนาจพลังจิตขั้นต้นมาบ้าง
ย่อมจะทราบดีว่า ร่างกายมนุษย์เรานั้น
จะมีพลังแข็งแกร่งทนทานเป็นพิเศษตอนหายใจเข้า
แล้วมีการกลั้นใจ-อัดลมเข้าไว้
พอปล่อยลม-หายใจออกเมื่อใด พลังก็จะอ่อนขึ้นมาทันที
ในการต่อสู้กัน ผู้ที่รู้ “จุดอ่อน” ในเรื่องนี้ดี
จึงมักฉวยโอกาสตอนปรปักษ์หายใจออกนี่เอง
แม้วิชาอยู่ยงคงกระพันก็เช่นกัน
อำนาจมนต์คาถาจะปรากฏชัดในตอนหายใจเข้า
แล้วกลั้นเอาไว้ ดังได้กล่าวมา)

ผู้ที่เตะเจ้าคุณนรฯ จนเจ็บต้องนั่งจุกไปในวันนั้น
ก็คือ ม.ร.ว. เฉลิมลาภ ทวีวงศ์
(ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 7 ได้รับสถาปนาขึ้นเป็น
“หม่อมทวีวงศ์ถวัลย์ศักดิ์” แล้วได้เป็นเลขาธิการพระราชวัง
ในสมัยรัชกาลปัจจุบัน) ซึ่งอายุน้อยกว่าเจ้าคุณนรฯ 4 ปี
ได้เสียชีวิตไปก่อนหน้าเจ้าคุณนรฯ
เพียง 2 เดือนเศษ (27 ตุลาคม 2513)
ม.ร.ว. เฉลิมลาภ ทวีวงศ์
ขณะนั้นรับราชการเป็นนักเรียนมหาดเล็กรับใช้รุ่นแรก
ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
เข้ารับราชการภายหลังเจ้าคุณนรฯ 7 เดือน
ขณะที่มีอายุได้เพียง 14 ปี จึงยังเป็นนักเรียนอยู่
และเป็นมหาดเล็กรับใช้ด้วย ซึ่งมีอยู่ด้วยกัน 7 คน

ม.ร.ว. เฉลิมลาภฯ ปฏิบัติหน้าที่ถวายการรับใช้ทุกอย่าง
ในขณะที่ยังไม่เสด็จลงและเมื่อเสด็จขึ้นแล้ว
ก็ยังต้องอยู่เฝ้าถวายการรับใช้เบื้องพระยุคลบาทอยู่อีก
เปรียบเสมือนเป็นผู้ช่วยมหาดเล็กห้องพระบรรทม
จึงเป็นเหตุให้ได้รู้จักมักคุ้นกับเจ้าคุณนรฯ ได้เป็นอย่างดี
ด้วยเหตุนี้ ม.ร.ว. เฉลิมลาภ ทวีวงศ์
(หรือหม่อมทวีวงศ์ถวัลย์ศักดิ์ในกาลต่อมา)
จึงได้มีโอกาสได้ชมการแสดง “ปาหี่บรรดาศักดิ์” ของเจ้าคุณนรฯ
ในครั้งนั้นด้วยเป็นประจำ
แล้วยังเป็นผู้หนึ่งซึ่งได้มีโอกาสพิสูจน์ความแข็งแกร่งร่างกาย
ที่เหนือมนุษย์ธรรมดาสามัญของเจ้าคุณนรฯ ในครั้งนั้นด้วย

การที่เจ้าคุณนรฯ สามารถแสดงกายกรรมท่ายากๆ แปลกๆ ได้
อย่างน่าพิศวง ต่างๆ นานานี้
ท่านเคยกล่าวว่าสำเร็จได้ด้วยอำนาจจิต
จากการฝึกตามลัทธิโยคีทั้งสิ้น

โดยเหตุที่เจ้าคุณนรฯ ท่านมีความสามารถประหลาด
เหนือมนุษย์ธรรมดาสามัญโดยทั่วไปดังที่ได้กล่าวมานี้
จึงได้มีผู้กล่าวกันว่าในสมัยที่ยังเป็นฆราวาสอยู่นั้น
ท่านเจ้าคุณนรฯ เป็นชายหนุ่มที่มีร่างกายแข็งแรงที่สุด
อย่างที่ไม่มีใครสู้ได้เลยทีเดียว

นอกจากจะได้ฝึกหัดกายบริหารตามแบบโยคะอย่างจริงจริง
และตั้งหน้าเพาะกาย สร้างความสมบูรณ์ให้แก่กล้ามเนื้อ
จนก้าวล้ำหน้าบุคคลโดยทั่วไปแล้ว
เจ้าคุณนรฯ ครั้งนั้นยังได้ว่าจ้างครูบาอาจารย์ผู้ชำนาญ
ในวิชาศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัวด้วยมือเปล่า
มาฝึกสอนและฝึกซ้อมให้แก่ท่าน เป็นการเฉพาะส่วนตัวอีกด้วย
ได้แก่ วิชามวยไทย มวยสากล ยูโด ฯลฯ
จนกล่าวได้ว่าเจ้าคุณนรฯ ในขณะนั้น
ท่านมีคุณสมบัติเป็นชายชาตรีอย่างสมบูรณ์
จนดูแตกต่างห่างไกลจากครั้งก่อนเก่า
ราวกับเป็นคนละคนเลยทีเดียว !


พระอาทิตย์ พระอาทิตย์ พระอาทิตย์
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ดอกไม้
บัวเริ่มพ้นน้ำ
บัวเริ่มพ้นน้ำ


เข้าร่วม: 26 ต.ค. 2006
ตอบ: 164

ตอบตอบเมื่อ: 21 เม.ย.2007, 4:56 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

๏ ข้อพิสูจน์ความแข็งแรง

ครั้งหนึ่งเมื่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
ทรงพระประชวรเล็กๆ น้อยๆ เมื่อถึงเวลาที่จะทรงลงพระบังคนหนัก
(ถ่ายอุจจาระ) ก็จะต้องเสด็จลงจากพระที่ (เตียงนอน) ไปยังห้องสรง
ซึ่งอยู่ห่างไกลออกไป และไม่สะดวกสำหรับพระองค์ท่าน
พระยาอุดมราชภักดี อธิบดีกรมชาวที่
จึงได้สั่งให้ช่างไม้ต่อตู้ขนาดใบย่อมๆ
สำหรับให้ประทับลงพระบังคนหนัก
โดยไม่ต้องเสด็จไปยังห้องสรงอีกดังแต่ก่อน
โดยให้ตั้งตู้นั้นไว้ตรงริมที่พระบรรทม
เวลาที่จะทรงลงพระบังคนหนัก
ก็สามารถที่จะทรงลุกขึ้นมาประทับนั่งเองได้โดยสะดวก

คราวหนึ่ง ขณะที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
กำลังประทับพระบังคนหนักอยู่นั้น
ก็ทรงบังเกิดพระราชประสงค์ที่จะทรงทอดพระเนตรดูอะไรๆ ขึ้นมาบ้าง
แต่พระบัญชร (หน้าต่าง) นั้นอยู่ห่างออกไป
จากพระที่ประมาณ 3-4 เมตร
ไม่สามารถทอดพระเนตรเห็นสิ่งใดภายนอกได้
จึงทรงมีพระราชดำรัสกับเจ้าคุณนรฯ ว่า

“ตาตรึก แกช่วยเลื่อนตู้ไปที่ริมหน้าต่างเสียทีเถอะ
นั่งอยู่ที่นี่มันอึดอัด จะได้ดูอะไรๆให้เพลินๆ เสียบ้าง”


ทันใดนั้นเอง สิ่งที่ไม่คาดหมายก็บังเกิดขึ้น
จากปฏิบัติการของเจ้าคุณนรฯ ในวันนั้น
กล่าวคือแทนที่เจ้าคุณนรฯ จะเลื่อนหรือผลักตู้ที่ประทับอยู่
ให้เคลื่อนที่ไปสู่หน้าต่าง
เจ้าคุณนรฯ กลับใช้มือทั้งสองข้าง
ยกตู้ที่กำลังประทับอยู่นั้น ลอยจากพื้นขึ้นไป
ตั้งตรงพระบัญชรได้ตามพระราชประสงค์
สร้างความงุนงงให้แก่ผู้ได้ประสบพบเห็นเป็นอันมาก

ทั้งนี้ เมื่อได้ประมาณน้ำหนักพระองค์
ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
รวมทั้งตู้ที่กำลังลงพระบังคนอยู่นั้นด้วยกันแล้ว
คะเนไม่น้อยกว่า 70 กิโลกรัมขึ้นไป
ในขณะที่เจ้าคุณนรฯ มีรูปร่างทั้งเล็กและเตี้ยออกอย่างนั้น
ไม่น่าที่จะยกขึ้นไหวเลย !
เรื่องนี้ จึงเป็นอีกเรื่องหนึ่งซึ่งสามารถพิสูจน์ความแข็งแรง
เหนือมนุษย์ธรรมดาสามัญของเจ้าคุณนรฯ
ในสมัยที่เป็นฆราวาสได้เป็นอย่างดี


พระอาทิตย์ พระอาทิตย์ พระอาทิตย์
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ดอกไม้
บัวเริ่มพ้นน้ำ
บัวเริ่มพ้นน้ำ


เข้าร่วม: 26 ต.ค. 2006
ตอบ: 164

ตอบตอบเมื่อ: 21 เม.ย.2007, 5:03 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

๏ ศิษย์รับใช้

เรื่องศิษย์รับใช้นั้น ความจริงเมื่อท่านบวชใหม่ๆ ท่านมีเหมือนกัน
แต่ก็เพียงคนเดียว เป็นเด็กอายุ 12-13 มาจากชนบท ชื่อ ด.ช.เปี่ยม
ซึ่งซัดเซพเนจรมาพำนักอยู่แถวบ้านของท่าน
เมื่อท่านบวชได้สมัครเป็นศิษย์
เป็นเด็กที่มีร่างแกร็นเล็กนิดเดียวไม่สมอายุ ผิวดำมะเมื่อม
พระคุณเจ้ามอบหน้าที่ให้ทำเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
คือ ตอนเช้าไปรองน้ำประปาที่ก๊อกกลาง
ซึ่งมีอยู่สองก๊อกหิ้วมาใส่โอ่งหลังกุฏิ
เพราะในสมัยพระคุณเจ้าบวชใหม่ๆ
กุฏิสงฆ์วัดเทพศิรินทร์ ยังไม่มีก๊อกน้ำประปาประจำเฉพาะ
ในตอนเช้าพวกศิษย์ทุกกุฏิ ต้องพากันไปรองที่ก๊อกกลาง
หิ้วมาใส่โอ่งที่กุฏิ แต่เมื่อไปรองในเวลาเดียวกัน
จึงมีการแย่งกันรองเป็นโกลาหล
อันเป็นเหตุให้เกิดทะเลาะวิวาทชกต่อยกันอยู่เสมอ

ด.ช.เปี่ยม เป็นคนหน้าใหม่มาแล้วก็ตัวเล็กกว่าพวกหน้าเก่าทั้งหมด
จึงถูกพวกหน้าเก่าข่มและกีดกันทั้งที่ถึงตาจะได้รอง
แต่เขาเป็นเด็กชนิดเล็กพริกขี้หนูจึงไม่ยอมให้ข่ม
จึงชกทุกคนที่ข่มและกีดกัน
แล้วก็ชกเก่งอย่างมหัศจรรย์เสียด้วย
ไม่ว่าจะโตกว่าตั้งเท่าตัวก็ปากแตกหน้าตาปูดทุกคน
คนที่ไม่ได้ชกต่อยกับเด็กชายเปี่ยม
ก็ส่งเสียงหนุนกันเกรียวกราวด้วยความสนุก
แต่เป็นที่หนวกหูพระสงฆ์องค์เจ้าอย่างยิ่ง
พระคุณเจ้าเห็นเหตุการณ์ตลอดโดยมองจากหน้าต่างกุฏิชั้นบน
จึงว่ากล่าวห้ามปราม ด.ช.เปี่ยมไม่ให้ทำเช่นนั้นอีก
ด.ช.เปี่ยมก็รับคำ แต่เหตุการณ์เช่นนั้นก็ยังเกิดขึ้นอีก
เพราะพวกศิษย์พระอื่นๆ ยังไม่ยอมระงับการข่มและกีดกัน
และ ด.ช.เปี่ยมก็เหลืออด
ในที่สุดพระคุณเจ้าจึงตัดความรำคาญ
ด้วยการอัปเปหิ ด.ช.เปี่ยมไปเสีย
แล้วท่านก็ไปรองหิ้วมาใส่โอ่งไว้ใช้ด้วยตนเอง
โดยเลือกเวลาตอนเช้ามืดหรือพลบค่ำ
ซึ่งเป็นเวลาที่ไม่มีใครมารอง
และท่านปฏิบัติเช่นนี้ไม่ใช่เพียงชั่ววันสองวัน
แต่ได้ปฏิบัติเป็นกิจวัตรประจำวันตลอดมา
จนกระทั่งทางวัดจัดเดินท่อประปาให้ทุกกุฏิ
ซึ่งเป็นเวลาสงครามโลกครั้งที่ 2 ยุติ
เมื่อท่านอัปเปหิ ด.ช.เปี่ยมไปแล้ว
ท่านก็ไม่หาศิษย์อีกจนกระทั่งกาลมรณภาพ


พระอาทิตย์ พระอาทิตย์ พระอาทิตย์
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ดอกไม้
บัวเริ่มพ้นน้ำ
บัวเริ่มพ้นน้ำ


เข้าร่วม: 26 ต.ค. 2006
ตอบ: 164

ตอบตอบเมื่อ: 21 เม.ย.2007, 5:14 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

๏ ไอ้บ้า

ผมเพิ่งได้ทราบข่าวเดี๋ยวนี้เองว่า
พระภิกษุพระยานรรัตนราชมานิต
ได้มรณภาพเสียแล้วที่วัดเทพศิรินทร์
เมื่อวันที่ 8 ม.ค. 14 เมื่อเวลาหลังเพลเล็กน้อย

นามฉายาของท่านคือ ธมมวิตกโก ภิกขุ

ตอนนี้ท่านอายุ 20 กว่า เป็นพระยาและได้สายสะพายแล้วด้วย
ท่านรับราชการกรมมหาดเล็กหลวง
และมีตำแหน่งเป็นต้นห้องพระบรรทม
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว

หน้าที่ของท่าน คือ อยู่รับใช้ใกล้ชิดพระองค์ในที่รโหฐาน
และเป็นผู้บังคับบัญชามหาดเล็กพระบรรทมคนอื่นๆ ซึ่งมีอยู่หลายคน

เจ้าคุณนรรัตนฯ สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนข้าราชการพลเรือนที่หอวัง
ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
เมื่อเรียนสำเร็จแล้วก็ต้องเข้าไปรับราชการในกรมมหาดเล็ก
เพื่อศึกษาราชการตามระเบียบ ก่อนที่จะไปรับราชการกรมกองอื่นๆ

แต่เจ้าคุณนรรัตนฯ คิดอยู่ที่กรมมหาดเล็ก
และอยู่ที่ห้องพระบรรทมอยู่จนตลอดรัชกาล

ความจำของเด็กเล็กๆ ซึ่งบัดนี้แก่แล้ว
จะต้องกระจัดกระจายเป็นธรรมดา
ต่อไปนี้เป็นเรื่องที่ผมนึกออกเกี่ยวกับเจ้าคุณนรรัตนฯ

ครั้งหนึ่งเห็นท่านกำลังติดพระตรากับฉลองพระองค์
ซึ่งสวมไว้กับหุ่นช่างตัดเสื้อ
ท่านติดจนเสร็จแล้วท่านก็ถอยออกมานั่งดูอยู่นาน ไม่พูดจากับใคร

อีกครั้งหนึ่งเห็นท่านนั่งชุนกางเกงจีนเก่าๆ ของใครอยู่
เสือกเข้าไปถามท่านตามวิสัยของเด็กทะลึ่ง
ว่าท่านชุนกางเกงของท่านเองหรือ

ท่านบอกให้ผมลงกราบกางเกงที่ท่านกำลังชุนอยู่นั้น
แล้วบอกว่าเป็นพระสนับเพลาจีนของพระเจ้าอยู่หัว

แล้วท่านก็บ่นอุบอิบอยู่ในคอว่า
“เป็นถึงเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน แต่ก็ชอบนุ่งกางเกงขาดๆ เก่าๆ
อย่างนี้แหละ หาใหม่ให้ก็ไม่เอา
ครั้นจะปล่อยให้นุ่งกางเกงขาดก็ขายหน้าเขา”

จำได้ว่าเวลาท่านพูดกับเด็กอย่างผม
แล้วท่านใช้วาจาหยาบคายสิ้นดี พูดมึงกูไม่เว้นแต่ละคำ
แต่ท่านมีทอฟฟี่แจก เด็กก็เมียงเข้าไปบ่อยๆ

เด็กที่วิ่งๆ อยู่ในวังสมัยนั้นมีมาก และบางคน (อย่างผม)
ก็เป็นเด็กที่ซุกซนขนาดเหลือขอจริงๆ ทีเดียว
บางครั้งเข้าไปซุกซนใกล้ที่ประทับ จนถูกกริ้วต้องพระราชอาญา
มีรับสั่งให้เจ้าคุณนรรัตนฯ เอาไปตีเสียให้เข็ด

เจ้าคุณนรรัตนฯ ก็ลากตัวเข้าไปในห้องซึ่งอยู่ใกล้ที่ประทับ
แล้วเอาไม้เรียวซึ่งเตรียมไว้แล้วมาหวดซ้ายป่ายขวา
ลงไปกับเก้าอี้บ้างกระดานบ้างให้มีเสียงดัง

“ร้องให้ดังๆ นะมึง ไม่ร้องพ่อตีตายจริงๆ ด้วยเอ้า”
เด็กก็ร้องจ้าขึ้นมา

และก็จะได้ยินพระสุรเสียงดังมาจากที่ประทับทันที

“พอที ข้าสั่งให้ตีสั่งสอนมันเพียงหลาบจำ
เอ็งตีลูกเขาอย่างกับตีวัวตีควาย
ลูกเขาตายไปข้าจะเอาที่ไหนไปใช้เขา”

เจ้าคุณนรรัตนฯ ก็กระซิบบอกเด็กว่า “ไหมล่ะ !”

เด็กก็พ้นพระราชอาญาเพียงแค่นั้น
และความรู้สึกสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ
ก็จะติดอยู่ในตัวในใจตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ไม่มีวันที่จะลืมเลือนได้

ในงานถวายพระเพลิงพระบรมศพ
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
เจ้าคุณนรรัตนฯ ได้อุปสมบทหน้าพระเพลิง
อย่างที่สามัญชนเรียกว่า บวชหน้าไฟ
และท่านก็ได้ครองสมณเพศตลอดจนจนถึงมรณภาพ
เป็นเวลา 46 ปีเต็ม

สี่สิบหกปีแห่งความกตัญญูอันมั่นคงหาที่เปรียบได้ยาก
ความจริงเมื่อเสด็จสวรรคตนั้น เจ้าคุณนรรัตนฯ มีทั้งฐานะ ทั้งทรัพย์
และโอกาสที่จะหาความเจริญในโลกต่อไปอย่างพร้อมมูล

ในทางชีวิตครอบครัวท่านก็มีคู่หมั้นอยู่แล้ว
แต่ท่านก็ได้สละสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดออกอุปสมบท
และอยู่ในสมณเพศตลอดชีวิต
เพื่อถวายพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ซึ่งมีพระคุณแก่ท่าน
นับว่าเป็นตัวอย่างแห่งความกตัญญูซึ่งควรจะจารึกไว้

เมื่ออยู่ในสมณเพศนั้น เจ้าคุณนรรัตนฯ ฉันอาหารวันละหนเท่านั้น
อาหารที่ท่านฉัน มีข้าวสุก มะพร้าว กล้วย เกลือ มะนาว และใบฝรั่ง
ท่านลงไปโบสถ์ทำวัตรเช้าและเย็นวันละสองครั้ง ไม่เคยขาด จนมรณภาพ
ดูเหมือนจะขาดอยู่ครั้งหนึ่ง
เมื่อเจ้าประคุณสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ญาณวรเถระ
ขณะที่ท่านยังมีชีวิตและเป็นเจ้าอาวาสวัดเทพศิรินทร์อยู่
สั่งให้อยู่ที่กุฏิเพราะท่านอาพาธ

ท่านเป็นพระที่สงบสงัดจากโลกแล้ว ไม่เคยโด่งดัง
แม้แต่ธรรมที่ท่านได้แสดงไว้เมื่อพิมพ์แล้ว
ก็ได้เป็นสมุดเล่มเล็กๆ มีเนื้อความเพียง 22 หน้ากระดาษ
และแบ่งออกเป็นเรื่องสั้นๆ ได้ 8 บท
บทที่ 7 นั้นมีเพียงเท่านั้น
แต่ก็ขอให้ท่านอ่านเอาเองเถิดว่าเป็นความจริงเพียงไร
และน่าประทับใจเพียงไร


7. อานุภาพของไตรสิกขา ศีล สมาธิ ปัญญา

ด้วยอานุภาพของไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญานี้แล
จึงชนะข้าศึก คือ กิเลสอย่างหยาบ อย่างกลาง และอย่างละเอียดได้ !

1. ชนะความหยาบคาย ซึ่งเป็นกิเลสอย่างหยาบ
ที่ล่วงทางกายวาจาได้ ด้วยศีล
ชนะความยินดียินร้ายหลงรังหลงชัง
ซึ่งเป็นกิเลสอย่างกลางที่เกิดในใจได้ ด้วยสมาธิ
ชนะความเข้าใจ รู้ผิด เห็นผิดจากความเป็นจริงของสังขาร
ซึ่งเป็นกิเลสอย่างละเอียดได้ ด้วยปัญญา

2. ผู้ใดศึกษาและปฏิบัติตามตามไตรสิกขา
คือ ศีล สมาธิ ปัญญานี้โดยพร้อมมูลบริบูรณ์สมบูรณ์แล้ว
ผู้นั้นจึงเป็นผู้พ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้แน่นอน ไม่ต้องสงสัยเลย !
เพราะฉะนั้น จึงควรสนใจ เอาใจใส่ ตั้งใจศึกษา
และปฏิบัติตามไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญานี้ ทุกเมื่อเทอญ

ครั้งหนึ่งมีคนเขาไปลือว่า ท่านสำเร็จพระอรหันต์แล้ว
ผมพบท่านโดยบังเอิญที่วัดเทพศิรินทร์ก็เข้าไปกราบท่าน
แล้วกราบเรียนถามท่านว่า
เขาลือกันว่าใต้เท้าสำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้วจริงหรือครับ
ท่านดึงหูผมเข้าไปใกล้ๆ แล้วกระซิบว่า “ไอ้บ้า”


พระอาทิตย์ พระอาทิตย์ พระอาทิตย์

http://www.saktalingchan.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=35652
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง