Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 อยากให้ศาสนาพุทธ....เป็นศาสนาประจำชาติไทยกันหรือป่าว ? อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
ผู้เยี่ยมชม






ตอบตอบเมื่อ: 21 เม.ย.2007, 9:59 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ยิ้ม ทำไมครับ ศาสนาพุทธเกิดในประเทศอินเดีย ที่ๆ มีศาสนาหลายศาสนาร่วมอยู่ด้วย พระพุทธเจ้าไม่เคยเรียกร้องหรือร้องขอให้ศาสนาพุทธเป็นศาสนาหลักที่อยู่เหนือศาสนาทั้งปวงในประเทศนั้น เคยคิดกันไหมว่าเพราะอะไร หรือท่านคิดว่าตนรู้ดีกว่าผมไม่ได้มองว่ามันจะเกิดความแตกแยก เพราะเราก็อยู่กันมาหลายปีโดยไม่มีคำว่าศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ ท่านว่ามันคนละยุค ในยุคของพระองค์ท่านไม่ยิ่งลำบากกว่าหรือเพราะท่านค้นพบศาสนาพุทธและเผยแพร่ศาสนาพุทธในขณะที่ประเทศนั้นมีศาสนาที่เกิดอยู่ก่อนเป็นจำนวนหลายศาสนา มากกว่าที่มีอยู่ในประเทศไทยแค่ 3 ศาสนาใหญ่ๆ นี้อีก

และความแตกแยกทุกวันนี้ท่านลองใช้ปัญญาพิจารณาดูให้ดีว่ามันแตกแยกเพราะศาสนาหรือคนชั่วเอาศาสนามาเป็นเครื่องมือใช้อ้างเพื่อสร้างความแตกแยก ศาสนาพุทธสอนเรื่อง โยนิโสมนสิการ ไว้เคยนำมาใช้ไหมรู้จักกันบ้างหรือเปล่า ศาสนาทุกศาสนาสอนให้คนเป็นคนดี ถ้าท่านคิดว่ามีศาสนาที่สอนให้คนเป็นคนชั่วท่านคงต้องพิจารณาตัวเองแล้วครับ

และผมก็ถามท่านว่าถ้าการเป็นศาสนาประจำชาติมีข้อดีมากขนาดนั้น คนไทยที่นับถือศาสนาอื่นซึ่งก็เป็นเพื่อนร่วมชาติของเราเขาก็อยากให้ศาสนาของเขาได้รับประโยชน์อย่างนั้นบ้างท่านจะทำอย่างไร หรือจะตอบแบบไม่มีเหตุผลว่า

เรื่องสิทธินการนับถือศาสนาเป็นสิทธิส่วนบุคคล การที่คนไทยจะเลือกนับถือศาสนาใดที่ไม่ใช่ศาสนาพุทธมันผิดตรงไหน เหตุใดจึงใช้คำว่าทาสทางศาสนา ศรัทราต้องเกิดจากปัญญาไม่ได้เกิดจากกฎหมาย หากท่านจะชี้นำความคิดคนอื่นโดยปิดกั้นการเลือกนับถือศาสนาของบุคคล

หรือการที่นับถือศาสนาอื่นไม่ถูกต้อง ขอให้ท่านได้กรุณายกคำสอนของพระพุทธเจ้าดังกล่าวมาแสดงให้ดูด้วยว่ามีจริงหรือ ศาสนาพุทธของเราไม่สอนให้ศรัทธาแบบไร้เหตุผล

หากคำสอนศาสนาพุทธของเรานั้นแม้จะลึกซึ้งแต่ก็ไม่ยากเกินเข้าใจ หากผู้ใดเข้าไม่ถึงจะไปใฝ่ศึกษาในศาสนาอื่นที่มีคำสอนเข้าใจง่ายกว่าเราก็ห้ามไม่ได้เพียงแค่เสียดายแทนที่เขาไม่มีโอกาสได้พบสิ่งที่ดีเท่านั้น แต่มันเป็นเรื่องปัจเจกบุคคล การไปคิดแทนหรือบงการผู้อื่นไม่บังควรครับ

ผมจะมาอ่านความเห็นท่านอื่นๆ ต่อไปครับ ขอบคุณ
 
ผู้เยี่ยมชม






ตอบตอบเมื่อ: 21 เม.ย.2007, 10:34 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ผมถามจริงๆ เถอะมีหนทางนับ 1000 ที่จะส่งเสริมพุทธศาสนา ทำไมคิดว่าการเอาศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติจะทำให้เกิดนั่นเกิดนี่อ้างเหตุผลไป 108 ก็อ้างกันไปแต่เขาเป็นใครทำไมต้องเชื่อเขาด้วย...มาเลเซียมีศาสนาอะไรประจำชาติ จริงหรือครับเขามีเขียนในรัฐธรรมนูญแบบที่เราจะเขียนจริงหรือครับ อย่าเพิ่งเชื่อลองตรวจสอบดูดีๆ แล้วจะรู้...

คุณบอกว่าประเทศไทยอยู่ไม่รอดหากไม่มีศาสนาพุทธผมว่าคุณสรุปเอาเองมากกว่าครับ ถ้าข้อสรุปของคุณเป็นจริง อเมริกาคงอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีศาสนาพุทธ มาเลเซียคงอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีศาสนาพุทธ จีนคงอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีศาสนาพุทธ หลายๆ ประเทศในโลกคงล่มสลายไปหมดแล้วถ้าศาสนาพุทธเป็นปัจจัยแห่งการอยู่รอดของรัฐๆ ใดรัฐหนึ่งในโลกนี้.. สาธุ
 
ผู้เยี่ยมชม






ตอบตอบเมื่อ: 21 เม.ย.2007, 10:41 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ผมขอเถอะครับสถานที่ศาสนาพุทธควรอยู่คือใจเรา ไม่ใช่ในรัฐะรรมนูญ ที่เขียนแล้วก็ฉีกทิ้งแล้วก็เขียนแล้วก็ทิ้ง สิ่งที่ดีที่สุดควรจะอยู่ในที่ๆ ดีที่สุดคือใจของเราครับ อย่าทำให้แปดเปลื้อนด้วยการเมืองเลย
 
ผู้เยี่ยมชม






ตอบตอบเมื่อ: 21 เม.ย.2007, 11:54 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ความจริงบรรจุไว้ในรัฐธรรมนูญก็ไม่เสียหายนะ ต้องถามเหตุผลว่า ทำไมถึงบรรจุไว้ไม่ได้

เสียหายมากหรือ
 
แสงสว่าง
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 21 เม.ย.2007, 11:58 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

อย่างน้อยก็ดีตรงที่ว่าเรารู้ว่า เมืองไทยมีศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ

ถึงต่อไปอีกสิบปีอาจจะไม่เป็น หรือเป็น อย่างน้อยเราก็ช่วยศาสนาไว้หนึ่งทาง

มีทางไหนที่จะช่วยศาสนาได้ก็ควรช่วย ไม่ควรดูถูกเรื่องเล็กๆ
 
เศษพุทธทาส
บัวใต้น้ำ
บัวใต้น้ำ


เข้าร่วม: 08 เม.ย. 2007
ตอบ: 121

ตอบตอบเมื่อ: 22 เม.ย.2007, 12:00 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

มันก็ถูกบ้างของคุณนะครับ Visiter

แต่ว่าพวกเขาก็ไม่มีวันเข้าใจสิ่งที่คุณพยามยามบอกหรอกครับ

พวกเขาก็ต้องตั้งหน้าตั้งตาทำหน้าที่ของเขาให้ดีที่สุด ไม่ว่าจะเบนไปทางดีหรือเลว

คุณคิดได้ยังงั้นมันก็เป็นบุญของคุณแล้วครับ แต่คุณไปบอกว่าพวกเขาสรุปเอาเอง มันไม่ดูเหมือนว่าคุณใส่แหวนหลายวงไปหน่อยหรอครับ

เพราะเขากลัวไงครับ เราทุกคนย่อมมีความกลัวเป็นของตนกันอยู่แล้ว คุณก็เช่นเดียวกัน แล้วคุณจะมาปฏิเสธความกล้วอันเป็นธรรมดาของมนุษย์ได้หรอครับ

เพราะเขากลัวเขาจึงต้องป้องกัน แต่ละคนก็กลัวต่างกัน วิธีป้องกันก็ย่อมต่างกัน

ผมก็คิดว่าควรเปิดใจให้กว้าง รับทุกสถานการณ์ ด้วยจิตอันรู้ว่า เขาก็มีกรรมเก่าที่ต้องรับ และมีกรรมใหม่ให้ต้องทำ เราก็มี เขาก็มี

แต่ผมก็เชื่อว่า ไม่ใครจะได้หรือไม่ได้ สมหวัง ไม่สมหวัง ชนะหรือแพ้ เขาย่อมต้องมีวิบากอยู่แล้ว

ไม่มีใครชนะกรรมของตัวเองไปได้จริงไหมครับ

May the Dhamma be with you. ขอธรรมจงสถิตอยู่กัยท่าน
 

_________________
ทำวันนี้ให้ดีและต้องรู้ไว้ว่า ทำดีเพื่อดี ทำหน้าที่เพื่อหน้าที่ อุปสรรคไม่มี บารมีไม่เกิด
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ผู้เยี่ยมชม






ตอบตอบเมื่อ: 22 เม.ย.2007, 11:03 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เรื่องนี้เป็นเรื่องการรักษาไว้ซึ่งสถาบันชาติ พระศาสนา และพระมหากษัตริย์ของเรา เป็นเรื่องของคนไทยส่วนใหญ่ที่กำลังรักษาบ้านเมืองของเรา จะขึ้นป้ายชื่อป้าย ทำรั้วบ้านให้เป็นขอบเขต เป็นสัดเป็นส่วนแน่นอนตามสมัยนิยม ทั้งนี้ เพื่อความอยู่สุขสบายของสมาชิกในบ้านนี้ทุกคน คงไม่มีสมาชิกที่แท้จริงของบ้านคนใด จะออกมาคัดค้านไม่เห็นด้วยอย่างแน่นอน นอกจากพวกคนร้าย หรือคนไม่ประสงค์ดีต่อบ้านหลังนี้ หรือคนทรยศที่แฝงตัวเข้ามาอยู่ปะปนกับพวกเราเพื่อลักขโมยสมบัติ

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเราเคยตรัสยืนยันมาหลายครั้งแล้ว ล่าสุดตรัสต่อหน้าองค์สันตะปาปาจอห์นปอล ที่ 2 เมื่อคราวเสด็จมาเยือนประเทศไทย ครั้งล่าสุด (10 พ.ค. 2527) ว่า

"ประชาชนคนไทยล้วนเป็นศาสนิกที่ดี แต่ประชาชนส่วนใหญ่นับถือพระพุทธศาสนาอันเป็นศาสนาประจำชาติ"

http://www.bpct.org/index.php?option=com_content&task=view&id=532&Itemid=1
 
ผู้เยี่ยมชม






ตอบตอบเมื่อ: 22 เม.ย.2007, 11:31 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

Anonymous พิมพ์ว่า:
เรื่องนี้เป็นเรื่องการรักษาไว้ซึ่งสถาบันชาติ พระศาสนา และพระมหากษัตริย์ของเรา เป็นเรื่องของคนไทยส่วนใหญ่ที่กำลังรักษาบ้านเมืองของเรา จะขึ้นป้ายชื่อป้าย ทำรั้วบ้านให้เป็นขอบเขต เป็นสัดเป็นส่วนแน่นอนตามสมัยนิยม ทั้งนี้ เพื่อความอยู่สุขสบายของสมาชิกในบ้านนี้ทุกคน คงไม่มีสมาชิกที่แท้จริงของบ้านคนใด จะออกมาคัดค้านไม่เห็นด้วยอย่างแน่นอน นอกจากพวกคนร้าย หรือคนไม่ประสงค์ดีต่อบ้านหลังนี้ หรือคนทรยศที่แฝงตัวเข้ามาอยู่ปะปนกับพวกเราเพื่อลักขโมยสมบัติ



ความคิดประเภทนี้ต่างหากที่สังคมต้องระวัง ความคิดที่คับแขบ หากผู้ใดไม่คิดเหมือนตน หากผู้ใดคิดต่างจากตน ผู้ที่มีความคิดเช่นนี้ก็จะกล่าวหาผู้คิดต่างจากตน คือคนชั่ว คนไม่ดี คนเลว เป็นศัตรู ผู้ที่มีความคิดคับแขบเช่นนี้มักแอบอ้างสถาบันในคำพูดของตน มักปลุกกระแสชาตินิยม

เพราะอะไรนั่นหรือครับ เพราะเขาเหล่านั้นเอาตัวเองหรือความคิดของตนเอง เป็นไม้บรรทัดวัดความคิดของผู้อื่นครับ ถ้าผมไม่เห็นด้วยกับคุณคุณก็ต้องว่าผมเป็นคนร้าย ไม่เว้นแม้แต่คนที่คุณรู้จักคุ้นเคยกับคุณมาอย่างดี หากวันหนึ่งเขาคนนั้นคิดไม่เหมือนคุณๆจะว่าเขาเป็นคนร้ายไหม หรือคุณจะเลือกที่จะทำความเข้าใจความคิดเขาแทน หรือคุณจะบอกว่าไม่มีทางเป็นไปได้

ปล. ผมก็รักชาติ,ศาสนา, พระมหากษัตริย์ ไม่น้อยกว่าคุณ คุณเองก็รู้ว่าไม่ใช่คุณคนเดียวที่รักทั้ง 3 สถาบันเพราะคุณใช้คำว่าของเรา คนที่รักสิ่งเดียวกันจะคิดแตกต่างกันไม่ได้เหรอผมถามหน่อยสิครับ สาธุ
 
ผู้เยี่ยมชม






ตอบตอบเมื่อ: 22 เม.ย.2007, 12:06 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

การกำหนดว่า ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ ก็เพื่อจะแสดงให้เห็นทั้งในแง่ประวัติศาสตร์ความเป็นมา จารีตขนบธรรมเนียม โดยเฉพาะราชประเพณีของสังคมนี้ว่ามี พระพุทธศาสนาเป็นหลักแห่งการฝึกฝนอบรมลูกหลานมายาวนาน เป็นบันทึกจารีตซึ่งมิได้เป็นอักษรให้เป็นกฎหมายที่เป็นลายลักษณ์อักษรเท่านั้น คือเป็นอยู่แล้วโดยเนื้อหา เพียงแต่ต้องการให้ท่านผู้ร่างรัฐธรรมนูญยืนยันข้อเท็จจริงนี้เป็นลายลักษณ์อักษรเท่านั้น

กรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญแบบเอาข้อเท็จจริงที่มีในประวัติความเป็นมาของไทยมาบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรเท่านั้น มิได้บัญญัติอะไรใหม่เลย !!!
http://www.bpct.org/index.php?option=com_content&task=view&id=528
 
ผู้เยี่ยมชม






ตอบตอบเมื่อ: 22 เม.ย.2007, 1:53 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

อยากให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่ชนทุกศาสนาอยู่รวมกันได้อย่างสงบสุข ไม่เบียดเบียนกัน ให้ความเคารพซึ่งกันและกัน เพราะเป็นเรื่องธรรมดาของ นานาจิตตัง แต่ละคนย่อมเห็นเชื่อชอบไม่เหมือนกันกัน บังคับกันไม่ได้ครับ แค่ไม่กระทบกระทั่งจนแตกหักกันก็เพียงพอแล้ว
 
มันมั้ย
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 22 เม.ย.2007, 4:48 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

--------------------------------------------
ผมเป็นชาวพุทธที่นับถือศาสนาพุทธโดยหลักธรรม หากพี่น้องร่วมชาติศาสนาอื่นเขาอยากให้ศาสนาของเขาเป็นศาสนาประจำชาติเช่นกันเพราะเขาคิดเหมือนที่ท่านคิดอยากได้อยากมีประโยชน์เหมือนที่พวกท่านเรียกร้อง ท่านจะทำอย่างไร ศาสนาเราไม่สอนให้เห็นแก่ได้เห็นแก่ตัว ท่านคงไม่อาจหวงความเป็นศาสนาประจำชาติไว้แต่ผู้เดียว ท่านคงจะเผื่อแผ่ให้เขา ในเมื่อทุกศาสนาก็สอนให้คนเป็นคนดี ทำไมทุกศาสนาจะเป็นศาสนาประจำชาติไม่ได้ ถ้าเป็นอย่างนั้น เราชาวพุทธอย่าได้แสดงความเห็นแก่ตัวอันขัดกับหลักศาสนาของเราลงในรัฐธรรมนูญเพื่อประจานความอยากได้อยากเป็นอยากมีของเราแต่ผู้เดียวเลย ถ้าการเป็นศาสนาประจำชาติมันให้คุณให้ประโยชน์เช่นที่ท่านว่าจริงคนอื่นก็ควรได้ควรมี มิใช่หวงกันไว้แต่เพียงผู้เดียว ลึกๆ ในใจของชาวพุทธที่อ้างว่ารักศาสนา แต่กำลังทำบางอย่างที่ขัดกับหลักของคำสอนอย่างเห็นได้ชัด อย่าเอาศาสนามาเป็นเครืองมือ

ขอแทรกว่า ดิฉัน เองก็เป็นพุทธศาสนิกชนแบบกระท่อนกระแท่นเช่นกัน
คือ มิได้ปฏิบัติตามหลักคำสอนได้ทุกกระเบียดนิ้ว

ดิฉันไม่ทราบว่าจะแสดงความคิดเห็นอย่างไร แบบที่สั้นๆ แล้วไม่กระทบกระเทือนกับความรู้สึกของท่านผู้ใด หากไม่ได้ใช้สติ และความรู้ บวกกับความใจกว้างพอ

แต่อยากให้ทุกคนในประเทศไทยระลึกไว้ว่า บรรพบุรุษ ที่ได้ปกป้องรักษาผืนแผ่นดินไทยมา
เป็นชาวพุทธ และไม่เคยเห็นแก่ตัว ไม่ว่าใครศาสนาใด อยากจะเผยแผ่หลักธรรมตามลัทธิ ตามศาสนาต่างๆ ให้การสนับสนุน ไม่เคยกีดกัน ถึงแม้ในพระมหากษัตริย์องค์ปัจจุบัน ก็ปฏิบัติ เช่นเดียวกัน

กรณีนี้รับทราบกันดี และในเหตุการณ์ปัจจุบัน มีปัญหาความไม่สงบ การเผยแผ่โจมตี การเคลือบแฝง(ศาสนาอื่นหากไม่ได้กระทำตนในทางที่ไม่ดี ไม่ต้องร้อนตัว ดิฉันกล่าวถึงพวกที่รู้อยู่แก่ใจ)


บ้านเมือง มีกฎหมาย ศาสนา มีกฎพระวินัย มีศีล 5

มีระเบียบ ข้อบังคับต่างๆ ไม่ใช่เพื่อกดขี่พวกหนึ่งพวกใด แต่ให้อยู่ร่วมกันอย่าสงบเรียบร้อย และมีศีลธรรมอันดี

ถ้าหากว่าจะถามว่าหาศาสนาอื่นจะทำบ้างในประเทศเขา ต้องขอตอบว่าทำได้เลย
ส่วนจะให้ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำโลก ดิฉัน ก็ไม่เห็นด้วย
คือ ศาสนาพุทธ ใจกว้าง จะถือพุทธ แล้วไปไหว้เจ้า ไหว้ พระเยซุไหว้อัลเลาะห์ หรือรูปสักการะลัทธิอื่นไม่มีห้าม

หลักธรรมคำสอน หลักปฏิบัติใดของพุทธศาสนาที่ดี เป็นประโยชน์ ศาสนาอื่นๆ จะนำไปใช้ ไปปฏิบัติ เชิญนำไปใช้ได้เลย เพราะพระพุทธเจ้าไม่ได้คิดเงินคิดทองอะไร เอาไปใช้ได้ประโยชน์ดีอย่างไร จะไม่เข้าพุทธถือพุทธ ไม่มีปัญหา

เพียงแค่ว่า อย่ารุกราน

แล้วเป็นศาสนาประจำชาติ เด็กที่เกิดที่ประเทศไหน ก็ได้สัญชาตินั้น

นี้ก็คล้ายกัน แล้วโตขึ้น มีความคิดเป็นของตัว อยากไปเข้าแขก เข้าคริสต์ ใครจะไปห้ามได้

ยกตัวอย่างพระพุทธเจ้า มาก็ดี หากท่านรู้ว่าที่ๆ ท่านเกิดเป็นต้นกำเนิดศาสนาพุทธ แต่ไม่ได้มีกฏระเบียบบัญญัติไว้ แล้วทำให้ ศาสนาพุทธ ถูกกลืนหายไป ท่านก็จะต้องบัญญัติไว้เช่นกัน

พูดเยอะไปหน่อย ขออภัยด้วย พอดีหงุดหงิด

ไม่เข้าใจว่า แค่ให้พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติแค่นี้ มันเรื่องใหญ่ตรงไหน
ถ้าบอกว่าให้ทุกคนในประเทศไทย นับถือศาสนาพุทธ อย่างนั้นซิ ค่อยมาเรื่องมาก
 
ผู้เยี่ยมชม






ตอบตอบเมื่อ: 22 เม.ย.2007, 5:36 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

Code:
แล้วเป็นศาสนาประจำชาติ เด็กที่เกิดที่ประเทศไหน ก็ได้สัญชาตินั้น


ประเทศไม่ได้นับถือศาสนา คนต่างหากที่นับถือศาสนา ศาสนาไม่มีแบ่งว่าเป็นประเทศ ไม่มีเชื้อชาติ คนนั่นแหละที่จะมาแบ่งมายึดว่าเป็นศาสนาของชาติ ของประเทศครับ.. สาธุ

Code:
ยกตัวอย่างพระพุทธเจ้า มาก็ดี หากท่านรู้ว่าที่ๆท่านเกิดเป็นต้นกำเนิดศาสนาพุทธ แต่ไม่ได้มีกฏระเบียบบัญญัติไว้ แล้วทำให้ ศาสนาพุทธ ถูกกลืนหายไป ท่านก็จะต้องบัญญัติไว้เช่นกัน


พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้แล้วนะครับ ไม่มีสิ่งใดที่ท่านไม่รู้.. สาธุ
 
เศษพุทธทาส
บัวใต้น้ำ
บัวใต้น้ำ


เข้าร่วม: 08 เม.ย. 2007
ตอบ: 121

ตอบตอบเมื่อ: 23 เม.ย.2007, 3:07 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ที่ประเทศเราเป็นแบบนี้แบนี้เพราะต่างคนต่างก็มีความคิดที่ถูกฝังรากกันมา

เห็นกันไหมว่า เมื่อจิตเผลอคิดเรื่องน่าเกลียดน่ากลัว ที่ฝังจำมาจากอดีต เช่นเรื่องผีสางนางไม้ สัตว์ร้าย การลงโทษลงทันฑ์ ความเจ็บป่วยทุกข์ทรมาน หรือแม้แต่เรื่องความตายดับ ซึ่งต่างล้วนแต่ป็นเรื่องบอกเล่าขู่หลอกฝังใจ สมัยอ่อนเยาว์วัยไร้เดียงสาด้วยกันทั้งนั้น และไม่ว่าจะเป็นเจตนาดีหรือเจตนาร้ายก็ตามที แต่ผลลัพธ์ก็คือ จิตได้ถูกปลูกฝังเชื่อแห่ง ความหวาดกลัว เข้าไว้ อยู่ภายในซอกหลืบของจิตใต้สำนึก โดยไม่รู้ตัวกันเลย ! เป็นเมล็ดพันธ์แห่ง ความกลัวที่พร้อมจะพัฒนา งอกงามแตกราก แตกรากเงากิ่งก้านสาขา เข้าครอบงำเนื้อนาดินแห่งจิตใจเผ่าพันธ์มนุษย์เรื่อยมา ชนิดไร้วิธีกำจัดให้หมดสิ้นไปกันเลย

ดังนั้นสังคมมนุษย์ ซึ่งก็คือระบบความสัมพันธ์ของความคิดนึกรู้สึกขอวผู้คนทั้งหมด จึงต้องกลายเป็นสังคมแห่งความระแวงหวาดกลัวไปโดยปริยาย การกระทำใดใดภายใต้อิทธิพลแห่งความกลัว ก็ต้องอึมครึมไปด้วยความมืดบอดบิดเบือน ความจำกัดคับแคบ ความดื้อรั้นดึงดัน เห็นแก่เฉพาะตนฝ่ายเดียวเสมอไป ซึ่งมันก็เป็นวิถีแห่งความอิจฉาริษยา ความขัดแย้งแย่งชิง ที่นำไปสู่ความรุนแรงและการทำลายล่างล่มสลายอยู่ในตัวมันเอง อันเป็นวิถีแห่งทุกข์โศกมิใช่หรือ? พอจะมองเห็นการเชื่อมโยงเหตุการณ์เลวร้ายอำมหิตต่างๆที่เกิดขึ้นอยู่เฉพาะในสังคม ระแวงกลัวของมนษย์กันบ้างไหมครับ?

นอกจากนี้แล้วพวกเรามักสรุปกันเอาเองด้วยความคิดง่ายๆ ตามๆ กันมาว่า มนุษย์ย่อมต้องพึ่งพาอาศัยใช้ประโยชน์จากภาวะความกลัวเกรง เพื่อช่วยหลบรีกลี้ภัยอันตรายต่างๆ อีงทั้งยังเป็นเป็นเคื่องมือในการบังคับชักจูงหมู่ผู้คนหรือแม้แต่จิตใจตนเอง ให้ประพฤติปฏิบัติตัวอยู่ในกรอบขอบวง ของคุณธรรมความถูกต้องดีงาม ที่ความคิด อีกนั้นแหละ เป้นตัวกำหนดให้ค่าสถาปนาขึ้นในสังคมมนุษย์นี้ เพื่อหวังให้เกิดนำมาซึ่งสันติภาวะ สุขสงบเย็น ตามที่ความคิด คาดหวังประมาณไว้อีกเช่นกัน

ดูช่างเป็นแนวคิด ปรัชญา อุดมคติ ความเชื่อ อันเลิศหรูสูงส่งสมเหตุสมผลยิ่งนัก ซึ่งได้ถูกโฆษนาบอกสอนชวนให้ใฝ่ฝันหา ชวนให้เชื่อยึดถือ ชวนให้ใช้ความพยายามประพฤติปฏิบัติตาม เพื่อบรรลุเข้าถึงเสียจริงๆ มิใช่หรือ ไม่รู้ว่าพวกเราจะหยั่งเห็น จะกล้าเผชิญมองดู สภาวะที่เกิดปรากฏตัวอยู่จริงในสังคมมนุษย์เรา กันไหมว่า มันได้กลับตาลปัตร กลายเป็นสังคมไร้ระเบียบวุ่นวายสับสน สังคมแตกแยกขัดแย้ง สังคมบิดเบือนฉ้อฉลสับปลับ สังคมมุ่งร้ายทำลายล้าง บนความคิดเห็นแก่ตัว โดยไม่รู้สึกตัวกันเลย ตลอดเรื่อยมาในจิตใจของพวกเราทุกคนนั้นแหละ ! ครับ...

แต่พวกเราก็ยังที่จะเชื่อยึดถือปฏิบัติศัทธาตามๆ กันมา เป็นพันเป็นหมื่นปีกันแล้ว กระมัง? จนศาสนาลัทธิปรัชญาคำสอน กฎหมายวินัยสังคมจารัตประเพณีพิธีกรรม ทั้งหน้าเก่าและโฉมใหม่ จะท่วมทับโลกกันอยู่แล้ว ก็ไม่รู้ว่าพวกเราจะพอแยกแยะความแตกต่าง ได้ไหม? ระหว่างสัญชาตญาณระวังป้องกันภัยที่ธรรมชาติสร้างสรรค์ให้ไว้ในจิตใจของสิ่งมีชีวิตทั่วไปและสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าคน ตั้งแต่แรกเกิด กับ ความระแหวงกลัว ที่ถูกบอกสอนครอบงำขึ้นบนจิตใจในภายหลัง โดยกระบวนการปรุงแต่งทางความคิด ของมนุษย์เอง เคยสังเกตตรวจสอบดูความจริงของสองสถาวะนี้กันหรือยัง? คิดว่าท่านนักธรรมทั้งหลายคงพอเข้าใจ

น่าขำไหมครับ ที่เรามีความเจริญที่สุดในมวลสรรพสัตว์จนบางที่จิตเราต่อให้ทุกข์แค่ไหนก็อยากได้มันมาเก็บไว้ในอ้อมแขนแห่งตัณหาตลอดกาล

ตระหนักรู้กันบ้างไหม? ว่าชีวิตนี้จะเคลื่อนไหวพูดจาหรือกระทำการ อย่างหนึ่งอย่างใดนั้น จิตมักตกอยู่ในเงามืดบอดของความกลัว อยู่เกือบตลอดเวลา อาทิ เกรงกลัวสิ่งหรือผู้คนที่มีอำนาจเหนือกว่า กลัวถูกลงโทษตำหนิติเตียน กลัวการผิดวาดคาดหวัง กลัวเสียผลประโยชน์ กลัวการไม่ยอมรับ กลัวการเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ กลัวการตายดับพลัดพราก แลอื่นอีกร้อยแปดพันเก้าของความกลัว ซึ่งต่างล้วนเป็นความกลัวที่เกิดขึ้นและดำรงตัวอยู่ชั่วขณะ เมื่อความคิด เคลื่อนไหวตัวออกมาปฏิบัติการทำงาน ภายใต้อิทธิพลกำหนดครอบงำ จากสิ่งรู้แล้ว ในอดีตกาลทั้งสิ้น เป็นมโนภาพลักษณ์เก่า แก่ตายซาก แข็งนิ่งคงที่สุดโต่ง และเป็นมายาทวิภาวะ แบ่งอแยกระหว่างมโนภาพ ตัวฉัน ผู้รับรู้ กับมโนภาพของวสิ่งทีน่ากลัว ในมิติวิถีของความคิดนั้นเอง

แต่พอมาดูมาสังเกตวิถีชีวิตของสัตว์อื่นๆ คงจะพบเห็นได้เองว่า จิตใจของพวกกเขานั้นปราศจากไร้ซึ่งอำนาจอำมหิตจากภาวะความกลัว ในรูปแบบความคิด ปรัชญา ความเชื่อ คำสอนต่างๆ โดยสิ้นเชิง นี่ ! ใช่เป็นเวรกรรมที่แท้จริงของเผ่าพันธ์มนุษย์หรือไม่ ?


ฉะนั้นจงมาดูกันเถิดครับ มาดูสภาวะความจริงของความระแวงกลัวที่ไหลเลื่อนเคลื่อนตัวอยู่ตลอด ที่เกิดขึ้น แล้วทรงตัวอยู่พักหนึ่ง แล้วก็ดับไป เป็นประสบการณ์ตรงกัน ไม่ใช่วิธีที่พวกเราเคยรู้เคยทำกันมาเมื่อยามกลัว คือ การหันไปพึ่งสิ่งอื่น คนอื่นที่ไว้ใจ เครื่องรางของครังศักดิ์สิทธิ์ สิ่งสนุกสนานบันเทิงเริงรมณ์ทั้งหลาย พิธีกรรมอันสูงส่งทั้งหลาย หรือแม้อุดมคติคำสอนอันดูแล้วน่าเชื่อถือทั้งหลาย ซึ่งก็เหมือนกับว่าเราได้หลบหนีมันมาตลอด ต้องตกเป็นเบี้ยล่างให้กับมันอยู่ตลอด ไม่เคยรับรู้เผชิญหน้ากับมันตรงๆ เลย อย่างนี่จะเรียกว่า ปฏิบัติตามพุทธวิถีกันดีแล้วหรือครับ

May the Dhamma be with you. ขอธรรมจงสถิตอยู่กับท่าน
 

_________________
ทำวันนี้ให้ดีและต้องรู้ไว้ว่า ทำดีเพื่อดี ทำหน้าที่เพื่อหน้าที่ อุปสรรคไม่มี บารมีไม่เกิด
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
รักคำสอนพระพุทธเจ้า
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 23 เม.ย.2007, 5:13 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ผมเข้าใจเอาเองนะครับว่า สิ่งที่คุณเศษพุทธทาสหมายถึง "คือความกลัว" ได้พลักดันให้บางส่วนของสังคมกำลังเรียกร้องบางอย่าง โดยลืมดูว่าทุกวันนี้ สิ่งที่เรามีอยู่เดิมเราได้ใช้ประโยชน์หรือไม่

ประเทศเรามีวันหยุดราชการที่เป็นวันสำคัญทางศาสนาพุทธ เพื่อให้คนได้เข้าวัดทำบุญตักบาตร ซึ่งศาสนาอื่นในประเทศนี้ก็ไม่ได้สิทธินี้ เรามีรายการทีวีที่บอกว่า วันนี้วันพระ เรามีรายการที่ให้พระสงฆ์สอนออกทางทีวีมากกว่าที่ศาสนาอื่นมี พระเจ้าแผ่นดินของเรานับถือศาสนาพุทธ เรามีวัดอยู่ทุกตำบล เรามีประเพณีที่ให้คนหนุ่มบวชเพื่อสืบทอดพระพุทธศาสนา เรามีอะไรที่พิเศษสำหรับศาสนาพุทธในประเทศของเรา แต่เราก็ยังกลัวๆๆๆๆ กลัวตัวเราเองเถอะ อย่าไปกลัวผู้อื่นเลย ใจเราเองที่น่ากลัว ไม่ต้องไปคิดแทนคนอื่นหรอก การคิดแทนคนอื่นได้ก็เพราะคิดว่าคนอื่นโง่กว่าตนนั่นเอง เศร้า
 
อนิจจัง
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 23 เม.ย.2007, 9:32 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

อาจจะเป็นเค้าลางว่าพระพุทธศาสนากำลังจะเสื่อมไปจากไทยรึเปล่า
 
ผู้เยี่ยมชม






ตอบตอบเมื่อ: 24 เม.ย.2007, 1:01 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ลองอ่านเรื่องพุทธศาสนาประจำใจดูสิครับ เจ๋ง สู้ สู้ ท่านที่คิดว่าอยากมีพุทธศาสนาประจำชาติ
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=11935
 
เศษพุทธทาส
บัวใต้น้ำ
บัวใต้น้ำ


เข้าร่วม: 08 เม.ย. 2007
ตอบ: 121

ตอบตอบเมื่อ: 24 เม.ย.2007, 3:46 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

นั้นแหละครับ ที่น่ากลัวที่สุดก็คือตัวเราเอง

แต่ใครละครับ จะคิดได้บ้างแล้วยอมหันมาดูใจตัวเองกันจริงๆจังๆ

May the Dhamma be with you. ขอธรรมจงสถิตอยู่กับท่าน
 

_________________
ทำวันนี้ให้ดีและต้องรู้ไว้ว่า ทำดีเพื่อดี ทำหน้าที่เพื่อหน้าที่ อุปสรรคไม่มี บารมีไม่เกิด
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
เศษพุทธทาส
บัวใต้น้ำ
บัวใต้น้ำ


เข้าร่วม: 08 เม.ย. 2007
ตอบ: 121

ตอบตอบเมื่อ: 24 เม.ย.2007, 3:47 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ถ้าหากเราไม่ปลุกให้เขารู้สึกตัวแล้วอะไรจะปลุกละครับ

อย่าตลกน่า นาฬิกาปลุกหรอ?

May the Dhamma be with you. ขอธรรมจงสถิตอยู่กับท่าน
 

_________________
ทำวันนี้ให้ดีและต้องรู้ไว้ว่า ทำดีเพื่อดี ทำหน้าที่เพื่อหน้าที่ อุปสรรคไม่มี บารมีไม่เกิด
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ผู้เยี่ยมชม






ตอบตอบเมื่อ: 24 เม.ย.2007, 7:25 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เศษพุทธทาส พิมพ์ว่า:
ถ้าหากเราไม่ปลุกให้เขารู้สึกตัวแล้วอะไรจะปลุกละครับ

อย่าตลกน่า นาฬิกาปลุกหรอ?

May the Dhamma be with you. ขอธรรมจงสถิตอยู่กับท่าน


ทำไมคุณถึงแน่ใจว่าเขาหลับอยู่ คุณคิดว่าเขาหลับ แต่พอเขาบอกว่าไม่ได้หลับ คุณไม่เชื่อ ผมไม่ได้หลับเพียงแต่ผมกับคุณมีมุมมองที่แตกต่างกัน แต่คุณใจกว้างพอที่จะยอมรับความเห็นคนอื่นได้ผมรู้

แต่บางคนเมื่อเห็นว่าใครคิดไม่เหมือนตน คิดต่างจากตน คิดตรงข้ามกับตน ก็จะตำหนิว่า ไอ้พวกนี้ไม่รักชาติ โง่ มาร ทำไมไม่ลองคิดดูดีๆ ล่ะะครับ รัฐธรรมนูญคือกฎหมาย กฎหมายคือสิ่งสมมติในระหว่างมนุษย์ เรากำลังจะเอาพุทธศาสนาที่เป็นกฎธรรมชาติ เป็นจริงเสมอ ไปใส่ไว้ในสิ่งปลอมๆ ที่สมมุติขึ้นมา แล้วเราบอกว่าใส่ไปไม่มีเสีย ดีกว่าไม่ใส่ ใส่ไปแล้วดีมีค่าขึ้น เรากำลังคิดอะไรกันอยู่ครับ เราแยกคุณค่าแท้ คุณค่าเทียมกันไม่ออกแล้วเหรอ กลัวกันจนถึงขนาดนี้เลยหรือ

เหมือนกลัวของรักจะหาย กลัวคนรักจะจากไกล เอาไปล่ามโซ่ไว้ เอาไปใส่ในกรงทอง แล้วเขาจะอยู่กลับเราตลอดไปเหรอ ครับ ทำตัวเองให้ดีให้ดีจนคนอื่นศรัทราแล้วเขาก็จะทำตามคุณ รักศาสนาแบบที่คุณรัก อย่าไปบงการให้ใครมารักศาสนามันเกิดจากปัญญา อย่าไปตีกรอบความคิดให้คนอื่นครับ อย่าคิดว่าเขาโง่ถ้าเขาไม่เห็นด้วยกับคุณ เพราะเขาจะมองคุณแบบที่คุณมองเขา และสุดท้ายความแตกแยกก็จะเกิดขึ้นในหมู่เรา โดยต่างฝ่ายก็กล่าวหาว่าอีกฝ่ายไม่ดีครับ สาธุ

ถ้าสาวกของพระองค์ปฏิบัติตนให้เป็นตัวอย่างที่ดีอยู่ในศีลธรรม ไม่ติดกับวัตถุ คนก็จะศรัทราครับ สนิมมันอยู่ในเนื้อเหล็กนะครับ
 
นายกสมาคมเกย์(หล่อ)ไทย
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 13 เม.ย. 2007
ตอบ: 11

ตอบตอบเมื่อ: 25 เม.ย.2007, 2:40 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

คนบางกลุ่มบางเหล่ากำลังชักนำให้เกิดมิจฉาทิฐิไปกันใหญ่ว่า...."ศาสนาพุทธอยู่ในใจ"

"ศาสนาพุทธอยู่ในใจ"....เป็นเรื่องของใจก็จริง

แต่ถ้ากล่าวอ้างกันอย่างนั้นแล้วจะสร้างวัดทำไม ? แล้วพระสงฆ์องคเจ้าจะต้องออกบวชทำไม ? ก็ในเมื่อ "มันอยู่ที่ใจ" ....มีแต่ชาวพุทธวิปริตเท่านั้นที่อ้างแบบนี้และสร้างมิจฉาทิฐิแบบนี้ หรืออีกนัยหนึ่งคือ " ชาวพุทธแบบเทวทัต" ซึ่งกำลังเบ่งบานเต็มบ้านเมืองไปหมด

จริงอยู่ศาสนาพุทธเน้นการปฎิบัติโดยเฉพาะการเห็นแจ้งในไตรลักษณ์ แต่ปัญหาสำคัญไม่ใช่อยู่ที่ปัจเจกชนแต่อยู่ที่ความสถาพรยั่งยืนของศาสนาพุทธต่างหาก....!!

คนที่อ้างตัวว่า "ธรรมะอยู่ที่ใจ" นั้นนั่นเป็นเรื่องส่วนตัวของท่าน ท่านจะมีภูมิธรรมถึงขั้นไหน ก็เป็นเรื่องของท่าน (คนอื่นไม่เกี่ยว) แต่ศาสนาจะสถาพรดำรงอยู่ได้ก็ด้วยอุบาสกอุบาสิกาใหม่ๆ หรือพูดง่ายๆ ก็คือเลือดใหม่ ซึ่งก็มาจากเยาวชนที่มีความสนใจและเห็นความสำคัญเข้ามาศึกษาปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง

การที่จะมีเยาวชนใหม่ๆเข้ามาศึกษาก็เพราะเยาวชนเกิดความสนใจและเห็นความสำคัญ ถ้าศิษย์เทวทัตเอาแต่อ้างกันว่า "มันอยู่ที่ใจ" ในขณะที่เยาวชนรุ่นใหม่ที่ยังไม่ได้ศึกษาไม่รู้ว่าไอ้ที่อยู่ที่ใจนะมันอยู่ตรงไหน ? อย่างไร ? แล้วก็ไม่เห็นว่าคนที่เป็นผู้ใหญ่ในสังคมจะให้ความสำคัญกับมันก็จะทำให้เยาวชนขาดความสนใจและไม่ศึกษา ทำให้เขาเหล่านั้นเสียโอกาสไปอย่างน่าเสียดาย

และเมื่อไม่มีเลือดใหม่เข้ามาในบวรพระพุทธศาสนาก็จะไม่มีผู้สืบทอดและสูญสลายไปจากความรู้ของมนุษย์ในที่สุด พวกที่อ้างว่า "ธรรมะอยู่ที่ใจ" หรือการเรียกร้องให้มีการบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญมีปัญหาอย่างโน้นอย่างนี้จึงเข้าข่ายพวกบั่นทอนศาสนาจะโดยตั้งใจหรือโดยความเขลาเบาปัญญาของตัวเองก็ตาม

ถ้าคิดว่ายังเป็นชาวพุทธและอยากให้ศาสนาพุทธมีความสถาพรสืบไปก็จงเร่งสนับสนุนการบรรจุศาสนาพุทธไว้เป็นศาสนาประจำชาติสืบไป ไม่เช่นนั้นหากบรรพบุรุษของพวกคุณเป็นผู้ศรัทธายิ่งในศาสนาคุณจะโดนก่นด่าจากบรรพบุรุษของคุณเอง
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ ไม่สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง