Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 เส้นโค้งแห่งความสุข (รินใจ) อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 06 มิ.ย.2007, 1:49 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

Image

“คนเราปรารถนาจะหาความสุข โดยหาที่พักผ่อน
สลัดทิ้งความเหนื่อยอ่อน เห็นลำธารบังเกิดปีติ
เรียกเรี่ยวแรงกลับคืนมา.....ยังไม่สายเกินไป
ถ้าเราเหลียวกลับมาดู ณ พื้นที่อันรกร้างกลางใจเรานั้น
ยังมีลำธารใสซุกซ่อน พร้อมจะให้เราเบิกบานใจได้เสมอ”


จาก...หนังสือเส้นโค้งแห่งความสุข งานเขียนโดย....รินใจ


ดอกไม้ ดอกไม้ ดอกไม้
 


แก้ไขล่าสุดโดย ลูกโป่ง เมื่อ 06 มิ.ย.2007, 2:24 pm, ทั้งหมด 1 ครั้ง
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 06 มิ.ย.2007, 1:53 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เส้นโค้งแห่งสุขจากทรัพย์
งานเขียนโดย....รินใจ


แม้พุทธศาสนาจะถือว่า นิพพาน เป็นสุขอย่างยิ่ง
แต่ก็มิได้ปฏิเสธคุณประโยชน์ของทรัพย์สินเงินทอง
พระพุทธองค์ทรงเห็นว่า ทรัพย์เป็นบ่อเกิดแห่งความสุขอย่างหนึ่ง
อย่างน้อยๆ การมีทรัพย์ก็ช่วยปลดเปลื้องความทุกข์ไปได้หลายส่วน
ดังมีพุทธพจน์รับรองว่า "ความจนเป็นทุกข์ในโลก"
และ "การกู้หนี้เสียดอกเบี้ยเป็นทุกสำหรับคฤหัสถ์"


อย่างไรก็ตามความสุขจากทรัพย์นั้นมีหลายระดับหลายประเภท
แต่ละประเภท พุทธศาสนาก็มีท่าทีต่างกันออกไป
ถ้าจะจำแนกตามระดับหรือขีดขั้น
การบริโภคเพื่อประโยชน์ส่วนตัว

ก็สามารถแยกความสุขจากทรัพย์ได้เป็น ๔ ประเภท คือ
๑) ความสุข เพราะพ้นจากความหิวโหยหรือภัยคุกคามชีวิต
๒) ความสุข เพราะความสะดวกสบาย
๓) ความสุข เนื่องจากอยู่ดีกินดี
๔) ความสุข เนื่องจากมีชีวิตหรูหราฟุ่มเฟือย


Image

คนเป็นอันมากเข้าใจว่าพุทธศาสนาสนับสนุนความสุขประเภทแรกเท่านั้น
คือ มีทรัพย์พอให้ชีวิตดำรงอยู่ได้
แต่ที่จริงพระพุทธองค์ทรงเห็นว่า
ความสุขอันเกิดจากความสะดวกสบายก็สำคัญ
ดังทรงสอนให้บุคคลรู้จักทำความสบายแก่ตนเอง
เพื่อจักมีอายุยืน (อายุวัฒนธรรม)
ทั้งยังทรงให้ความสำคัญกับหลักธรรมเรื่องสัปปายะ
ซึ่งคลุมไปถึงการมีที่อยู่และอาหารที่เกื้อกูลหรือ "สบาย" ด้วย
(ไม่ใช่เพียงแค่คุ้มหัวหรือพอประทังชีวิตให้อยู่รอดได้เท่านั้น)

นอกจากนั้นในหมวดธรรมว่าด้วยกามโภคี
ก็ทรงสรรเสริญคนที่ไม่เพียงแต่จะหาทรัพย์มาโดยชอบธรรมเท่านั้น
แต่ยังใช้ทรัพย์เลี้ยงตัวเองให้มีความสุข คือ มีความสะดวกสบายด้วย
มีบางพระสูตรที่พระองค์ทรงตำหนิคนรวยที่ตระหนี่ถี่เหนียว
เลี้ยงตัวให้ลำบาก ด้วยการบริโภคอาหารเพียงปลายข้าวกับน้ำส้ม
สวมเสื้อผ้าแบบหยาบๆ

แต่ถ้าเลยพ้นความสะดวกสบาย
กลายเป็นการแสวงหาและใช้ทรัพย์เพื่ออยู่ดีกินดี
หรือมีชีวิตอย่างหรูหราฟุ่มเฟือยแล้วพุทธศาสนาไม่สรรเสริญ
สาเหตุประการหนึ่ง ก็เพราะทรัพย์ดังกล่าว
นอกจากจะไม่ก่อประโยชน์แก่ผู้อื่นแล้ว
มันยังเป็นโทษหรือก่อทุกข์แก่เจ้าของ


ดอกไม้ ดอกไม้ ดอกไม้
 


แก้ไขล่าสุดโดย ลูกโป่ง เมื่อ 06 มิ.ย.2007, 1:58 pm, ทั้งหมด 1 ครั้ง
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 06 มิ.ย.2007, 1:58 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ในทางพุทธศาสนาถือว่า ทรัพย์นั้นสามารถให้ความสุขแก่เจ้าของได้
ในระดับหนึ่งเท่านั้น ถ้าหากเลยระดับนั้นไป
แม้ทรัพย์จะเพิ่มมากขึ้น แต่ความสุขกลับลดลง
ขณะที่ความทุกข์เพิ่มมากขึ้น


สำหรับคนที่อดอยากหิวโหย
เงิน ๑๐ บาท ให้ความสุขแก่เขาอย่างล้นเหลือ
เพราะมันหมายถึง อาหารต่อชีวิต
เมื่อเขาพ้นจากความหิวโหย เริ่มกินอิ่มนอกอุ่น
เงินจำนวนเดียวกันนั้นย่อมให้ความสุขแก่เขาได้น้อยลง
เขาจะมีความสุขเท่าเดิมหรือเพิ่มขึ้น
ก็ต่อเมื่อเพิ่มจำนวนเงินขึ้นเป็น ๑,๐๐๐ บาท สำหรับซื้อวิทยุหรือโทรทัศน์

ครั้นมีงานทำมั่นคง ชีวิตสะดวกสบายขึ้น
ความสุขจะเพิ่มขึ้นก็ต่อเมื่อมีเงินมากขึ้นเป็นแสนสำหรับซื้อรถยนต์
เมื่อฐานะความเป็นอยู่ดี ขึ้นถึงขั้นอยู่ดีกินดีหรือหรูหราล้นเหลือ
ความสุขจะคงตัวอยู่ในระดับเดิมหรือกระเตื้องขึ้นได้
ต้องอาศัยเงินนับล้านเป็นฐานรองรับ
แต่สำหรับคนเป็นอันมาก มาถึงขั้นนี้แล้ว
ไม่ว่าจะมีเงินเพิ่มขึ้นเท่าไร ก็ไม่สามารถทำให้ตนประสบกับสุข
ระดับเดียวกับสมัยที่กินอิ่มนอนอุ่น หรือมีชีวิตแบบสะดวกสบายตามอัตภาพ
พูดอีกอย่างคือ เงินล้านสำหรับเศรษฐี
ให้ความสุขน้อยกว่าเงิน ๑๐ บาทที่อยู่ในมือคนหิวโหย


ข้อความข้างต้นจะเข้าใจได้ชัดเจนขึ้น
หากนึกถึงเส้นกราฟครึ่งวงรีหรือพาราโบลา
(ความคิดและเส้นกราฟดังกล่าวดัดแปลงจากหนังสือเรื่อง
Your Money or Your Life โดย Joe Dominguez และ Vicki Robin)

จะเห็นว่าความสุขระดับความอยู่รอดนั้น
อาศัยทรัพย์เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ก็สามารถเพิ่มขีดขั้นความสุขขึ้นได้อย่างรวดเร็ว
จากความอยู่รอดมาเป็นความสะดวกสบาย
ความสุขยังสามารถเพิ่มขึ้นได้แต่ต้องอาศัยทรัพย์เพิ่มขึ้น
กระนั้นความสุขก็เพิ่มขึ้นได้ไม่มากนัก
การมีทรัพย์มากขึ้นยังสามารถทำให้ความสุขเพิ่มขึ้นได้อีกอย่างช้าๆ
แต่เมื่อทรัพย์เพิ่มขึ้นถึงจุดหนึ่ง ความสุขจะเริ่มลดลง
และจะลดลงเรื่อยๆ เป็นปฏิภาคผกผันกับจำนวนทรัพย์ที่มี


Image

เห็นได้ว่าความสุขจากทรัพย์นั้นมีขอบเขตจำกัด
ทรัพย์นั้นจะก่อให้เกิดความสุขเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ตราบใดที่ความสุขที่หมายมุ่งนั้นยังเป็นความสุขระดับความอยู่รอด
หรือเพื่อยังชีวิตให้สะดวกสบายเท่านั้น
แต่ถ้าต้องการใช้ทรัพย์เพื่อความอยู่ดีกินดี
หรือเพื่อชีวิตที่หรูหราฟุ่มเฟือยแล้ว
ความสุขจะลดต่ำลงหรือพูดอีกนัยหนึ่งคือ
เมื่อมีความสุขอยู่ในขั้นสะดวกสบายแล้ว
ถ้ายังแสวงหาทรัพย์หรือใช้ทรัพย์เพิ่ม
เพื่อให้มีความสุขยิ่งขึ้น ผลที่ตามมาก็คือความสุขกลับลดลง


ดอกไม้ ดอกไม้ ดอกไม้
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 06 มิ.ย.2007, 2:05 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สาเหตุที่ความสุขลดลง ประการหนึ่งก็เพราะ
ภาระในการดูแลรักษาทรัพย์มีมากขึ้น
หากเป็นเศรษฐีร้อยล้านเพราะทำโรงงานปลากระป๋อง
ก็หมายความว่า มีคนงานนับร้อย ต้องดูแลมีภาระต้องหมุนเงินมิให้ขาด
มีหนี้ที่ผูกพันกับธนาคาร มีบ้านราคาหลายล้านที่ต้องรักษาการณ์อย่างแข็งขัน
ยิ่งถ้าเป็นเศรษฐีเพราะค้ายาบ้าด้วยแล้ว
ความวิตกกังวลยิ่งเพิ่มเป็นทวีตรีคูณ
ยังไม่ต้องพูดถึงความทุกข์ เพราะอยากจะได้มากยิ่งขึ้นไปอีก
นี้เป็นเหตุผลว่าเหตุใดยากล่อมประสาท
ยาแก้โรคกระเพาะและยารักษาความดันเลือด จึงขายดีในหมู่คนมีเงิน


ตรงนี้เองที่พุทธศาสนาต่างกับลัทธิบริโภคนิยมอย่างสำคัญ
ฝ่ายหลังนั้นเชื่อว่า ยังมีทรัพย์มากขึ้นยิ่งเสพมากขึ้นความสุขก็ยิ่งเพิ่มขึ้น
ความสุขในทัศนะบริโภคนิยมเป็นเส้นตรงที่พุ่งขึ้นไม่รู้จบ
ขณะที่ในทางพุทธศาสนา ความสุขจากการบริโภคทรัพย์นั้น
มีพัฒนาการเป็นเส้นโค้ง
คือ เมื่อถึงจุดหนึ่งแล้วไม่ว่าจะมีทรัพย์เพิ่มขึ้นเท่าไรเสพมากเท่าไร
ความสุขมีแต่จะลดลง ความทุกข์กลับเพิ่มมากขึ้น


Image

เนื่องจากความสุขจากการบริโภคทรัพย์มีขีดจำกัด
มันจึงมีขีดสูงสุดอยู่จุดหนึ่ง
ในทางพุทธศาสนาถือว่า
จุดแห่งความสุขสูงสุดอยู่ระหว่างความสะดวกสบายกับความอยู่ดีกินดี
นั่นหมายความว่า ถ้าเราใช้ทรัพย์เพื่อความสะดวกสบายมากเกินไปแล้ว
ก็จะเริ่มสุขน้อยลง ดังนั้นเราจึงต้องรู้จัก "พอดี"
กล่าวคือ เมื่อเสพวัตถุจนได้รับความสะดวกสบายถึงจุดหนึ่งแล้ว
ก็ควรหยุดหาหรือหยุดเสพไม่ให้เกินจุดนั้นไป
หากเราสามารถหยุดตักตวงเมื่อถึงจุดนั้นได้
เรียกว่า "รู้จักพอดี" หรือ "รู้จักประมาณ" จุดพอดี
นั้นคือจุดที่เรามีความสุขสูงสุด
ถ้าเราไม่รู้จักจุดนั้น เมื่อเสพจนเลยจุดนั้นไป
ความสุขก็จะลดลงตามลำดับ


ดอกไม้ ดอกไม้ ดอกไม้
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 06 มิ.ย.2007, 2:10 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

Image

นี้คือคำตอบว่าเหตุใดการมีทรัพย์เพิ่มขึ้น
ทำให้บางคนมีความสุขแต่กลับทำให้อีกคนมีความทุกข์
คำอธิบายนั้นส่วนหนึ่งอยู่ตรงที่ว่า
บุคคลดังกล่าวบริโภคอยู่ขั้นไหน ต้องการความสุขระดับใด
สำหรับคนที่ยากจนข้นแค้น
การมีทรัพย์เพิ่มขึ้นจนช่วยให้กินอิ่มนอนอุ่น
ย่อมทำให้มีความสุขเพิ่มขึ้น
แต่ถ้ามีชีวิตหรูหรา อยู่ดีกินดี
การมีทรัพย์เพิ่มขึ้นไม่ช่วยให้มีความสุขเพิ่มขึ้นเลย
แม้ทีแรกดูเหมือนจะมีความสุขก็ตาม
เป็นเพราะเราไม่ตระหนักถึงขีดจำกัด ของความสุขจากทรัพย์
พากันเข้าใจไปว่ายิ่งได้มากเท่าไรก็ยิ่งมีความสุขเท่านั้น
จึงอยากได้ไม่หยุดหย่อน ครั้นได้มาแล้วก็ไม่เคยพอใจสักที
เพราะมันไม่ได้ให้ความสุขอย่างต้งการ


โจ โดมิงเกซ และวิคกี้ โรบิน ผู้เขียน Your Money or Your Life
เคยสำรวจความเห็นของคนอเมริกันโดยตั้งคำถามว่า
"เงินจำนวนเท่าใดถึงจะทำให้คุณมีความสุข"
ปรากฏว่ามากกว่าครึ่งตอบว่า "มากกว่าที่มีอยู่ตอนนี้"
ผู้คนดูเหมือนจะลืมไปว่า ปัจจุบันตนมีเงินมากกว่าหลายปีก่อน
แต่แทบไม่มีใครเลยที่รู้สึกว่าตนมีความสุขมากกว่าเมื่อก่อน


Image

ในการสำรวจคล้ายๆ กันนี้ รอย คาปลาน แห่งสถาบันเทคโนโลยีแห่งฟอริดา
ได้ติดตามคนถูกล็อตเตอรี่ ๑,๐๐๐ คน ในช่วงเวลา ๑๐ ปี
ปรากฏว่าน้อยคนมากที่รู้สึกว่าตนมีความสุขน้อยลง
หลังจากได้รับเงินรางวัลไปแล้ว ๖ เดือน

ควรกล่าวด้วยว่า ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้
เจาะจงเฉพาะความสุขที่เกิดจากการใช้ทรัพย์ เพื่อประโยชน์ส่วนตัวเท่านั้น
ไม่ได้พูดความสุขจากการใช้ทรัพย์เพื่อผู้อื่น (หรือแบ่งปันให้ผู้อื่น)
และไม่ได้หมายความว่าผู้มีทรัพย์มากๆ
จะมีความสุขน้อยกว่าผู้มีทรัพย์แค่พออยู่พอกิน
เพราะหากว่ามหาเศรษฐีผู้นั้น แม้จะมีเงินมากมาย
แต่ใช้ทรัพย์เพื่อตัวเองเพียงเล็กน้อย ที่เหลือเผื่อแผ่ให้ผู้อื่น
ก็อาจจะมีความสุขมากกว่าคนที่มีทรัพย์แค่พอกินพอใช้
แต่ไม่มีเหลือพอที่จะเผื่อแผ่ให้แก่ผู้อื่นหรือสร้างสมความดีเพื่อส่วนรวมได้


ดอกไม้ ดอกไม้ ดอกไม้
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 06 มิ.ย.2007, 2:19 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

Image

การเผื่อแผ่แบ่งปันแก่ผู้อื่น นำความสุขมาให้
ก็เพราะ "ผู้ให้ความสุขย่อมได้รับความสุข"
ดังมีพุทธพจน์รับรอง ความสุขจากทรัพย์มีขอบเขตจำกัด
ตราบใดที่ยังเป็นการใช้ทรัพย์นั้น เพื่อประโยชน์ส่วนตัว
แต่เมื่อใดที่ใช้ทรัพย์นั้นเพื่อประโยชน์ของผู้อื่น
ความสุขก็จะเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ


นอกจากนั้นพึงย้ำด้วยว่า การที่พุทธศาสนาเห็นว่า
ความสุขจากความสะดวกสบายเป็นสิ่งสำคัญนั้น
ไม่ใช่เพราะว่ามันดีโดยตัวมันเอง
หากแต่เห็นว่ามันเป็นสิ่งเกื้อกูลต่อการพัฒนาชีวิตในระดับที่สูงขึ้น
ไม่ว่าในระดับศีล จิตและปัญญา
ในทางพุทธศาสนาถือว่า ความสะดวกสบายหรือความสุขทางกาย
จะต้องเป็นไปเพื่อ
เกื้อกูลต่อการพัฒนาชีวิตในทางศีล จิต ปัญญางอกงามขึ้น
หรือส่งเสริมให้เกิดความสุขจากศีล จิตและปัญญา
เช่น เมื่อมีความเป็นอยู่ผาสุกและสะดวกสบายแล้ว
ก็ควรช่วยเหลือผู้อื่น (เช่น ให้ทาน)
หรือใช้ความสะดวกสบายนั้น เพื่อบำเพ็ญภาวนาฝึกฝนจิตและปัญญา
ดังเห็นได้ว่าหลักธรรมเรื่องสัปปายะ นั้น
มุ่งหมายเพื่อการบำเพ็ญภาวนาโดยตรง
พุทธศาสนาไม่สรรเสริญการเอาความสะดวกสบายเป็นเป้าหมาย
หรือหยุดแค่ความสะดวกสบาย
แต่จะต้องการก้าวต่อไปโดยใช้ความสะดวกสบายนั้นให้เป็นประโยชน์
คนที่หยุดแค่ความสะดวกสบาย แล้วไม่ทำอะไรต่อจัดว่าเป็นคนขี้เกียจ
(ถ้าเป็นสันโดษก็เป็นสันโดษที่ผิด)


ความสุขทางกาย (หรือความสะดวกสบาย) นั้น

ไม่ได้เป็นแค่เหตุปัจจัยแห่งความสุข อันเนื่องจากศีล จิตและปัญญาเท่านั้น
หากยังเป็นผลจากความสุขทั้งสามด้วย
กล่าวคือ ต้องอาศัยความสุขทั้งสามเป็นฐานรองรับด้วย
หาไม่แล้วความสะดวกสบายอาจเกินเลยจากการอยู่พอดีกินพอดี
กลายเป็นความอยู่ดีกินดีหรือหรูหราฟุ่มเฟือยไป

การที่บุคคลจะดำรงตนอยู่ในความพอดี
หรือรู้จักประมาณในความสุขทางกายได้
ต้องอาศัยความสุขทางใจเป็นเครื่องหล่อเลี้ยง
รวมทั้งมีสันโดษ (ยินดีในสิ่งที่ตัวเองมี)
เพราะถ้าไม่มีความสุขทางใจหรือความสุขประณีต
รวมทั้งสันโดษเป็นตัวหล่อเลี้ยงจิต
ก็ยังจะดิ้นรนแส่ส่ายหาความสุขให้มากขึ้นไปอีก
ซึ่งเมื่อเสพวัตถุมากขึ้น จนเลยความพอดีไป
ความสุขก็มีแต่จะลดน้อยถอยลง และเกื้อกูลผู้อื่นน้อยลงด้วย

ในทำนองเดียวกัน ปัญญา หรือความรู้เท่าทันในคุณและโทษของวัตถุ
และความสุขทางกาย (กาม) ก็ช่วยให้จิตไม่ถลำตัวเป็นทาสวัตถุ
หรือสยบมัวเมาในความสุขดังกล่าว
ทำให้รู้จักประมาณในการเสพ พอใจในความสะดวกสบายที่มี
ไม่ดิ้นรนแสวงหาจนเลยเถิด กาลายเป็นการปรนเปรอตนไป


Image

ความสุขทางใจ

ไม่เพียงแต่จะเหนี่ยวรั้งไม่ให้บุคคลบริโภคเกินพอดีเท่านั้น
หากยังช่วยให้บุคคลพึ่งพาความสุขจากวัตถุหรือทรัพย์น้อยลง
เป็นเหตุให้บริโภคน้อยลงไปอง
เมื่อถึงตรงนี้ ความสะดวกสบายก็พลอยลดระดับลงไปด้วย
กล่าวคือเพียงแค่มีทรัพย์เพียงเล็กน้อย ก็ถือว่าสะดวกสบายแล้ว
ความเป็นอยู่ที่เคยจัดว่าอยู่ในขั้นสะดวกสบายก็กลายเป็นความอยู่ดีกินดี
หรือหรูหราไป เมื่อเป็นเช่นนี้ก็พลอยทำให้จุด "พอดี" ลดลงมาด้วย

ความพอดีของแต่ละคนจึงไม่เหมือนกัน สุดแท้แต่พัฒนาการทางจิตใจ
จิตยิ่งพัฒนามากเท่าไร ความพอดีก็ยิ่งลดระดับลงมามากเท่านั้น
ทรัพย์เพียงเล็กน้อยจึงทำให้มีความสุขได้มากมาย
ชีวิตที่เรียบง่ายหรือสันโดษเป็นชีวิตที่เปี่ยมสุขได้ก็เพราะเหตุนี้



คัดลอกจาก...

http://www.budnet.info

สาธุ สาธุ สาธุ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 07 มิ.ย.2007, 9:42 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ราคาของความสะดวกสบาย
งานเขียนโดย....รินใจ



มีนิทานเล่าว่า ชายหนุ่มผู้หนึ่งมาฝึกบำเพ็ญตบะกับอาจารย์
หลังจากฝึกมาได้หลายปี
อาจารย์เห็นว่า ศิษย์มีความสามารถแก่กล้าแล้ว
จึงอนุญาตให้ไปบำเพ็ญพรตแต่ผู้เดียวในอีกแคว้นหนึ่ง
หนุ่มผู้นั้นมาปลูกกระท่อมนอกหมู่บ้าน
แล้ววันหนึ่งก็พบว่า เสื้อของตนซึ่งมีอยู่เพียงตัวเดียว มีรอยหนูกัด
พอปะชุนแล้ว วันต่อมาหนูก็ยังมากัดอีก
เป็นเช่นนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขาคิดหาทางแก้อยู่หลายวัน

ในที่สุดก็ไปหาแมวมาปราบหนู แต่เมื่อได้แมวมา
เขาก็ต้องไปหานมมาเลี้ยงแมวด้วย
หลังจากไปขอนมวัวจากชาวบ้านอยู่เดือนหนึ่ง
ก็คิดว่าแทนที่จะเดินไปขอนมในหมู่บ้าน
สู้หาวัวมาเลี้ยงดีกว่า
ครั้นหาวัวมาเลี้ยงแล้วก็ต้องหาหญ้าให้มันด้วย
เนื่องจากไม่ต้องการเสียเวลาบำเพ็ญพรต
เขาก็เลยไปจ้างลูกสาวชาวบ้านมาเกี่ยวหญ้าให้วัว

ผ่านไปหลายเดือนเงินที่ขอทานจากชาวบ้านก็ร่อยหรอไปเกือบหมด
ก็เลยหาทางออกด้วยการแต่งงานกับสาวเสียเลย
จะได้ไม่ต้องเสียเงินจ้าง
เมื่อมีสาวมาอยู่แล้ว ก็ต้องช่วยกันทำมาหากิน
ในที่สุดก็เลยเลิกบำเพ็ญพรต
กลายมาเป็นพ่อค้า หากินจนร่ำรวย

แล้ววันหนึ่งอาจารย์ก็มาเยี่ยม
พอเห็นความเปลี่ยนแปลงอย่างหน้ามือเป็นหลังมือ
อาจารย์ก็ถามว่าเกิดอะไรขึ้น
ชายผู้นั้นอธิบายว่า "นี่เป็นวิธีที่ผมจะรักษาเสื้อของผมน่ะครับ"


ดอกไม้ ดอกไม้ ดอกไม้
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 07 มิ.ย.2007, 9:45 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

นิทานเรื่องนี้สอนอะไร ?

แน่นอนนิทานเรื่องนี้ไม่ได้สอนว่า อย่าริมีเสื้อ หรืออย่ารักษาเสื้อ
แก่นของเรื่องน่าจะอยู่ตรงที่วิธีการรักษาเสื้อมากกว่า
การรักษาเสื้อนั้นมีหลายวิธี
แต่ตัวเอกในเรื่องรักษาเสื้อ ด้วยการหา "เครื่องทุ่นแรง"
หรือวิธีที่ทำให้เหนื่อยน้อยที่สุด
เช่น หาแมวมาจัดการกับหนู
แทนที่จะทำตู้ใส่เสื้อ หรือทำกับดักหนู


แต่ปรากฏว่าวิธีดังกล่าวแม้จะแก้ปัญหาหนึ่งได้
กลับสร้างปัญหาใหม่เพิ่มขึ้นมาแทน
และเมื่อแก้ด้วยวิธีที่คิดว่าสะดวกสบายที่สุด
ก็มีปัญหาใหม่เพิ่มขึ้นมาอีก
จนในที่สุดชีวิตก็ค่อยๆ คลาดเคลื่อนจากจุดหมายเดิมจนผันแปรไป
กลายเป็นว่า แทนที่เสื้อจะช่วยรับใช้ชีวิตนักพรต
กลับต้องละทิ้งชีวิตนักพรต เพื่อรับใช้เสื้อ


ดอกไม้ ดอกไม้ ดอกไม้
 


แก้ไขล่าสุดโดย ลูกโป่ง เมื่อ 07 มิ.ย.2007, 10:03 am, ทั้งหมด 1 ครั้ง
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 07 มิ.ย.2007, 9:48 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

นิทานเรื่องนี้ ไม่ได้มุ่งเตือนสตินักบวชเท่านั้น
หากยังเป็นอุทาหรณ์สอนใจคนทั่วไปด้วย

เพราะถ้ามองให้ลึกแล้ว นิทานเรื่องนี้สอนว่า
ความสะดวกสบายนั้นไม่ได้มาเปล่าๆ
เมื่อได้ความสะดวกสบายในเรื่องหนึ่ง
ก็ต้องเกิดความไม่สะดวกสบายในอีกเรื่องหนึ่งพ่วงติดมา
ถึงไม่ต้องวุ่นวายกับหนู แต่ก็ต้องวุ่นวานกับแมวแทน
แม้ไม่ต้องเหนื่อยเพราะเดินไปขอนม
แต่ก็ต้องเหนื่อยกับการเกี่ยวหญ้ามาเลี้ยงวัวแทน
กล่าวอีกนัยหนึ่ง ความสะดวกสบายนั้นมักมาพร้อมกับภาระเสมอ


จะพูดว่าไม่มีอะไรได้มาเปล่าๆ ก็ได้
อย่างที่ฝรั่งเรียกว่า no free lunch
น่าแปลกก็ตรงที่ทั้งๆ ที่ใครๆ ก็พอจะรู้ว่า
ในชีวิตนี้ไม่มีอะไรได้มาเปล่าๆ
แต่พอมาถึงเรื่องสิ่งอำนวยความสะดวกสบาย
คนจำนวนไม่น้อยกลับคิดว่า เรามีแต่จะได้อย่างเดียว ไม่มีเสียเลย
"เสีย" ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงเสียเงินเพื่อซื้อมันมาเท่านั้น
แต่เรายังต้องเสียอย่างอื่นอีกด้วย
เช่น เสียวลา เสียความสุข เพราะต้องคอยพะวงถึงมัน เป็นต้น


ตัวอย่างชัดเจนก็คือ รถยนต์
เราได้รับความสะดวกสบายจากรถยนต์หลายอย่าง
โดยเฉพาะการทุ่นเวลาในการเดินทาง
แต่ใครที่มีรถยนต์ก็ย่อมรู้ว่า
มันนำภาระและความไม่สะดวกสบายมาให้แก่เจ้าของหลายอย่าง
ไหนจะต้องดูแลรักษาและเช็ดล้างเป็นอาจิณ
ไหนจะต้องวุ่นวายกับการหาที่จอดรถ
ไหนจะต้องมีภาระการเงินเพิ่มขึ้น
และไหนจะต้องคอยป้องกันไม่ให้ใครมาทำอะไรมัน
(เช่น ขูดสี หรือลักขโมย)
รวมเงินทองและความสุขสบายที่หดหายไปแล้ว
ก็ไม่แน่ใจว่าจะคุ้มกับเวลาที่ประหยัดไปหรือไม่


และถ้าคิดกันจริงๆ แล้ว
ก็น่าสงสัยว่า รถยนต์ช่วยทุ่นเวลา หรือทำให้เราเสียมากขึ้นกันแน่
เพราะทุกวันนี้เราเสียเวลาเพราะรถของเรามากมายหลายทาง
นอกจากจะเสียเวลาในการเช็ดล้างและดูแลรักษา
การซ่อมแซม การหาที่จอดรถ
เรายังเสียเวลาเพื่อหาเงินมาเป็นค่าน้ำมัน ค่าอะไหล่
ค่าประกัน ค่าจอดรถ รวมทั้งค่าผ่อนส่ง
หรือค่าออกรถ

ในสหรัฐอเมริกา เคยมีการคำนวณพบว่า
คนอเมริกันเสียเวลาไปกับรถยนต์ วันละ ๓๒ กิโลเมตร
นั่นหมายความว่า รถยนต์ช่วยให้คนอเมริกันเดินทางด้วยความเร็ว
เพียง ๘ กิโลเมตรต่อชั่วโมงเท่านั้น
ช้ากว่าการขี่จักรยานด้วยซ้ำ

นี่ว่าเฉพาะอุปกรณ์อำนวยความสะดวกเพียงสิ่งเดียวเท่านั้น
ในชีวิตเรายังมีสิ่งอำนวยความสะดวกอีกมากมายนับไม่ถ้วน
น่าคิดว่าสิ่งที่เราต้องสูญเสียไป
เพราะความสะดวกทั้งหลายเหล่านี้
รวมกันแล้วจะมีมากมายสักเพียงใด
แต่เชื่อว่ามีอย่างน้อย ๒ อย่างที่ได้รับผลกระทบ
นั่นคือ เวลาและความสุข


ดอกไม้ ดอกไม้ ดอกไม้
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 07 มิ.ย.2007, 9:52 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เคยสงสัยไหมว่าในสังคมที่เจริญมั่งคั่ง
เต็มไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย
ผู้คนกลับมีเวลาว่างน้อยกว่าชาวบ้านในชนบท
ที่แทบไม่มีเครื่องทุ่นแรงทุ่นเวลาเลย
ทั้งๆ ที่คนกลุ่มหลังต้องเดินด้วยเท้า
ทำนาด้วยแรงของตน จะกินน้ำก็ต้องไปหาบ
กว่าจะได้กินข้าวก็ต้องรอเป็นชั่วโมง
แต่เขากลับมีเวลาให้กับครอบครัวอย่างเหลือเฟือ
สามารถนอนเอกเขนกได้เป็นวัน
ในขณะที่คนในเมืองไม่มีเวลาแม้กระทั่งกินข้าวพร้อมหน้ากันทั้งบ้าน
แถมยังนอนไม่เต็มอิ่ม ถามว่าเวลาของเขาไปไหนหมด ?
ส่วนหนึ่งก็เพราะเสียเวลาไปกับสิ่งอำนวยความสะดวกทั้งหลาย
ไม่ว่ารถยนต์ โทรทัศน์ วีดีโอ โทรศัพท์มือถือ และคอมพิวเตอร์
ไหนจะเสียเวลากับการเสพสิ่งเหล่านั้น
และไหนจะเสียเวลาหาเงินเพื่อซื้อสิ่งเหล่านั้นมาเสพ

ในทำนองเดียวกัน เมื่อชีวิตยุ่งเหยิงวุ่นวาย
จนแทบไม่มีเวลาเป็นของตนเองแล้ว
ความสุขจะเพิ่มขึ้นได้อย่างไร มีแต่จะลดลง
ถ้าสิ่งอำนวยความสะดวก ทำให้ชีวิตมีความสุขเพิ่มขึ้น
ตามปริมาณสิ่งเสพแล้ว คนร่ำรวยมีชีวิตที่หรูหราอู้ฟู่
ก็ย่อมมีความสุขมากกว่าคนทั่วไป
แต่ก็อย่างที่รู้ๆ กันว่า คนรวยมีสิทธิเป็นโรคประสาท
หรือฆ่าตัวตายไม่น้อยไปกว่าคนทั่วไป
ยิ่งเอาสถิติของประเทศร่ำรวยมาเทียบกับของประเทศยากจน
ก็จะเห็นว่า คนรวยเป็นโรคประสาทหรือฆ่าตัวตายมากกว่าคนจน

สิ่งอำนวยความสะดวกช่วยให้ชีวิตมีความสุขในระดับหนึ่งเท่านั้น
นี้คือเหตุผลประการหนึ่ง ที่คนพอมีพอกิน
มีความสุขมากกว่าคนที่หาเช้ากินค่ำ
แต่ถ้ามีสิ่งอำนวยความสะดวกมากเกินขีดหนึ่งไปแล้ว
ความสุขมีแนวโน้มจะลดลง
เพราะต้องคอยห่วงกังวลกับการดูแลรักษามัน
ถ้าคุณมีเครื่องเสียงราคานับล้านๆ
ถึงมันจะบรรเลงเพลงได้ไพเราะเสนาะโสดเพียงใด
ความสุขของคุณจะหายไปโดยพลัน
หากมีเด็กปราดเข้ามาหามันอย่างไม่ประสีประสา
มันให้ความสะดวกสบายแก่เรา
แต่มันก็เป็นภาระแก่เราด้วยในเวลาเดียวกัน

สิ่งอำนวยความสะดวกยังเรียกร้องต้องการความใส่ใจ
จากเราอีกหลายอย่าง นอกจากต้องคอยห่วงพะวงถึงมันแล้ว
ยังต้องคอยคิดปรับแต่งมันให้ดีขึ้นวิเศษขึ้นไม่ได้หยุด
เพราะผู้ผลิตอุปกรณ์เหล่านี้ไม่เคยอยู่เฉย
แต่จะหมั่นผลิตอุปกรณ์เสริม (หรือ Accessories)
เพื่อล่อลูกค้าให้ซื้อไปต่อเติมเข้ากับอุปกรณ์ที่มีอยู่แล้วเสมอๆ
หรือทดแทนส่วนประกอบเดิมที่ "ล้าสมัย"


ใครที่ซื้อคอมพิวเตอร์สักเครื่องแล้วหยุดเพียงเท่านั้น แทบจะนับตัวได้
ส่วนใหญ่เมื่อมาแล้วก็ต้องหาเรื่องซื้ออะไรต่ออะไรไม่ได้หยุด
อาทิ ลำโพง ไมโครโฟน สแกนเนอร์ และกล้องดิจิตอล
มาประกอบ ไม่ต้องพูดถึงโปรแกรมหรือซีดี
ที่มีให้เลือกไม่หวาดไม่ไหวกล่าว

อีกนัยหนึ่ง สิ่งอำนวยความสะดวกเหล่านี้
ปลุกเร้าความต้องการของเราไม่ได้หยุด
ทำให้เกิดความทุกข์ที่ต้องบำบัดด้วยการดิ้นรน
แสวงหาสิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอ
แต่ได้มาแล้วก็ไม่เคยหยุดหรือพอใจเสียที


ดอกไม้ ดอกไม้ ดอกไม้
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 07 มิ.ย.2007, 9:54 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ความไม่รู้จักพอของนักเล่นคอมพิวเตอร์
ชวนให้นึกถึงนิทานจีน เรื่องตะเกียงงาช้าง

เรื่องมีว่ากษัตริย์พระองค์หนึ่งเดิมเสวยพระกระยาหารด้วยตะเกียบไม้
แต่อยู่มาวันหนึ่งทรงอยากได้ตะเกียบงาช้าง
เสนาบดีคัดค้านอย่างไรก็ไม่เป็นผล ครั้นได้ตะเกียบงาช้างแล้ว
พระองค์ก็เริ่มไม่พอพระทัยเครื่องเคลือบดินเผา
จึงให้หาถ้วยชามที่ทำจากนอแรดและหยกมาใช้แทน
ต่อมาแทนที่จะเสวยถั่วและผักดังแต่ก่อน
พระกระยาหารก็เปลี่ยนมาเป็นอาหารเลอรส
เช่น ตีนหมีและลูกเสือดาว ไม่นานก็ทรงทิ้งฉลองพระองค์
ที่ทำจากผ้าเนื้อหยาบ และให้รื้อวังที่สร้างอย่างสามัญ
เปลี่ยนมาใช้ฉลองพระองค์ไหมอย่างดี
และสร้างวังใหม่อย่างวิจิตรพิสดาร
นับแต่นั้นก็ทรงหมกมุ่นอยู่ในความสำราญ
ไม่ใส่ใจในราชกิจ ซ้ำยังทรงลุแก่อำนาจ
ราษฎรเดือดร้อนอย่างยิ่ง
จนในที่สุด ก็ลุกฮือและขับพระองค์ออกจากราชบัลลังก์

สิ่งอำนวยความสะดวกมีแนวโน้มที่จะเป็นเช่นนี้
ใครที่หลงไปกับมัน ก็ง่ายที่จะเป็นทุกข์เพราะมัน
และคนที่จะหลงมันได้ง่ายที่สุด ก็คือ คนมีเงิน
เพราะเงินเปิดโอกาสให้เราเข้าครอบครองมันได้ง่ายขึ้น
เพราะเหตุนี้คนร่ำรวย จึงมีโอกาสที่จะทุกข์ได้มาก
เคยมีการสอบถามความเห็นของคนอเมริกัน
ที่ถูกล็อตเตอรี่จำนวน ๑,๐๐๐ คนในรอบ ๑๐ ปี
ปรากฏว่ามีน้อยคนที่บอกว่า
มีความสุขเพิ่มขึ้นหลังจากได้เงินรางวัล
ส่วนใหญ่ยอมรับว่ามีความสุขน้อยลง
หลังจากได้เงินรางวัลไปแล้ว ๖ เดือน
ทั้งๆ ที่มีเงินทองและสิ่งอำนวยความสะดวกมากขึ้น


ข้อมูลดังกล่าวสอดคล้องกับรายงานข่าวเมื่อเร็วๆ นี้ว่า
เศรษฐีใหม่ ที่ร่ำรวยอย่างรวดเร็วจากราคาหุ้นประเภทไฮเทค
ที่พุ่งพรวดในสหรัฐอเมริกา
มักจะมีปัญหาทางจิตใจคล้ายๆ กัน คือ
รู้สึกวิตกกังวลอย่างมากว่า เงินมากมายมหาศาลของตนนั้น
จะหายวับไปอย่างรวดเร็วพอๆ กับตอนที่ได้มา
ทั้งยังรู้สึกโดดเดี่ยวอ้างว้างมากขึ้น
เพราะมีช่องว่างกับเพื่อนเก่า
จนมีปัญหาแม้แต่เวลาจะพูดเรื่องพื้นๆ

เช่น รถยนต์ การซ่อมบ้าน
นอกจากนั้นสถานภาพที่เปลี่ยนไป
ยังทำให้มีเรื่องต้องครุ่นคิดตัดสินใจมากขึ้น
แม้แต่จะซื้อของขวัญให้ใคร ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายแล้ว
หลายคนยอมรับว่า ตนมีความสุขมากกว่าตอนที่มีเงินน้อยกว่านี้
ความทุกข์ใจที่เกิดกับเศรษฐีพันล้านนี้
บางคนเรียกว่า "โรครวยฉับพลัน"


สิ่งอำนวยความสะดวกไม่เพียงแต่จะก่อปัญหาแก่บุคคลเท่านั้น
หากยังสามารถสร้างภาระแก่สังคมได้มาก
กล่องโฟมเป็นตัวอย่างง่ายๆ
มันช่วยให้เราพกพาอาหารได้สะดวกขึ้น
แต่ก็สร้างปัญหาในการกำจัดขยะ
แถมยังเป็นอันตรายต่อบรรยากาศโลก
และส่งผลถึงสุขภาพของเราในที่สุด


ดอกไม้ ดอกไม้ ดอกไม้
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 07 มิ.ย.2007, 9:56 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ลองพิจารณาดูจะพบว่ามีปัญหามากมายในสังคมที่เกิดขึ้น
เพราะการคำนึงถึงแต่ความสะดวกสบายไม่ต้องดูอื่นไกล
ดูอย่างการแก้ปัญหาจราจร

วิธีที่นิยมใช้กันทุกวันนี้ก็คือ การสร้างถนน หรือขยายผิวถนนเพิ่มขึ้น
แน่ล่ะวิธีนี้ทำให้เราสะดวกสบายกว่า
การแก้ปัญหาโดยวิธีควบคุมปริมาณรถยนต์
หรือการกดดันให้ผู้คนหันมาใช้บริการขนส่งมวลชนกันมากๆ
แต่ในขณะที่เราเดินทางได้สะดวกสบาย
เพราะการสร้างถนน เราก็สูญเสียความสะดวกสบายอีกหลายอย่าง
อาทิ ความสบายในการหายใจอากาศที่บริสุทธิ์
หรือความสะดวกในการเดินทางด้วยจักรยาน หรือด้วยการเดินเท้า
ทั้งนี้เพราะยิ่งสร้างถนน คนก็ยิ่งใช้รถกันมากขึ้น
ขณะเดียวกันการระดมสร้างถนน
ยังทำให้เกิดความไม่สะดวกอีกหลายอย่าง เช่น ลำคลองเน่าเหม็น
ทั้งนี้เพราะเมื่อคลองถูกถมเป็นถนนจนแทบไม่เหลือ
ย่อมเกิดปัญหาการระบายน้ำเสีย
และเป็นเพราะการถมคลองนี้เอง
ในที่สุด ก็ทำให้น้ำท่วมได้ง่าย
ฝนตกทีน้ำก็ท่วมถนนจนจราจรแน่นขนัด
กลายเป็นว่า ความสะดวกสบายในการเดินทางไปๆ มาๆ
ก็หดหายไปเพราะการสร้างถนนอย่างไม่บันยะบันยัง

ทั้งนี้ยังไม่ต้องพูดถึงการสูญเสีย เสรีภาพในการสัญจรด้วยเรือ
และการสูญเสียเงินตราต่างประเทศอย่างมหาศาล
เพราะการนำเข้ารถยนต์และน้ำมันเพิ่มขึ้น
ทำให้เกิดปัญหาทางเศรษฐกิจตามมา

ที่พูดนี้มิได้หมายความว่า
ความสะดวกสบายเป็นสิ่งที่ไม่ดีที่เราต้องหลีกเลี่ยง
หากแต่ต้องการชี้ว่าความสะดวกสบายนั้น
เราไม่เคยได้มาเปล่าๆ เลย
มันมีราคาที่เราต้องจ่ายอยู่เสมอ
เมื่อได้ความสะดวกสบายมาอย่างหนึ่ง
ก็หมายความว่า เราต้องสูญเสียบางอย่างไป
และบางอย่างที่เราสูญเสียนั้น
อาจมีคุณค่าหรือมี "ราคา" แพงกว่า
ความสะดวกสบายที่เราได้รับด้วยซ้ำ
เช่น ความสงบสุขในชีวิต หรือเวลาที่จะให้แก่ตนเอง
และครอบครัว ความราบรื่นในสังคม
รวมไปถึงความบริสุทธิ์สะอาดของสิ่งแวดล้อม


เพราะฉะนั้นก่อนที่เราจะอ้าแขนรับความสะดวกสบายอะไรสักอย่าง
ควรไต่ตรองให้ถี่ถ้วนว่า
มีอะไรบ้างที่เราจะต้องสูญเสียไป
เพื่อแลกกับความสะดวกสบายดังกล่าว


ดอกไม้ ดอกไม้ ดอกไม้
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
chill
บัวพ้นดิน
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 22 ก.พ. 2008
ตอบ: 85

ตอบตอบเมื่อ: 04 ส.ค. 2008, 8:20 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ขอบคุณนะคะ อนุโมทนาคะ ยิ้มแก้มปริ
 

_________________
มีชีวิตอยู่เพื่อทำความดี..
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง