Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 ละชั่ว ทำดี ชำระใจให้สะอาด อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
นิทรา
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 02 ธ.ค. 2004
ตอบ: 26

ตอบตอบเมื่อ: 10 ม.ค. 2005, 4:44 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ละชั่ว ทำดี ชำระใจให้สะอาด หลวงปปู่เทสก์ เทสรังสี



พระพุทธศาสนาสอนกว้างขวาง

สอนให้ละความชั่ว

ทำความดีด้วยตนเอง

แล้วชำระใจให้สะอาด



" เทสโกวาท100 ปี " พระราชนิโรธรังสี คัมภีรปัญญาวิศิษฏ์
 

_________________
คุณครูบ้านนอกที่ชอบชีวิตเรียบง่าย ภูเขา แม่น้ำ ชอบการสัมผัสกับธรรมชาติ เวลาว่างจะศึกษาธรรมะโดยการอ่านและฟัง ที่ศึกษาประจำคือธรรมะของหลวงปู่เทสก์ เทสรังสี วัดหินหมากเป้ง และ อื่นๆ
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
เกียรติ
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 10 ม.ค. 2005, 5:26 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

คิดๆ แล้วปีเก่าที่ผ่านมานี้ผมก็ปลื้มเหมือนกันครับ เพราะ



ผมตั้งใจละเว้นอกุศลกรรมบถ 10 ประการได้ทุกวัน แต่คงไม่บริบูรณ์เต็มร้อย มีกระพร่องกระแพร่งบ้าง โดยเฉพาะกรรมทางวาจา

ผมตั้งใจทำทานทุกวัน โดยวันธรรมดาจะใส่บาตรพระแถวบ้านเช่า และช่วงเสาร์อาทิตย์กลับบ้านในกรุงเทพฯ ก็จะให้เงินประจำเดือนคุณพ่อ และสงเคราะห์ญาติ หรือไปทำบุญที่วัด รวมทั้งนำธรรมะมา Post ผ่าน Net ด้วย

ผมตั้งใจทำสมาธิทุกวัน มากบ้างน้อยบ้าง ขึ้นกับความฟุ้งและความปวดเมื่อย



สรุปแล้ว 1 ปีที่ผ่านมาผมละชั่ว ทำดี และชำระใจให้ใสได้ทุกวันเลยครับ
 
โอ่
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 10 ม.ค. 2005, 11:42 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ก็เป็นที่น่ายินดี คือจะว่ายินดีไม่รู้ถูกหรือไม่ เพราะถ้าเห็นคนไปวัด ไปทำบุญ รักษาศีล ทำให้รู้สึกดีใจที่ได้เห็น คือความดีใจจะเกิดขึ้น แต่คงไม่ใช่ความยินดีมั้ง คือดีใจที่ได้รู้ได้เห็นว่ามีคนพยายามสร้างกุศลอย่างใดอย่างหนึ่ง



แล้วก็นึกลุ้นว่าทำให้มากกว่านั้นๆๆ อย่าหยุดนะ ทำเข้าไปเรื่อยๆ แต่บางทีเราก็เถียงกันในเน็ท อาจกระทบกันบ้าง ที่จริงแล้วครบรอบปีหรือช่วงหนึ่งๆวันสำคัญๆทางศาสนาก็ขออโหสิกรรมทางวาจา ใจ ส่วนกายไม่ได้ล่วงเกินอะไร อันนี้ก็ต้องขออภัยถ้าไปกระทบผู้อื่นที่ได้ทำไปแล้ว



เพราะคนเรามีความผิดพลาดกันได้หมด เรื่องการใช้วาจาหรือถ้อยคำ ความกระทบกันนี้ มาจากเรามีอารมณ์พอใจและไม่พอใจสิ่งต่างๆ แม้สิ่งนั้นเล้กน้อยแต่มันก็กระทบ ทีนี้ธรรม 3 อย่างข้างต้นที่เป็นหัวข้อนี้อยู่ในโอวาทปาฏิโมกข์ ขึ้นต้นว่า"ขันติ ตะโป ตี ติกขา" แปลว่าความอดกลั้นคือความทนทานเป็นตบะอย่างยิ่ง นี่ว่าตามสำนวนภาษาบทสวดมนต์แปล คือบทนี้ผมจำได้หมดไม่ต้องเปิดแบบ



ท่านกล่าวถึงความอดกลั้นคือขันติก่อน เอาขันติมาแสดงก่อน ความอดกลั้นนี้สำคัญ คือพอเราไม่พอใจ เราก็เขียนออกไป บางทีเราคิดว่าถ้าเราอดกลั้นไว้แล้วใครจะไปรู้ความคิดที่เป็นอีกอย่างที่เราต้องการจะสื่อ พอเราเขียนไปบางทีอาจมีอารมณ์อะไรอยู่บ้างก็กระทบกระทั่งกันตรงนี้ ตรงนี้ต้องขออภัย แล้วเราก็ต้องอภัยคนอื่นเหมือนกันถ้าเขากระทบเรา



การฝึกความอดกลั้นก็ต้องฝึกจากของจริงๆที่เกิดกับเรา คือเห็นมันก่อนว่าเราอาจอ่อนในเรื่องความอดกลั้น แล้วค้นหาจุดอ่อนในเรื่องอื่นๆ คือทุกคนมีจุดอ่อน แต่เรามักสำรวมไว้ได้ เพราะได้ฝึกสติไว้



โอวาทปาฏิโมกข์บทแปลทั้งหมดว่าอย่างนี้ "ความอดกลั้นคือความทนทานเป็นตบะอย่างยิ่ง (เป็นตบะนะครับขอให้สังเกต) ท่านผู้รู้ทั้งหลาย(ท่านผู้รู้นี่คือพุทธาหมายถึงพระพุทธเจ้า)กล่าวว่าพระนิพพานเป็นธรรมอย่างยิ่ง ผู้ฆ่าสัตว์อื่นเบียดเบียนสัตว์อื่นไม่ใช่บรรพชิตและสมณะเลย



ความไม่ทำบาปทั้งปวง



การทำกุศลให้ถึงพร้อม



การทำใจให้ผ่องแผ้ว



(ธรรม)สามอย่างนี้ เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย



ความไม่กล่าวร้าย (วาจาตรงนี้สำคัญอาศัยศีลจริงๆ)



ความไม่ล้างผลาญ



ความสำรวมในพระปาฏิโมกข์



ความรู้จักประมาณในภัตตาหาร



ที่นอนที่นั่งอันสงัด



ความประกอบโดยเอื้อเฟื้อในอธิจิต



(ธรรม) หกอย่างนี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ฉะนี้



นี่เป็นบทแปลสั้นๆของโอวาทปาฏิโมกข์



ปาฏิโมกข์คือศีล 227 ข้อ แต่หลักสามข้อมาเป็นหัวใจของพุทธสาสนา



ผมคิดว่าไม่ทำชั่วคือศีล 227 รักษาไว้

ทำดีก็คือรักษาพรหมจรรย์

ทำใจให้ผ่องแผ้วคือการเจริญอริยมรรค



ด้วยเหตุนี้ท่านจึงสอนสิ่งสำคัญก่อน คือขันติ ต้องประพฤติให้เป็นตบะ จึงจะรักษาหัวใจของพุทธศาสนาทั้งสามข้อไว้ได้



 
เกียรติ
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 11 ม.ค. 2005, 8:55 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ผมอาจเพิ่งเริ่มเข้ามาในเว็บนี้เมื่อปลายปีที่แล้ว แต่ได้อ่านข้อความข้างต้นของคุณโอ่แล้วมีส่วนหนึ่งจับใจมาก ก็ขอเลียนแบบเลยนะครับ



ถ้าการ Post เนื้อหาของผมส่วนหนึ่งส่วนใดในปีที่แล้ว ไปกระทบผู้หนึ่งผู้ใดก็ตามที ผมก็ขออภัย และขออโหสิกรรมด้วยนะครับ

 
เทพ
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 31 ม.ค. 2005, 6:09 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

การรักษาศีล ใช่อยู่ที่ความตั้งใจรักษาศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๑๐ หรือ ศีล ๒๒๗ ก็หาไม่ เพราะศีลทั้งหมดนี้ เป็นแค่รั้วที่พระอริยะผู้ทรงปัญญาสร้างไว้เป็นแนวกั้นมิให้ปุถุชนผู้มีอวิชชาครอบงำ หลงไปกระทำเข้า แต่ผู้ใดทำการศึกษาว่าศีลคืออะไร ทำไมต้องรักษาศีล การไม่รักษาศีลมีโทษอย่างไร สิ่งใดที่สามารถทำให้เราสามารถรักษาศีลได้ เรียนว่า "สีลสิกขา" เมื่อศึกษาแล้วก็รู้ว่าสมาธิมีความจำเป็นต้องทำการฝึกฝน เพราะถ้าไม่มีสมาธิ จิตก็ฟุ้งซ่าน ไม่อาจทำกิจแห่ง"สีลสิกขา" ได้ ก็ทำการศึกษาเรื่องสมาธิควบคู่ไปด้วย เรียกว่า "สมาธิจิตสิกขา" รักษาศีลที่ได้ศึกษาแล้ว ทำสมาธิที่ได้ทำการศึกษาแล้ว จึงได้เกิดความรู้แจ้งในธรรมอันเป็นเบื้องต้นเรียกว่าปัญญา จึงได้เกิดความคิดว่าเราควรแสวงหาปัญญาอันเป็นธรรมสูงสุดเพื่อความรู้แจ้งแห่งธรรมทั้งปวง จึงต้องทำการศึกษาเรื่องของปัญญาเพิ่มอีก เรียกว่า "ปัญญาสิกขา" ธรรมทั้งสามประการนี้คือ "สีลสิกขา สมาธิจิตสิกขา และ ปัญญาสิกขา" จึงต้องกระทำควบคู่กันไปรวมเรียกว่า "มัคคสมังคีธรรม" การกระทำให้ธรรมทั้งสามเจริญขึ้นเรียกว่าเราเดินทางใน "มรรค ๘" เดินทุกวัน เดินทุกก้าวจึงเกิด สีลวิสุทธ, จิตวิสุทธิและ ทิฎฐิวิสุทธิ ก็สามารถหมด "กังขาวิตรณวิสุทธิ ได้แค่ "เจโตวิมุติ" แต่ต้องไปเดินทางสายใหม่เพื่อเจริญให้ปัญญาญาณเกิด "ปัญญาวิมุติ" ด้วย "มรรคามรรคญาณทัศนวิสุทธิ" โดยทำการปฏิบัติในญาณทั้ง ๙ เรียกว่า "ปฏิปทาญาณทัศนวิสุทธิ" เมื่อเดินก้าวไป เจริญไป จึงเกิด "ญาณทัศนวิสุทธิ" โคตรภูญาณจึงมาบันดาลนิพพานให้

ได้ธรรมนี้มาจากพระอริยะรูปหนึ่งที่ไม่ค่อยมีใครรู้จักเท่าใดนัก.
 
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ ไม่สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง