Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 พระพุทธโอวาท 3 เดือนก่อนปรินิพพาน (อ.วศิน อินทสระ) อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 24 มี.ค.2007, 10:41 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

พระพุทธโอวาท 3 เดือนก่อนปรินิพพาน
เนื้อเรื่องโดย : ท่านอาจารย์วศิน อินทสระ


Image

"ดูกรภิกษุทั้งหลาย !
บัดนี้เป็นวาระสุดท้ายแห่งเราแล้ว...
เราขอเตือนเธอทั้งหลายให้จำมั่นไว้ว่า...
สิ่งทั้งปวงมีความเสื่อม และสิ้นไปเป็นธรรมดา
เธอทั้งหลายจงอยู่ด้วยความไม่ประมาทเถิด"


สาธุ สาธุ สาธุ
 


แก้ไขล่าสุดโดย ลูกโป่ง เมื่อ 24 มี.ค.2007, 11:13 am, ทั้งหมด 1 ครั้ง
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 24 มี.ค.2007, 10:46 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เมื่อพระพุทธองค์ทรงปลงพระชนม์มายุสังขาร
พระพุทธองค์เสด็จมาถึงปาวาลเจดีย์ประทับภายใต้ต้นไม้
ซึ่งมีเงาครึ้มต้นหนึ่ง

ทรงตรัสกับพระอานนท์ว่า
"อานนท์ ! เพราะอบรมอิทธิบาทสี่มาอย่างดีแล้ว
ทำจนแจ่มแจ้งแล้วอย่างเรานี้
ถ้าปรารถนาจะมีชีวิตอยู่ถึงหนึ่งกัป
หรือมากกว่านั้นก็สามารถจะมีชีวิตอยู่ได้"

พระโลกานาถตรัสดังนี้ถึงสามครั้ง
แต่พระอานนท์ก็คงเฉยมิได้ทูลอะไรเลย

ความวิตกกังวลและความเศร้าของท่านมีมากเกินไป
จึงปิดบังดวงปัญญาเสียหมดสิ้น
ความจงรักภักดีเหลือล้น ที่ท่านมีต่อพระศาสดานั้น
บางทีก็ทำให้ท่านลืมเฉลียวใจ
ถึงความประสงค์ของผู้ที่ท่านจงรักภักดีนั้น
ปล่อยโอกาสทองให้ล่วงไปอย่างน่าเสียดาย

เมื่อเห็นพระอานนท์เฉยอยู่ พระพุทธองค์จึงตรัสว่า
"อานนท์ ! เธอไปพักผ่อนเสียบ้างเถิด เธอเหนื่อยมากแล้ว
แม้ตถาคตก็จะพักผ่อนเหมือนกัน"
พระอานนท์จึงหลีกไปพักผ่อน ณ โคนต้นไม้อีกต้นหนึ่ง


สาธุ สาธุ สาธุ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 24 มี.ค.2007, 10:47 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ณ บัดนั้น พระตถาคตเจ้าทรงรำพึงถึงอดีตกาลนานไกล
ซึ่งล่วงมาแล้วถึงสี่สิบห้าปี สมัยเมื่อพระองค์ตรัสรู้ใหม่ๆ
ท้อพระทัยในการที่จะประกาศสัจธรรม
เพราะเกรงว่าจะทรงเหนื่อยเปล่า
แต่อาศัยพระมหากรุณาต่อสรรพสัตว์
จึงตกลงพระทัยย่ำธรรมเภรี
และครานั้นพระองค์ทรงตั้งพระทัยไว้ว่า
ถ้าบริษัททั้งสี่ คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา
ยังไม่เป็นปึกแผ่นมั่นคง ยังไม่สามารถย่ำยีปรูปวาท
คือ คำกล่าวจ้วงจาบล่วงเกินจากพาหิรลัทธิ
ที่จะพึงมีต่อพระพุทธธรรมคำสอนของพระองค์
ยังไม่แพร่หลายเพียงพอตราบใด
พระองค์ก็จะยังไม่นิพพานตราบนั้น

ก็แลบัดนี้ พระธรรมคำสอนของพระองค์
แพร่หลายเพียงพอแล้ว
ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา
ฉลาดสามารถพอที่จะดำรงพรหมจรรย์
ศาสโนวาทของพระองค์แล้ว
เป็นการสมควรที่พระองค์จะเข้าสู่มหาปรินิพพาน

ทรงดำริดังนี้แล้วจึงทรงปลงอายุสังขาร
คือ ตั้งพระทัยแน่วแน่ว่า
พระองค์จะปรินิพพานในวันวิสาขะปูรณมี
คือ วันเพ็ญเดือนหก

อันว่าบุคคลผู้มีกำลังกลิ้งศิลามหึมาแท่งทึบ
จากหน้าผาลงสู่สระ
ย่อมก่อความกระเพื่อมสั่นสะเทือนแก่น้ำในสระนั้นฉันใด
การปลงพระชนม์มายุสังขารอธิษฐานพระทัยว่า
จะปรินิพพานของพระอนาวรณญาณก็ฉันนั้น
ก่อความวิปริตแปรปรวนแก่โลกธาตุทั้งสิ้น
มหาปฐพีมีอาการสั่นสะเทือน เหมือนหนังสัตว์ที่เขาขึงไว้
แล้วตีด้วยไม้ท่อนใหญ่ก็ปานกัน
รุกขสาขาหวั่นไหวไกวแกว่ง
ด้วยแรงวายุโบกสะบัดใบอยู่พอสมควร
แล้วนิ่งสงบมีอาการประหนึ่งว่า
เศร้าโศกสลดในเหตุการณ์ครั้งนี้
เหมือนกุมารีน้อยคร่ำครวญปริเวทนาถึงมารดา
ผู้จะจากไปจนสลบแน่นิ่ง
ณ เบื้องบนท้องฟ้าสีครามกลายเป็นสีแดงเข้ม
ดุจเสื่อลำแพนซึ่งไล้ด้วยเลือดสด
ปักษาชาติร้องระงมสนั่นไพรเหมือนจะประกาศว่า
พระผู้ทรงมหากรุณากำลังจะจากไปในไม่ช้านี้

พระอานนท์สังเกตเห็นความวิปริตแปรปรวน
ของโลกธาตุดังนี้ จึงเข้าเฝ้าพระจอมมุนี
ทูลถามว่า "พระองค์ผู้เจริญ !
โลกธาตุวิปริตแปรปรวนผิดปกติไม่เคยมีไม่เคยเป็น
ได้เป็นแล้วเพราะเหตุอะไรหนอ ?"

พระทศพลเจ้าตรัสว่า "อานนท์เอ๋ย ! อย่างนี้แหละ
คราใดที่ตถาคต ประสูติ ตรัสรู้
หมุนธรรมจักร ปลงอายุสังขารและนิพพาน
ครานั้นย่อมจะมีเหตุการณ์วิปริตอย่างนี้เกิดขึ้น"

พระอานนท์ทราบว่า บัดนี้พระตถาคตเจ้า
ปลงพระชนม์มายุสังขารเสียแล้ว
ความสะเทือนใจและความว้าเหว่ประดังขึ้นมา
จนอัสสุชลธาราไหลหลั่งสุดห้ามหัก
เพราะความรักเหลือประมาณที่ท่านมีในพระเชฏฐภาดา
ท่านหมอบลงที่พระบาทมูลแล้วทูลว่า

"ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐ !
ขอพระองค์อาศัยความกรุณาในข้าพระองค์และหมู่สัตว์
จงดำรงพระชนม์ชีพต่อไปอีกเถิด
อย่าเพิ่งด่วนปรินิพพานเลย"
กราบทูลเท่านี้แล้วพระอานนท์ก็ไม่อาจทูลอะไรต่อไปอีก
เพราะโศกาอาดูรท่วมท้นหทัย

"อานนท์เอ๋ย !" พระศาสดาตรัส
พร้อมด้วยทอดทัศนาการไปเบื้องพระพักตร์
อย่างสุดไกล ลีลาแห่งความเด็ดเดี่ยว
ฉายออกมาทางพระเนตรและพระพักตร์
"เป็นไปไม่ได้ที่จะให้ตถาคตกลับใจ
ตถาคตจะต้องปรินิพพานในวันเพ็ญ
แห่งเดือนวิสาขะอีกสามเดือนข้างหน้านี้
อานนท์ ! เราได้แสดงนิมิตโอภาสอย่างแจ่มแจ้งแก่เธอ
พอเป็นนัยมาไม่น้อยกว่าสิบหกครั้ง แล้วว่า
คนอย่างเรานี้มีอิทธิบาทภาวนาที่ได้อบรมมาด้วยดี
ถ้าประสงค์จะอยู่ถึงหนึ่งกัปป์
หรือมากกว่านั้นก็พออยู่ได้แต่เธอหาเฉลียวใจไม่
มิได้ทูลเราเลย
เราตั้งใจไว้ว่า ในคราวก่อนๆ นั้น
ถ้าเธอทูลให้เราอยู่ต่อไป เราจะห้ามเสียสองครั้ง
พอเธอทูลครั้งที่สามเราจะรับอาราธนาของเธอ
แต่บัดนี้ช้าเสียแล้ว เรามิอาจกลับใจได้อีก
พระศาสดาหยุดอยู่ครู่หนึ่งแล้วตรัสต่อไปว่า

"อานนท์ ! เธอยังจำได้ไหม ครั้งหนึ่ง ณ ภูเขา
ซึ่งมีลักษณะยอดเหมือนนกแร้ง
อันมีนามว่า "คิชฌกูฏ"
ภายใต้ภูเขานี้มีถ้ำอันขจรนามชื่อ "สุกรขาตา"
ที่ถ้ำนี้เอง สาวกผู้เลื่องลือว่าเลิศทางปัญญาของเรา
คือ สารีบุตร ได้ถอนตัณหานุสัยโดยสิ้นเชิง
เพียงเพราะฟังคำที่เราสนทนากับหลานชายของเธอ
ผู้มีนามว่า "ทีฆนะขะ" เพราะไว้เล็บยาว

เมื่อสารีบุตรมาบวชในสำนักของเราแล้ว
ทีฆนะขะปริพาชกเที่ยวตามหาลุงของตน
มาพบลุง คือ สารีบุตร
ถวายงานพัดเราอยู่
จึงพูดเปรยๆ เป็นเชิงกระทบกระเทียบว่า
พระโคดม ! ทุกสิ่งทุกอย่าง ข้าพเจ้าไม่พอใจหมด
ซึ่งรวมความว่า เขาไม่พอใจเราด้วย
เพราะตถาคตก็รวมอยู่ในคำว่าทุกสิ่งทุกอย่าง
เราได้ตอบเขาไปว่า "ถ้าอย่างนั้น เธอก็ควรไม่พอใจ
ความคิดเห็นอันนั้นของเธอเสียด้วย "
อานนท์เอ๋ย ! ณ ภูเขาคิชฌกูฏดังกล่าวนี้
เราเคยพูดกับเธอว่า
คนอย่างเรานี้ถ้าจะอยู่ต่อไปอีกหนึ่งกัป
หรือเกินกว่านั้นก็พอได้
แต่เธอก็หารู้ความหมายแห่งคำที่เราพูดไม่"

"อานนท์ ! ต่อมาที่โคตมนิโคธร, ที่เหวสำหรับทิ้งโจร,
ที่ถ้ำสัตตบรรณ ใกล้เวภารบรรพต,
ที่กาฬศิลาข้างภูเขาอิสิคิลิซึ่งเลื่องลือ มาแต่โบราณกาลว่า
เป็นที่อยู่อาศัยของพระปัจเจกพุทธเจ้าเป็นอันมาก
เมื่อท่านเข้าไป ณ ที่นั้นแล้ว
ไม่มีใครเห็นท่านออกมาอีกเลย
จึงกล่าวขานกันว่า อิสิคิลิบรรพต,
ที่เงื้อมเขาชื่อสัปปิโสณฑิกา ใกล้ป่าสีตวันที่ตโปทาราม,
ที่เวฬุวันสวนไผ่อันร่มรื่นของจอมเสนาแห่งแคว้นมคธ,
ที่สวนมะม่วงของหมอชีวกโกมารภัจจ์,
ที่มัททกุจฉิมิคทายวันทั้งสิบแห่งนี้มีรัฐเขตแขวงราชคฤห์"

"ต่อมาเมื่อเราทิ้งราชคฤห์ไว้เบื้องหลัง
แล้วจาริกสู่เวสาลีนคร อันรุ่งเรื่องยิ่ง
เราก็ให้นัยแก่เธออีกถึงหกแห่ง
คือ ที่อุเทนเจดีย์ สัตตัมพเจดีย์ โคตมกเจดีย์
พหุปุตตเจดีย์ สารันทเจดีย์ และปาวาลเจดีย์
เป็นแห่งสุดท้าย คือ สถานที่ซึ่งเราอยู่ ณ บัดนี้
แต่เธอก็หาเฉลียวใจไม่
ทั้งนี้เป็นความบกพร่องของเธอเอง
เธอจะคร่ำครวญเอาอะไรอีก"


สาธุ สาธุ สาธุ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 24 มี.ค.2007, 10:49 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

"อานนท์เอ๋ย ! บัดนี้สังขารอัน เป็นเหมือนเกวียนชำรุดนี้
เราได้สละแล้ว เรื่องที่จะดึงกลับคืนมาอีกครั้งหนึ่งนั้น
มิใช่วิสัยแห่งตถาคต
อานนท์ ! เรามิได้ปรักปรำเธอ
เธอเบาใจเถิด เธอได้ทำหน้าที่ดีที่สุดแล้ว
บัดนี้เป็นกาลสมควร ที่ตถาคตจะจากโลกนี้ไป
แต่ยังเหลือเวลาอีกสามเดือน
บัดนี้สังขารของตถาคต เป็นเสมือนเรือรั่ว
คอยแต่เวลาจะจมลงสู่ท้องธารเท่านั้น
อานนท์ ! เราเคย บอกเธอแล้วมิใช่หรือว่า
บุคคลย่อมต้องพลัดพราก
จากสิ่งที่รักที่พึงใจเป็นธรรมดาหลีกเลี่ยงไม่ได้
อานนท์ ! ชีวิตนี้ มีความพลัดพรากเป็นที่สุด
สิ่งทั้งหลายมีความแตกไป ดับไป สลายไปเป็นธรรมดา
จะปรารถนามิให้เป็นอย่างที่มันควรจะเป็นนั้น
เป็นฐานะที่ไม่พึงหวังได้ ทุกสิ่งทุกอย่างดำเนินไป
เคลื่อนไปสู่จุดสลายตัวอยู่ทุกขณะ"


และแล้วพระจอมศาสดาก็เสด็จไปยังภัณฑุคาม
และโภคนคร ตามลำดับ
ในระหว่างนั้น ทรงให้โอวาทภิกษุทั้งหลาย
ด้วยพระธรรมเทศนา อันเป็นไปเพื่อโลกุตตราริยธรรม
กล่าวคือ ศีล สมาธิ ปัญญา วิมุติ
และวิมุติญาณทรรศนะเป็นต้นว่า


"ดูกรภิกษุทั้งหลาย ! ศีลเป็นพื้นฐานเป็นที่รองรับคุณอันยิ่งใหญ่
ประหนึ่งแผ่นดิน เป็นที่รองรับและตั้งลงแห่งสิ่งทั้งหลาย
ทั้งที่มีชีพและหาชีพมิได้ เป็นต้นว่าพฤกษาลดาวัลย์
มหาสิงขรและสัตว์จตุบททวิบาทนานาชนิด
บุคคลผู้มีศีลเป็นพื้นใจ ย่อมอยู่สบาย
มีความปลอดโปร่งเหมือนเรือนที่บุคคลปัดกวาด
เช็ดถูเรียบร้อยปราศจากเรือดและฝุ่นเป็นที่รบกวน"

"ดูกรภิกษุทั้งหลาย ! ศีลนี้เองเป็นพื้นฐานให้เกิดสมาธิ
คือ ความสงบใจ สมาธิที่มีศีลเป็นเบื้องต้น
เป็นสมาธิที่มีผลมาก มีอานิสงส์มาก
บุคคลผู้มีสมาธิ ย่อมอยู่อย่างสงบ เหมือนเรือนที่มีฝาผนัง
มีประตูหน้าต่างปิดเปิดได้เรียบร้อย
มีหลังคาสำหรับป้องกันลม แดดและฝน
ผู้อยู่ในเรือนเช่นนี้ ฝนตกก็ไม่เปียก
แดดออกก็ไม่ร้อนฉันใด
บุคคลผู้มีจิตเป็นสมาธิก็ฉันนั้น ย่อมสงบอยู่ได้
ไม่กระวนกระวายเมื่อลมแดดและฝน
กล่าวคือ โลกธรรมแผดเผา
กระพือพัดซัดสาดเข้ามาครั้งแล้วครั้งเล่า
สมาธิอย่างนี้ ย่อมก่อให้เกิดปัญญาในการฟาดฟันย่ำยี
และเชือดเฉือนกิเลสอาสวะต่างๆ
ให้เบาบางและหมดสิ้นไป
เหมือนบุคคลผู้มีกำลังจับศาสตราอันคมกริบ
แล้วถางป่าให้โล่งเตียนก็ปานกัน"


สาธุ สาธุ สาธุ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 24 มี.ค.2007, 10:50 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

"ดูกรภิกษุทั้งหลาย ! ปัญญาซึ่งมีสมาธิเป็นรากฐานนั้น
ย่อมปรากฏดุจไฟดวงใหญ่ กำจัดความมืดให้ปลาสนาการ
มีแสงสว่างรุ่งเรืองอำไพ ขับฝุ่นละออง
คือ กิเลสให้ปลิวหาย
ปัญญาจึงเป็นประดุจประทีปแห่งดวงใจ"

"อันว่าจิตนี้เป็นธรรมชาติ ที่ผ่องใสอยู่โดยปกติ
แต่เศร้าหมองไป เพราะคลุกเคล้าด้วยกิเลสนานาชนิด
ศีล สมาธิและปัญญา เป็นเครื่องฟอกจิตให้ขาวสะอาดดังเดิม
จิตที่ฟอกแล้วด้วยศีล สมาธิ และปัญญา
ย่อมหลุดพ้นจากอาสวะทั้งปวง"

"ดูกรภิกษุทั้งหลาย ! บุคคลผู้มีจิตหลุดพ้นแล้วจากอาสวะ
ย่อมพบกับปิติปราโมทย์อันใหญ่หลวง
รู้สึกตนว่าได้พบขุมทรัพย์มหึมา หาอะไรเปรียบมิได้
อิ่มอาบซาบซ่านด้วยธรรม
ตนของตนเองนั่นแลเป็นผู้รู้ว่า
บัดนี้กิเลสานุสัยต่างๆ ได้สิ้นไปแล้ว
ภพใหม่ไม่มีอีกแล้ว เหมือนบุคคลผู้ตัดแขนขาด
ย่อมรู้ด้วยตนเองว่าบัดนี้แขนของตนได้ขาดแล้ว"

"ดูกรภิกษุทั้งหลาย ! บรรดาทางทั้งหลาย
มรรคมีองค์แปด ประเสริฐที่สุด
บรรดาบททั้งหลาย บทสี่ คือ อริยสัจ ประเสริฐที่สุด
บรรดาธรรมทั้งหลายวิราคะ
คือ การปราศจากความกำหนัดยินดีประเสริฐสุด
บรรดาสัตว์สองเท้า พระตถาคตเจ้าผู้มีจักษุประเสริฐที่สุด
มรรคมีองค์แปดนี่แล
เป็นไปเพื่อทรรศนะอันบริสุทธิ์ หาใช่ทางอื่นไม่
เธอทั้งหลายจงเดินไปตามทางมรรคมีองค์แปดนี้
อันเป็นทางที่ทำมารให้หลงติดตามมิได้
เธอทั้งหลาย จงตั้งใจปฏิบัติ เพื่อทำทุกข์ให้สิ้นไป
ความเพียรพยายามเธอทั้งหลาย ต้องทำเอง
ตถาคตเป็นแต่เพียงผู้บอกทางเท่านั้น
เมื่อปฏิบัติตนดังนี้
พวกเธอจักพ้นจากมารและบ่วงแห่งมาร"

"ดูกรภิกษุทั้งหลาย ! ความทุกข์ทั้งมวล
มีมูลรากมาจากตัณหาอุปาทาน
ความทะยานอยากดิ้นรน
และความยึดมั่นถือมั่นว่า เป็นเราเป็นของเรา
รวมถึงความเพลินใจในอารมณ์ต่างๆ
สิ่งที่เข้าไปเกาะเกี่ยวยึดถือไว้ โดยความเป็นของตน
ที่จะไม่ก่อทุกข์ก่อโทษให้นั้นเป็นไม่มี หาไม่ได้ในโลกนี้
เมื่อใดบุคคลมาเห็นสักแต่ว่าได้เห็น ฟังสักแต่ว่าได้ฟัง
รู้สักแต่ว่าได้รู้ เข้าไปเกี่ยวข้องกับสิ่งต่างๆ เพียงสักว่าๆ
ไม่หลงไหลพัวพันมัวเมา
เมื่อนั้นจิตก็จะว่างจากความยึดถือต่างๆ
ปลอดโปร่งแจ่มใสเบิกบานอยู่"

"ดูกรภิกษุทั้งหลาย ! เธอจงมองดูโลกนี้
โดยความเป็นของว่างเปล่า มีสติอยู่ทุกเมื่อ
ถอนอัตตานุฑิฏฐิ คือ ความยึดมั่นถือมั่นเรื่องตัวตนเสีย
ด้วยประการฉะนี้ เธอจะเบาสบาย คลายทุกข์ คลายกังวล
ไม่มีความสุขใด ยิ่งกว่าการปล่อยวาง
และการสำรวมตนอยู่ในธรรม"

"ดูกรภิกษุทั้งหลาย ! ไม่มีความสุขใดเสมอด้วยความสงบชนิดนี้
สามารถหาได้ในตัวเรานี้เอง
ตราบใดที่มนุษย์ยังวิ่งวุ่น แสวงหาความสุขจากที่อื่น
เขาจะไม่พบความสุขที่แท้จริงเลย
มนุษย์ได้สรรค์สร้างสิ่งต่างๆ ขึ้นไว้เพื่อให้ตัวเองวิ่งตาม
แต่ก็ตามไม่เคยทัน การแสวงหาความสุขโดยปล่อยใจ
ให้ไหลเลื่อนไปตามอารมณ์ที่ปรารถนานั้น
เป็นการลงทุนที่มีผลไม่คุ้มเหนื่อย
เหมือนบุคคลลงทุนวิดน้ำในบึงใหญ่
เพื่อต้องการปลาเล็กๆ เพียงตัวเดียว
มนุษย์ส่วนใหญ่มัววุ่นวายอยู่กับเรื่องกาม
เรื่องกิน และเรื่องเกียรติ จนลืมนึกถึงสิ่งหนึ่ง
ซึ่งสามารถให้ความสุขแก่ตนได้ทุกเวลา
สิ่งนั้น คือ ดวงจิต ที่ผ่องแผ้ว
เรื่องกามเป็นเรื่องที่ต้องดิ้นรน
เรื่องกินเป็นเรื่องที่ต้องแสวงหา
และเรื่องเกียรติเป็นเรื่องที่ต้องแบกไว้
เมื่อมีเกียรติมากขึ้น ภาระที่จะต้องแบกเกียรติ
เป็นเรื่องใหญ่ยิ่งของมนุษย์ ผู้หลงตนว่าเจริญแล้ว
ในหมู่ชนที่เพิ่งมองแต่ความเจริญทางด้านวัตถุนั้น
จิตใจของเขาเร่าร้อนอยู่ตลอดเวลา
ไม่เคยประสบความสงบเย็นเลย
เขายินดีที่จะมอบตัวให้จมอยู่ในคาวของโลก
อย่างหลับหูหลับตา เขาพากันบ่นว่าหนักและเหน็ดเหนื่อย
พร้อมๆ กันนั้นเขาได้แบกก้อนหิน
วิ่งไปบนถนนแห่งชีวิตอย่างไม่รู้จักวาง"


สาธุ สาธุ สาธุ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 24 มี.ค.2007, 10:51 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

"ดูกรภิกษุทั้งหลาย ! คนในโลกส่วนใหญ่
เต็มไปด้วยความกลับกลอกและหลอกลวง
หาความจริงไม่ค่อยได้
แม้แต่ในการนับถือศาสนา ด้วยอาการดังกล่าวนี้
โลกจึงเป็นเสมือนระงมอยู่ด้วยพิษไข้อันเรื้อรังตลอดเวลา
ภายในอาคารมหึมาประดุจปราสาทแห่งกษัตริย์
มีลมพัดเย็นสบาย
แต่สถานที่เหล่านั้น มักบรรจุเต็มไปด้วยคน
ซึ่งมีจิตใจเร่าร้อนเป็นไฟอยู่เป็นอันมาก
ภาวะอย่างนั้นจะมีความสุข
สู้ผู้มีใจสงบอยู่โคนไม้ได้อย่างไร"

"ดูกรภิกษุทั้งหลาย ! การแสวงหาทางออกอย่างพวกเธอนี้
เป็นเรื่องประเสริฐแท้ การแก่งแย่งกันเป็นใหญ่เป็นโตนั้น
ในที่สุดทุกคนก็รู้เองว่า เหมือนแย่งกันเข้าไปสู่กองไฟ
มีแต่ความรุ่มร้อนกระวนกระวาย
เสนาบดีดื่มน้ำ ด้วยภาชนะทองคำ
กับคนจนๆ ดื่มน้ำด้วยภาชนะ ที่ทำด้วยกะลามะพร้าว
เมื่อมีความพอใจ ย่อมมีความสุขเท่ากัน
นี่เป็นข้อยืนยันว่า ความสุขนั้นอยู่ที่ความรู้สึกทางใจเป็นสำคัญ
อย่างพวกเธออยู่ที่นี่มี
แต่ความพอใจแม้กระท่อมจะมุงด้วยใบไม้
ก็มีความสุขกว่าอยู่ในพระราชฐานอันโอ่อ่าแน่นอนทีเดียว
คนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตนี้ มิใช่คนใหญ่คนโต
แต่เป็นคนที่รู้สึกว่าชีวิตของตน มีความสุขสงบเยือกเย็น
ปราศจากความเร่าร้อน กระวนกระวาย"

"ดูกรภิกษุทั้งหลาย ! ลาภและยศนั้นเป็นเหยื่อของโลก
ที่น้อยคนนักจะสละและวางได้ จึงแย่งลาภแย่งยศกันอยู่เสมอ
เหมือนปลาที่แย่งเหยื่อกันกิน
แต่หารู้ไม่ว่าเหยื่อนั้นมีเบ็ดเกี่ยวอยู่ด้วย
หรือเหมือนไก่ที่แย่งไส้เดือนกัน
จิกตีกันทำลายกันจนพินาศไปทั้งสองฝ่าย
น่าสังเวชสลดใจจิตยิ่งนัก
ถ้ามนุษย์ในโลกนี้ลดความโลภลง
มีการเผื่อแผ่เจือจานโอบอ้อมอารี
ถ้าเขาลดโทสะลง มีความเห็นอกเห็นใจกัน
มีเมตตากรุณาต่อกัน และลดโมหะลง ไม่หลงงมงาย
ใช้เหตุผลในการตัดสินปัญหาและชีวิต
โลกนี้จะน่าอยู่อีกมาก
แต่ช่างเขาเถิด หน้าที่โดยตรงและเร่งด่วนของเธอ
คือ ลดความโลภ ความโกรธ
และความหลงของเธอเองให้น้อยลง
แล้วจะประสบความสุข ความเยือกเย็นขึ้นมาก
เหมือนคนลดไข้ได้มากเท่าใด
ความสบายกายก็มีมากขึ้นเท่านั้น"

"ดูกรภิกษุทั้งหลาย ! ทำไมมนุษย์จึงยอมตัว
อยู่ภายใต้การจองจำของสังคม
ซึ่งมีแต่ความหลอกหลอน สับปรับและแปรผัน
ทำไมมนุษย์จึงยอมตัวเป็นทาสของสังคม
จนแทบจะกระดิกกระเดี้ยตัวมิได้
จะทำอะไรจะคิดอะไร
ก็ต้องคำนึงถึงความรู้สึกของสังคมไปเสียหมด
สังคมจึงกลายเป็นเครื่องจองจำชีวิต
ที่มนุษย์ซึ่งสำคัญตัวว่า เจริญแล้วช่วยกันสร้างขึ้น
เพื่อผูกมัดตัวเองให้อึดอัดรำคาญ
มนุษย์ยิ่งเจริญขึ้นก็ดูเหมือน
จะมีเสรีภาพน้อยลง ทั้งทางกายและทางใจ
ดูๆ แล้วความสะดวกสบาย และเสรีภาพของมนุษย์
จะสู้สัตว์เดรัจฉานบางประเภทไม่ได้
ที่มันมีเสรีภาพที่จะทำอะไรตามใจชอบอยู่เสมอ
ดูอย่างเช่น ฝูงวิหคนกกา
มนุษย์เราเจริญกว่าสัตว์ ตามที่มนุษย์เราเองชอบพูดกัน
แต่ดูเหมือนพวกเราจะมีความสุขน้อยกว่าสัตว์
ภาระใหญ่ที่ต้องแบกไว้
คือ เรื่องกาม เรื่องกิน และเรื่องเกียรติ
มันเป็นภาระหนักยิ่งของมนุษยชาติ
สัตว์เดรัจฉานตัดไปได้อย่างหนึ่ง คือ เรื่องเกียรติ
คงเหลือแต่เรื่องกามและเรื่องกิน
นักพรตอย่างพวกเธอนี้ตัดไปได้อีกอย่างหนึ่ง คือ เรื่องกาม
คงเหลือแต่เรื่องกินอย่างเดียว
ปลดภาระไปได้อีกมาก
แต่การกินอย่างนักพรตกับการกินของผู้บริโภคกาม
ก็ดูเหมือนจะบริโภคแตกต่างกันอยู่
ผู้บริโภคกามและยังหนาแน่นอยู่ด้วยโลกีย์วิสัย
บริโภคเพื่อยุกามให้กำเริบ
จะต้องกินอย่างมีเกียรติ กินให้สมเกียรติ
มิใช่กินเพียงเพื่อให้ร่างกายนี้
ดำรงอยู่ได้อย่างสมณะ
ความจริงร่างกายคนเรา มิได้ต้องการอาหารอะไรมากนัก
เมื่อหิวร่างกายก็ต้องการอาหาร
เพียงเพื่อบำบัดความหิวเท่านั้น
แต่เมื่อมีเกียรติเข้ามาบวกด้วย
จึงกลายเป็นเรื่องกินอย่างเกียรติยศ
และแล้วก็มีภาระตามมาอย่างหนักหน่วง
คนจำนวนมากเบื่อเรื่องนี้
แต่จำต้องทำเหมือนโคหรือควาย
ซึ่งเหนื่อยหน่ายต่อแอกและไถ
แต่จำใจต้องลากมันไปลากมันไป อนิจจา !"


สาธุ สาธุ สาธุ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 24 มี.ค.2007, 10:52 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

"ดูกรภิกษุทั้งหลาย ! การครองเรือนเป็นเรื่องยาก
เรือนที่ครองไม่ดี ย่อมก่อทุกข์ให้มากหลาย
การอยู่ร่วมกับคนพาลเป็นความทุกข์อย่างยิ่ง"

"ภิกษุทั้งหลาย ! เครื่องจองจำที่ทำด้วยเชือก
เหล็กหรือโซ่ตรวนใดๆ
เราไม่กล่าวว่า เป็นเครื่องจองจำที่แข็งแรงทนทานเลย
แต่เครื่องจองจำ คือ บุตร ภรรยา และทรัพย์สมบัตินี่แล
ตรึงรัดมัดผูกสัตว์ทั้งหลาย ให้ติดอยู่ในภพอันไม่มีที่สิ้นสุด
เครื่องผูกที่ผูกหย่อนๆ แต่แก้ได้ยาก
คือ บุตร ภรรยา และทรัพย์สมบัตินี่เอง
รูป เสียง กลิ่น รส และโผฏฐัพพะนั้น เป็นเหยื่อของโลก
เมื่อบุคคลยังติดอยู่ในรูปเป็นต้นนั้น
เขาจะพ้นจากโลกมิได้เลย
ไม่มีรูปใดที่จะรัดตรึงใจของบุรุษได้มากเท่ารูปแห่งสตรี"

"ดูกรภิกษุทั้งหลาย ! ผู้ยังตัดอาลัยในสตรีไม่ได้
ย่อมจะต้องเวียนเกิด เวียนตายอยู่ร่ำไป
แม้สตรีก็เช่นเดียวกัน ถ้ายังตัดอาลัยในบุรุษไม่ได้
ย่อมประสบทุกข์บ่อยๆ กิเลสนั้นมีอำนาจควบคุมอยู่โดยทั่ว
ไม่เลือกว่าวัยใด และเพศใด"

"ดูกรภิกษุทั้งหลาย ! มนุษย์ผู้หลงใหลอยู่ในโลกียารมณ์
ผู้เพลินอยู่ในความบันเทิงสุข
อันสืบเนื่องมาจากความมึนเมาในทรัพย์สมบัติชาติตระกูล
ความหรูหราฟุ่มเฟือย ยศศักดิ์ และเกียรติอันจอมปลอมในสังคม
ที่อยู่อาศัยอันสวยงาม อาหารและเสื้อผ้าอาภรณ์ที่ต้องใส่
อำนาจและความทะนงตน
ทั้งหมดนี้ทำให้บุคคลมีนัยน์ตาฝ้าฟาง
มองไม่เห็นความงามแห่งพระสัทธรรม
ความเมาในอำนาจเป็นแรงผลักดันที่มีพลังมากพอ
ให้คนทำทุกสิ่งทุกอย่าง เพื่อให้มีอำนาจยิ่งขึ้นและยิ่งขึ้น
พร้อมกันนั้นมันทำให้เขา ลืมทุกสิ่งทุกอย่าง
ไม่แยแสต่อเสียงเรียกร้องของศีลธรรมหรือมโนธรรมใดๆ
มันค่อยๆ ระบายจิตใจของเขา ให้ดำมืดไปทีละน้อยๆ
จนเป็นสีหมึก ไม่อาจมองเห็นอะไรๆ ได้อีกเลย
หัวใจที่เร่าร้อนอยู่แล้วของเขา
ถูกเร่งเร้าให้เร่าร้อนมากขึ้น
ด้วยความทะยานอยาก อันไม่มีขอบเขต
ไม่ทราบว่าจะไปสิ้นสุดลงที่ตรงไหน
วัตถุอันวิจิตรตระการตานั้น
ช่วยเป็นเชื้อให้ความทะยานอยากโหมแรง
ลายเป็นว่ายิ่งมีมากยิ่งอยากใหญ่
แม้จะมีเสียงเตือนและเรียกร้องอยู่ตลอดเวลาว่า
ศีลธรรมเป็นเครื่องค้ำจุนสังคมและคุ้มครองโลก
แต่บุคคลผู้รับรู้และพยายามประคับประคองศีลธรรม มีน้อยเกินไป
สังคมมนุษย์จึงวุ่นวายและกรอบเกรียมอย่างน่าวิตก"

"ดูกรภิกษุทั้งหลาย ! กลิ่นดอกไม้กลิ่นจันทน์
ไม่สามารถหอมหวนทวนลมได้
แต่กลิ่นแห่งเกียรติคุณความดีงามของสัตบุรุษนั้นแล
สามารถจะหอมไปได้ทั้งตามลมและทวนลม
คนดีย่อมมีเกียรติคุณฟุ้งขจรไปได้ทั่วทุกทิศ
กลิ่นจันทน์แดง กลิ่นอุบล กลิ่นดอกมะลิ
จัดว่าเป็นดอกกลิ่นหอม แต่ยังสู้กลิ่นศีลไม่ได้
กลิ่นศีลยอดเยี่ยมกว่ากลิ่นทั้งมวล
ภิกษุทั้งหลาย ! ถ้าภิกษุหวังจะให้เป็นที่รักที่เคารพนับถือ
เป็นที่ยกย่องของเพื่อนพรหมจารีแล้ว
พึงเป็นผู้ทำตนให้สมบูรณ์ด้วยศีลเถิด"

"ดูกรภิกษุทั้งหลาย ! ผู้ตื่นอยู่มิได้หลับเลย
ย่อมรู้สึกว่าราตรีหนึ่งยาวนาน
ผู้ที่เดินทางจนเมื่อยล้าแล้ว
ย่อมรู้สึกว่าโยชน์หนึ่งเป็นหนทางที่ยืดยาว
แต่สังสารวัฏฏ์ คือ การเวียนเกิดเวียนตายของสัตว์
ผู้ไม่รู้พระสัทธรรมยังยาวนานกว่านั้น"

"ดูกรภิกษุทั้งหลาย ! สังสารวัฏฏ์นี้
หาเบื้องต้นเบื้องปลายได้โดยยาก
สัตว์ที่พอใจในการเกิดย่อมเกิดบ่อยๆ
และการเกิดใดนั้น ตถาคตกล่าวว่า เป็นความทุกข์
เพราะสิ่งที่ติดตามความเกิดมา ก็คือ ความแก่ชรา
ความเจ็บปวดทรมานและความตาย
ความต้องพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รัก
ความต้องประสบกับสิ่งอันไม่เป็นที่รัก
ความแห้งใจ ความคร่ำครวญ
ความทุกข์กายทุกข์ใจและความคับแค้นใจ
อุปมาเหมือนเห็ด ซึ่งโผล่ขึ้นมาจากดินและนำดินติดขึ้นมาด้วย
หรืออุปมาเหมือนโคซึ่งเทียมเกวียนแล้ว
จะเดินไปไหน ก็มีเกวียนติตามไปทุกหนทุกแห่ง
สัตว์โลกเมื่อเกิดมา ก็นำทุกข์ประจำสังขารติดมาด้วย
ตราบใดที่เขายังไม่สลัดความพอใจในสังขารออก
ความทุกข์ก็ย่อมติดตามไปเสมอ
เหมือนโคที่ยังมีแอกเกวียนครอบคออยู่
ล้อเกวียนย่อมติดตามไปทุกฝีก้าว"

"ดูกรภิกษุทั้งหลาย ! เมื่อรากยังมั่นคง
แม้ต้นไม้จะถูกตัดแล้วมันก็สามารถขึ้นได้อีก ฉันเดียวกัน
เมื่อบุคคลยังไม่ถอนตัณหานุสัยขึ้นเสียจากดวงจิต
ความทุกข์ก็เกิดขึ้นอีกแน่ๆ
ภิกษุทั้งหลาย ! น้ำตาของสัตว์ที่ต้องร้องไห้
เพราะความทุกข์โทมนัสทับถม
ในขณะที่ท่องเที่ยวอยู่ในวัฏฏสงสารนี้ มีจำนวนมากเหลือคณา
สุดที่จะกล่าวได้ว่ามีประมาณเท่านั้นเท่านี้
กระดูกที่เขาทอดทิ้งลงทับถมปฐพีเล่า
ถ้านำมากองรวมกันไม่ให้กระจัดกระจาย คงจะสูงเท่าภูเขา
บนพื้นแผ่นดินนี้จะไม่มีช่องว่างเลยแม้แต่นิดเดียวที่สัตว์ไม่เคยตาย
ปฐพีนี้เกลื่อนกล่นไปด้วยสัตว์ที่ตายแล้วตายเล่า
เป็นที่น่าสังเวชสลดจิตยิ่งนัก
ทุกย่างก้าวของมนุษย์และสัตว์เหยียบย่ำบนกองกระดูก
นอนอยู่บนกองกระดูก นั่งอยู่บนกองกระดูก
สนุกสนานเพลิดเพลินอยู่บนกองกระดูกทั้งสิ้น"

"ดูกรภิกษุทั้งหลาย ! ไม่ว่าภพไหนๆ
ล้วนแต่มีลักษณะเหมือนกองเพลิงทั้งสิ้น
สัตว์ทั้งหลายดิ้นรนอยู่ในกองเพลิง คือ ทุกข์
เหมือนเต่าอันเขาโยนลงไปแล้วในกองไฟใหญ่ฉะนั้น"

"ดูกรภิกษุทั้งหลาย ! ทางสองสาย
คือ กามสุขัลลิกานุโยค การหมกมุ่นอยู่ด้วยกามสุขสายหนึ่ง
และอัตตกิลมถานุโยค การทรมานกายให้ลำบากเปล่าสายหนึ่ง
อันผู้หวังความเจริญในธรรม พึงละเว้นเสีย
ควรเดินตามทางสายกลาง คือ เดินตาม อริยมรรคมีองค์แปด
คือ ความเห็นชอบ ความดำริชอบ การเลี้ยงชีพชอบ
การทำชอบ การประกอบอาชีพในทางสุจริต
ความพยายามในทางที่ชอบ
การตั้งสติขอบและการทำสมาธิชอบ"

"ดูกรภิกษุทั้งหลาย ! ความทุกข์ เป็นความจริงประการหนึ่ง
ที่ชีวิตทุกชีวิตจะต้องประสบไม่มากก็น้อย
ความทุกข์ที่กล่าวนี้มีอะไรบ้าง ?
ภิกษุทั้งหลาย ! ความเกิดเป็นความทุกข์
ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ก็เป็นความทุกข์
ความแห้งใจ หรือความโศก ความพิไรรำพัน จนน้ำตานองหน้า
ความทุกข์กาย ความทุกข์ใจ ความคับแค้นใจ
ความพลัดพรากจากบุคคล หรือสิ่งของอันเป็นที่รัก
ความต้องประสบกับบุคคล หรือสิ่งของอันไม่เป็นที่พอใจ
ปรารถนาอะไร มิได้ดังใจหมาย
ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นความทุกข์ ที่บุคคลต้องประสบทั้งสิ้น
เมื่อกล่าวโดยสรุป การยึดมั่นในขันธ์ห้า
ด้วยตัณหาอุปาทานนั่นเอง เป็นความทุกข์อันยิ่งใหญ่"

"ดูกรภิกษุทั้งหลาย ! เราตถาคตกล่าวว่า
ความทุกข์ทั้งมวล ย่อมสืบเนื่องมาจากเหตุ
ก็อะไรเล่าเป็นเหตุ เกิดแห่งทุกข์นั้น
เรากล่าวว่าตัณหา เป็นเหตุเกิดแห่งทุกข์
ตัณหา คือ ความทะยานอยาก
ดิ้นรนซึ่งมีลักษณ์เป็นสาม คือ ดิ้นรนอยากได้
อารมณ์ที่น่าใคร่น่าปรารถนา เรียก กามตัณหาอย่างหนึ่ง
ดิ้นรนอยากเป็นนั่นเป็นนี่ เรียก ภวตัณหาอย่างหนึ่ง
ดิ้นรนอยากผลักสิ่งที่มีอยู่แล้วเป็นแล้ว
เรียก วิภวตัณหาอย่างหนึ่ง
นี่แลคือ สาเหตุแห่งความทุกข์ขั้นมูลฐาน
ภิกษุทั้งหลาย ! การสลัดทิ้งโดยไม่เหลือซึ่งตัณหาประเภทต่างๆ
ดับตัณหาคลายตัณหาโดยสิ้นเชิง
นั่นแลเราเรียกว่า นิโรธ คือ ความดับทุกข์ได้"


สาธุ สาธุ สาธุ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 24 มี.ค.2007, 10:53 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

"ดูกรภิกษุทั้งหลาย ! ปัญหาที่เผชิญอยู่เบื้องหน้าของทุกๆ คน
คือ ปัญหาเรื่องทุกข์และความดับทุกข์
มนุษย์และสัตว์ทั้งหลาย ถูกความทุกข์
เสียบทั้งทางกายและทางใจ
อุปมา เหมือนผู้ถูกยิงด้วยลูกศรซึ่งกำซาบด้วยยาพิษ
แล้วญาติมิตรเห็นเข้า เกิดความกรุณา
จึงพยายามช่วยถอนลูกศรนั้น
แต่บุรุษผู้โง่เขลาบอกว่า ต้องไปสืบให้ได้เสียก่อนว่า
ใครเป็นคนยิงและยิงมาจากทิศไหน
ลูกศรทำด้วยไม้อะไร แล้วจึงจะค่อยมาถอนลูกศรออก
ภิกษุทั้งหลาย ! บุรุษผู้นั้นจะต้องตายเสียก่อนเป็นแน่แท้
ความจริงเมื่อถูกยิงแล้ว หน้าที่ของเขา ก็คือ
ควรพยายามถอนลูกศรออกเสียทันที
ชำระแผลให้สะอาด แล้วใส่ยาและรักษาแผลให้หายสนิท
หรืออีกอุปมาหนึ่งเหมือนบุคคลที่ไฟไหม้อยู่บนศีรษะ
ควรรีบดับเสียโดยพลัน
ไม่ควรเที่ยววิ่งหาคนผู้เอาไฟมาเผาศีรษะตน
ทั้งๆ ที่ไฟลุกไหม้อยู่"

"ดูกรภิกษุทั้งหลาย ! สังสารวัฏฏ์นี้เต็มไปด้วยเพลิงทุกข์นานาประการ
โหมให้ร้อนอยู่โดยทั่ว สัตว์ทั้งหลายยังวิ่งอยู่ในกองทุกข์แห่งสังสารวัฏฏ์
ใครเล่าจะเป็นผู้ดับ ถ้าทุกคนไม่ช่วยกันดับทุกข์แห่งตน
อุปมาเหมือนบุรุษสตรีผู้รวมกันอยู่ในบริเวณกว้างแห่งหนึ่ง
และต่างคนต่างถือดุ้นไฟใหญ่ อันไฟลุกโพลงอยู่ทั่วแล้ว
ต่างคนต่างก็วิ่งวนกันอยู่ในบริเวณนั้น
และร้องกันว่า ร้อน ร้อน
ภิกษุทั้งหลาย ! ครานั้นมีบุรุษผู้หนึ่งเป็นผู้ฉลาด
ร้องบอกให้ทุกๆ คน ทิ้งดุ้นไฟในมือของตนเสีย
ผู้ที่ยอมเชื่อทิ้งดุ้นไฟ ก็ได้ประสบความเย็น
ส่วนผู้ไม่เชื่อ ก็ยังคงวิ่งถือดุ้นไฟ
พร้อมด้วยร้องตะโกนว่า ร้อน ร้อน อยู่นั่นเอง
ภิกษุทั้งหลาย ! เราตถาคตได้ทิ้งดุ้นไฟแล้ว
และร้องบอกให้เธอทั้งหลายทิ้งเสียด้วย
ดุ้นไฟที่กล่าวถึงนี้ คือ กิเลสทั้งมวล
อันเป็นสิ่งที่เผาลนสัตว์ให้เร่าร้อนกระวนกระวาย"

"ดูกรภิกษุทั้งหลาย ! อายตนะภายในหก
คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ
อายตนะภายนอกหก คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะและธัมมารมณ์
เป็นของร้อน ร้อนเพราะไฟ คือ ราคะบ้าง โทสะบ้าง โมหะบ้าง
ภิกษุทั้งหลาย ! เราตถาคตไม่พิจารณา
เห็นรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะใดๆ
ที่จะครอบงำรัดตรึงใจของบุรุษได้มากเท่า
รูป เสียง กลิ่น รส และโผฏฐัพพะแห่งสตรี
ภิกษุทั้งหลาย ! เราไม่พิจารณาเห็นรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะใดๆ
ที่สามารถครอบงำรัดตรึงใจของสตรี
ได้มากเท่ารูปเสียง กลิ่น รส และ โผฏฐัพพะแห่งบุรุษ"

"ดูกรภิกษุทั้งหลาย ! กามคุณนี้
เรากล่าวว่า เป็นเหยื่อแห่งมาร เป็นพวงดอกไม้แห่งมาร
เป็นกำลังพลแห่งมาร ภิกษุผู้ปรารถนาจะประหารมาร
พึงสลัดเหยื่อแห่งมาร ขยี้พวงดอกไม้แห่งมาร
และทำลายกำลังพลแห่งมารเสีย
ภิกษุทั้งหลาย ! เราเคยเยาะเย้ยกามคุณ ณ โพธิมณฑล
ในวันที่เราตรัสรู้นั้นเองว่า
ดูก่อนกาม ! เราได้เห็นต้นเค้าของเจ้าแล้ว
เจ้าเกิดความดำริคำนึงถึงนั้นเอง
เราจักไม่ดำริถึงเจ้าอีก ด้วยประการฉะนี้
กามเอ๋ย ! เจ้าจะเกิดขึ้นอีกไม่ได้"

"ดูกรภิกษุทั้งหลาย ! จิตนี้เป็นสิ่งที่ดิ้นรนกวัดแกว่ง
รักษายาก ห้ามได้ยาก
ผู้มีปัญญา พึงพยายามทำจิตนี้ให้หายดิ้นรน
ให้เป็นจิตตรง เหมือนช่างศรดัดลูกศรให้ตรงฉะนั้น
ภิกษุทั้งหลาย ! จิตนี้ คอยแต่จะกลิ้งเกลือกลงไป
คลุกเคล้ากับกามคุณ เหมือนปลาซึ่งเกิดในน้ำ
ถูกนายพรานเบ็ดยกขึ้นจากน้ำแล้ว
คอยแต่จะดิ้นรนไปในน้ำอยู่เสมอ
ผู้มีปัญญาพึงพยายามยกจิตขึ้น
จากการอาลัยในกามคุณให้ละบ่วงมารเสีย"

"ดูกรภิกษุทั้งหลาย ! ธรรมชาติของจิต
เป็นสิ่งดิ้นรนกลับกลอกง่าย
บางคราวปรากฏเหมือนช้างตกมัน
ภิกษุทั้งหลาย ! พวกเธอจงเอาสติเป็นขอ สำหรับเหนี่ยวรั้งช้าง
คือ จิตที่ดิ้นรนนี้ให้อยู่ในอำนาจ
บุคคลผู้มีอำนาจมากที่สุดและควรแก่การสรรเสริญนั้น
คือ ผู้ที่สามารถเอาตนของตนเองไว้ในอำนาจได้
สามารถชนะตนเองได้
ผู้ชนะตนได้ ชื่อว่า เป็นยอดนักรบในสงคราม
เธอทั้งหลายจงเป็นยอดนักรบในสงครามเถิด
อย่าเป็นผู้แพ้เลย"

"ดูกรภิกษุทั้งหลาย ! จิตใจที่ไม่หวั่นไหวด้วยโลกธรรม
คือ นินทาสรรเสริญนั้น เป็นจิตใจที่ประเสริฐยิ่ง
ภิกษุทั้งหลาย ! ในหมู่มนุษย์นี้ผู้ใด
ฝึกตนให้เป็นคนอดทนต่อคำล่วงเกินของผู้อื่นได้
จัดว่าเป็นผู้ประเสริฐสุด
ม้าอัสไนย ม้าสินทบ พญาช้าง ตระกูลมหาราช
ที่ได้รับการฝึกดีแล้ว จัดเป็นสัตว์ที่ประเสริฐ
แต่บุคคลที่ฝึกตนดีแล้วยังประเสริฐยิ่งกว่าสัตว์เหล่านั้น"

"ดูกรภิกษุทั้งหลาย ! ผู้อดทนต่อคำกล่าวล่วงเกินของผู้สูงกว่า
ก็เพราะความกลัว
อดทนต่อคำล่วงเกินของผู้เสมอกัน เพราะเห็นว่าพอสู้กันได้
แต่ผู้ใดอดทนต่อคำล่วงเกินของผู้ซึ่งด้อยกว่าตนได้
เราเรียกความอดทนนั้นว่า สูงสุด
ผู้มีความอดทน มีเมตตา ย่อมเป็นผู้มีลาภ มียศอยู่เป็นสุข
เป็นที่รักของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย
เปิดประตูแห่งความสุขความสงบได้โดยง่าย
สามารถปิดมูลเหตุแห่งการทะเลาะวิวาทเสียได้
คุณธรรมทั้งมวล มีศีลและสมาธิเป็นต้น
ย่อมเจริญงอกงามแก่ผู้มีความอดทนทั้งสิ้น
ภิกษุทั้งหลาย ! เมตตากรุณาเป็นพรอันประเสริฐในตัวมนุษย์"

"ดูกรภิกษุทั้งหลาย ! คฤหัสถ์ผู้ยังบริโภคกามเกียจคร้านหนึ่ง
พระราชาทรงประกอบกรณียกิจ
โดยมิได้พิจารณาโดยรอบคอบถี่ถ้วนเสียก่อนหนึ่ง
บรรพชิตไม่สำรวมหนึ่ง
ผู้อ้างตนว่าเป็นบัณฑิต แต่มักโกรธหนึ่ง
สี่จำพวกนี้ไม่ดีเลย
ภิกษุทั้งหลาย ! กรรมอันใดที่ทำไปแล้ว
ต้องเดือดร้อนใจภายหลัง ต้องมีหน้าชุ่มด้วยน้ำตา
เสวยผลแห่งกรรมนั้น
ตถาคตกล่าวว่ากรรมนั้นไม่ดีควรเว้นเสีย"


สาธุ สาธุ สาธุ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 24 มี.ค.2007, 10:54 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

"ดูกรภิกษุทั้งหลาย ! เมื่อเราอยู่ในวัยหนุ่ม
มีเกศายังดำสนิทถูกแวดล้อม ด้วยสตรีล้วนแต่สะคราญตา
เป็นที่น่าปรารถนาของบุรุษเพศ
ผู้ยังตัดอาลัยในบ่วงกามมิได้
แต่เราเบื่อหน่ายในโลกีย์วิสัย
จึงสละสมบัติบรมจักดิ์และนางผู้จำเริญตา
ออกแสวงหาโมกขธรรมแต่เดียวดาย
เที่ยวไปอย่างไม่มีอาลัย ปลอดโปร่ง
เหมือนบุคคลที่เป็นหนี้ แล้วพ้นจากหนี้
เคยถูกคุมขัง แล้วพ้นจากที่คุมขัง
เคยเป็นโรค แล้วหายจากโรค
หลังจากท่องเที่ยวอยู่เดียวดาย
และทำความเพียรอย่างเข้มงวด
ไม่มีใครจะทำได้ยิ่งกว่า อยู่เป็นเวลาหกปี
เราก็ได้ประสบชัยชนะอย่างใหญ่หลวงในชีวิต
ได้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ สงบเยือกเย็นถึงที่สุด
ล่วงพ้นบ่วงแห่งมารทั้งปวง
ทั้งที่เป็นทิพย์และเป็นของมนุษย์ มารและธิดามาร
คือ นางตัณหา นางราคะ และนางอรดี
ได้พยายามยั่วยวนเราด้วยวิธีต่างๆ
เพื่อให้เราตกอยู่ในอำนาจ แต่เราก็หาสนใจใยดีไม่
ในที่สุด พวกนางก็ถอยหนีไปเอง
เราชนะมารอย่างเด็ดขาด
จนมีนามก้องโลกว่า "ผู้พิชิตมาร"

"ดูกรภิกษุทั้งหลาย ! ชีวิตนี้เริ่มต้นด้วยเรื่องที่น่าละอาย
ทรงตัวอยู่ด้วยเรื่องที่ยุ่งยากสับสน
และจบลงด้วยเรื่องเศร้า
อนึ่งชีวิตนี้เริ่มต้นและจบลงด้วยเสียงคร่ำครวญ
เมื่อลืมตาขึ้นดูโลกเป็นครั้งแรก เราร้องไห้
และเมื่อจะหลับตาลาโลก เราก็ร้องไห้อีก
หรืออย่างน้อยก็เป็นสาเหตุ ให้คนอื่นหลั่งน้ำตา
เด็กร้องไห้พร้อมด้วยกำมือแน่น
เป็นสัญลักษณ์ว่าเขาเกิดมา เพื่อจะหน่วงเหนี่ยวยึดถือ
แต่เมื่อจะหลับตาลาโลกนั้นทุกคนแบมือออก
เหมือนจะเตือนให้ผู้อยู่เบื้องหลัง
สำนึกและเป็นพยานว่า เขามิได้เอาอะไรไปด้วยเลย"

"ดูกรภิกษุทั้งหลาย ! ความทุกข์ที่เกิดขึ้น
จากการพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รักที่พอใจนั้น
เป็นเรื่องทรมานยิ่งและเรื่องที่จะบังคับมิให้พลัดพราก
ก็เป็นสิ่งสุดวิสัย ทุกคนจะต้องพลัดพราก
จากสิ่งอันเป็นที่รักที่พอใจ ไม่วันใด ก็วันหนึ่ง"

"ดูกรภิกษุทั้งหลาย ! ความรักเป็นความร้าย
ความรักเป็นสิ่งทารุณ และเป็นเครื่องทำลายความสุขของปวงชน
ทุกคนต้องการความสมหวังในชีวิตรัก
แต่ความรัก ไม่เคยให้ความสมหวังแก่ใคร
ถึงครึ่งหนึ่งแห่งความต้องการ
ยิ่งความรักที่ฉาบทาด้วยความเสน่หาด้วยแล้ว
ยิ่งเป็นพิษแก่จิตใจ ทำให้ทุรนทุรายดิ้นรนไม่รู้จักจบสิ้น
ความสุขที่เกิดจากความรักนั้น
เหมือนความสบายของคนป่วยที่ได้กินของแสลง
เธอทั้งหลายอย่าพอใจในความรักเลย
เมื่อหัวใจยึดไว้ด้วยความรัก
หัวใจนั้นจะสร้างความหวังขึ้นอย่างเจิดจ้า
แต่ทุกครั้งที่เราหวัง ความผิดหวังก็จะรอเราอยู่"

"ดูกรภิกษุทั้งหลาย ! อย่าหวังอะไรให้มากนัก
จงมองดูชีวิตอย่างผู้ช่ำชอง อย่าวิตกกังวลอะไรล่วงหน้า
ชีวิตนี้เหมือนเกลียวคลื่น ซึ่งก่อตัวขึ้นแล้วม้วนเข้าหาฝั่ง
และแตกกระจายเป็นฟองฝอย
จงยืนมองดูชีวิตเหมือนคนผู้ยืนอยู่บนฝั่ง
มองดูเกลียวในมหาสมุทรฉะนั้น"

"ดูกรภิกษุทั้งหลาย ! มนุษย์ทั้งหลายผู้ยังมีอวิชชา
เป็นฝ้าบังปัญญาจักษุนั้น
เป็นเสมือนทารกน้อย ผู้หลงเข้าไปในป่าใหญ่อันรกทึบ
ซึ่งเต็มไปด้วยอันตรายน่าหวาดเสียว และว้าเหว่เงียบเหงา
มนุษย์ส่วนใหญ่แม้จะร่าเริงแจ่มใสอยู่ในหมู่ญาติและเพื่อนฝูง
แต่ใครเล่าจะทราบว่า ภายในส่วนลึกแห่งหัวใจ
เขาจะว้าเหว่และเงียบเหงาสักปานใด
ถ้าทุกคนซึ่งกำลังว้าเหว่
ไม่แน่ใจว่าจะยึดเอาอะไรเป็นหลักที่แน่นอนของชีวิต"

"ดูกรภิกษุทั้งหลาย ! ธรรมเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตมนุษย์
ไม่ว่าเขาจะอยู่ในเพศใดภาวะใด
การกระทำที่นึกขึ้นภายหลัง แล้วต้องเสียใจนั้น ควรเว้นเสีย
เพราะฉะนั้น แม้จะประสบความทุกข์ยากลำบากสักปานใด
ก็ต้องไม่ทิ้งธรรม ม
นุษย์ที่ยังมีอาสวะอยู่ในใจนั้น
ย่อมจะมีวันพลั้งเผลอประพฤติผิดธรรมไปบ้าง
เพราะยังมีสติไม่สมบูรณ์
แต่เมื่อได้สติภายหลังแล้ว ก็ต้องตั้งใจประพฤติธรรม
สั่งสมความดีกันใหม่ ยิ่งพวกเรานักบวชด้วยแล้ว
จำเป็นต้องมีอุดมคติ การตายด้วยอุดมคตินั้นมีค่า
กว่าการเป็นอยู่โดยไร้อุดมคติ"

"ดูกรภิกษุทั้งหลาย ! ธรรมดาว่าไม้จันทน์
แม้จะแห้งก็ไม่ทิ้งกลิ่น
อัศวินก้าวลงสู่สงครามก็ไม่ทิ้งลีลา
อ้อยแม้เข้าสู่หีบยนต์แล้วก็ไม่ทิ้งรสหวาน
บัณฑิตแม้ประสบทุกข์ก็ไม่ทิ้งธรรม"

"ดูกรภิกษุทั้งหลาย ! เธอทั้งหลายได้สละเพศฆราวาสมาแล้ว
ซึ่งเป็นการเสียสละที่ยิ่งใหญ่ยากที่ใครๆ จะสละได้
ขอให้เธอเสียสละต่อไปเถิด และสละให้ลึกกว่านั้น
คือ ไม่สละแต่เพียงเพศอย่างเดียว
แต่จงสละความรู้สึก อันจะเป็นข้าศึกต่อเพศเสียด้วย
เธอเคยฟังสุภาษิตอันกินใจยิ่งมาแล้วมิใช่หรือ
บุคคลร้อยคน หาคนกล้าได้หนึ่งคน
บุคคลพันคน หาคนเป็นบัณฑิตได้หนึ่งคน
บุคคลแสนคน หาคนพูดความจริงได้เพียงหนึ่งคน
ส่วนคนที่เสียสละได้ทุกสิ่งทุกอย่างนั้น
ไม่ทราบว่าจะมีหรือไม่
คือ ไม่ทราบว่าจะหาในบุคคลจำนวนเท่าไร
จึงจะพบได้หนึ่งคน"

"ดูกรภิกษุทั้งหลาย ! ข้าวเปลือก ทรัพย์ เงินทอง
หรือของที่บุคคลหวงแหนอย่างใดอย่างหนึ่ง
รวมทั้งทาส กรรมกร คนใช้และที่อยู่อาศัย
สิ่งอื่นๆ ทั้งหมดนี้ บุคคลนำไปไม่ได้ ต้องทอดทิ้งไว้หมด
แต่สิ่งที่บุคคลทำด้วยกาย วาจา หรือด้วยใจ
นั่นแหละที่จะเป็นของเขา
เป็นสิ่งที่เขาต้องนำไป เหมือนเงาตามตัว
เพราะฉะนั้นผู้ฉลาด พึงสั่งสมกัลยาณกรรม
อันจะนำติดตัวไปสู่สัมปรายภพได้
บุญย่อมเป็นที่พึ่งของสัตว์ทั้งหลาย
ทั้งในโลกนี้และโลกหน้า"


สาธุ สาธุ สาธุ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 24 มี.ค.2007, 10:55 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

"ดูกรภิกษุทั้งหลาย ! เมื่อไฟไหม้บ้าน
ภาชนะเครื่องใช้อันใดที่เจ้าของนำออกไปได้
ของนั้นก็เป็นประโยชน์แก่เจ้าของ
ที่นำออกไม่ได้ก็ถูกไฟไหม้วอดวายอยู่ ณ ที่นั้นเองฉันใด
คนในโลกนี้ถูกไฟ คือ ความแก่ ความตายไหม้อยู่ก็ฉันนั้น
คนผู้ฉลาดย่อมนำของออกด้วยการให้ทาน
ของที่บุคคลให้แล้วชื่อว่านำออกดีแล้ว มีความสุขเป็นผล
ส่วนของที่ยังไม่ได้ให้หาเป็นเช่นนั้นไม่
แต่โจรอาจขโมยเสียบ้าง ไฟอาจจะไหม้เสียบ้าง
อีกอย่างหนึ่งเมื่อความตายมาถึงเข้า
บุคคลย่อมสละทรัพย์สมบัติและแม้สรีระของตนไว้
นำไปไม่ได้เลย ผู้มีปัญญารู้ความจริงข้อนี้แล้ว
พึงบริโภคใช้สอย พึงให้เพื่อสงเคราะห์ผู้อื่น
เพื่อได้ให้บริโภคตามสมควร แล้วเป็นผู้ไม่ถูกติเตียน
ย่อมเข้าสู่ฐานะอันประเสริฐ"

"ดูกรภิกษุทั้งหลาย ! ความตระหนี่ลาภ เป็นความโง่เขลา
เหมือนชาวนาที่ตระหนี่ ไม่ยอมหว่านพันธุ์ข้าวลงในนา
เขาเก็บพันธุ์ข้าวเปลือกไว้จนเน่าและเสีย
ไม่สามารถจะปลูกได้อีก
ข้าวเปลือกที่หว่านลงแล้วหนึ่งเมล็ด ย่อมให้ผลหนึ่งรวงฉันใด
ทานที่บุคคลทำแล้วก็ฉันนั้น ย่อมมีผลมากผลไพศาล
การรวบรวมทรัพย์ไว้ โดยมิได้ใช้สอยให้เป็นประโยชน์
ทรัพย์นั้นจะมีคุณแก่ตนอย่างไร
เหมือนผู้มีเครื่องประดับอันวิจิตรตระการตา
แต่หาได้ประดับไม่ เครื่องประดับนั้นจะมีประโยชน์อะไร
รังแต่จะก่อความหนักใจในการเก็บรักษา"

"ดูกรภิกษุทั้งหลาย ! นกชื่อมาหะกะ
ชอบเที่ยวไปตามซอกเขาและที่ต่างๆ
มาจับต้นเลียบที่มีผลสุกแล้วว่า ของกู ของกู
ในขณะที่มันร้องอยู่นั่นเอง
หมู่นกเหล่าอื่นที่บินมากินผลเลียบตามต้องการ แล้วจากไป
นกมาหะกะ ก็ยังคงร้องว่า ของกู ของกู อยู่นั่นเอง
ข้อนี้ฉันใด บุคคลบางคนในโลกนี้ก็ฉันนั้น
รวบรวมสะสมทรัพย์ไว้มากมาย
แต่ไม่สงเคราะห์ญาติตามที่ควร
ทั้งมิได้ใช้สอยเองให้ผาสุข
มัวเฝ้ารักษาและภูมิใจว่าของเรามี ของเรามี ดังนี้
เมื่อเขาประพฤติอยู่เช่นนี้ ทรัพย์สมบัติย่อมเสียหายไป
ทรุดโทรมไปด้วยเหตุต่างๆ มากหลาย
เขาก็คงคร่ำครวญอยู่อย่างเดิมนั่นเอง
และต้องเสียใจในของที่เสียไปแล้ว
เพราะฉะนั้น ผู้ฉลาดหาทรัพย์ได้แล้ว
พึงสงเคราะห์คนที่ควรสงเคราะห์มีญาติ เป็นต้น"

"ดูกรภิกษุทั้งหลาย ! ทรัพย์ของคนไม่ดีนั้น
ไม่สู้อำนวยประโยชน์แก่ใคร
เหมือนสระโบกขรณี อันตั้งอยู่ในที่ไม่มีมนุษย์
แม้จะใสสะอาดจืดสนิทเย็นดี มีท่าลงสะดวกน่ารื่นรมย์
แต่มหาชนก็หาได้ดื่ม อาบหรือใช้สอยตามต้องการไม่
น้ำนั้นมีอยู่อย่างไร้ประโยชน์
ทรัพย์ของคนตระหนี่ก็ฉันนั้น
ไม่อำนวยประโยชน์สุขแก่ใครๆ เลย รวมทั้งตัวเขาเองด้วย
ส่วนคนดี เมื่อมีทรัพย์แล้ว ย่อมบำรุงมารดา บิดา
บุตร ภรรยา บ่าวไพร่ให้เป็นสุข
บำรุงสมณะพราหมณาจารย์ให้เป็นสุข
เปรียบเหมือนสระโบกขรณี อันอยู่ไม่ไกลจากบ้านหรือนิคม
มีท่าลงเรียบร้อยสะอาดเยือกเย็น น่ารื่นรมย์
มหาชน ย่อมได้อาศัยนำไปอาบ ดื่ม และใช้สอยตามต้องการ
โภคทรัพย์ของคนดี ย่อมเป็นดังนี้
หาอยู่โดยเปล่าประโยชน์ไม่"

"ดูกรภิกษุทั้งหลาย ! นักกายกรรมผู้มีกำลังมาก คือ นักมวยปล้ำ
ผู้มีกำลังมหาศาลนั้น ก่อนที่จะได้กำลังมา
เขาก็ต้องออกกำลังไปก่อน
การเสียสละนั้น คือ การได้มาซึ่งผลอันเลิศในบั้นปลาย
ผู้ไม่ยอมเสียสละอะไร ย่อมไม่ได้อะไร
จงดูเถิด ! มนุษย์ทั้งหลายรดน้ำต้นไม้ที่โคน
แต่ต้นไม้นั้น ย่อมให้ผลที่ปลาย
เธอทั้งหลายจงพิจารณาดูความจริงตามธรรมชาติอีกอย่างหนึ่งเถิด
คือ แม่น้ำสายใดเป็นแม่น้ำตาย ไม่ไหล ไม่ถ่ายเทไปสู่ที่อื่น
หยุดนิ่ง ขังอยู่ที่เดียว แม่น้ำสายนั้นย่อมพลันตื้นเขิน
และสกปรกเน่าเหม็น เพราะสิ่งสกปรกลงมามิได้ถ่ายเท
นอกจากนี้บริเวณที่ใกล้แม่น้ำสายนั้น
จะหาพืชพันธุ์ธัญญาหารที่เขียวสดก็หายาก
แต่แม่น้ำสายใดไหลเอื่อยลงสู่ทะเลหรือแตกสาขาออกไป
ไหลเรื่อยไปไม่รู้จักหมดสิ้น คนทั้งหลายได้อาศัยอาบดื่ม
และใช้สอยตามปรารถนา มันจะใสสะอาดอยู่เสมอ
ไม่มีวันเหม็นเน่าหรือสกปรกได้เลย
พืชพันธุ์ธัญญาหาร ณ บริเวณใกล้เคียงก็เขียวสดสวยงาม"

"ดูกรภิกษุทั้งหลาย ! บุคคลผู้ตระหนี่
เมื่อได้ทรัพย์แล้วก็กักตุนไว้ ไม่ถ่ายเทให้ผู้อื่นบ้าง
ก็เหมือนแม่น้ำตายไม่มีประโยชน์อะไรแก่ใคร
ส่วนผู้ไม่ตระหนี่ เป็นเหมือนแม่น้ำที่ไหลเอื่อยอยู่เสมอ
กระแสน้ำก็ไม่ขาด ทั้งยังเป็นประโยชน์แก่มนุษย์ทั้งหลาย
เพราะฉะนั้น สาธุชนได้ทรัพย์แล้ว
พึงบำเพ็ญตนเสมือนแม่น้ำซึ่งไหลใสสะอาด
ไม่พึงเป็นเช่นแม่น้ำตาย"


สาธุ สาธุ สาธุ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 24 มี.ค.2007, 10:56 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

"ดูกรภิกษุทั้งหลาย ! อายะสัมปทา หรือทาน
จะมีผลมากอานิสงส์ไพศาล
ถ้าประกอบด้วยองค์หก กล่าวคือ
1. ก่อนให้ ผู้ให้ก็มีใจก็ผ่องใส ชื่นบาน
2. เมื่อกำลังให้ จิตใจก็ผ่องใส
3. เมื่อให้แล้ว ก็มีความยินดี ไม่เสียดาย
4. ผู้รับเป็นผู้ปราศจากราคะ หรือปฏิบัติเพื่อปราศจากราคะ
5. ผู้รับเป็นผู้ปราศจากโทสะ หรือปฏิบัติเพื่อปราศจากโทสะ
6. ผู้รับเป็นผู้ปราศจากโมหะ หรือปฏิบัติเพื่อปราศจากโมหะ

ภิกษุทั้งหลาย ทานที่ประกอบด้วยองค์หกนี้แล
เป็นการหายากที่จะกำหนดผลแห่งบุญ
ว่ามีประมาณเท่านั้นเท่านี้
อันที่จริงเป็นกองบุญใหญ่ที่นับไม่ได้ ไม่มีประมาณ
เหลือที่จะกำหนด เหมือนน้ำในมหาสมุทร
ย่อมกำหนดได้โดยยาก ว่ามีประมาณเท่านั้นเท่านี้"

"ดูกรภิกษุทั้งหลาย ! คราวหนึ่งพระเจ้าปเสนทิโกศล ราชาแห่งแคว้นนี้
เข้าไปหาตถาคตและถามว่า บุคคลควรจะให้ทานในที่ใด
เราตอบว่า ควรให้ในที่ที่เลื่อมใส คือ เลื่อมใสบุคคลใด
คณะใดก็ควรให้แก่บุคคลนั้น ในคณะนั้น
พระองค์ถามต่อไปว่า ให้ทานในที่ใดจึงจะมีผลมาก
เราตถาคตตอบว่า ถ้าต้องการผลมาก
แล้วละก็ควรจะให้ทานในท่านผู้มีศีล
การให้แก่บุคคลผู้ทุศีล หามีผลมากอย่างนั้นไม่
สถานที่ทำบุญเปรียบเหมือนเนื้อนา เจตนา
และไทยทานของทายก เปรียบเหมือนเมล็ดพืช
ถ้าเนื้อนาดี คือ บุคคลผู้รับเป็นคนดีมีศีลธรรม
และประกอบด้วยเมล็ดพืช คือ เจตนาและไทยทานของทายก
บริสุทธิ์ทานนั้นย่อมมีผลมาก
การหว่านลงในนาที่เต็มไปด้วยหญ้าแฝก และหญ้าคา
ต้นข้าวย่อมขึ้นได้โดยยากฉันใด
การทำบุญในคณะบุคคลผู้มีศีลน้อย มีธรรมน้อยก็ฉันนั้น
คือ ย่อมได้บุญน้อย
ส่วนการทำบุญในคณะบุคคลซึ่งมีศีลดี มีธรรมงาม
ย่อมจะมีผลมากเป็นภาวะอันตรงกันข้ามอยู่ดังนี้
เพราะฉะนั้น บุคคลไม่ควรประมาท
ว่าบุญหรือบาปเพียงเล็กน้อยจะไม่ให้ผล
หยาดน้ำที่ไหลลงทีละหยด ยังทำให้แม่น้ำเต็มได้ฉันใด
การสั่งสมบุญหรือบาปแม้ทีละน้อยก็ฉันนั้น
ผู้สั่งสมบุญย่อมเปี่ยมล้นไปด้วยบุญ
ผู้สั่งสมบาปย่อมเพียบแปร้ไปด้วยบาป"

"ดูกรภิกษุทั้งหลาย ! พรหมจรรย์นี้
เราประพฤติ มิใช่เพื่อหลอกลวงคน
มิใช่ พื่อให้คนทั้งหลายมานับถือ
มิใช่ เพื่ออานิสงส์ลาภสักการะและความสรรเสริญ
มิใช่ จุดมุ่งหมายเพื่อเป็นเจ้าลัทธิและแก้ลัทธิอย่างนั้นอย่างนี้
มิใช่ เพื่อให้ใครรู้จักว่าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้
ที่แท้พรหมจรรย์นี้เราประพฤติเพื่อสังวระ คือ ความสำรวม
เพื่อปหานะ คือ ความละ เพื่อวิราคะ คือ คลายความกำหนัดยินดี
และเพื่อนิโรธะ คือ ความดับทุกข์"

"ดูกรภิกษุทั้งหลาย ! ธรรมที่เราได้บรรลุแล้วนี้
ลึกซึ้งเห็นได้ยาก รู้ตามได้ยาก
สงบประณีต มิใช่วิสัยแห่งสัตว์ คือ คิดเอาไม่ได้
หรือไม่ควรลงความเห็นด้วยการเดา
แต่เป็นธรรมที่บัณฑิตพอจะรู้ได้"

"ดูกรภิกษุทั้งหลาย ! จงดูกายอันนี้เถิด
ฟันหัก ผมหงอก หนังเหี่ยวๆ ยานๆ
มีอาการทรุดโทรมให้เห็นอย่างเด่นชัด
เหมือนเกวียนที่ชำรุดแล้วชำรุดอีก
ได้อาศัยแต่ไม้ไผ่มาซ่อมไว้ ผูกกระหน่ำคาบค้ำไว้
จะยืนนานไปได้สักเท่าไร
การแตกสลาย ย่อมจะมาถึงเข้าสักวันหนึ่ง
ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงมีธรรมเป็นที่เกาะที่พึ่งเถิด
อย่าคิดยึดสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งเลย
แม้ตถาคตก็เป็นแต่เพียงผู้บอกทางเท่านั้น"

"ดูกรภิกษุทั้งหลาย ! จงดูกายอันเปื่อยเน่านี้เถิด
มันอาดูรไม่สะอาด มีสิ่งสกปรกไหลเข้าไหลออกอยู่เสมอ
ถึงกระนั้นก็ตาม มันยังเป็นที่พอใจปรารถนายิ่งนัก
ของคนผู้ไม่รู้ความจริงข้อนี้
ภิกษุทั้งหลาย ร่างกายนี้ไม่นานนักหรอก
คงจะนอนทับถมแผ่นดิน
ร่างกายนี้เมื่อปราศจากวิญญาณครองแล้ว
ก็ถูกทอดทิ้งเหมือนท่อนไม้ที่ไร้ค่า
อันเขาทิ้งเสียแล้วโดยไม่ใยดี"

"ดูกรภิกษุทั้งหลาย ! อันร่างกายนี้สะสมไว้แต่ของสกปรก
มีสิ่งปฏิกูลไหลออกจากทวารทั้งเก้า
มีช่องหู ช่องจมูก เป็นต้น
เป็นที่อาศัยแห่งสัตว์เล็กสัตว์น้อย
เป็นป่าช้าแห่งซากสัตว์นานาชนิด
เป็นรังแห่งโรค เป็นที่เก็บโรค
อุปมาเหมือนถุงหนัง ซึ่งบรรจุเอาสิ่งโสโครกต่างๆ เข้าไว้
แล้วซึมออกมาเสมอๆ
เจ้าของกาย จึงต้องชำระล้างขัดถูวันละหลายหลายครั้ง
เมื่อเว้นจากการชำระล้างแม้เพียงวันเดียว
หรือสองวันกลิ่นเหม็นก็ปรากฏ
เป็นที่รังเกียจเป็นของน่าขยะแขยง"

"ดูกรภิกษุทั้งหลาย ! อริยะมรรคประกอบด้วยองค์แปด
เป็นทางอันประเสริฐ สามารถทำให้บุคคลเดินไปตามทางนี้
ถึงซึ่งความสุขสงบเย็นเต็มที่ เป็นทางเดินไปสู่อมตะ"

"ดูกรภิกษุทั้งหลาย ! ถ้าภิกษุหรือใครๆ ก็ตาม
พึงอยู่โดยชอบ ปฏิบัติดำเนินตามมรรคอันประเสริฐ
ประกอบด้วยองค์แปดนี้อยู่
โลกก็จะไม่พึงว่างจากพระอรหันต์"


สาธุ สาธุ สาธุ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 24 มี.ค.2007, 10:56 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

"ดูกรภิกษุทั้งหลาย ! ผู้ใดเคารพหนักแน่นในพระศาสดา
และพระธรรม มีความยำเกรงในสงฆ์
มีความเคารพหนักแน่นในสมาธิ
มีความเพียรเรื่องเผาบาป
เคารพในไตรสิกขา และเคารพในปฏิสันถารการ
ต้อนรับอาคันตุกะ ผู้เช่นนั้นย่อมไม่เสื่อม
ดำรงตนอยู่ใกล้พระนิพพาน"

"ดูกรภิกษุทั้งหลาย ! ตราบใดที่พวกเธอยังหมั่นประชุมกันเนืองนิตย์
พร้อมเพรียงกันประชุม เคารพในสิกขาบทบัญญัติ
ยำเกรงภิกษุผู้เป็นสังฆเถระสังฆบิดร
ไม่ยอมตนให้ตกอยู่ภายใต้อำนาจแห่งตัณหา
พอใจในการอยู่อาศัยเสนาสนะป่า
ปรารถนาให้เพื่อนพรหมจารีย์ มาสู่สำนักและอยู่เป็นสุข
ตราบนั้นพวกเธอจะไม่เสื่อมเลย
มีแต่ความเจริญโดยส่วนเดียว"

"ดูกรภิกษุทั้งหลาย ! ตราบใดที่พวกเธอ
ไม่หมกมุ่นกับการงานมากเกินไป
ไม่พอใจด้วยการคุยฟุ้งซ่าน
ไม่ชอบใจในการนอนมากเกินควร
ไม่ยินดีในการคลุกคลีด้วยหมู่คณะ
ไม่เป็นผู้ปรารถนาลามก
ไม่ตกอยู่ใต้อำนาจแห่งความปรารถนาชั่ว
ไม่คบมิตรเลว ไม่หยุดความเพียรพยายาม
เพื่อบรรลุคุณธรรมขั้นสูงขึ้นไปแล้ว
ตราบนั้นพวกเธอจะไม่มีความเสื่อมเลย
มีแต่ความเจริญโดยส่วนเดียว"

"ดูกรภิกษุทั้งหลาย ! วาจาสุภาษิต
ย่อมไม่มีประโยชน์แก่ผู้ไม่ทำตาม
เหมือนดอกไม้ที่มีสีสวย สัณฐานดีแต่หากลิ่นมิได้
แต่วาจาสุภาษิตจะมีประโยชน์อย่างมากแก่ผู้ทำตาม
เหมือนดอกไม้ที่มีสีสวยมีสัณฐานงามและมีกลิ่นหอม
ภิกษุทั้งหลาย ! ธรรมที่เรากล่าวดีแล้วนั้น
ย่อมไม่มีผลมาก ไม่มีอานิสงส์ไพศาล
แก่ผู้ไม่ทำตามโดยเคารพ
แต่จะมีผลมาก มีอานิสงส์ไพศาล
แก่ผู้ซึ่งกระทำโดยนัยตรงกันข้าม
มีการฟังโดยเคารพ เป็นต้น"


สาธุ สาธุ สาธุ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 24 มี.ค.2007, 10:57 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

พระพุทธองค์ตรัสกับพระอานนท์ว่า
"มาเถิดอานนท์ ! เราจักไปกุสินารานครด้วยกัน"
พระอานนท์รับพุทธบัญชา
แล้วประกาศให้ภิกษุทั้งหลายทราบพร้อมกัน
แล้วเดินจากสถานที่นั้นมุ่งสู่กุสินารานคร
ในระหว่างทางทรงเหน็ดเหนื่อยมาก
จึงแวะเข้าร่มพฤกษ์ใบหนาต้นหนึ่ง
รับสั่งให้พระอานนท์ปูผ้าสังฆาฏิทำเป็นสี่ชั้น

"อานนท์ ! เราเหน็ดเหนื่อยเหลือเกิน
อาพาธก็มีอาการรุนแรงขึ้น
เร็วเข้าเถิดรีบปูลาดสังฆาฏิลง
เราจะนอนพักผ่อนและขอให้เธอไปนำน้ำมาดื่มพอแก้กระหาย"

"พระเจ้าข้า" พระอานนท์ทูล
"เกวียนเป็นจำนวนมาก เพิ่งผ่านพ้นลำน้ำไปสักครู่นี้เอง
น้ำยังขุ่นอยู่ไม่สมควรที่พระองค์จะดื่ม
ขอพระองค์ไปดื่ม ณ แม่น้ำกกุธานทีเถิด
มีน้ำใสจืดสนิทเย็นดี"

"อย่าเลย อานนท์" พระคถาคต ตรัสเป็นเชิงวิงวอน
"อย่าคอยจนไปถึงแม่น้ำกกุธานทีเลย
เรากระหายเหลือเกิน ร่างกายร้อนคอแห้งผาก
เธอจงรีบไปนำน้ำมาเถิด"

พระอานนท์รับพุทธบัญชาแล้ว
ถือบาตรของพระตถาคตเจ้าไป
ท่านมีอาการเศร้าซึมและวิตกกังวล
เมื่อมาถึงริมแม่น้ำ ยังมองเห็นน้ำขุ่นอยู่
ท่านมีอาการเหมือนว่า จะเดินกลับ
แต่ด้วยความเชื่อและห่วงใยในพระศาสดา
จึงเดินลงไปอีก พอท่านทำท่าจะตักน้ำขึ้นมาเท่านั้น
น้ำซึ่งมีสีขุ่นขาว เพราะรอยเกวียนและโค
ก็ปรากฏเป็นน้ำใสสะอาดเหมือนกระจกเงา
ท่านจึงตักน้ำนั้นมา แล้วรีบกลับน้อมบาตรน้ำ
เข้าไปถวายพระศาสดา

พระพุทธองค์ทรงดื่มด้วยความกระหาย
พระอานนท์มองดูด้วยความชื่นชมในพุทธบารมี แล้วทูลว่า
"พระพุทธเจ้าข้า อัศจรรย์จริง ! สิ่งที่ไม่เคยมี ไม่เคยปรากฏ
ได้มีได้ปรากฏแล้ว เป็นเพราะพุทธานุภาพโดยแท้
เป็นบารมีธรรมสั่งสมแท้"
แล้วท่านก็เล่าเรื่องน้ำที่ขุ่นกลับใสสะอาดโดยฉับพลัน
ให้พระผู้มีพระภาคเจ้าสดับ
พระจอมมุนีทรงประทับ สงบนิ่งด้วยอาการแห่งผู้เจนจบ
และเข้าใจในความเป็นไปทั้งปวง

ก่อนหน้านี้เพียงเล็กน้อย เมื่อพระองค์ผ่านมาทางเมืองปาวา
ประทับ ณ สวนมะม่วงของนายจุนทะ บุตรแห่งนายช่างทอง
นายจุนทะ ทูลอาราธนาพระพุทธองค์
รับภัตตาหาร ณ บ้านแห่งตน
แล้วจัดแจงขาทนียโภชนียาหารอย่างประณีต
รุ่งขึ้นได้เวลาแล้วอาราธนาพระพุทธองค์และภิกษุสงฆ์ เพื่อเสวย
พระพุทธองค์ทอดทัศนาการเห็นสูกรมัทวะ
อาหารชนิดหนึ่งซึ่งย่อยยาก
จึงรับสั่งให้ถวายแด่พระองค์แต่เพียงผู้เดียว
มิให้ถวายแก่ภิกษุรูปอื่น เมื่อพระองค์เสวยแล้วก็รับสั่งให้ฝังเสีย

ดูเถิด ! พระมหากรุณาแห่งพระองค์มีถึงปานนี้
สำหรับพระองค์นั้น มิได้ห่วงใยในชีวิตอีกแล้ว
เพราะถึงอย่างไรก็ต้องนิพพานในคืนวันนี้แน่นอน
ทรงเป็นห่วงภิกษุสาวกจะลำบาก
ถ้าฉันอาหารที่ย่อยยากชนิดนั้น
ประหนึ่งมารดาหรือบิดาผู้เปี่ยมด้วยเมตตาธรรมในบุตรของตน
ทราบว่าอะไรจะทำให้บุตรธิดาลำบาก
ย่อมพร้อมที่จะรับความลำบากอันนั้นเสียเอง

สูกรมัทวะให้ผลในทันที
อาการประชวรของพระองค์ทรุดหนักลงอย่างน่าวิตก
มีพระบังคนเป็นโลหิต แต่ถึงกระนั้นก็ยังเสด็จด้วยพระบาทเปล่า
จากปาวาสู่กุสินารานครดังกล่าวแล้ว


สาธุ สาธุ สาธุ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 24 มี.ค.2007, 10:58 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

พระองค์ต้องหยุดพักเป็นระยะๆ หลายครั้งก่อนจะถึงกุสินารา
ราชธานีแห่งมัลลกษัตริย์ ณ ใต้ร่มพฤกษ์ใบหนาแห่งหนึ่ง
ขณะที่พระองค์หยุดพัก มีบุตรแห่งมัลลกษัตริย์นามว่าปุกกุสะ
เคยเป็นศิษย์ของอาฬารดาบส กาลามโคตร
เดินทางจากกุสินารา เพื่อไปยังปาวานคร
ได้เห็นพระภาค แล้วเกิดความเลื่อมใส จึงน้อมนำผ้าคู่งาม
ซึ่งมีสีเหมือนทองสินทบเข้าไปถวาย
รับสั่งให้ถวายแก่พระองค์ผืนหนึ่ง แก่พระอานนท์ผืนหนึ่ง

พระอานนท์เห็นว่าผ้านั้นไม่สมควรแก่ตน
จึงน้อมนำผ้านั้น เข้าไปถวายพระผู้มีพระภาคอีกผืนหนึ่ง
พระพุทธองค์ทรงนุ่งและห่มแล้ว
ผ้านั้นสวยงามยิ่งนัก ปรากฏประดุจถ่านเพลิงปราศจากควัน
และเปลวพระฉวีของพระองค์เล่า
ก็ช่างผุดผ่องงดงามเกินเปรียบ
ท่านได้เห็นเหตุการณ์ดังนั้นจึงกราบทูลพระพุทธองค์ว่า

"ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ประเสริฐ !
ข้าพระองค์สังเกตเห็นพระฉวีของพระองค์ผุดผ่องยิ่งนัก
เกินที่จะเปรียบด้วยสิ่งใดเปล่งปลั่งมีรัศมี
พระองค์ผู้ประเสริฐ ! บัดนี้พระองค์ทรงมีพระชนม์มายุถึงแปดสิบแล้ว
อยู่ในวัยชราเต็มที่ เหมือนผลไม้สุกจนงอม
อนึ่งเล่าเวลานี้พระองค์ทรงพระประชวรหนัก
ร่างกายเป็นผู้มีโรคเบียดเบียน
แต่เหตุใดผิวพรรณของพระองค์จึงผุดผ่องยิ่งนัก"

"อานนท์ !" พระศาสดาตรัสตอบ
"เป็นธรรมดาของพระพุทธเจ้าที่เป็นอย่างนี้
ในคราวจะตรัสรู้คราวหนึ่ง และก่อนที่จะนิพพานอีกคราวหนึ่ง
ผิวพรรณแห่งตถาคต ย่อมปรากฏงดงามประดุจรัศมีแห่งสุริยา
เมื่อแรกรุ่นอรุณและจวนจะอัสดง
ดูกรอานนท์ ! ในยามสุดท้ายแห่งราตรีนี้
ตถาคตจะต้องปรินิพพานในระหว่างต้นสาละทั้งคู่
ซึ่งโน้มกิ่งเข้าหากัน มีใบใหญ่หนา มีดอกเป็นช่อชั้น"
ตรัสดังนั้นแล้ว จึงเสด็จนำพระอานนท์ไปสู่ฝั่งน้ำกกุธานที
เสด็จลงทรงสำราญตามพระพุทธอัธยาศัย
แล้วเสด็จขึ้นจากกกุธานที ไปประทับ ณ อัมพวัน
รับสั่งให้พระจุนทะ น้องชายพระสารีบุตร ปูลาดสังฆาฏิเป็นสี่ชั้น
แล้วบรรทมด้วยสีหะไสยา
คือ ตะแคงขวาเอาพระหัตถ์รองรับพระเศียร
ซ้อนพระบาทให้เหลื่อมกัน มีสติสัมปชัญญะ
ตั้งพระทัยว่าจะลุกขึ้นในไม่ช้า

ขณะนั้นเอง ความปริวิตกถึงนายจุนทะผู้ถวายสูกรมัทวะก็เกิดขึ้น
จึงตรัสกับพระอานนท์ว่า "อานนท์ ! เมื่อเรานิพพานไปแล้ว
อาจมีผู้กล่าวโทษจุนทะว่า ถวายอาหารที่เป็นพิษ
จนเป็นเหตุให้เราปรินิพพาน
หรือมิฉะนั้นจุนทะ อาจจะเกิดวิปปฏิสารเดือดร้อนใจตัวเองว่า
เพราะเสวยสูกรมัทวะอันตนถวาย
พระตถาคตจึงนิพพาน
ดูกรอานนท์ ! บิณฑบาตทานที่อานิสงส์มาก มีผลไพศาล
มีอยู่สองคราวด้วยกัน คือ เมื่อนางสุชาดาถวายเรา
ก่อนจะตรัสรู้ครั้งหนึ่ง และอีกครั้งหนึ่งที่จุนทะถวายนี้
ครั้งแรกเสวยอาหารของสุชาดาแล้ว
ตถาคตก็ถึงซึ่งกิเลสนิพพาน คือ การดับกิเลส
ครั้งหลังนี้เสวยอาหารของจุนทะบุตรนายช่างทอง
แล้วเราก็นิพพานด้วยขันธนิพพาน คือ ดับขันธ์
อันเป็นวิบากที่ยังเหลืออยู่
ถ้าใครๆ จะพึงตำหนิจุนทะ เธอพึงกล่าวให้เขาเข้าใจตามนี้
ถ้าจุนทะจะพึงเดือดร้อนใจ เธอพึงกล่าวปลอบใจ
ให้เขาคลายวิตกกังวลเสีย
อาหารของจุนทะเป็นอาหารมื้อสุดท้ายสำหรับเรา"


สาธุ สาธุ สาธุ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 24 มี.ค.2007, 10:59 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ครั้นแล้วพระผู้มีพระภาคเจ้า มีพระอานนท์เป็นปัจฉาสมณะ
มีภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่เป็นบริวาร
เสด็จข้ามแม่น้ำหิรัญวญวดีถึงกรุงกุสินารา
เสด็จเข้าสู่สาละวโนทยาน คือ อุทยานซึ่งสะพรึกพรั่งด้วยต้นสาละ
รับสั่งให้พระอานนท์จัดแท่นบรรทมระหว่างต้นสาละ
ซึ่งมีกิ่งโน้มเข้าหากัน ให้หันพระเศียรไปทางทิศอุดร

ครั้งนั้นมีบุคคลเป็นจำนวนมาก จากสารทิศต่างๆ เดินทางมา
เพื่อเฝ้าพระพุทธสรีระเป็นปัจฉิมกาล
แผ่เป็นปริมณฑลกว้างออกไปสุดสายตา
สมเด็จพระมหาสมณะทรงเห็นเหตุการณ์ดังนี้แล้ว
จึงตรัสกับพระอานนท์เป็นเชิงปรารภว่า

"อานนท์ ! พุทธบริษัททั้ง สี่ คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา
ทำสักการบูชาเรา ด้วยเครื่องบูชาสักการะทั้งหลายอันเป็นอามิส
เช่น ดอกไม้ ธูป เทียน เป็นต้น
หาชื่อว่าบูชาตถาคตด้วยการบูชาอันยิ่งไม่
อานนท์เอ๋ย ! ผู้ใด ปฏิบัติตามธรรม ปฏิบัติชอบยิ่ง
ปฏิบัติธรรมอันเหมาะสม
ผู้นั้นแล ชื่อว่า สักการะบูชาเราด้วยการบูชาอันยอดเยี่ยม"

พระอานนท์ทูลว่า "พระองค์ผู้เจริญ ! เมื่อก่อนนี้ ออกพรรษาแล้ว
ภิกษุทั้งหลายต่างพากันเดินทางมาจากทิศานุทิศ เพื่อเฝ้าพระองค์
ฟังโอวาทจากพระองค์ บัดนี้พระองค์จะปรินิพพานเสียแล้ว
ภิกษุทั้งหลาย จะพึงไป ณ ที่ใด ?"

"อานนท์ ! สถานที่อันเป็นเหตุให้ระลึกถึงเราก็มีอยู่
คือ สถานที่ที่เราประสูติแล้ว คือ ลุมพินีวันสถาน
สถานที่ที่เราตั้งอาณาจักรแห่งธรรมขึ้นเป็นครั้งแรก
คือ ป่าอิสิปตนะมิคทายะแขวงเมืองพาราณสี
สถานที่ที่เราตรัสรู้อนุตตรสัมมาโพธิฐาณ
บรรลุความรู้อันประเสริฐทำกิเลสให้สิ้นไป คือ โพธิมณฑล
ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม และสถานที่ที่เราจะปรินิพพาน ณ บัดนี้
คือ ป่าไม้สาละ ณ นครกุสินารา
อานนท์เอ๋ย ! สถานที่ทั้งสี่แห่งนี้เป็นสังเวชนียสถาน
สารานียสถาน สำหรับให้ระลึกถึงเรา
และเดินตามรอยพระบาทแห่งเรา"

"ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ! ในพรหมจรรย์นี้
มีสุภาพสตรีเป็นอันมาก เข้ามาเกี่ยวข้องอยู่ในฐานะต่างๆ
เป็นมารดาบ้าง เป็นพี่หญิงน้องหญิงบ้าง
เป็นเครือญาติบ้างและเป็นผู้เลื่อมใสในพระรัตนตรัยบ้าง
ภิกษุจะพึงปฏิบัติต่อสตรีอย่างไร ?"

"อานนท์ ! การที่ภิกษุจะไม่ดูไม่แลสตรีเพศเสียเลยนั้นเป็นการดี"
"ถ้าจำเป็นต้องดูต้องเห็นเล่าพระเจ้าข้า" พระอานนท์ทูลซัก
"ถ้าจำเป็นต้องดูต้องเห็น ก็อย่าพูดด้วย
อย่าสนทนาด้วยนั้นเป็นการดี" พระศาสดาตรัสตอบ
"ถ้าจำเป็นต้องสนทนาด้วยเล่าพระเจ้าข้า จะปฏิบัติอย่างไร"

"ถ้าจำเป็นต้องสนทนาด้วย ก็จงมีสติไว้ ควบคุมสติให้ดี
สำรวมอินทรีย์วาจาให้เรียบร้อย
อย่าให้ความกำหนัดยินดี
หรือความหลงไหลครอบงำจิตใจได้
อานนท์ ! เรากล่าวว่า สตรีที่บุรุษเอาใจเข้าไปเกาะเกี่ยวนั้น
เป็นมลทินของพรหมจรรย์"

"แล้วสตรีที่บุรุษ มิได้เอาใจเข้าไปเกี่ยวเกาะเล่าพระเจ้าข้า
จะเป็นมลทินของพรหมจรรย์หรือไม่ ?"

"ไม่เป็นซิอานนท์ ! เธอระลึกได้อยู่หรือ
เราเคยพูดไว้ว่า อารมณ์อันวิจิตร สิ่งสวยงามในโลกนี้มิใช่กาม
แต่ความกำหนัดที่เกิดขึ้น เพราะการดำริต่างหากเล่า เป็นกามของคน
เมื่อกระชากความพอใจออกเสียได้แล้ว
สิ่งวิจิตรสวยงามก็อยู่อย่างเก้อๆ ทำพิษอะไรมิได้อีกต่อไป"

พระผู้มีพระภาคบรรทมสงบนิ่ง
พระอานนท์ก็พลอยนิ่งตามไปด้วย
ดูเหมือนท่านจะตรึกตรองพุทธวจะนะที่ตรัสจบลงสักครู่นี้


สาธุ สาธุ สาธุ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 24 มี.ค.2007, 11:00 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ความเงียบสงัดปกคลุมอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพระอานนท์ก็ทูลว่า
"ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ! เมื่อพระองค์ปรินิพพานไปแล้ว
จะปฏิบัติเกี่ยวกับพุทธสรีระอย่างไร"

"อย่าเลยอานนท์ ! " พระศาสดาทรงห้าม
"เธออย่ากังวลกับเรื่องนี้เลย
หน้าที่ของพวกเธอ คือ คุ้มครองตนด้วยดี
จงพยายามทำความเพียรเผาบาป
ให้เร่าร้อนอยู่ทุกอิริยาบถเถิด
สำหรับเรื่องสรีระของเรา เป็นหน้าที่ของคฤหัสถ์ที่จะพึงทำกัน
กษัตริย์ พราหมณ์ และคหบดีเป็นจำนวนมากที่เลื่อมใสตถาคต
ก็มีอยู่ไม่น้อย เขาคงทำกันเองเรียบร้อย"

"พระเจ้าข้า" พระอานนท์ทูล "เรื่องนี้เป็นหน้าที่ของคฤหัสถ์ก็จริงอยู่
แต่ถ้าเขาถามข้าพระองค์ ข้าพระองค์จะพึงบอกเขาอย่างไร"

"อานนท์ ! ชนทั้งหลายเมื่อปฏิบัติต่อสรีระแห่งพระเจ้าจักรพรรดิ์อย่างไร
ก็พึงปฏิบัติต่อสรีระแห่งตถาคตอย่างนั้นเถิด"

"ทำอย่างไรเล่า พระเจ้าข้า"

"อานนท์ ! คืออย่างนี้ เขาจะพันสรีระแห่งพระเจ้าจักรพรรดิ์ ด้วยผ้าใหม่
และซับด้วยสำลี แล้วมัดด้วยผ้าใหม่อีก ทำอย่างนี้ถึงห้าร้อยคู่
หรือห้าร้อยชั้น แล้วนำวางในรางเหล็ก ซึ่งเต็มไปด้วยน้ำมัน
แล้วปิดครอบด้วยรางเหล็กเป็นฝา
แล้วทำจิตกาธานด้วยไม้หอมนานาชนิด
แล้วถวายพระเพลิง เสร็จแล้วเชิญพระอัฐิธาตุแห่งพระเจ้าจักรพรรดิ์นั้น
ไปบรรจุสถูปซึ่งสร้างไว้ ณ ทางสี่แพร่ง
สรีระแห่งตถาคตก็พึงทำเช่นเดียวกัน
ทั้งนี้เพื่อผู้เลื่อมใสจักได้บูชา
และเป็นประโยชน์สุขแก่เขาตลอดกาลนาน"

และแล้วพระพุทธองค์ทรงแสดงถูปารหบุคคล
คือ บุคคลผู้ควรบรรจุอัฐิธาตุไว้ในพระสถูปสี่จำพวก
คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า
พระอรหันตสาวก และพระเจ้าจักรพรรดิ์


สาธุ สาธุ สาธุ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 24 มี.ค.2007, 11:02 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

Image

ตรัสแล้วบรรทมนิ่งอยู่ พระอานนท์ถอยออกจากที่เฝ้า
เพราะความเศร้าสลดสุดที่จะอดกลั้นได้
ท่านไปยืนอยู่ที่สงัดเงียบแห่งหนึ่ง น้ำตาไหลพรากจนอาบแก้ม
แล้วเสียงสะอื้นเบาๆ ก็ตามมา
บัดนี้ท่านมีอายุอยู่ในวัยชรานับได้แปดสิบแล้ว
เท่ากับพระชนม์มายุของพระผู้มีพระภาคเจ้า
อุปสมบทมานานถึงสี่สิบสี่พรรษา
ได้ยินได้ฟังพระธรรมเทศนา อบรมจิตใจอยู่เสมอ
ได้บรรลุคุณธรรมขั้นต้นเป็นโสดาบันบุคคล
ผู้มีองค์ประกอบดังกล่าวนี้
ถ้าไม่มีเรื่องสะเทือนใจอย่างแรง
คงจะไม่เศร้าโศกปริเวทนาการถึงเพียงนี้

ท่านสะอึกสะอื้นจนสั่นเทิ้มไปทั้งองค์
บางคราวจะมองเห็นผ้าสีเหลืองหม่นที่คลุมกายสั่นน้อยๆ
ตามแรงสั่นแห่งรูปกาย
แน่นอนท่านรู้สึกสะเทือนใจและว้าเหว่อย่างยิ่ง
เป็นเวลานานเหลือเกินที่ท่านรับใช้พระศาสดา
ได้ทำหน้าที่พุทธอุปัฏฐาก และเอื้อเฟื้อต่อกัน
การจากไปของพระผู้มีพระภาค
จึงเป็นเสมือนกระชากดวงใจของท่านให้หลุดลอย

"โอ ! พระองค์ผู้เป็นที่พึ่งของโลกและของข้าพระองค์"
เสียงคร่ำครวญออกมากับเสียงสะอื้น "
ตั้งแต่บัดนี้ไป ข้าพระพุทธเจ้าจักไม่ได้เห็นพระองค์อีกแล้ว
พระองค์ผู้ทรงพระมหากรุณาดุจห้วงมหรรณพ
มาด่วนจากข้าพระองค์ ทั้งๆ ที่ข้าพระองค์ยังมีอาสวะอยู่
เหมือนพี่เลี้ยงสอนให้เด็กเดิน
เมื่อเด็กน้อยพอจะหัดก้าวเท่านั้น
พี่เลี้ยงก็มีอันพลัดพรากจากไป
ข้าพระองค์เหมือนเด็กน้อยผู้นั้น"
พระอานนท์คร่ำครวญอย่างน่าสงสาร


สาธุ สาธุ สาธุ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 24 มี.ค.2007, 11:03 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เมื่อพระอานนท์หายไปนานผิดปกติ
พระศาสดาจึงตรัสถามว่า
"ภิกษุทั้งหลาย ! อานนท์หายไปไหน ?"
"ไปยืนร้องไห้อยู่โคนต้นไม้โน้น พระเจ้าข้า"
ภิกษุทั้งหลายทูล
"ไปตามอานนท์มานี่เถิด" พระศาสดา ตรัสสั่ง

พระอานนท์เข้าสู่ที่เฝ้าด้วยใบหน้าที่ยังชุ่มด้วยน้ำตา
พระศาสดาตรัสปลอบใจว่า "อานนท์ ! อย่าคร่ำครวญนักเลย
เราเคยบอกไว้แล้วมิใช่หรือ บุคคลย่อมต้องพลัดพราก
จากสิ่งที่รักที่พอใจเป็นธรรมดา
ในโลกนี้หรือโลกไหนๆ ก็ตาม ไม่มีอะไรยั่งยืนถาวรเลย
สิ่งทั้งหลายมีการเกิดย่อมมีการดับเป็นธรรมดา
เป็นที่สุดไม่มีอะไรยับยั้งต้านทาน"

"ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นประดุจดวงตะวัน"
พระอานนท์ทูลด้วยเสียงสะอื้นน้อยๆ
"ข้าพระองค์มารำพึงว่าตลอดเวลาที่พระองค์ทรงพระชนม์อยู่
ข้าพระองค์เที่ยวติดตามประดุจฉายา
ต่อไปนี้ข้าพระองค์จะพึงติดตามผู้ใดเล่า
จะพึงตั้งนำใช้น้ำเสวยเพื่อผู้ใด
จะพึงปัดกวาดเสนาสนะที่หลับที่นอนเพื่อผู้ใด
อนึ่ง เวลานี้ข้าพระองค์ยังมีอาสวะอยู่
พระองค์มาด่วนปรินิพพาน ใครเล่าจะเป็นที่พึ่งของข้าพระองค์
เพื่อทำที่สุดแห่งทุกข์กำจัดกิเลสให้หมดสิ้น
ข้าพระองค์คงอยู่อย่างว้าเหว่และเดียวดาย
เมื่อคำนึงอย่างนี้แล้ว ก็สุดจะหักห้ามความโศกสลดได้"

"อานนท์ ! เธอเป็นผู้มีบารมีธรรมที่สั่งสมมาไว้แล้วมาก
เธอเป็นผู้มีบุญที่สั่งสมไว้แล้วมาก
อย่าเสียใจเลย กิจอันใดที่ควรทำแก่ตถาคต
เธอได้ทำกิจนั้นอย่างสมบูรณ์ด้วยกายกรรม วจีกรรม
และมโนกรรม อันประกอบด้วยเมตตาอย่างยอดเยี่ยม
จงประกอบความเพียรเถิด เมื่อเราล่วงลับไปแล้ว
เธอจะต้องประสพอรหันตผลเป็นพระอรหันต์ในไม่ช้า"
ตรัสดังนี้แล้วจึงเรียกภิกษุทั้งหลายเข้ามาสู่ที่ใกล้
แล้วทรงสรรเสริญพระอานนท์ เป็นอเนกปริยาย เป็นต้นว่า

"ภิกษุทั้งหลาย ! อานนท์เป็นบัณฑิตเป็นผู้รอบรู้
และอุปัฏฐากเราอย่างยอดเยี่ยม
พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งในอดีตและอนาคต
ซึ่งมีภิกษุเป็นผู้อุปัฏฐากนั้น ก็ไม่ดีเกินไปกว่าอานนท์
อานนท์เป็นผู้ดำเนินกิจ ด้วยปัญญารู้กาลที่ควรไม่ควร
รู้กาลที่เหมาะสมสำหรับผู้ที่มาเฝ้าเรา
ว่ากาลนี้สำหรับกษัตริย์ กาลนี้สำหรับราชามหาอำมาตย์
กาลนี้สำหรับคนทั่วไป แล้วได้รับการยกย่องนานาประการ
มีคุณธรรมน่าอัศจรรย์ ผู้ที่ยังไม่เคยเห็นไม่เคยสนทนา
ก็อยากเห็นอยากสนทนาด้วย อยากฟังธรรมของอานนท์
เมื่อฟังก็มีจิตใจเพลิดเพลิน ยินดีในธรรมที่อานนท์แสดง
ไม่อิ่มไม่เบื่อด้วยธรรมวารีรส
...ภิกษุทั้งหลาย ! อานนท์เป็นบุคคลที่หาได้ยากผู้หนึ่ง"

พระอานนท์ผู้มีความห่วงใยในพระศาสดาไม่มีที่สิ้นสุด
กราบทูลด้วยน้ำเสียงที่ยังเศร้าอยู่ว่า

"พระองค์ผู้เจริญ ! พระองค์เป็นประดุจพระเจ้าจักรพรรดิ์ในทางธรรม
ทรงสถาปนาอาณาจักรแห่งธรรมขึ้น
ทรงเป็นธรรมราชาสูงยิ่งกว่าราชาใดๆ ในพื้นพิภพนี้
ข้าพระองค์เห็นว่าไม่สมควรแก่พระองค์เลย
ที่จะปรินิพพานในเมืองกุสินาราอันเป็นเมืองเล็กเมืองน้อย
ขอพระองค์ไปปรินิพพานในเมืองใหญ่ ๆ เช่น ราชคฤห์
สาวัตถี จำปาสาเกตโกสัมพี พาราณสี เป็นต้นเถิดพระเจ้าข้า
ในมหานครเหล่านั้น กษัตริย์ พราหมณ์ เศรษฐี
คหบดีและชาวนครทุกชั้นที่เลื่อมใสในพระองค์ ก็มีอยู่มาก
จักได้ทำมหาสักการะแด่สรีระแห่งพระองค์เป็นมโหฬาร
ควรแก่การเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งอุดมรัตน์ในโลก"

"อานนท์ ! เธออย่ากล่าวอย่างนั้นเลย
ชีวิตของตถาคตเป็นชีวิตแบบอย่าง
ตถาคตนิพพานไปแต่เพียงรูปเท่านั้น
แต่เกียรติคุณของเราคงอยู่ต่อไป
เราต้องการให้ชีวิตนี้งามทั้งในเบื้องต้น ท่ามกลางและที่สุด
อานนท์เอ๋ย ! ตถาคตอุบัติแล้ว เพื่อประโยชน์แห่งสุขแห่งมหาชน
เมื่ออุบัติมาสู่โลกนี้ เราเกิดแล้วในป่านามว่าลุมพินี
เมื่อตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ
เราก็ได้บรรลุแล้วในป่าตำบลอุรุเวลาเสนานิคม
แขวงเมืองราชคฤห์มหานคร
เมื่อตั้งอาณาจักรแห่งธรรมขึ้นเป็นครั้งแรกได้สาวกเพียงห้าคน
เราก็ตั้งลงแล้ว ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายะ เขตเมืองพาราณสี
ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายแห่งเรา เราก็ควรนิพพานในป่าเช่นเดียวกัน"

"อนึ่ง กุสินารานี้ แม้บัดนี้จะเป็นเมืองน้อย
แต่ในโบราณกาลกุสินารานี้ เคยเป็นเมืองใหญ่มาแล้ว
เคยเป็นที่ประทับของพระเจ้าจักรพรรดิ์นามว่า มหาสุทัสสนะ
นครนี้เคยชื่อ กุสาวดี เป็นราชธานีที่สมบูรณ์ มั่งคั่ง มีคนมาก
มีมนุษย์นิกรเกลื่อนกล่น พรั่งพร้อมด้วยธัญญาหาร
มีรมณียสถานที่บันเทิงจิต ประดุจดังราชธานีแห่งทิพยนคร
กุสาวดีราชธานีนั้น กึกก้องทั่วคฤหาสน์ทั้งกลางวันและกลางคืน
ด้วยเสียงสิบประการ คือ เสียงคชสาร เสียงภาชี
เสียงเภรีและรถ เสียงตะโพน เสียงพิณ เสียงขับร้อง
เสียงกังสดาล เสียงสังข์ รวมทั้งสรรพสำเนียงประชาชน
เรียกกันบริโภคอาหารด้วยความสำราญเบิกบานจิต"

"พระเจ้ามหาสุทัสสนะองค์จักรพรรดิ์เล่า
ก็ทรงเป็นอิสราธิบดีในปฐพีมณฑล
ทรงชำระปัจจามิตรโดยธรรม ไม่ต้องใช้ทัณฑ์และศาสตรา
ชนบทสงบราบคาบปราศจากโจรผู้ร้าย
มารดาและบุตรธิดา มีความอิ่มอกด้วยความเพลิดเพลิน
ประตูบ้านปราศจากลิ่มสลัก เป็นนครที่รื่นรมย์ร่มเย็น
สมเป็นราชธานีแห่งพระเจ้าจักรพรรดิ์อย่างแท้จริง"


สาธุ สาธุ สาธุ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 24 มี.ค.2007, 11:05 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

"อีกอย่างหนึ่ง อานนท์เอ๋ย ! เมื่อมองมาทางธรรม
ให้เกิดสังเวช สลดจิต ก็พอคิดได้ว่า
สิ่งทั้งหลายไม่เที่ยงไม่ยั่งยืน มุ่งไปสู่จุดสลายตัว
อานนท์จงดูเถิด พระเจ้าจักรพรรดิ์มหาสุทัสสนะก็สิ้นพระชนม์ไปแล้ว
เมืองกุสาวดีก็เปลี่ยนมาเป็นกุสินาราแล้ว
ประชาชนชาวกุสาวดีก็ตายกันไปหมดแล้ว
นี่แลไม่มีอะไรเที่ยง ไม่มีอะไรยั่งยืน
ตถาคตเองก็จะนิพพานในไม่ช้านี้"

แล้วพระศาสดา ก็รับสั่งให้พระอานนท์ไปแจ้งข่าว
ปรินิพพานแก่มัลลกษัตริย์ว่า พระตถาคตเจ้า
จักปรินิพพานในยามสุดท้ายแห่งราตรี
เมื่อมัลลกษัตริย์ผู้ครองนครกุสินาราสดับข่าวนี้
ต่างก็ทรงกำสรดโศกาดูรทุกข์โทมมนัสทับทวี
สยายพระเกศา ยกพระพาหาทั้งสองขึ้น
แล้วคร่ำครวญล้มกลิ้งเกลือก ประหนึ่งบุคคลที่เท้าขาด
ร่ำไรรำพันถึงพระโลกนาถว่า
"พระโลกนาถ ด่วนปรินิพพาน นักดวงตาของโลกดับลงแล้ว
ประดุจสุริยาซึ่งให้แสงสว่างดับวูบลง"

ด้วยอาการโศกาดูรดั่งนี้
มัลลกษัตริย์ตามพระอานนท์ไปเฝ้าพระศาสดา ณ สาละวโนทยาน
พระอานนท์ จัดให้เข้าเฝ้าเป็นตระกูลๆ ไป แล้วกลับสู่สัณฐาคาร
คืนนั้นมัลลกษัตริย์ประชุมกันอยู่จนสว่าง มิได้บรรทมเลย


สาธุ สาธุ สาธุ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 24 มี.ค.2007, 11:05 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

Image

ท่ามกลางบรรยากาศดังกล่าวนี้
นักบวชปริพาชกหนุ่มคนหนึ่ง
ขออนุญาตผ่านฝูงชนขอเฝ้าพระศาสดา
พระอานนท์ได้สดับสำเนียงนั้น
จึงออกมารับและขอร้องวิงวอนว่า
อย่ารบกวน พระผู้มีพระภาคเจ้าเลย

ข้าแต่ท่านอานนท์ ! "ปริพาชกผู้นั้นกล่าว
"ข้าพเจ้าขออนุญาตเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า
เพื่อทูลถามข้อข้องใจบางประการ
ขอท่านได้โปรดอนุญาตเถิด ข้าพเจ้าสุภัททะปริพาชก"

"อย่าเลย สุภัททะ ท่านอย่ารบกวนพระผู้มีพระภาคเจ้าเลย
พระองค์ทรงลำบากพระวรกายมากอยู่แล้ว
พระองค์ทรงประชวรหนัก
จะปรินิพพานในยามสุดท้ายแห่งราตรีนี้แน่นอน"

"ท่านอานนท์ !" สุภัททะวิงวอนต่อไป
"โอกาสของข้าพเจ้าเหลือเพียงเล็กน้อย
ขอท่านอาศัยความเอ็นดู
โปรดอนุญาตให้ข้าพเจ้าเฝ้าพระศาสดาเถิด"

พระอานนท์คงทัดทานอย่างเดิม
และสุภัททะก็อ้อนวอนครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่ยอมย่อท้อ
จนกระทั่งได้ยินถึงพระศาสดา พระมหากรุณาอันไม่มีที่สิ้นสุด
รับสั่งกับพระอานนท์ว่า "อานนท์ ! ให้สุภัททะเข้ามาหาตถาคตเถิด"

เพียงเท่านี้สุภัททะปริพาชกก็ได้เข้าเฝ้าสมประสงค์
เขากราบลงใกล้แท่นบรรทมแล้วทูลว่า
"ข้าแต่พระจอมมุนี ! ข้าพระองค์นามว่าสุภัททะ
ถือเพศเป็นปริพาชกมาไม่นาน
ได้ยินกิตติศักดิ์เล่าลือเกียรติคุณแห่งพระองค์
แต่ก็หาได้เคยเข้าเฝ้าไม่ บัดนี้พระองค์จะดับขันธปรินิพพานแล้ว
ข้าพระองค์ขอประทานโอกาสซึ่งมีอยู่น้อยนี้
ทูลถามข้อข้องใจบางประการเพื่อจะได้ไม่เสียใจภายหลัง"

"ถามเถิดสุภัททะ" พระศาสดาตรัส

"พระองค์ผู้เจริญ คณาจารย์ทั้งหก
คือ ปูรณะกัสสะปะ มักขลิโคศาล อชิตเกสกัมพล
ปกุทธะกัจจะยนะ สัญชัยเวลัฏฐบุตร และนิครนถ์นาฏบุตร
เป็นศาสดาเจ้าลัทธิที่มีคนนับถือมาก เคารพบูชามาก
ศาสดาเหล่านี้ยังจะเป็นพระอรหันต์หมดกิเลสหรือประการใด"

"เรื่องนี้หรือสุภัททะที่เธอดิ้นรนขวนขวายมาหาเรา
ด้วยความพยายามอย่างยิ่งยวด"
พระศาสดาตรัสทั้งยังหลับพระเนตรอยู่

"เรื่องนี้เองพระเจ้าข้า" สุภัททะทูล

พระอานนท์รู้สึกกระวนกระวายทันที
เพราะเรื่องที่สุภัททะมารบกวนพระศาสดานั้น
เป็นเรื่องที่ไร้สาระเหลือเกิน
ขณะที่พระอานนท์จะเชิญสุภัททะออกจากที่เฝ้านั้นเอง
พระศาสดาก็ตรัสขึ้นว่า

"อย่าสนใจกับเรื่องนั้นเลย สุภัททะ
เวลาของเราและของเธอเหลือน้อยเต็มทีแล้ว
จงถามสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่เธอเองเถิด"

"ข้าแต่ท่านสมณะ ! ถ้าอย่างนั้นข้าพระองค์ขอทูลถามปัญหาสามข้อ
คือ รอยเท้าในอากาศมีอยู่หรือไม่
สมณะภายนอกศาสนาของพระองค์มีอยู่หรือไม่
สังขารที่เที่ยงมีอยู่หรือไม่ ?"

"สุภัททะ ! รอยเท้าในอากาศนั้นไม่มี
ศาสนาใดไม่มีมรรคมีองค์แปด
สมณะผู้สงบถึงที่สุดก็ไม่มีในศาสนานั้น
สังขารที่เที่ยงนั้นไม่มีเลย
สุภัททะ ปัญหาของเธอมีเท่านี้หรือ ?"

"มีเท่านี้พระเจ้าข้า" สุภัททะทูลแล้วนิ่งอยู่

พระพุทธองค์ผู้ทรงอนาวรณญาณ
ทรงทราบอุปนิสัยของสุภัททะ แล้วจึงตรัสต่อไปว่า
"สุภัททะ ! ถ้าอย่างนั้นจงตั้งใจฟังเถิด
เราจะแสดงธรรมให้ฟังแต่โดยย่อ
ดูกรสุภัททะ ! อริยมรรคประกอบด้วยองค์แปดเป็นทางประเสริฐ
สามารถให้บุคคลผู้เดินไปตามทางนี้ ถึงซึ่งความสุขสงบเย็นเต็มที่
เป็นทางเดินไปสู่อมตะ ดูกรสุภัททะ ! ถ้าภิกษุหรือใครก็ตาม
จะพึงอยู่โดยชอบ ปฏิบัติดำเนินตามมรรคอันประเสริฐ
ประกอบด้วยองค์แปดนี้อยู่ โลกก็จะไม่พึงว่างจากพระอรหันต์"

สุภัททะฟังพระพุทธดำรัสนี้แล้วเลื่อมใส
ทูลขอบรรพชาอุปสมบท
พระพุทธองค์ตรัสว่า ผู้ที่เคยเป็นนักบวชในศาสนาอื่นมาก่อน
ถ้าประสงค์จะบวชในศาสนาของพระองค์
จะต้องอยู่ติดถิยปริวาส คือ บำเพ็ญตนทำความดี
จนภิกษุทั้งหลายไว้ใจเป็นเวลาสี่เดือนก่อน
แล้วจึงจะบรรพชาอุปสมบทได้
สุภัททะทูลว่า เขาพอใจอยู่บำรุงปฏิบัติภิกษุทั้งหลายสักสี่ปี

พระศาสดาทรงเห็นความตั้งใจจริงของสุภัททะ
ดังนั้นจึงรับสั่งให้พระอานนท์ นำสุภัททะไปบรรพชาอุปสมบท
พระอานนท์รับพุทธบัญชาแล้วนำสุภัททะไป ณ ที่ส่วนหนึ่ง
ปลงผมและหนวดแล้วบอกกรรมฐานให้
ให้ตั้งอยู่ในไตรสรณคมน์และศีล
สำเร็จเป็นสามเณรบรรพชา
แล้วนำมาเฝ้าพระศาสดาพระผู้ทรงมหากรุณา
ให้อุปสมบทแก่สุภัททะเป็นภิกษุโดยสมบูรณ์แล้ว
ตรัสบอกกัมมัฏฐานอีกครั้งหนึ่ง

สุภัททะภิกษุใหม่ ตั้งใจแน่วแน่ว่า
จะพยายามให้บรรลุพระอรหัตตผลในคืนนี้
ก่อนที่พระศาสดาจะนิพพาน
จึงออกไปเดินจงกรมอยู่ในที่สงัดแห่งหนึ่ง
ในบริเวณอุทยานสาละวโนทยาน

บัดนี้ร่างกายของ สุภัททะภิกษุ ห่อหุ้มด้วยผ้ากาสาวพัสตร์
เมื่อต้องแสงจันทร์ในราตรีนั้น
ดูผิวพรรณของท่าน เปล่งปลั่งงามอำไพ
มัชฌิมยามแห่งราตรีจวนจะสิ้นอยู่แล้ว
ดวงรัชนีกลมโตเคลื่อนย้ายไปอยู่ทางท้องฟ้าด้านตะวันตก
สุภัททะภิกษุตั้งใจอย่างแน่วแน่ว่า
จะบำเพ็ญเพียรคืนนี้ตลอดราตรี
เพื่อบูชาพระศาสดาผู้จะนิพพานในปลายปัจฉิมยาม
ดังนั้นแม้จะเหน็ดเหนื่อยอย่างไรก็ไม่ย่อท้อ

แสงจันทร์นวลผ่องสุกสกาวเมื่อครู่นี้ ดูจะอับรัศมีลง
สุภัททะภิกษุแหงนขึ้นดูท้องฟ้า
เมฆก้อนใหญ่กำลังเคลื่อนเข้าบดบังแสงจันทร์จนมิดดวงไปแล้ว
แต่ไม่นานนักเมฆก้อนนั้นก็เคลื่อนคล้อยไป
แสงโฉมสาดส่องลงมาสว่างนวลดังเดิม

ทันใดนั้นดวงปัญญาก็พลุ่งโพลงขึ้นในดวงใจของสุภัททะภิกษุ
เพราะนำดวงใจไปเทียบกับดวงจันทร์

"อา !" ท่านอุทานเบาๆ "จิตนี้เป็นธรรมชาติที่ผ่องใส
มีรัศมีเหมือนดวงจันทร์ แต่อาศัยกิเลสที่จรมาเป็นครั้งคราว
จิตนี้จึงเศร้าหมองเหมือนก้อนเมฆบดบังดวงจันทร์ให้อับแสง"

แลแล้ววิปัสสนาปัญญาก็โพลงขึ้น
ชำแรกกิเลสแทงทะลุบาปธรรมทั้งมวลที่ห่อหุ้มดวงจิต
แหวกอวิชชาและโมหะ อันเป็นประดุจตาข่ายด้วยศาสตรา
คือ วิปัสสนาชำระจิต ให้บริสุทธิ์จากกิเลสอาสวะทั้งมวล
บรรลุอรหัตตผล พร้อมด้วยปฏิสัมภิทา
แล้วลงจากที่จงกรมมาถวายบังคม
พระมงคลบาทแห่งพระศาสดาแล้วนิ่งอยู่

ภายใต้แสงจันทร์สีนวลยองใยนั้น
พระผู้มีพระภาคบรรทมเหยียดพระวรกายในท่าสีหะไสยา
แวดล้อมด้วยพุทธบริษัทมากหลายแผ่น
เป็นปริมณฑลกว้างออกไปสุดสายตา
ประดุจดวงจันทร์ที่ถูกแวดล้อมด้วยกลุ่มเมฆก็ปานกัน


สาธุ สาธุ สาธุ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง