Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 หลับสบาย ปลายจมูก : นานาจิตตัง อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
dt
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 19 ก.ย. 2005, 1:18 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

หลับสบาย ปลายจมูก : นานาจิตตัง

ข้าวฟ่างชอบกินข้าวฟ่าง แล้วทำไมเธอจึงชอบ พิสมัยเพื่อนของข้าวฟ่างถาม ข้าวฟ่างก็เลยคิดตามใหญ่ แต่ก็ตอบไม่ได้ รู้แต่ว่ามันกินแล้วอร่อยดีก็แล้วกัน ยังเคยชวนพิสมัยกินเลย

พิสมัยไม่ชอบกินข้าวฟ่าง บอกว่าแล้วกินแล้วไม่อร่อย กินแล้วรู้สึกว่ามันเละๆ อยู่ในปาก เคี้ยวก็ไม่ถนัด ไม่อร่อยเลย แถมไม่ได้บริหารฟันด้วย

มีรายงานการทดลองของฝรั่ง เขาออกมาเมื่อปี 2548 นี่เองว่า การที่ฟันของคนได้เคี้ยวอาหาร ทำให้ไม่เป็นโรคอัลไซเม่อร์ คนแก่ไม่มีฟัน ไม่ค่อยได้เคี้ยว เลยเป็นโรคอัลไซร์เม่อร์กันมาก พิสมัยโฆษณา

เหตุนี้มั้ง พิสมัยเลยชอบกินพิซซ่า กินแล้วได้เคี้ยวด้วย พิสมัยบอกว่าจะรีบๆเคี้ยวซะก่อนตั้งแต่ยังไม่แก่ จะได้ไม่เป็นโรคอัลไซร์เม่อร์ด้วย แถมอร่อยดีด้วยอีกต่างหาก น่าสุขโขสโมสรในการกิน

ข้าวฟ่างไม่ชอบกินพิซซ่า จะว่าฟันของข้าวฟ่างไม่ดี เคี้ยวของแข็งไม่ได้ก็ไม่ใช่ ฟันของข้าวฟ่างยังดีอยู่ แต่มันไม่ถูกกับลิ้นของข้าวฟ่าง ข้าวฟ่างเลยไม่ชอบกิน เคยถามพิสมัยเหมือนกันว่าทำไมจึงชอบกินพิซซ่า พิสมัยครุ่นคิดอยู่สักพัก ก็หันมาตอบว่า ชอบตั้งแต่ดูทีวีตอนเป็นเด็กแล้ว

พิสมัยเล่าต่อว่า เคยดูโฆษณาเห็นในทีวี ดูท่าพิซซ่ามันน่าจะอร่อยดี เลยรบเร้าแม่ให้พาไปกิน แม่ทนรบเร้าไม่ได้ เลยพาไปกิน พิสมัยกินแล้วก็อร่อยดี เลยชอบตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

ข้าวฟ่างเลยเออออห่อหมกตามไปด้วย พร้อมเดาชื่อของเพื่อนว่า นี่ถ้าพิสมัยจะพิสมัยในการกินพิซซ่ากระมัง แม่เลยตั้งชื่อให้ว่า พิสมัย เพราะมันมีตัว พ พานเหมือนกัน พิสมัย....พิซซ่า..

พิสมัยบอกว่าไม่ใช่นะ ชื่อพิสมัยเนียะ มันมีมาก่อนจะมาชอบกินพิซซ่าแล้ว แต่แม้จะเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น ไม่พิสมัย แต่พิสมัยก็ยังพิสมัยที่จะกินพิซซ่าอยู่เหมือนเดิม

พิสมัยชอบกินพิซซ่า ใครจะพูดว่าอย่างไรไม่สนใจ ข้าวฟ่างก็เหมือนกัน ใครจะว่าอย่างไรก็ชั่ง ข้าวฟ่างก็ยังชอบกินข้าวฟ่างเหมือนเดิม เหตุที่ทำให้ชอบแต่ละคนมันไม่เหมือนกัน เลยชอบไม่เหมือนกัน มันเป็น นานาจิตตัง



>>>>> มีต่อ หน้า ๒
 
dt
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 19 ก.ย. 2005, 1:21 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

นานาจิตตัง เกิดจากการปรุงของจิตในภายหลัง กรณีชอบกินข้าวฟ่างของข้าวฟ่าง และกรณีชอบกินพิซซ่าของพิสมัยก็เหมือนกัน มันไม่ใช่จะเกิดมาจากท้องพ่อท้องแม่แล้วจะชอบกินแบบนี้เลย มันต้องมีเหตุ มีปัจจัย แล้วเกิดการปรุงขึ้นมา

พิสมัยเลยสาธยายเรื่องการปรุงขึ้นมาว่า การปรุง มันจะต้องมี สถานที่ปรุง เครื่องปรุง แล้วก็สิ่งที่เข้าไปปรุง

แล้วปรุงขึ้นมาอย่างไร พิสมัยผู้เชี่ยวชาญในการปรุงแกงไก่ก็บอกว่า มันต้องมีอุปกรณ์ภายในสถานที่ปรุงหรือที่เรียกง่ายๆว่าเป็นห้องครัวก็ได้ แล้วก็ต้องมีอุปกรณ์ภายนอกห้องครัว

อุปกรณ์ภายในห้องครัวก็เป็นพวกถ้วย โถ โอ ชาม ทัพพี อะไรต่างๆ พวกนี้ มันมีพร้อมอยู่แล้ว เราจึงเรียกมันว่าห้องครัว

อุปกรณ์ภายนอกห้องครัวเราก็หามันเข้ามาเอง พิสมัยจะแกงไก่ ก็เอา ไก่ น้ำพริกแกง แล้วพวกมะเขือ โหระพาเข้ามาเตรียมพร้อมไว้ ถ้าเราเอาน้ำพริกแกงเขียวหวานเข้ามาแกงก็ได้แกงเขียวหวาน เอาน้ำพริกแกงเผ็ดมาแกงก็จะได้แกงเผ็ด เอาน้ำพริกแกงอย่างไรมาแกงมันก็จะได้แกงอย่างนั้น

นี่มันเป็นเรื่องของธรรมะนะ ธรรมะมันเป็นเรื่องของเหตุและผล มีอ้างไว้ในเรื่องของ ปฏิจจสมุปบาท

ปฏิจจสมุปบาท แปลว่าอาศัยกันแล้วเกิดขึ้น ผลต้องอาศัยเหตุ ผลจึงจะเกิดขึ้น

ข้าวฟ่างชัก งง งง พิสมัยเลยบอกว่า ว่างว่างเราจะเล่าให้เธอฟังต่อก็แล้วกัน แล้วจะเล่าให้ฟังเป็นฉากเลย

มาเรื่องการปรุงกันต่อดีกว่า พิสมัยบอก เมื่อเรามีอุปกรณ์ภายนอกห้องครัว มีอุปกรณ์ภายในห้องครัวในการปรุงแล้ว ก็ต้องมีสิ่งที่เข้าไปปรุง หรือตัวที่เข้าไปปรุง หรือคนปรุงซึ่งก็คือ พิสมัยนั่นเอง

พิสมัยก็เป็นตัวสำคัญ ถ้าพิสมัยใส่น้ำปลามากมันก็เค็มมาก ใส่น้ำปลาน้อยมันก็เค็มน้อย หรือไม่ใส่น้ำปลาเลยก็ไม่เค็ม แล้วแต่พิสมัยจะเป็นตัวกำหนด

เรื่องความเผ็ดก็เหมือนกัน แกงเผ็ดไก่ที่มันจะเผ็ดหรือไม่เผ็ด มันก็อยู่ที่สิ่งที่เราเอาเข้ามาปรุง ก็คือน้ำพริก

การใส่น้ำพริกมากน้ำพริกน้อยก็อยู่ที่พิสมัยเป็นคนกำหนดขึ้น แต่พิสมัยก็ต้องดูว่าน้ำพริกที่เราเอามาแกงนี้เราตำมาหรือใช้เครื่องปั่นมาแบบใช้พริกมากพริกน้อยอย่างไร ต้องดูหลายอย่าง มันมีปัจจัยหลายปัจจัย ก่อนที่มันจะมีผลเกิดขึ้น

จิตที่เกิดเป็นนานาจิตตังที่เกิดจากการปรุงหรือการปรุงแต่งจิต ที่เราเคยได้ยินอยู่บ่อยๆ นี่ก็เหมือนกัน มันเกิดจากการปรุงของสิ่งหลายสิ่ง มันมีหลายปัจจัย เหมือนกับการปรุงแกงนั่นแหละ



>>>>> มีต่อ หน้า ๓
 
dt
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 19 ก.ย. 2005, 1:31 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

พูดถึงการแกงไก่ จะพูดแค่มีเนื้อไก่ที่จะแกง มีน้ำพริก มีน้ำปลา มีกะทิ มีมะเขือที่เป็นอุปกรณ์ภายนอกห้องครัว แค่นี้ไม่ได้ ไม่สมบูรณ์ ต้องพูดถึงอุปกรณ์ภายในห้องครัวด้วย ต้องมีถ้วยโถโอชาม แล้วก็ต้องมีคนแกงที่แกงเป็น แล้วก็ต้องมีศิลป์ด้วย ถ้าแกงไม่เป็น เช่นแกงไก่ที่มีกระดูก ใส่กระทิ ใส่น้ำพริก ใส่ไก่ที่มีกระดูกคั่วแล้ว ต้มยังไม่ทันเดือดเลย เอาทัพพีคนใหญ่เลย แกงก็เหม็นคาวตาย

จิตที่ถูกปรุงจนเป็นนานาจิตตังของข้าวฟ่างก็เหมือนกัน เราจะพูดแค่จิตตัวเดียวไม่ได้ มันก็จะเป็นการพูดแบบแยกส่วน แยกส่วนแล้วเราก็ไม่รู้ว่ามันไปเชื่อมต่อกันอย่างไร เราจะต้องพูดกันทั้งระบบ หรือพูดกันเป็นแบบองค์รวม

องค์รวม เป็นศัพท์สมัยใหม่ ที่นิยมพูดกันเมื่อซักยี่สิบกว่าปีมานี่เอง ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน ปี 2542 นี่ยังไม่ได้เขียนไว้เลย เขาแปลมาจากคำในภาษาฝรั่งว่า Holistic

องค์ประกอบที่มันประกอบมาเป็น Holistic หรือองค์รวมที่เราสามารถจะนำไปอธิบายว่าทำไม ข้าวฟ่างจึงชอบกินข้าวฟ่างก็คือ ธรรมชาติที่มันมารวมๆ กันเป็นตัวของข้าวฟ่างเอง ที่เรียกว่า ธาตุ อายตนะ และขันธ์ นี่แหละ มันมีสามสิ่ง แล้วก็ต้องมีระบบการเชื่อมต่อกันของมันในร่างกายของข้าวฟ่างนี่ด้วย เราไม่สามารถพูดแบบแยกส่วนได้ เราจะต้องพูดพร้อมๆ กัน จึงจะเข้าใจ

แล้วคราวนี้แหละ เราจะได้รู้กันว่าทำไมข้าวฟ่างจึงชอบกินข้าวฟ่าง เราจะเล่าให้ฟังเป็นฉากๆ ตามทฤษฎีเลย พิสมัยยืดอกพูดอย่างมั่นใจ


เอกสารอ้างอิงเรื่องนานาจิตตัง
http://www.panya.iirt.net/read/all-html/130816.html
 
สายลม
บัวเงิน
บัวเงิน


เข้าร่วม: 30 พ.ค. 2004
ตอบ: 1245

ตอบตอบเมื่อ: 19 ก.ย. 2005, 6:02 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สาธุ สาธุด้วยครับ คุณ ดีที
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัว
dt
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 06 ต.ค.2005, 8:13 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

หลับสบาย ปลายจมูก : ธรรมะจากป้า

ข้าวฟ่างยังหาข้อมูลที่เป็นใจความสำคัญในเรื่องที่เป็นองค์ประกอบของตัวข้าวฟ่าง เพื่อวิเคราะห์ว่าทำไมข้าวฟ่างจึงชอบกินข้าวฟ่างไม่ครบ จึงขอขายผ้าเอาหน้ารอดเล่านิทานสลับฉากฆ่าเวลาก่อนดีกว่า ตั้งชื่อเรื่องนี้ไว้ว่า ธรรมะจากป้า : รักใสใส หัวใจกระเตง

เป็นเรื่องที่ข้าวฟ่างได้พานพบตอนไปต่างจังหวัด ข้าวฟ่างดูแล้วมันเกิดความคิดขึ้นมาเลย จึงอยากนำมาเล่าให้ฟังเป็นการขัดตราทัพก่อนก็แล้วกัน ชื่อเรื่องนี่ก็นึกขึ้นมาเองคิดว่ามันวัยสะรุ่นดี คำว่ารักใสใสนี่ก็เลียนแบบมาจากชื่อหนังของนักแสดงคณะหนึ่งที่ชื่อ เอฟโพร์ มันดูกระชุ่มกระชวยขึ้นมาหน่อย ส่วนหัวใจกระเตงก็ไม่ใช่กระเตงอะไรดีเด่หรอก แต่เป็นการกระเตงข้าวกระเตงของไปขาย น่ะ

แม้ภายนอกป้าจะเป็นคนค้าคนขายธรรมดาๆ แต่หัวใจของแกซิ สุดยอด ข้าวฟ่างเห็นแล้วยังอาย


ลองมาฟังดูหน่อยนะฮะ
 
dt
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 06 ต.ค.2005, 8:15 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ช่วงนั้นข้าวฟ่างไปต่างจังหวัด คราวนี้ตอนกลับก็กลับโดยรถไฟ ที่สถานีรถไฟมันก็คงเหมือนเหมือนกันทุกที่ทุกแห่งเลยว่า จะต้องมีซุ้ม 4 เหลี่ยมที่ขายของกระจุกกระจิก หรือโชวห่วย

ก่อนข้าวฟ่างขึ้นรถข้าวฟ่างก็ไปซื้อมั่ง เจอดีเลย เจอป้าที่ขายของอยู่ที่ซุ้มเทศให้ฟัง ข้าวฟ่างฟังเสร็จ ก็ต๊กกะใจ คิดว่า โอ้โฮ ป้านี่สุดยอดเลย ข้าวฟ่างก็เลยอยากนำมาเล่าให้ฟังต่อ

ตอนนั้นข้าวฟ่างไปนั่งกินโอวเลี้ยงที่แผงนี้ สักพักก็มีชายอายุซักประมาณยี่สิบกว่า มาซื้อบุหรี่ 1 มวน ป้าอายุซักหกสิบกว่ากว่า แกก็กระวีกระวาดหยิบบุหรี่ให้หนึ่งมวน แล้วรับตังแบ้งยี่สิบที่พับตามขวางเป็นสี่ส่วนที่ชายหนุ่มคนนี้ยื่นให้ เมื่อรับเสร็จ ป้าแกก็หยิบแบ้งยี่สิบใบนั้นมาใส่ลิ้นชัก

พอดีแกหันไปตอบคำถามลูกค้ารายอื่น พอตอบเสร็จแกก็ควานหาเหรียญ ทอนให้ชายผู้นี้ 8 บาท แล้วแกก็หันกลับไปทำงานอื่นด้วยความมั่นใจว่าได้ทอนถูกต้องแล้ว

ชายผู้นี้ก็ต๊กกะใจ ร้องถามไปว่า โห ป้าบุหรี่มวนละ สิบสองบาทเลยเหรอ

ป้าแกก็งง ทำหน้าเหรอหรา ซักพักแกก็ควักตังอีกสิบบาทคืนชายผู้นี้ไปพร้อมทั้งกล่าวคำขอโทษ แกคงนึกออก ข้าวฟ่างคิด

ถ้าแกนึกไม่ออก ข้าวฟ่างก็จะบอกแก เพราะข้าวฟ่างอยู่ในเหตุการณ์ข้าวฟ่างเห็นแบ้งยี่สิบที่พับมาอย่างดีส่งให้ป้า

แต่นี่ไม่ใช่สาระสำคัญที่ข้าวฟ่างจะเล่าเพราะมันก็เป็นทุกคนแหละ ข้าวฟ่างเองก็ไม่ได้อยู่นอกเหนือกฎเกณฑ์นี้ แล้วบางครั้งข้าวฟ่างอาจจะหลงหลงลืมลืมมากกว่าป้าเสียอีก

พอชายผู้นั้นกลับไป ป้าแกก็หันมาคุยกับข้าวฟ่างว่า

เนี่ยะ ดี....ดี.....ดี..................ดีขึ้นทุกวัน.... ดีขึ้นทุกวัน.... ดีขึ้นทุกวัน..... แกพูดกับข้าวฟ่างหยั่งเงี๊ยะ แล้วแกก็หันกลับไปคว้าโน่นคว้านี่ของแกต่อ

ตอนแรกข้าวฟ่างฟังแล้วก็งง ทอนผิดแล้วจะดีอย่างไง แต่ก็รู้ว่าแกคงไม่อยากทอนผิดแน่แน่ เพราะโดยปกติแล้ว พ่อค้าแม่ค้าทุกคนแหละ เขาก็เคารพในวิชาชีพของเขา จะทอนผิดทอนถูกอย่างไรถ้าเขารู้ เขาก็ต้องแก้ไขให้มันถูกต้อง

สักพักแกก็หันมาพูดกับข้าวฟ่างต่อว่า เราต้องพูดว่า ดี ดี ดี ไว้ก่อน อย่าไปกลุ้มกับมัน เดี๋ยวมันจะไปกันใหญ่ พูดว่าแย่ แย่ แย่ มันก็เลยแย่จริงจริง

มันก็หยั่งงี้แหละ อายุมากแล้ว ลืมโน่นลืมนี่เป็นประจำ เดี๋ยวนี้ป้าไม่ไปไหนแล้ว ไกลไกลไม่ไปแล้ว อยู่มันในนี้แหละ อยู่มันที่นี่แหละ (คือในร้านสี่เหลี่ยม) วันเสาร์ก็ไปวัด ไม่ขายแล้ว ให้ลูกมาอยู่แทน
 
dt
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 06 ต.ค.2005, 8:24 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

แล้วแกก็เล่าต่อว่า

เดี๋ยวนี้นะ เรื่องสลับซับซ้อนอะไรป้าไม่คิดแล้ว ปวดหัว หนังสือพิมพ์ป้าก็ดูๆแต่หัวข่าว อ่านลึกๆ ไม่ไหว กลุ้มใจ แล้วก็ช่วยอะไรเขาไม่ได้ (แผงป้าแกขาย หนังสือพิมพ์ด้วย)

ยิ่งที่บ้านนะ ลูกหลานจะทำอย่างไรป้าก็ปล่อยเขา ป้าแก่แล้ว คิดอะไรไม่ค่อยจะทันเขา ไปบอกเขาน่ะมันไม่ดี ไปตัดสินใจให้เขามันไม่ดี ป้าบอก

บางเรื่องนะ เราไม่รู้จริง โลกเดี๋ยวนี้มันสลับซับซ้อน ไปบอกเขามันอาจผิดก็ได้ เราไปบอกสิ่งที่ผิดๆ ให้เค้า...

คนที่ไม่เชื่อเรานะ ก็ไม่เป็นไรไม่มีผลเสียอะไร

แต่คนที่เคารพเราแล้วก็เชื่อเราซิ เขาจะเกิดความเสียหาย ก็มันผิดตั้งแต่ต้นแล้ว ผิดตั้งแต่ที่เราบอกเขาแล้ว มันบาป...

โอ้โฮ สุดยอดป้าเลย ข้าวฟ่างคิด ธรรมะไม่ต้องไปเรียนจากใครหรอก สำหรับข้าวฟ่าง ข้าวฟ่างเรียนจากป้านี่แหละ

รู้แล้วชี้ นี่ดีสุด ยอดอยู่แล้ว

ไม่รู้ไม่ชี้ แม้จะคิดว่าไม่ดี แต่ก็ยังดีกว่าการที่เรา

ไม่รู้แต่ชี้..... ผลกระทบมันมีมากมาย

เค้าอุตส่าห์เคารพเรา มาเชื่อเรา แต่เรากลับไปทำลายเขาโดยชี้ทางที่ผิดให้ อย่างงี้ไม่รู้ไม่ชี้ยังจะดีกว่า


ขอบคุณป้า ป้าผู้มากด้วยธรรมะ สุดยอดป้า
 
dt
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 10 ต.ค.2005, 7:30 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

หลับสบายปลายจมูก : สิ่งมีชีวิตและสิ่งไม่มีชีวิตล้วนประกอบด้วยธาตุ

ข้าวฟ่างรู้จักคำว่าธาตุมาตั้งแต่ตอนเป็นเด็กแล้ว ช่วงนั้นเป็นนักเรียนเรียนวิชาเคมี ครูท่านก็ให้ท่องตารางแผ่นหนึ่ง ที่มีรายละเอียดเกี่ยวกับชื่อธาตุเป็นตัวอักษรภาษาปะกิต แล้วตัวเลขฝรั่งอะไรก็ไม่รู้ย่อเป็นตัวกระจิดริดอยู่ในช่องเล็กๆ ประมาณ 100 กว่าช่อง รวมแล้วร้อยกว่าธาตุ แล้วบอกว่านี่คือตารางธาตุ ให้ท่องให้ได้

ข้าวฟ่างเห็นแล้วก็ง่วงนอนขึ้นมาติดหมัด แต่จะทำไงได้ ไม่รู้จะไปร้องเรียนกับใคร อย่ากระนั้นเลยข้าวฟ่างก็หลับหูหลับตาท่องเป็นการใหญ่ เพราะขืนท่องไม่ได้ ครูให้สอบตกแน่ๆ ในวิชานี้ ไม่มีอุทธรณ์ใดๆทั้งสิ้น เข็ดแล้ว เข็ดจริงๆ เรื่อง ธ่ง เรื่อง ธาตุเนียะ

อ้าว ตอนมาเรียนวิชาชีววิทยา ครูก็สอนอีกนั่นแหละ ว่าอ้ายธาตุที่มีเป็นร้อยเนียะ มีเพียง 20 กว่าธาตุเท่านั้น ที่พบในร่างกาย เพราะนักวิทยาศาสตร์เขาเอาร่างกายไปเผาจนเป็นขี้เถ้า แล้วเอาไปตรวจวิเคราะห์หาปริมาณธาตุดูเรียบร้อยแล้ว ว่ามันมีอยู่แค่นี้ ข้าวฟ่างเลยใจชื้นขึ้นมาหน่อย ว่าวิชานี้นี่ดี ไม่ต้องท่องชื่อธาตุตั้งมากมายก่ายกองให้มึนหัวอีกต่อไปแล้ว

ยิ่งดีใหญ่ ตอนที่มาฟังวิชาชีวเคมี ที่ครูท่านบอกว่า เป็นวิชาที่ศึกษาเกี่ยวกับปฏิกิริยาเคมีในสิ่งมีชีวิต หรือหนังสือบางเล่มเขาก็บอกว่า เป็นวิชาที่ศึกษาส่วนประกอบและการเปลี่ยนแปลงทางเคมีของสิ่งมีชีวิต หรืออีกเล่มหนึ่งเขาก็พูดไว้ว่า เป็นการศึกษาชีววิทยาในระดับเคมีหรือระดับโมเลกุล ข้าวฟ่างฟังแล้วก็เริ่มสงสัยนิดหน่อย

ครูเห็นข้าวฟ่างสงสัย คงกลัวว่าข้าวฟ่างจะเป็นโรคประสาทหวาดผวาเรื่องธาตุ ก็เลยสรุปให้เลยว่า ธาตุที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่มีชีวิตที่มีประมาณ 20 กว่าธาตุนั้น จะมีพวกออกซิเจน คาร์บอน ไฮโดรเจน ไนโตรเจน แคลเซียม ฟอสฟอรัส เท่านั้น ที่ถือว่าเป็นธาตุหลักที่สำคัญในสิ่งมีชีวิต เพราะมันมีปริมาณถึงร้อยละ 99 ของธาตุทั้งหมดที่มีอยู่ในเซลล์ของสิ่งมีชีวิต

พอได้ยินอย่างนี้ ข้าวฟ่างออกจากโรงเรียนก็เลยเดินฮัมเพลงกลับบ้านด้วยความสบายใจ คราวนี้แหละ สบายเรา เราจะไม่ต้องยุ่งชุลมุนวุ่นวายไปกับเรื่องธาตุจำนวนมากมายก่ายกองอีกต่อไป
 
dt
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 10 ต.ค.2005, 7:34 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

แต่เอ๊ะ เดี๋ยว ข้าวฟ่างชักเอะใจ คงไม่ง่ายแล้วกระมัง สงสัยคำว่า ธาตุทั้งหมดที่อยู่ในเซลล์ของสิ่งมีชีวิต ครูบอกว่า ธาตุอยู่ในเซลล์....ธาตุอยู่ในเซลล์.... ตอนท่องตารางธาตุในวิชาเคมี เห็นมีแต่ธาตุ ไม่เห็นมีคำว่าเซลล์เลย ตอนนี้มีคำว่าเซลล์เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยแล้ว เซลล์คืออะไร

เซลล์เป็นหน่วยพื้นฐานที่เล็กที่สุดของชีวิต ในหนังสือชีววิทยาเขาว่าไว้อย่างนั้น ความหมายก็คงตรงตามตัวอักษร สมมติเช่นตัวข้าวฟ่างเป็นหน่วยใหญ่ที่สุด หน่วยพื้นฐานที่เล็กที่สุดของข้าวฟ่างก็คือเซลล์

เซลล์ก็มีตั้งมากมายหลายชนิด มีทั้งเซลล์เมล็ดเลือดแดง เซลล์เมล็ดเลือดขาว เซลล์ผิวหนัง เซลล์สมอง แล้วก็อื่นๆอีกหลายชนิดหลายประเภท จำนวนเซลล์ในแต่ละชนิดแต่ละประเภทก็มากมายจนข้าวฟ่างนับไม่ถูก เฉพาะเซลล์สมองอย่างเดียว ก็มีจำนวน 100,000 ล้านเซลล์เข้าไปแล้ว

ในแต่ละเซลล์ ถ้าดูตามโครงสร้าง ก็จะมีพวกเยื่อหุ้มเซลล์ ไซโทพลาสซึม แล้วก็นิวเคลียส

นิวเคลียส ก็จะมีพวกเยื่อหุ้มนิวเคลียส แล้วก็มีพวกนิวคลีโอพลาซึมที่มีนิวคลีโอลัสแล้วก็โครโมโซมเป็นโครงสร้างอยู่ภายใน

โครโมโซมอย่างเช่นของข้าวฟ่าง มันก็เป็นที่รวมกันของยีนหลายชนิด บนสาย ดี เอน เอ ยาวๆ และยีนที่เป็นสายของ ดี เอน เอ นี้ บางช่วงก็เป็นสารเคมีที่ควบคุมลักษณะทางพันธุกรรมที่ถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่นของสิ่งมีชีวิต พวกนี้มันก็สามัคคีทำงานกันตามระบบ ตามขบวนการของมันเป็นองค์รวม จนทำให้ข้าวฟ่างมานั่งเขียนเรื่องธาตุอยู่นี่แหละ

ซึ่งมันก็เป็นเรื่องปกติ เพราะคนเราเกิดมาหลายพันหลายหมื่นปีแล้ว แต่ละคนก็มีบทบาทหน้าที่ต่างกัน แล้วก็แสดงในบทบาทหน้าที่ที่ต่างกัน มันเป็นการปฏิบัติตามหน้าที่ หรือปฏิบัติตามธรรมะ ธรรมะก็คือหน้าที่นั่นเอง มันเป็นเรื่องปกติ

แต่ที่ไม่ปกติก็คือ ตอนนี้เขากำลังจะเล่นแร่แปรธาตุกับข้าวฟ่างแล้ว เขาจะพิมพ์ข้าวฟ่างขึ้นมาอีกคนหนึ่งก็ได้แล้ว เหมือนกันดิ๊กเลยเหมือนแฝดผู้ลูกเลย ถ้าเขาจะทำก็ทำได้ เพราะเขาทำกับสัตว์หลายชนิด เช่น แกะ วัวและสัตว์อื่นๆ แล้ว เขาทำได้ โดยวิธี จี เอ็มโอ ที่เขาตัดต่อ ดี เอน เอ โดย เขาบอกว่า ดีเอนเอ ที่ผ่านการ Transcription และ Translation แล้ว ได้โปรตีน 1 โปรตีน เรียก 1 ยีน
 
dt
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 10 ต.ค.2005, 7:36 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สาเหตุที่เขาทำได้เพราะเขารู้แผนที่ที่เป็นอันดับของกลุ่มเบสที่ติดต่อกัน อยู่ในแต่ละโมเลกุลของหัวหน้าใหญ่ 4 ตัว คือ A (Adenine), G(Guanine), C(Cytosine), แล้วก็ T(Thymine) แล้ว

สมัยก่อนเขาเล่นแร่แปรธาตุกันแต่สิ่งไม่มีชีวิต แต่เดี๋ยวนี้เขาจะเล่นแร่แปรธาตุกับสิ่งมีชีวิตเลย เขาบอกว่า ที่เมื่อก่อนเรื่องพวกนี้ทำไม่ได้เพราะมันเป็นสิ่งที่เรียกว่า Dogma คือหลักหรือกฎเกณฑ์ที่ไม่มีข้อพิสูจน์ แต่ตอนนี้ในวิชาพันธุศาสตร์ เขาเข้าถึง Central Dogma แล้ว เขาพิสูจน์ได้แล้ว

แต่มันจะยุ่งวุ่นวายกันแค่ไหน แล้วในเรื่องธรรมะนี่จะเป็นอย่างไร มีผลกระทบอะไรหรือเปล่า เราอาจจะต้องถามพิสมัยดูในตอนต่อๆไป ว่าพิสมัยคิดอย่างไรในกรณีเขาจะถ่ายซีร๊อกข้าวฟ่างขึ้นมาอีกคนหนึ่ง

เมื่อกี๊นี้เขียนไปถึงไหนแล้วเนียะ อ๋อ...... เรื่องเราดูเซลล์ตามโครงสร้างของเซลล์ มันก็จะมีพวก เยื่อหุ้มเซลล์ ไซโทพลาสซึม แล้วก็นิวเคลียส นี่เราดูตามโครงสร้างของมัน

คราวนี้เราจะดูตามองค์ประกอบทางชีวเคมีของเซลล์บ้าง มันก็มีพวกโปรตีน คาร์โบไฮเดรต กรดนิวคลีอิค และอื่นๆ โดยมีพวกน้ำทำหน้าที่เป็นตัวทำละลายในสิ่งมีชีวิต อย่างน้ำนี่ก็เป็นสารอนินทรีย์ พวกโปรตีน คาร์โบไฮเดรต กรดนิวคลีอิกทั้งหลายก็เป็นสารอินทรีย์

โปรตีนนั้น นักวิชาการเขาเคยเอาไปวิเคราะห์แล้ว พบว่าโปรตีนโดยทั่วไป จะมี คาร์บอนประมาณร้อยละ 44-55 มีออกซิเจน ประมาณร้อยละ 19-25 มีไฮโดรเจนประมาณร้อยละ 6-4 มีไนโตรเจนประมาณร้อยละ 14-12

คาร์บอนมันก็เหมือนถ่านที่เราหุงข้าว ถ้าเราเอาถ่านมาหุงข้าวมาก เราก็จุดไฟเผาถ่านได้นานหุงข้าวได้หลายหม้อ เป็นการเผาถ่านเพื่อให้เกิดพลังงาน นี่เป็นการใช้ถ่านนอกร่างกายของเรา
 
dt
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 10 ต.ค.2005, 7:38 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

แล้วร่างกายเราเล่า เราจะเดินไปโน่นมานี่มันก็ต้องใช้พลังงาน เราก็จะต้องเผาอะไรซักอย่างหนึ่งเพื่อให้เกิดพลังงาน เผาถ่านคงไม่ได้ เผาโปรตีนนี่เหละ มันมีคาร์บอนมีถึงร้อยละ 44-55 น่าจะเป็นแหล่งพลังงานที่ดี แล้วก็เผาได้นาน ข้าวฟ่างคิด



คิดไปคิดมาคิดซะมึน คิดเสร็จข้าวฟ่างเลยร้องอ๋อ....... ซะยาวเลย ธาตุมันไม่ได้อยู่ในวิชาเคมีอย่างเดียว ไม่ได้อยู่ในตารางธาตุอย่างเดียว มันอยู่ในร่างกายของข้าวฟ่างตอนข้าวฟ่างกินโปรตีนเข้าไปด้วย แล้วร่างกายก็ไปเผาคาร์บอนแล้วก็สร้างโปรตีนขึ้นมาใหม่ด้วย ตามระบบการเผาของมัน (Metabolism) นั่นเอง



การเผามันก็ไม่ได้เผาโปรตีนอย่างเดียว พวกคาร์โบไฮเดรต ไขมัน และอื่นๆ ที่อยู่ในร่างกายของข้าวฟ่างนี่ ก็อยู่ในกระบวนการเผาธาตุให้เกิดพลังงานด้วยเหมือนกัน แต่ที่ยกตัวอย่างเพียงอย่างเดียวเพราะถ้าขืนยกตัวอย่างหลายตัวเดี๋ยวข้าวฟ่างเล่าเองแล้วงงเอง



ข้าวฟ่างได้คำตอบแล้วว่า... ร่างกายของเราถ้าดูจากวิชาวิทยาศาสตร์ที่เรียนจากห้องเรียนมันก็เต็มไปด้วยธาตุ มันเหมือนกับที่ข้าวฟ่างเคยได้ยินจากพระเทศน์เลยว่า อะไรอะไรก็สักแต่ว่าธาตุ ( ธาตุมัตตัง เอวัง : มันเป็นสักแต่ว่าธาตุ เท่านั้นเอง) ..... เรียนเรื่องธาตุในวิชาวิทยาศาสตร์ในห้องเรียนที่โรงเรียน กับเรียนเรื่องธาตุจากพระเทศน์นี่ คล้ายกันเลยนิ.........



 
dt
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 10 ต.ค.2005, 7:40 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เฮ้ย.... จบซะที ข้าวฟ่างเขียนซะจนตาลายไปหมด ภาษาอะไรก็ไม่รู้ เขียนยากเขียนเย็น แต่ท่านผู้อ่านอย่าเพิ่งตาลายก่อนเพราะอ่านยากอ่านเย็นตามข้าวฟ่างนะฮะ กลัวเดี๋ยวท่านผู้อ่านจะไม่มีแรงอ่านต่อ แล้วข้าวฟ่างเสียกำลังใจแย่เลย



ที่เรื่องมันชวนเวียนหัวก็เพราะคำว่า ”ธาตุ” ที่ข้าวฟ่างเล่าผ่านมา เราแปลมาจากคำว่า Element ในภาษาฝรั่ง หรือของชาวตะวันตก ที่ข้าวฟ่างรู้จักกับมันตอนเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ในห้องเรียนที่โรงเรียน แล้วข้าวฟ่างก็ติดมันมาจนถึงปัจจุบัน พอตอนศึกษาธรรมะ ข้าวฟ่างเห็นคำว่า Element เมื่อไร ข้าวฟ่างก็จะแปลไว้ก่อนว่า ธาตุ ในทางกลับกัน ถ้าข้าวฟ่างเห็นคำว่า ธาตุ เมื่อไรข้าวฟ่างก็จะแปลไว้ก่อนว่าเป็น Element



แต่ถ้าจะให้ดีแล้ว ข้าวฟ่างว่าคำคิดว่า Element แปลว่า “ส่วนที่เป็นรากฐาน” จะดีกว่า มันจะได้เข้ากับเรื่องราวในตอนต่อๆไปของเรา อย่าง Elementary Education ก็แปลว่า ประถมศึกษา ประถมศึกษามันก็เป็นส่วนที่เป็นรากฐานของการศึกษาทั้งปวง



ในตอนต่อไป จะเล่าถึงคำว่าธาตุตามทัศนะของชาวตะวันออก หรือชาวพุทธเรา ที่พอเขียนเป็นภาษาฝรั่งแล้วกลายเป็นคำว่า Element ดูซิว่ามันจะเหมือนกันหรือต่างกันอย่างไร พอพูดถึงคำว่า Element ฝรั่งกับไทยจะชี้ไปที่วัตถุสิ่งเดียวกันหรือไม่



ติดตามอ่านต่อนะฮะ ข้าวฟ่างรับรองเลยว่า สนุกแน่

 
dt
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 19 พ.ย.2005, 12:27 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

พอดีตอนต่อไปของเรื่องหลับสบายปลายจมูก dt ยังเขียนไม่เสร็จ แต่เผอิญหลายปีก่อน dt ฟังวิทยุเจอดีเจ ท่านหนึ่ง เล่าเรื่องเรื่องหนึ่งให้ฟัง dt เห็นว่าเรื่องน่าสนใจ..ก็เลยนำมาเล่าให้เพื่อนเพื่อนฟังต่อ ก็ต้องขอโทษดีเจ ท่านนี้ด้วยที่ไม่ได้อ้างชื่อท่าน เพราะจำชื่อท่านไม่ได้แล้ว แล้วก็จำคลื่นไม่ได้ เค้าเรื่องจึงไม่ใช่ของ dt แต่ dt เอามาต่อเติมนิดหน่อย ลองฟังดูนะฮะ ให้ชื่อเรื่องนี้ว่า เรื่องของท่านศาสตราจารย์



มีศาสตราจารย์หนุ่มผู้มีความรู้สูงผู้หนึ่ง เดินทางไปในเรือเดินสมุทร ที่มีไต้ก๋งผู้ถืออำนาจสิทธิขาดบนเรือที่อ่านหนังสือไม่ออกเขียนหนังสือไม่ได้…



พอว่าง ไต้ก๋งก็จะเข้าไปในห้องพักของท่าน ศ. ผู้นี้และฟัง ศ. ผู้นี้คุยด้วยความศรัทธา ด้วยความประทับใจอย่างยิ่ง….…



วันหนึ่ง ..ท่าน ศ. ถามไต้ก๋งขึ้นว่า..ท่านเคยเรียน วิชาธรณีวิทยา (Geology) มาบ้างหรือเปล่า..



ธรณงธรณี..อะไรกัน ไม่เคยครับ ไม่เคยเข้าโรงเรียน..แล้วก็ไม่รู้หนังสือ…



ท่าน ศ. เลยกล่าวอย่างสมเพชขึ้นว่า โธ่เอ๋ย..นี่เดินเรือแล้วไม่รู้วิชาเกี่ยวกะ ดิน หิน แผ่นดิน นี่ เท่ากับท่านเสียเวลาไปเปล่าเปล่า ตั้งเสี้ยวหนึ่งของชีวิตเชียวนะ..



ไต้ก๋ง เป็นผู้รู้น้อย ก็ต้องถ่อมตัวเป็นธรรมดา..ก็คิดว่า เอ..เรารู้น้อยไปจริงจริง…ไม่รู้เรื่องเกี่ยวกะวิชาธรณีวิทยาเลยนิ แต่ก็ไม่ได้กล่าวโทษคนอื่น..รึโทษว่าพ่อแม่เราทำไมไม่ให้เราเรียน.เลย..…ก็ปลง..ว่าเรารู้น้อย..กลับไปก้มหน้าก้มตาทำหน้าที่ของให้ดีที่สุด



 
dt
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 19 พ.ย.2005, 12:30 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

รุ่งขึ้น ไต้ก๋ง ก็มาอีก..…เพราะใฝ่เรียน อยากศึกษาเรื่องราวจากปากผู้รู้…ท่าน ศาสตราจารย์ ก็ฟุ้งอีก ถามอีกว่า..



ท่านเคยเรียนวิชาสมุทรศาสตร์ (Oceanography) มาบ้างหรือเปล่า….คำตอบก็เหมือนเดิม..ไม่เคยครับ..



โธ่…ท่านเสียเวลาของชีวิตไปครึ่งหนึ่งเชียวนะ…ท่าน ศาสตราจารย์ พูดพร้อมส่ายหัว..



มันเป็นวิชาสำคัญเกี่ยวกะอาชีพท่านนะ…สมุทรศาสตร์เป็นวิชาที่ว่าด้วยปรากฏการณ์ของทะเล และมหาสมุทรอย่างไรเล่า..



โอ้..เรานี่ถ้าจะแย่จริงจริง.. …ก็ไม่ได้ไปโทษผู้อื่น..นึกปลงตัวเอง…



อีกวัน ไต้ก๋งก็มาอีก ..ท่าน ศาสตราจารย์ ก็ถามอีกว่า..ท่านเคยเรียนวิชา..อุตุนิยมวิทยา (Meteorology)มาหรือไม่…อุตุอุแตะอะไรกัน…กระผมผู้น้อยไม่รู้เรื่องเลย…



อุตุที่เขาพยากรณ์อากาศกัน น่ะ…แล้วกันทั้งเรื่องดิน..เรื่อง..น้ำ..เรื่องฟ้า..ท่านไม่ได้เรียนซักอย่าง…เกี่ยวกับเรื่องอาชีพ …นอกกาย..รอบรอบกายของท่านแท้แท้..



เท่ากับท่านเสียเวลาของชีวิตไปแล้ว สามในสี่เลยนะนี่….

 
dt
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 19 พ.ย.2005, 12:34 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ไต้ก๋งยิ่งเศร้าหนัก….ไม่รู้เรื่องอะไรเลย…ไม่ได้เรียนอะไรเลย…ไม่ได้ศึกษาอะไรเลย…จากตำรา…



แต่ก็ไม่ได้โทษผู้อื่น..กล่าวโทษผู้อื่น….กลับไปทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด….



รุ่งขึ้น ไต้ก๋งกระหือกระหอบเข้ามาในห้องของท่านศาสตราจารย์ ถามท่านศาสตราจารย์ขึ้นว่า



ท่านครับ..ท่านครับ..ท่านเรียนวิชาว่ายน้ำศาสตร์มารึเปล่า..ว่ายน้ำส่งว่ายน้ำศาสตร์อะไรกัน ท่านศาสตราจารย์ชักสงสัย ไม่เคยได้ยินเลย ศาสตร์นี้



ก็ว่ายน้ำเป็นรึเปล่าไงครับบบ…ท่าน ไต้ก๋งกล่าวอย่างนอบน้อม



ไม่เป็น..ไม่เป็น ท่านศาสตราจารย์ตอบ…



ตายแล้วเรือจะจมในอีกไม่กี่ชั่วโมงนี้…ท่านว่ายน้ำไม่เป็น..ดูท่าท่านจะต้องเสียทั้งเวลาและทั้งชีวิตของท่านเสียแล้วแหละครับ….ถ้าท่านว่ายน้ำเป็นท่านอาจรอดชีวิต..ผมจะรีบไปเอาห่วงยางมาให้นะครับ…เผื่อจะรอด..ไต้ก๋งพูดแล้วก็รีบวิ่งออกไปหาห่วงยางให้

 
dt
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 19 พ.ย.2005, 12:37 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ถูกแล้ว..ศาสตร์ทั้งหลายในโลกมีมากมาย..เราไม่อาจจะเรียนในศาสตร์ภายนอกหมด…เราฟังมา อ่านมา เท่าไรเท่าไรก็ไม่หมด…แต่ศาสตร์ภายในที่ต้องใช้การปฏิบัติจึงจะรู้เห็นได้ด้วยตนเอง ที่เป็นสันทิติโก ที่เราควรเรียนก่อนเพื่อให้รอดชีวิตในช่วงวิกฤต เรากลับไม่ค่อยให้ความสนใจเท่าไร…ดังเช่นว่ายน้ำ ที่แม้เราอ่านตำราว่ายน้ำมากมาย แต่เราก็ไม่อาจว่ายน้ำเป็น..ถ้าเราไม่ปฏิบัติ



การฝึกสมาธิเพื่อให้มีสมาธินี่ก็เหมือนกัน…เหมือนกับการฝึกว่ายน้ำ….เป็นเรื่องที่จะต้องฝึกปฏิบัติด้วยตนเอง….ไม่อาจเรียกขึ้นมาใช้ประโยชน์ได้เลย..ถ้าไม่ฝึกปฏิบัติ..ถ้าปฏิบัติจนเป็นแล้ว มันก็อาจช่วยชีวิตเราในช่วงคับขันได้



คนที่มีความรู้มักหยิ่งยโสว่าตัวเองเก่ง…กว่าจะรู้ตัวว่าตัวเองเป็นคนปกติธรรมดา..ที่ธรรมดา..ไม่ได้เก่งอะไรมากมายเลย ก็ก่อนตายแป๊บเดียว…เหมือนท่านศาสตราจารย์ท่านนี้



ท่านศาสตราจารย์อาจลืม..สัจจธรรมที่ว่า…



อันตรายของความรู้…หรือสิ่งที่เรียกว่า Knowledge นั้นก็คือ..ไม่รู้..ว่าตนเองไม่มีความรู้…



ไม่มีความรู้ ทั้งๆที่เป็นเรื่องใกล้ตัวของตนเอง…แต่มัวไปว่าคนโน้นคนนี้ ที่ในเรื่องนี้ก็คือไต้ก๋ง ว่าไม่มีความรู้

 
สายลม
บัวเงิน
บัวเงิน


เข้าร่วม: 30 พ.ค. 2004
ตอบ: 1245

ตอบตอบเมื่อ: 19 พ.ย.2005, 11:55 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน





สาธุๆๆ ในความอุสาหะคัดลอกนำมาให้อ่านนะครับ



 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัว
dt
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 26 พ.ย.2005, 9:59 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สวัสดีฮะ คุณสายลมและทุกท่าน dt ขอโพสต่อเลยนะฮะ ถ้าอ่านแล้วมีอะไรที่มันน่าจะไม่ถูกต้องก็ comment ได้นะฮะ







หลับสบายปลายจมูก : สิ่งมีชีวิตและสิ่งไม่มีชีวิตล้วนประกอบด้วยธาตุ ( 3 )



การที่เราจะรู้ว่าทำไมข้าวฟ่างจึงชอบกินข้าวฟ่าง เราก็ต้องมาพิจารณาดูที่ตัวข้าวฟ่างเสียก่อน ว่าตัวข้าวฟ่างประกอบไปด้วยอะไรบ้าง หรือพูดให้ง่ายๆก็คือ หาสิ่งที่มาประกอบเป็นชีวิตของข้าวฟ่างนั่นเอง



พิสมัยมาถึงก็บรรเลงฉากแรกเลย สงสัยจะอายข้าวฟ่างกระมัง ที่หายไปเสียตั้งสองฉาก ปล่อยให้ข้าวฟ่างเงอะๆ งะๆ บรรเลงคนเดียว เลยขู่ข้าวฟ่างโดยเอาเรื่องที่น่าปวดหัว มาพูดเลย



หาสิ่งที่มาประกอบเป็นชีวิตของข้าวฟ่าง ฟังดูแล้วมันก็คงยากที่จะเข้าใจ แต่ข้าวฟ่างก็คิดว่าถ้าฟังเรื่องนี้เข้าใจ เรื่องการนั่งสมาธิ หรือการทำจิตภาวนา ที่พิสมัยแอบกระซิบไว้ก่อนว่าจะเล่าให้ฟังในตอนต่อๆ ไป ก็จะง่ายแล้ว เพราะเราทราบทฤษฏี เมื่อทราบทฤษฏี เราก็จะปฏิบัติได้เร็ว เพราะเราได้ทางลัดมาทำ



เรื่องทฤษฏี กับปฏิบัตินี้ข้าวฟ่างเคยเห็นนาย Rush เขาอ้างไว้เมื่อปี 1972 พอข้าวฟ่างเห็นแล้วก็ชอบเลย เพราะมันเข้ากับเรื่องกับราวของเราที่จะเตรียมการฝึกนั่งสมาธิ เขาเขียนไว้ว่า Theory without applications become fantasy, while applications without theory become chaos.



ข้าวฟ่างเห็นมีคำว่า Theory กับคำว่า Application ข้าวฟ่างเลยดัดแปลงมาเป็นแบบของข้าวฟ่างเองบ้างว่า บ้าทฤษฏี ไม่มีทำ พร่ำแต่คิด สุดวิลิศมาหรา, มันจะยุ่ง มุ่งแต่ทำ มัวพร่ำบ่น คงพ่นพิษ เพราะมันผิดทฤษฏี



ฟังดูแล้วมันก็คล้องจองกันดีตามแบบของข้าวฟ่าง แต่ในโลกแห่งความเป็นจริงแล้ว ข้าวฟ่างคิดว่าคำที่จะให้เข้ากับเรื่องนี้จริงๆ ก็คงเป็นคำในพุทธศาสนาที่ว่า ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ นั่นเอง ข้าวฟ่างอยากจะได้ ปริยัติด้วยแล้วก็ปฏิบัติด้วย เพื่อจะได้ปฏิเวธ ข้าวฟ่างก็เลยลองพยายามตั้งใจฟังดู ได้ยินเสียงพิสมัย เจื้อยแจ้วต่อไปว่า

ข้าวฟ่างจะต้องยอมรับเสียก่อนว่า “สิ่งต่างๆ จะมีชีวิตหรือไม่มีชีวิต ล้วนประกอบไปด้วยสิ่งที่เรียกว่า ธาตุ” โดยให้คำว่าธาตุ หรือ ธา-ตุ เป็นคำสุดท้ายของการที่จะแยกมันได้ ก็แล้วกัน

 
dt
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 26 พ.ย.2005, 10:03 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

คือแยกออกไปเป็นส่วนๆ เล็ก เล็ก เล็ก ลงไป แล้วก็จะลงไปสิ้นสุดกันที่ธาตุก็พอ เพราะอุปกรณ์การแยกแยะในสมัยโบราณมันไม่ได้ละเอียดมากมายดังเช่นในปัจจุบัน



สรุปก็คือ ธาตุ คือทุกสิ่งที่กำลังเป็น “ตัวเรา” อยู่ภายในกายของเรา หรือทุกสิ่งที่กำลังเป็นตัวข้าวฟ่าง อยู่ในกายข้าวฟ่าง ย้ำว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นตัวข้าวฟ่าง อยู่ในกายข้าวฟ่าง และทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ภายนอกกายข้าวฟ่าง ที่แวดล้อมตัวของข้าวฟ่างอยู่



นี่คือธาตุ ข้าวฟ่างได้ยินเสียงพิสมัยเล่าแว่วๆมา ข้าวฟ่างชักตาปรือแล้ว ง่วงแล้ว ฟังก็ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไร จะถามพิสมัยก็เกรงใจตามแบบวัฒนธรรมไทยๆเรา คิดว่าฟังๆ ไปสักพักก็คงจะเข้าใจเอง ถ้าตั้งใจฟัง



คำว่า ธาตุ มีรากมาจากคำว่า ธร ทอธงกับรอเรือ ที่ทั้งภาษาบาลีและภาษาสันสกฤตเป็นคำที่ตรงกัน แปลว่า ทรง คำว่าทรงนี้อาจจะมองได้สามมุมคือ ทรงตัวมันเอง ไปทรงสิ่งอื่น หรือถูกสิ่งอื่นทรงไว้อีกทีหนึ่ง เราเรียกว่าธาตุทั้งหมด



ฟังๆดูมันเป็นภาษาที่น่าเวียนหัว ข้าวฟ่างก็ชักมึนๆ แต่พอเข้าใจเอาในเบื้องต้นไว้ก่อนว่า ให้ถือเอาความหมายมัน ถ้ามันมีสิ่งที่ทรงตัวเองได้ และสัมพันธ์กันอยู่ ก็จะทรงหมู่หรือทรงกลุ่มนั้นไว้ได้ เราเรียกว่าธาตุ



หรือถ้าเราดูอีกแบบหนึ่ง มันอาจจะชัดเจนยิ่งขึ้นก็คือ เราจะแบ่งธาตุออกเป็นสองประเภท หรือ สองแบบ พิสมัยบอก



แบบแรกคือ ธาตุที่ทรงอยู่ได้ด้วยการไหลเวียนเปลี่ยนแปลง เพราะมีอะไรมาปรุงแต่ง กับแบบที่สองคือ ธาตุที่ทรงอยู่ได้ ด้วยการไม่ไหลเวียนเปลี่ยนแปลง ไม่มีอะไรปรุงแต่ง พวกหลังนี้คือนิพพานธาตุ ธาตุแห่งความดับเย็น คือเป็นที่ดับของธาตุอื่นๆทั้งหมด เลยเย็น เรียกว่าเอาอะไรร้อนๆหยอดตุ๋มลงไป เย็นหมด



ยกตัวอย่างให้เห็นเป็นรูปธรรมง่ายๆว่าน้ำแข็งนี่มันเย็น แล้วเอาอะไรดี อ่ะ หยอดลงไป สมมติเอา น้ำหวานรึอะไรก็ได้ หยอดลงไป น้ำหวานมันก็เย็นตามน้ำแข็ง มันเลยเย็นด้วยกันทั้งคู่ อย่างนี้เราเรียกว่าน้ำหวานเย็น หรือน้ำหวานนิพพานก็ได้ เพราะรากศัพท์ของคำว่านิพพานในภาษาบาลีแปลว่าเย็น แปลว่าสงบ นิพพานัง ปรมัง สุขขัง สุขอื่นยิ่งกว่าความสงบเย็น ไม่มี

 
dt
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 26 พ.ย.2005, 10:06 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ถ้าเราทำอย่างไรก็ได้ ปฏิบัติอย่างไรก็ได้ หรือนั่งสมาธิก็ได้ จนเราเย็นแล้วหรือนิพพานแล้ว อารมณ์ร้อนอย่างไรเข้ามาหาเรา มันก็เย็นหมด ทั้งตัวเราแล้วก็คนที่แวดล้อมเรา



ลองดู ลองนั่งสมาธิดู แต่ต้องนั่งให้ผ่านจุดๆหนึ่ง หรือ Boundary ใด Boundary หนึ่งไปนะ กี่เดือนกี่ปีก็แล้วแต่แต่ละคน แล้วเราก็จะพิสูจน์ได้ มันเป็นวิทยาศาสตร์ที่พิสูจน์ได้



อ้าว เป็นอย่างนี้เองเหรอ ข้าวฟ่างไม่รู้เรื่องเลย ได้ยินแต่ว่าการศึกษาพุทธศาสนาเขามุ่งนิพพานกันมุ่งหลุดพ้นกัน ข้าวฟ่างก็ศึกษาไปเรื่อยๆ ฟังไปเรื่อยๆ แต่ไม่รู้ว่าเขาไปนิพพานกันอย่างไรเหมือนกัน ตอนแรกก็คิดว่าตายแล้วจึงไปนิพพาน ให้เย็นแบบนี้เองเหรอ



แล้วนิพพานแบบเย็นเหมือนน้ำแข็งแบบนี้ข้าวฟ่างจะไหวเหรอ ข้าวฟ่างยังโมโหเรื่องโน้นเรื่องนี้อยู่เลย ประเมินผลตอนนี้ ที่นี่และเดี๋ยวนี้เลยเหรอ แบบเป็นวิทยาศาสตร์เลยเหรอ ถ้าวัดผลประเมินผลกันตอนตายแล้วได้ไปนิพพานพอยังชั่ว ข้าวฟ่างจะได้หวังลมๆแล้งๆ ไปเรื่อยๆ แต่ข้าวฟ่างก็ไม่อยากขัดคอพิสมัย ได้ยินเสียงพิสมัยเล่าแว่วๆ ต่อว่า



ส่วนธาตุที่ทรงตัวอยู่ได้ด้วยการไหลเวียนเปลี่ยนแปลง เพราะมีอะไรมาปรุงแต่ง ที่พอมีอะไรมาปรุงแต่งแล้วมันก็เนื่องเนื่องกันไปเรื่อยๆ ก็ยกตัวอย่างข้าวฟ่างนี่แหละ



ข้าวฟ่างอาศัยอยู่ในจักรวาล ที่มีดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลาง โลกก็หมุนรอบตัวเองด้วย หมุนรอบดวงอาทิตย์ด้วย มันไหลเวียนเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ ตัวข้าวฟ่างก็อยู่บนโลกก็ต้องหมุนรอบแกนของโลกด้วย แล้วก็หมุนรอบดวงอาทิตย์ด้วย ตัวของข้าวฟ่างก็ต้องไหลเวียนเปลี่ยนแปลงไปด้วย นี่เป็นการดูภายนอก



ถ้าดูภายใน ในขณะที่ข้าวฟ่างอยู่บนโลกที่หมุนรอบดวงอาทิตย์อยู่นี้ ในตัวของข้าวฟ่างก็ต้องมีการหายใจเอาออกซิเจนเข้าไป เพื่อให้เกิดพลังงาน ทำให้เลือดลมเดินไหลเวียนในร่างกาย นี่เป็นการไหลเวียนเปลี่ยนแปลงเพราะมีอะไรมาปรุงแต่ง



ถ้าไม่มีออกซิเจนเข้าไปไหลเวียนเปลี่ยนแปลงแล้วเข้าไปปรุงแต่งให้กลายมาเป็นคาร์บอนไดออกไซแล้ว ข้าวฟ่างก็จอดป้าย เข้าโลงเรียบร้อยโรงเรียนจีนเหมือนกัน หรือถ้าโลกหยุดหมุน ข้าวฟ่างก็จอดป้ายเหมือนกัน มันเป็นเรื่องธรรมดา ภาษาพระเขาบอกว่า ตถตา คือมันเป็นเช่นนั้นเอง ทุกสิ่งทุกอย่างมันต้องเนื่องกันไปอยู่ตลอดเวลา มันเป็นธรรมะ

 
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง