Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 พระพุทธเจ้าของเรานั้นท่านเลิศล้ำ (เสฐียรพงษ์ วรรณปก) อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
admin
บัวทอง
บัวทอง


เข้าร่วม: 15 ธ.ค. 2004
ตอบ: 1886

ตอบตอบเมื่อ: 04 มี.ค.2007, 1:15 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

Image

พระพุทธเจ้าของเรานั้นท่านเลิศล้ำ
โดย เสฐียรพงษ์ วรรณปก


ได้อ่านพระนิพนธ์ของสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก นานมาแล้ว สมัยยังทรงดำรงสมณศักดิ์ที่ พระสาสนโสภณ (ประมาณนั้น) ขออภัย จำไม่แม่น พระองค์ทรงนิพนธ์เป็นตอนๆ ตั้งชื่อว่า "พระพุทธเจ้าของเรานั้นท่านเลิศล้ำ" ไม่ทราบว่า สำนักพิมพ์มหามกุฏราชวิทยาลัย ยังพิมพ์เผยแพร่อยู่หรือไม่ ถ้าไม่มี ก็น่าจะพิมพ์ เพราะเป็นหนังสือที่ดีมาก เล่าเรื่องพระพุทธเจ้าง่ายๆ เหมาะสำหรับนักเรียน นักศึกษา

วันมาฆบูชาปีนี้ ถือว่าเป็นวันพิเศษ

พิเศษ เพราะเป็นวันสำคัญอันมีลักษณะพิเศษในทางพระพุทธศาสนา สภานิติบัญญัติแห่งชาติ ร่วมกับรัฐบาล มหาเถรสมาคม สถาบันพระปกเกล้า และกรมปศุสัตว์ กระทรวงเกษตร ร่วมกันจัดสัปดาห์วันมาฆบูชา นอกเหนือจากถวายเป็นอามิสบูชาและปฏิบัติบูชาแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ยังมีโครงการไถ่ชีวิตโค-กระบือ ถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระเจ้าอยู่หัว เนื่องในวโรกาสที่พระองค์ทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ 80 พรรษา ในปี พ.ศ.2550 นี้ นับเป็นอุดมมงคลยิ่ง

พิเศษ เนื่องจากมาฆบูชาปีนี้ ตรงกับวันเพ็ญ 15 ค่ำ เดือน 4 เพราะเป็นปีอธิกมาส หลายท่านถามว่า ทำไมในบัตรที่แจกบอกว่า เพ็ญเดือน 3 แต่นี่มันเดือน 4 แล้ว พิมพ์ผิดหรือเปล่า ผมตอบว่าไม่ผิดดอก ปีนี้เป็นปีมีอธิกมาส วันมาฆบูชาจึงเลื่อนมาเป็นวันเพ็ญเดือน 4

ตอบแค่นี้ นึกว่าจะหมดข้อสงสัย เธอก็ถามต่อว่า "อธิกมาส" คืออะไร อธิกมาส แปลตามตัวว่า "เกินมาหนึ่งเดือน" หรือ "เพิ่มมาหนึ่งเดือน" คือปีนี้นับกันจริงๆ มี 13 เดือน ต้องหาทางให้ลดลงมาเหลือ 12 เดือน จึงนับเดือน 8 สองครั้ง อย่างที่เรียกว่า "เดือนแปดสองหน"

เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ขณะรอเฝ้าฯ รับเสด็จสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณ์วลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ทรงเป็นประธานเปิดสัปดาห์วันมาฆบูชา พลเอก จรัล กุลละวณิชย์ รองประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ปรารภว่า จาตุรงคสันนิบาตคืออะไร และโอวาทปาติโมกข์คืออะไร ต่างจากที่ทรงแสดงในวันวิสาขบูชาอย่างไร คนไทยก็ไม่ค่อยรู้ ผมก็เรียนท่านว่า คงเป็นธรรมดากระมัง เพราะคนไทยทั่วไปก็ไม่ค่อยรู้ ทั้งๆ ที่พระท่านก็เทศน์ให้ฟังเสมอๆ ท่านก็ว่า ต้องเทศน์ย้ำบ่อยๆ หน่อย จะได้จำกันได้

ครับ ผมเห็นด้วย เพราะทราบว่า รัฐมนตรี (ในอดีต) บางท่านว่า นโม ไม่จบก็มี ท่านไปถวายผ้าพระกฐินที่พระรามหลวงแห่งหนึ่ง ตามปกติเขาจะติดคำถวายไว้ที่ผ้าไตร ประธานฯอ่านตามนั้น ก็ไม่เกิดเรื่อง แต่คราวนั้น เขาเขียน นโม เพียงจบเดียว เพื่อประหยัดกระดาษ

ท่านรัฐมนตรีว่านโมหนึ่งจบ เจ้าอาวาสท่านก็บอกว่า เจริญพร ให้ว่านโมสามจบ ท่านอดีตรัฐมนตรีก็กระแอมเพื่อให้สุ้มเสียงชัดเจน แล้วก็กล่าวดังๆ ว่า

"นโม นโม นโม"

เล่นเอาตะลึงกันทั้งโบสถ์ นี่ถ้าอภิปรายในสภา ก็คงจะพูดตามธรรมเนียมว่า "อดีตรัฐมนตรีท่านนั้นคือ.....(ขออภัยที่เอ่ยนาม)" มีจริงๆ ครับ แต่เอ่ยนามไม่ได้

วันนั้นผมเดินดูนิทรรศการพุทธประวัติตามซุ้มต่างๆ มีภาพพุทธประวัติวาดสวยงามหลายซุ้ม แต่ก็มาสะดุดตา สะดุดใจที่ซุ้มหนึ่ง ฉากพระนางสิริมหามายามีพระประสูติกาล แทนที่จะเป็นภาพพระนางสิริมหามายาทรงยืนเหนี่ยวกิ่งสาละ และพระราชกุมาร ผินพระพักตร์ไปทางทิศอุดร ทรงชี้พระดรรชนีขึ้นท้องฟ้า เสด็จดำเนินไป 7 ก้าว (ในพระไตรปิฎกไม่มีดอกบัวผุดขึ้นรองรับพระบาท พุทธประวัติเขียนยุคหลังเพิ่มเข้ามา) เปล่ง "อาสภิวาจา" (พระวาจาที่องอาจ) ตามหลักฐานพระไตรปิฎก ที่เราศึกษาเล่าเรียนกันมา

ท่านผู้จัดทำภาพพุทธประวัติก็จงใจบิดเบือน ให้เจ้าชายสิทธัตถะประสูติอย่างทารกทั่วไป พระนางมิได้ทรงยืน เหนี่ยวกิ่งสาละแต่อย่างใด

ภาพสวยดีครับ แต่ผิดข้อเท็จจริง และ "สาระ" สูญหายไปหมดสิ้น ต่อไปก็คงจะมีภาพพระนางทรงมีพระประสูติกาลพระราชโอรส ที่โรงพยาบาลชั้นดีแห่งใดแห่งหนึ่งเป็นแน่แท้

เมื่อนั้นเด็กๆ ก็จะตอบคำถามของครูได้ง่ายขึ้น

ครู. "นักเรียน เจ้าชายสิทธัตถะ ประสูติที่ไหน"

นักเรียน. "ที่สวนลุมพินี ครับ/ค่ะ"

ครู. "ทำไม เจ้าชายจึงประสูติที่สวนลุมพินี"

นักเรียน (แย่งกันตอบ) "เพราะใกล้โรงพยาบาลจุฬาฯครับ/ค่ะ"

ถามว่า ทำไมภาพพุทธประวัติจึงกลายเป็นเช่นนี้ ตอบว่า เพราะครูอาจารย์ และพระสงฆ์องคเจ้าสมัยนี้ไม่ได้อ่านพระคัมภีร์พระไตรปิฎก และอรรถกถา จึงคิดเอาว่า เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้

ศิลปินก็คิดเช่นนี้ จึงวาดให้เหมือนทารกอื่นที่คลอดจากท้องแม่

สมัยโบราณท่านอธิบายว่า ไม่ได้เดินไม่ได้พูดจริง หากเป็นสัญลักษณ์ว่า เดิน หมายถึงอย่างนั้นๆ พูด หมายถึงอย่างนั้นๆ เจ็ดก้าว หมายถึงอย่างนั้นๆ เป็นต้น ก็เพราะความไม่เชื่ออย่างที่ว่านั้นแหละ แต่ท่านก็ไม่กล้าเปลี่ยนภาพเขียนเหมือนคนปัจจุบันนี้

ถ้าอ่านพระไตรปิฎกอย่างพินิจพิเคราะห์เสียหน่อยก็จะเห็นว่า ไม่จำต้องแปลเป็นภาษาสัญลักษณ์ดอก แปลตามตัวอักษรนั้นแหละ ถูกต้องแล้ว คือเจ้าชายเดินได้จริง พูดได้จริง

ลองอ่านข้อความต่อไปนี้ดู

"เป็นธรรมดาของพระโพธิสัตว์ ที่ไม่ทั่วไปแก่ชนเหล่าอื่นคือ.....พระโพธิสัตว์มีสติสัมปชัญญะเสด็จจากสวรรค์ชั้นดุสิตลงสู่พระครรภ์พระมารดา เมื่อลงสู่พระครรภ์แสงสว่างหาประมาณมิได้ปรากฏขึ้นในโลกทั้งปวง หมื่นโลกธาตุหวั่นไหว เมื่อพระโพธิสัตว์เสด็จลงสู่พระครรภ์แล้ว เทวดา 4 องค์ทำหน้าที่อารักขาในทิศทั้ง 4 ไม่มีใครสามารถเบียดเบียนได้ พระโพธิสัตว์อยู่ในครรภ์พระมารดา พระมารดาเป็นผู้มีศีล 5 สมบูรณ์ พระโพธิสัตว์อยู่ในครรภ์พระมารดา พระมารดามิได้ฝักใฝ่ในกามคุณในบุรุษ.....หลังจากเสด็จลงสู่พระครรภ์แล้ว พระมารดามิได้มีโรคเบียดเบียน มิได้ลำได้ลำบากพระวรกาย สามารถมองเห็นพระกุมารในพระอุทรมีอวัยวะน้อยใหญ่ครบ พระมารดาให้กำเนิดพระโพธิสัตว์ ต่อเมื่อพระโพธิสัตว์อยู่ในพระครรภ์ถ้วนทศมาส ผิดกับสามัญชนทั่วไปซึ่งอยู่ในครรภ์ 8-9 เดือน

เมื่อพระมารดาจะมีพระประสูติกาล จะทรงยืน ไม่นั่งหรือนอนเหมือนหญิงทั่วไป.....พระโพธิสัตว์ไม่เปรอะเปื้อนด้วยมลทินครรภ์ ทรงบริสุทธิ์หมดจด ดุจแก้วมณีวางอยู่บนผ้ากาศิกพัสตร์.....ในบัดดลที่ประสูติ พระโพธิสัตว์ประทับพระยุคลบาทบนแผ่นดิน บ่ายพระพักตร์ไปทางทิศอุดร เสด็จดำเนินไป 7 ก้าว ทรงเหลียวดูทิศทั้งปวงแล้วทรงเปล่ง "อาสภิวาจา" ว่า "เราเป็นผู้เลิศในโลก เราเป็นผู้ประเสริฐสุดในโลก เราเป็นใหญ่ที่สุดในโลก ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย ไม่มีการเกิดใหม่อีกต่อไป"

(พระไตรปิฎกเล่มที่ 10 ข้อ 24 หน้า 17)

ปรากฏการณ์พิเศษต่างๆ เหล่านี้ ท่านว่า เป็น "ธรรมดา" ของพระโพธิสัตว์ มิใช่เรื่องอิทธิปาฏิหาริย์ใดๆ ก็ต้องไล่ต่อไปว่า พระโพธิสัตว์คือใคร พระโพธิสัตว์คือบุคคลผู้บำเพ็ญบารมีจนเต็มเปี่ยมแล้ว พร้อมที่จะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ท่านจึงมีธรรมดาที่ไม่เหมือนคนอื่น เช่นเกิดมาแล้วพูดได้ เดินได้ทันที

ไม่ใช่เรื่องอิทธิปาฏิหาริย์แต่อย่างใด เหมือนธรรมดาของนกย่อมบินได้ ธรรมดาของปลาอยู่ในน้ำทั้งวัน นานๆ จะโผล่ขึ้นมาหายใจที ฉันใดฉันนั้น

กินเนสบุ๊กบันทึกเกี่ยวกับเด็กชายสองคน ผมจำได้คนหนึ่งชื่อ คริสติน ไฮเนเกน เกิดมาสองชั่วโมงพูดได้ อายุสี่ขวบพูดได้เจ็ดภาษา เจ็ดขวบแสดงปาฐกถาเรื่องอภิปรัชญาแก่ประชุมนักปราชญ์โลก เป็นที่ทึ่งไปตามๆ กัน

กินเนสบุ๊กคงไม่โกหกเรา อย่างน้อยสมัยนี้ สมัยที่เราสามารถสืบหลักฐานได้ เด็กเกิดมาแล้วสองชั่วโมง พูดได้ก็มีแล้ว เทียบกับสมัยโน้น เจ้าชายน้อยพระองค์หนึ่งเมื่อสองพันห้าร้อยกว่าปีมาแล้ว ทันทีที่ประสูติก็พูดได้ เดินได้ เวลาห่างกันเพียงสองชั่วโมง

ไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับบุคคลผู้มีบุญญาธิการ มีบารมีเต็มเปี่ยมอย่างพระโพธิสัตว์ ที่เกิดทันทีพูดได้ เดินได้

อนึ่ง ที่พูดได้ เดินได้หลังประสูติ เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นชั่วขณะเท่านั้น จากนั้นก็นอนแบเบาะให้เขาเลี้ยงเหมือนเด็กอื่นๆ ทั่วไป



>>>>> จบ >>>>>



หนังสือพิมพ์มติชน รายวัน หน้า 6
คอลัมน์ รื่นร่มรมเยศ โดย เสฐียรพงษ์ วรรณปก
วันที่ 04 มีนาคม พ.ศ. 2550 ปีที่ 30 ฉบับที่ 10585
 

_________________
-- การให้ธรรมเป็นทาน ชนะการให้ทั้งปวง --
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 05 มี.ค.2007, 10:50 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สาธุ สาธุ สาธุ

ธรรมะสวัสดีค่ะ

ดอกไม้ ดอกไม้ ดอกไม้
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง