Home
•
กระดานสนทนา
•
สมาธิ
•
สติปัฏฐาน
•
กฎแห่งกรรม
•
นิทาน
•
หนังสือ
•
บทความ
•
กวีธรรม
•
ข่าวกิจกรรม
•
แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้
ค้นหา
สมัครสมาชิก
รายชื่อสมาชิก
กลุ่มผู้ใช้
ข้อมูลส่วนตัว
เช็คข้อความส่วนตัว
เข้าสู่ระบบ(Log in)
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
ก่อนเหล้าจะท่วมเมือง (พระไพศาล วิสาโล)
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
:: ลานธรรมจักร ::
»
บทความธรรมะ
ผู้ตั้ง
ข้อความ
admin
บัวทอง
เข้าร่วม: 15 ธ.ค. 2004
ตอบ: 1886
ตอบเมื่อ: 18 มี.ค.2007, 10:49 am
ก่อนเหล้าจะท่วมเมือง
โดย พระไพศาล วิสาโล
แม้เหล้าจะอยู่คู่คนไทยมาช้านาน
แต่ในอดีตที่ผ่านมามันมักจะซุกตัวอยู่ในมุมเล็กๆ ของสังคมและมีพื้นที่ที่ค่อนข้างจำกัด ผู้คนส่วนใหญ่จะกินเหล้าก็ต่อเมื่อมีโอกาสสำคัญ เช่น งานแต่งงาน ลงแขกเกี่ยวข้าว หรือมีพิธีกรรมเกี่ยวข้องกับผี อาทิ พิธีเลี้ยงศาลปู่ตา ในวันธรรมดานั้น มีไม่กี่คนที่กินเหล้าเป็นประจำ แต่ก็ไม่มากถึงกับเมามายหรือทะเลาะเบาะแว้งกัน ส่วนใหญ่เป็นคนมีอายุ หนุ่มสาวกินน้อยมาก ใช่แต่เท่านั้น การผลิตและการซื้อขายเหล้ามักจะทำกันในที่ลับตา ห่างไกลหมู่บ้าน หาได้ประเจิดประเจ้ออย่างทุกวันนี้ไม่
สภาพดังกล่าวเปลี่ยนไปอย่างแทบจะสิ้นเชิงในปัจจุบัน เหล้าได้ขยายพื้นที่เข้าไปในแทบทุกหนแห่งของสังคมไทย และรุกเข้าไปในชีวิตของผู้คนอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน การกินเหล้าสามารถกระทำได้ในแทบทุกกาละและเทศะ สำหรับคนจำนวนไม่น้อยมันได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันไปแล้ว โดยขยายตัวไปยังหนุ่มสาวและคนที่อายุน้อยลงเรื่อยๆ ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นควบคู่กับการที่เหล้าเองสามารถปรากฏตัวอย่างเปิดเผยในทุกหนแห่ง โดยเฉพาะตามร้านค้าเคียงคู่กับสินค้าชนิดอื่นๆ อีกทั้งยังรุกเข้าไปตามบ้านเรือนผ่านโฆษณาทางโทรทัศน์ มิไยต้องเอ่ยว่ามันถูกยกสถานะเป็นสินค้าที่เสริมภาพลักษณ์และใช้สำหรับเฉลิมฉลองในงานสำคัญต่างๆ
ในอดีตเหล้ามีพื้นที่จำกัดสาเหตุสำคัญประการหนึ่งก็เพราะอิทธิพลของพุทธศาสนา แต่ทุกวันนี้กลับเป็นตรงข้าม เหล้าสามารถแผ่อิทธิพลเข้าไปในพื้นที่ของพุทธศาสนา นอกจากมันจะเป็นเครื่องดื่มยอดนิยมในงานบุญ เช่น งานบวชหรืองานทอดผ้าป่าและกฐินแล้ว มันยังรุกเข้าไปในเขตวัด วัดจำนวนไม่น้อยในเมืองไทยกำลังกลายเป็นพื้นที่สำหรับตั้งวงเหล้าและเมามายกัน โดยเฉพาะเมื่อมี "งานบุญ" ต่างๆ ที่ร้ายกว่านั้นก็คือ ไม่เพียงแต่ศาลาวัดหรือลานวัดเท่านั้น ทุกวันนี้มันยังรุกเข้าไปแม้กระทั่งในกุฏิของพระเณรบางวัดด้วยซ้ำ
การแพร่หลายของเหล้านั้นน่าสังเกตว่ามาพร้อมกับการขยายตัวของเงินตรา เมื่อชาวบ้านเปลี่ยนจากการผลิตเพื่อบริโภคมาเป็นผลิตเพื่อขาย มีเงินผ่านมือเข้ามามากขึ้น การซื้อเหล้าก็สะดวกกว่าแต่ก่อนมาก โดยเฉพาะเมื่อเหล้าถูกทำให้เป็นสินค้าถูกกฎหมาย วางขายทั่วไปไม่ต่างจากสินค้าอื่นๆ สามารถซื้อกินได้ตลอดวันตลอดปี (ผิดกับสมัยก่อนซึ่งคนที่ต้มเหล้าขายมีอยู่ไม่มากนักจึงหาซื้อได้ไม่สะดวก)
ในหลายชุมชนค่านิยมเลี้ยงเหล้าในงานต่างๆ เกิดขึ้นเมื่อชาวบ้านที่ไปทำงานในเมืองกลับมาพร้อมกับเงินก้อนใหญ่และรสนิยมการเสพอย่างในเมือง ยิ่งคนที่ร่ำรวยมาจากตะวันออกกลางด้วยแล้ว ยิ่งนิยมหาเหล้ามาเลี้ยงตามงานต่างๆ แต่ทั้งหมดนี้ยังไม่ทำให้เหล้ารุกเข้ามาในเขตวัด จนเมื่อมีการนำเอากองผ้าป่าหรือกองกฐินจากในเมืองเข้ามา รวมทั้งการจัดงานวัดเพื่อหาเงินเข้าวัด ทำให้การกินเหล้าในวัดกลายเป็นเรื่องธรรมดาในหลายชุมชน
อย่างไรก็ตาม ที่กล่าวมาข้างต้น เป็นเพียงปัจจัยภายนอก สิ่งที่มองข้ามไปไม่ได้ก็คือปัจจัยภายใน ปฏิเสธไม่ได้ว่าความเสื่อมถอยของพุทธศาสนาในชุมชนเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้การกินเหล้ากลายเป็นที่นิยมอย่างกว้างขวาง สภาพดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงการสูญเสียบทบาทความเป็นผู้นำของพระสงฆ์และความสัมพันธ์ที่เหินห่างระหว่างวัดกับชุมชน ในหลายแห่งพระสงฆ์ไม่ได้ใส่ใจกับปัญหาอบายมุขในชุมชนเลยก็ว่าได้ ผลก็คือในที่สุดอบายมุขก็ท่วมทะลักเข้ามาในวัด
มาถึงตรงนี้เหล้ากลายเป็นปัญหาที่หลายวัดมิอาจนิ่งดูดายต่อไปได้ แต่การจะแก้ปัญหาการกินเหล้าในวัดก็มิใช่เรื่องที่จะทำได้ด้วยการสั่งห้ามหรือออกกฎ อย่างที่นิยมทำกันในหลายแวดวง หากจะต้องเสริมสร้างจิตสำนึกของประชาชน อย่างน้อยก็ต้องฟื้นฟูศรัทธาให้เกิดมีขึ้นกับพระสงฆ์ รวมทั้งสร้างสายสัมพันธ์ระหว่างพระสงฆ์กับชุมชนให้แนบแน่นขึ้น
วัดลองตอง ต.บ้านโพธิ์ อ.เมือง จ.นครราชสีมา
เป็นกรณีตัวอย่างที่น่าสนใจ วัดนี้เป็นวัดเก่าแก่ที่มีอายุนานถึง 300 ปี เจ้าอาวาสหลายรูปในอดีตเป็นที่เคารพสักการะของชาวบ้าน ในอดีตผู้คนไม่นิยมกินเหล้า ร้านค้าจะปฏิเสธการจำหน่ายเหล้าด้วยซ้ำ แต่เมื่อพระครูจันทสรานุยุต (พระอาจารย์สมาน จันทสโร) มาเป็นเจ้าอาวาสวัดลองตองเมื่อปี 2529 นั้น การกินเหล้าในวัดเป็นเรื่องธรรมดา โดยเฉพาะเมื่อมีงานวัด งานกฐิน-ผ้าป่า หรือการอบรมโดยหน่วยงานราชการ
ท่านเห็นว่าปัญหานี้ปล่อยปละละเลยต่อไปไม่ได้ อย่างน้อยๆ วัดจะต้องเป็นเขตปลอดเหล้า แต่ท่านตระหนักดีว่าปัญหานี้มิอาจแก้ได้ด้วยการออกคำสั่งห้าม หากจะต้องทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป ด้วยการสร้างศรัทธาในหมู่ชาวบ้านก่อน
ท่านเริ่มต้นด้วยการทำให้พระเณรในวัดเป็นที่น่าเลื่อมใส นอกจากการควบคุมดูแลให้อยู่ในวินัย เช่น ห้ามพระเล่นหวย เล่นการพนัน และห้ามสูบบุหรี่แล้ว ท่านยังส่งเสริมการศึกษาของพระเณรให้มีความรู้ทางธรรมควบคู่กับทางโลก รวมทั้งดูแลความเป็นอยู่ไม่ให้อัตคัดขาดแคลน ขณะเดียวกันในส่วนตัวท่านเอง ก็บำเพ็ญตนเป็นแบบอย่างด้วยการอยู่อย่างสมถะ มีความโปร่งใสในทางการเงิน มีการทำบัญชีเงินบริจาคและการใช้จ่ายอย่างละเอียด รวมทั้งบำเพ็ญตนเป็นผู้ให้ ปัจจัยที่ได้จากการเทศน์ก็นำไปช่วยเหลือโรงเรียนหรือสถานีอนามัยในหมู่บ้าน
จากนั้นท่านได้ฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างวัดกับชุมชน ด้วยการรื้อฟื้นงานการสงเคราะห์ชุมชน ซึ่งเคยเป็นบทบาทที่สำคัญในอดีต อาทิ การขุดขยายสระน้ำในวัดตามมาด้วยการทำระบบประปาให้ชาวบ้านได้ใช้ การบอกบุญเพื่อสร้างถนนเข้าหมู่บ้าน ตลอดจนการสงเคราะห์ผู้ยากไร้
เมื่อสงเคราะห์ทางด้านความเป็นอยู่แล้ว ท่านก็มาจับงานด้านส่งเสริมการศึกษาของชาวบ้าน เริ่มต้นด้วยการจัดหาทุนการศึกษาให้นักเรียน ของบริจาคที่เกินความต้องการของวัดก็มอบให้แก่โรงเรียนที่ขาดแคลน ต่อมาท่านได้เปิดโรงเรียนพุทธศาสนาวันอาทิตย์ ซึ่งได้รับความนิยมมีเด็กมาเรียนถึง 400-500 คน จากทั้งตำบล
ขั้นต่อมาคือการพัฒนาทางด้านจิตใจ นอกจากการไปสอนวิชาศีลธรรมตามโรงเรียนแล้ว ท่านยังริเริ่มจัดค่ายคุณธรรมสำหรับเด็ก ส่งเสริมการปฏิบัติธรรมรักษาศีลทุกวันพระในช่วงเข้าพรรษา และจัดปริวาสกรรมที่วัดเป็นประจำทุกปี นอกจากนั้นท่านยังออกไปเยี่ยมเยียนชาวบ้านเป็นประจำ โดยเฉพาะการไปให้กำลังใจคนป่วย
กิจกรรมดังกล่าวนอกจากจะเป็นการฟื้นเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างวัดกับชุมชนให้แน่นแฟ้นแล้ว ยังเป็นการฟื้นฟูความเป็นผู้นำของพระสงฆ์ให้กลับคืนมา ขณะเดียวกันก็เป็นเงื่อนไขให้เกิดเครือข่ายความสัมพันธ์ระหว่างวัด โรงเรียน ชุมชน และหน่วยงานราชการ เพราะไม่ว่าจะทำอะไร ท่านพระครูฯ จะไม่ทำคนเดียว แต่พยายามดึงกลุ่มบุคคลและองค์กรต่างๆ มาร่วม ไม่ว่าผู้นำชุมชน โรงเรียน อบต. และหน่วยราชการต่างๆ
เมื่อท่านเป็นที่ยอมรับและได้รับความเลื่อมใสศรัทธาจากชาวบ้าน ท่านก็หันมาจับประเด็นที่ต้องสวนทางกับกิเลสของชาวบ้าน นั่นคือการทำให้วัดเป็นเขตปลอดเหล้า ท่านเริ่มดำเนินการอย่างค่อยเป็นค่อยไปมาตั้งแต่ปี 2534 จนกระทั่งปี 2542 ก็ประกาศเด็ดขาดว่า ห้ามการดื่มเหล้าและขายเหล้าในวัด ผู้ฝ่าฝืนจะให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการตามกฎหมาย แม้ว่าคำสั่งนี้จะเป็นที่ขัดใจของชาวบ้านหลายคน แต่ความที่ท่านมี "พระคุณ" กับชาวบ้านมานาน "พระเดช" ของท่านจึงได้รับการต่อต้านน้อยมาก แม้ว่ายังมีบางคนที่ลักลอบทำอยู่บ้างเมื่อมีงานวัด
ความที่วัดมีความสัมพันธ์ที่ดีกับโรงเรียน ดังนั้น เมื่อวัดกลายเป็นเขตปลอดเหล้า จึงเป็นแบบอย่างให้หลายโรงเรียนในตำบลปฏิบัติตามด้วย งานที่จัดในโรงเรียนจึงไม่มีการเลี้ยงเหล้าอีกต่อไป โดยที่ท่านไม่ได้บอกให้โรงเรียนทำแต่อย่างใด ขณะเดียวกันการที่ท่านสอนนักเรียนในเรื่องนี้อยู่สม่ำเสมอ ก็ทำให้ครูหลายคนพลอยลดและเลิกกินเหล้าไปด้วย ส่วนในหมู่บ้านเองการกินเหล้าก็ลดลง เกิดกลุ่มงดเหล้าเข้าพรรษา งานเลี้ยงต่างๆ แม้จะยังมีการกินเหล้า แต่หากจะมีกิจกรรมหรือพิธีกรรมต่อที่วัด ก็ต้องดื่มให้เสร็จที่บ้าน หรือจัดเลี้ยงต้อนรับแขกให้แล้วเสร็จก่อนจะเข้าวัด
ควรกล่าวด้วยว่าการที่วัดลองตองเป็นเขตปลอดเหล้าได้นั้น การมีส่วนร่วมของชุมชนก็มีส่วนสำคัญมาก ผู้นำชุมชนหลายคนมีบทบาทแข็งขันในการดูแลและกวดขันชาวบ้าน รวมทั้งการตอกย้ำสำนึกว่าวัดเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่ควรฝ่าฝืนหรือผิดศีล
คงต้องจับตาดูต่อไปว่าเขตปลอดเหล้าจะขยายจากวัดไปยังหมู่บ้านลองตองจะได้มากน้อยเพียงใด แต่สิ่งหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ก็คือ การต้านทานอิทธิพลของเหล้าให้ได้ผลนั้น พลังทางศาสนาและพลังของชุมชนมีความสำคัญไม่น้อย การรื้อฟื้นพลังทั้งสองในชุมชนจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง อย่างน้อยก็ในสังคมระดับหมู่บ้าน อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดนี้จะต้องทำควบคู่ไปกับการลดอิทธิพลของเหล้าในระดับประเทศ ซึ่งเปรียบเสมือนคลื่นที่ถาโถมซัดกระหน่ำชุมชนอย่างรุนแรง การมีมาตรการระดับประเทศ เช่น การจำกัดการโฆษณาเหล้าและการควบคุมการวางขายเหล้าเป็นเงื่อนไขที่จะต้องทำให้เป็นจริงก่อนที่เหล้าจะท่วมบ้านเมืองมากไปกว่านี้ ด้วยเหตุนี้เราจึงควรร่วมกันผลักดันให้ร่าง พ.ร.บ.ควบคุมแอลกอฮอล์ที่ค้างคาอยู่ในเวลานี้ ให้กลายเป็นกฎหมายเพื่อจำกัดเหล้าให้อยู่ในที่ทางอันเหมาะสมเสียที
............................................................
คัดลอกมาจาก
หนังสือพิมพ์มติชน รายวัน หน้า 6
คอลัมน์ มองอย่างพุทธ
วันที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2550 ปีที่ 30 ฉบับที่ 10599
_________________
-- การให้ธรรมเป็นทาน ชนะการให้ทั้งปวง --
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089
ตอบเมื่อ: 19 มี.ค.2007, 10:41 am
สาธุ สาธุ สาธุ
ธรรมะสวัสดีค่ะ
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:
แสดงทั้งหมด
1 วัน
7 วัน
2 สัปดาห์
1 เดือน
3 เดือน
6 เดือน
1 ปี
เรียงจากเก่า-ใหม่
เรียงจากใหม่-เก่า
:: ลานธรรมจักร ::
»
บทความธรรมะ
ไปที่:
เลือกกลุ่ม บอร์ด
กลุ่มสนทนา
----------------
สนทนาธรรมทั่วไป
แนะนำตัว
กฎแห่งกรรม
สมาธิ
ฝึกสติ
การสวดมนต์
การรักษาศีล-การบวช
ความรัก-ผูกพัน-พลัดพลาก
กลุ่มข่าวสาร-ติดต่อ
----------------
ข่าวประชาสัมพันธ์
ธรรมทาน
รูปภาพ-ประมวลภาพกิจกรรมต่างๆ
สำหรับนักเรียน นักศึกษา ขอความรู้ทำรายงาน
แจ้งปัญหา
รูปภาพในบอร์ด
กลุ่มสาระธรรม
----------------
หนังสือธรรมะ
บทความธรรมะ
นิทาน-การ์ตูน
กวีธรรม
นานาสาระ
ต้นไม้ในพุทธประวัติ
วิทยุธรรมะ
ศาสนสถานและศาสนพิธี
----------------
สถานที่ปฏิบัติธรรม
วัดและศาสนสถาน
พิธีกรรมทางศาสนา
พุทธศาสนบุคคล
----------------
พระพุทธเจ้า
ประวัติพระอสีติมหาสาวก
ประวัติเอตทัคคะ (ภิกษุณี, อุบาสก, อุบาสิกา)
สมเด็จพระสังฆราชไทย
ประวัติและปฏิปทาของครูบาอาจารย์
ในหลวงกับพระสุปฏิปันโน
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณ
ไม่สามารถ
สร้างหัวข้อใหม่
คุณ
ไม่สามารถ
พิมพ์ตอบ
คุณ
ไม่สามารถ
แก้ไขข้อความของคุณ
คุณ
ไม่สามารถ
ลบข้อความของคุณ
คุณ
ไม่สามารถ
ลงคะแนน
คุณ
สามารถ
แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ
สามารถ
ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้
เลือกบอร์ด •
กระดานสนทนา
•
สมาธิ
•
สติปัฏฐาน
•
กฎแห่งกรรม
•
นิทานธรรมะ
•
หนังสือธรรมะ
•
บทความ
•
กวีธรรม
•
สถานที่ปฏิบัติธรรม
•
ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ
•
วิทยุธรรมะ
•
เสียงธรรม
•
เสียงสวดมนต์
•
ประวัติพระพุทธเจ้า
•
ประวัติมหาสาวก
•
ประวัติเอตทัคคะ
•
ประวัติพระสงฆ์
•
ธรรมทาน
•
แจ้งปัญหา
จัดทำโดย กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ
webmaster@dhammajak.net
Powered by
phpBB
© 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
www.Stats.in.th