Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 ศีลธรรมและสัจจธรรม (หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ) อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 03 ก.พ.2007, 5:25 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

Image

ศีลธรรมและสัจจธรรม
โดย หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ


วันอาทิตย์ที่ 16 สิงหาคม 2513

คัดลอกจาก...
http://www.panya.iirt.net

สาธุ สาธุ สาธุ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 03 ก.พ.2007, 5:28 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย
ณ บัดนี้ถึงเวลาของการฟังปาฐกถาธรรม
อันเป็นหลักคำสอนในทางพระพุทธศาสนาแล้ว
ขอให้ทุกท่านอยู่ในอาการสงบ ตั้งอกตั้งใจฟังให้ดี
เพื่อให้ได้ประโยชน์อันเกิดขึ้นจากการฟังตามสมควรแก่เวลา
ในวันอาทิตย์ที่แล้วมา ได้อัดเทปปาฐกถาไว้ให้ญาติโยมทั้งหลายฟัง
เพราะมีกิจธุระไปข้างนอก อาทิตย์ต่อๆ ไปนี้
ไม่มีธุระอะไรจะไปข้างนอก ญาติโยมก็มาฟังได้โดยตรงจากปาก
ไม่ต้องฟังจากเทปอัดเสียง
เรื่องที่พูดไป 2 อาทิตย์ก่อนนั้น
เป็นการพูดที่แนะแนวทางชั้นรากฐาน
อันเป็นข้อปฏิบัติในส่วนเบื้องต้น สำหรับเราผู้นับถือพระพุทธศาสนา
เพื่อจะได้ให้เกิดความเข้าใจ
เมื่อเราเข้ามาเป็นศิษย์ของพระพุทธเจ้าแล้ว
เราควรจะปฏิบัติตนอย่างไร มีความคิดอย่างไร
ตามทัศนะของพระผู้มีพระภาคเจ้า
เพราะว่าเรายอมเป็นศิษย์ของท่านผู้ใด
เราก็ควรจะได้ปฏิบัติตามคำสอนของท่านผู้นั้น

ดอกไม้ ดอกไม้ ดอกไม้


(มีต่อ 1)
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 03 ก.พ.2007, 5:29 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เมื่อเราสมัครจะเป็นลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้า
เราก็ปฏิบัติตนตามคำสอนของพระองค์อย่างแน่วแน่
ไม่ง่อนแง่นคลอนแคลน จึงควรรู้ไว้เป็นเบื้องต้นว่า
การปฏิบัติตามคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น
เราควรจะมีความเชื่ออย่างไร มีความคิดอย่างไร
มีการกระทำในรูปใด จึงจะเรียกว่าถูกตรงตามคำสอน
ในทางพระพุทธศาสนา ซึ่งหวังว่าญาติโยมทั้งหลายที่ได้ฟังแล้ว
คงจะนำไปคิดพิจารณาด้วยปัญญา
เพื่อให้เกิดความเข้าใจชัดเจนถูกต้องและแก้ไขความคิดเห็น
การปฏิบัติให้ดีงามถูกต้อง เพื่อจะได้เข้าใกล้พระรัตนตรัย
คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มากยิ่งขึ้น
การที่เราปฏิบัติตามหลักธรรมะทางพระพุทธศาสนาดังที่กล่าวแล้ว
ความจริงก็เป็นเรื่องง่าย สะดวกสบาย
ไม่ลำบากยากเข็ญอะไรมากนัก
เพียงแต่มีคตวามเชื่อว่า
การกระทำของเราเอง
จะช่วยสร้างชีวิตของเราเอง
แล้วเราก็ลงมือปฏิบัติตามแนวทางนั้น เป็นเรื่องที่ลำบาก
บางทีต้องมีการลงทุน ต้องแสวงหา
ต้องรอเวลาเพื่อให้เหมาะกับเวลาที่ต้องการ
ถ้าไม่เหมาะแก่ เวลาก็ทำไม่ได้

ดอกไม้ ดอกไม้ ดอกไม้


(มีต่อ 2)
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 03 ก.พ.2007, 5:30 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

การปฏิบัติธรรมะในทางพระพุทธศาสนานั้น
เรียกว่าเป็น อกาลิก คือ ไม่จำกัดเวลา
ไม่ถือว่าควรจะปฏิบัติเวลานั้น เวลานี้ เวลานั้นดี เวลานี้ชั่ว
อะไรอย่างนี้ไม่มี แต่พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
... การปฏิบัติตามธรรมะที่เราตถาคตบอกแล้ว กล่าวแล้วนั้น
เมื่อไรก็ได้ จะเป็นตอนเช้า ตอนสาย ตอนบ่าย ตอนเย็น
เราก็ทำได้ทั้งนั้น ใสสถานที่ใดๆ ก็ทำได้
มีอย่างเดียวที่จะต้องเลือกเฟ้นก็คือว่า
จัดธรรมะให้ถูกแก่เหตุการณ์ แก่บุคคล
แก่สถานที่ที่เราเข้าไปเกี่ยวข้องเท่านั้นเอง...

ทีนี้โรคของเรานั้น มีโรคทางภายนอก คือ โรคร่างกาย
เรียกว่า โรคฝ่ายกาย อีกอย่างหนึ่งเรียกว่า โรคฝ่ายจิต
โรคฝ่ายกายนั้น เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของดินฟ้าอากาศ
เกิดจากเชื้อโรคที่เช้ามาเกาะจับในร่างกาย
ทำให้ร่างกายเราไม่สบายผิดปกติไป
การรักษาโรคฝ่ายกายนั้น ก็ต้องใช้วัตถุเป็นเครื่องรักษา
เช่นเรามียาประเภทต่างๆ ซึ่งทางฝ่ายแพทย์เจริญมากในเรื่องอย่างนี้
ได้จัดยาไว้ให้เหมาะแก่โรค ถ้าเราไปหาหมอให้ตรวจทันท่วงที
หมอให้ยาเหมาะแก่โรค ก็หายไวไม่เปลืองเวลา
ไม่เสียเงินไปโดยใช่เหตุ รักษาไม่ยากอะไรนัก


ดอกไม้ ดอกไม้ ดอกไม้


(มีต่อ 3)
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 03 ก.พ.2007, 5:34 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

โรคทางฝ่ายจิตหรือวิญญาณ เป็นโรคที่เกิดขึ้นภายใน
ไม่อาศัยอะไรที่เป็นเชื้อข้างนอกมากนัก
อาศัยบ้างก็เพียงแต่สิ่งที่มากระทบ
เช่นรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ที่มากระทบทางประสาทห้าของเรา
แล้วก็เกิดทำให้มีอาการทางจิตใจขึ้น เรียกว่า โรคทางใจ

โรคทางใจนั้นเป็นจำพวกกิเลส
ซึ่งเกิดขึ้นแลล้วทำให้จิตของเราเปลี่ยนสภาพจาก
หน้าตาดั้งเดิมไปเป็นอีกรูปหนึ่ง
เช่น เปลี่ยนไปเป็นความโลภ เป็นความโกรธ เป็นความหลง
เป็นความริษยา อาฆาต พยาบาทจองเวร มีประการต่างๆ
ในขณะใดที่ใจเรามีโรคเกิดขึ้น
มันก็เปลี่ยนสภาพไปตามอำนาจของโรคนั้น


เช่น โลภะ เกิดขึ้นก็มีความอยากได้ไม่รู้จักพอ
ในทรัพย์สมบัติของผู้อื่น ซึ่งตนไม่มีสิทธิจะพึงมีพึงได้

โทสะเกิดขึ้นก็มีความเร่าร้อน
คิดแต่ในเรื่องที่จะประทุษร้ายเบียดเบียนคนอื่น
ทำให้คนอื่น ได้รับความทุกข์ความเดือดร้อนด้วยประการต่างๆ

โมหะ เกิดขึ้นในใจ ก็ทำให้มืดมัวหลงใหล
ไม่เข้าใจชัดเจนในเรื่องนั้น เป็นเหตุให้หลงผิดไป
โดยประการต่างๆ ทำให้เกิดความทุกข์ความเดือดร้อน
พยาบาทเกิดขึ้น ก็เป็นไปในทางมุ่งร้าย
จองล้างจองผลาญบุคคลอื่น

ริษยา เกิดขึ้นก็เป็นเหตุให้ไม่ยินดี ไม่มีความสุขความสบายใจ
ในเมื่อเห็นคนที่เราไม่ชอบใจมีความสุข มีความเจริญ
มีความก้าวหน้าในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง
เราไม่ชอบใจในความเป็นอยู่ของบุคคลนั้น
อาการเช่นนี้เรียกว่าเป็นโรคริษยา
โรคริษยานี้ถ้าเกิดขึ้นในใจของบุคคลใดแล้ว
ทำให้บุคคลนั้นเร่าร้อนกระวนกระวายอยู่ตลอดเวลา
ไม่มีความสุขไม่มีความสงบ

ความทุกข์ความเดือดร้อนที่เกิดขึ้นในใจของคนเรานั้น
เกิดจากโรคทางใจ โรคทางใจนี้เป็นโรคร้ายทำลายสังคม
ทำให้มนุษย์อยู่ในความทุกข์ความเดือดร้อนด้วยประการต่างๆ
จึงเป็นหน้าที่ของเราจะต้องรักษาโรคชนิดนี้
อันการรักษาโรคชนิดนั้น เราจะไปหาหมอตามธรรมดาก็ไม่ได้
เพราะว่าหมอตามธรรมดาทั่งไปนั้น มีหน้าที่เยียวยาโรคทางกาย
ไม่มีหน้าที่เยียวยาโรคทางจิตใจ
บางทีหมอเองก็อาจจะเป็นโรคทางด้านจิตใจนั้นได้เหมือนกัน
จึงเป็นที่พึ่งในเรี่องนี้ยังไม่ได้


ดอกไม้ ดอกไม้ ดอกไม้


(มีต่อ 4)
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 03 ก.พ.2007, 5:35 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เราจะรักษาโรคทางใจของเราได้นั้น ต้องอาศัยยา คือ ธรรม
อันเป็นหลักคำสอนในทางพระศาสนา

เวลาเรารู้สึกตัวว่าเรามีโรคทางใจเกิดขึ้น
เราก็ไปหาหมอประเภทที่มีความรู้ทางธรรมะ
เล่าเรื่องให้ท่านฟังว่าเราไม่สบาย
มีความครุ่นคิดในเรื่องนั้นเรื่องนี้
มีความไม่ดีไม่งามเกิดขึ้นในใจ
มีความทุกข์ มีความเดือดร้อนกระวนกระวายต่างๆ
ควรจะรักษาอย่างไร
ทีนี้เมื่อเราไปหาเช่นนั้นท่านก็คงจะบอกวิธีการให้ว่า
ควรจะรักษาอย่างนั้น รักษาอย่างนี้
เราก็นำเอายาซึ่งได้รับแล้วนั้นมารักษา

การรักษาโรคในทางด้านจิตใจนี้สำคัญอยู่ที่ผู้ป่วย
ไม่ใช่สำคัญอยู่ที่ผู้ให้ยา เพราะว่าผู้ให้ยานั้น
ทำหน้าที่เพียงแต่ผู้ชี้ทางให้เท่านั้นเอง
การเดินทางเป็นหน้าที่ของเราผู้ป่วยทุกคน
จะต้องเดินไปไม่ชักช้าให้เสียเวลา
เมื่อรู้จักตัวยาแล้วก็รีบเดินไปในทางนั้น คือ ลงมือปฏิบัตินั่นเอง


แม้พระผู้มีพระภาคเจ้าของเราทั้งหลาย
พระองค์ก็ได้ตรัสบอกกับลูกศิษย์ของพระองค์ว่า...
ตถาคตเป็นแต่เพียงผู้ชี้ทางให้
ส่วนการเดินทางเป็นหน้าที่ของเธอทั้งหลาย
จะต้องเดินด้วยตัวเธอเอง...
อันนี้นับว่าเป็นเรื่องสำคัญที่เราควรจะจำใส่ใจ
การปฏิบัติตนนั้น เป็นเรื่องที่ตนจะต้องรีบเร่งปฏิบัติทันทีไม่ชักช้า
ก็เข้ากับหลักที่ว่า ตน เป็นที่พึ่งของตน
หมายความว่าเราเองต้องพึ่งตัวเองในเรื่องการปฏิบัติ
เพื่อจะให้พ้นไปจากความทุกข์ความเดือดร้อน


ดอกไม้ ดอกไม้ ดอกไม้


(มีต่อ 5)
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 03 ก.พ.2007, 5:37 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ถ้าหากว่าไม่พึ่งตัวเอง คอยให้คนอื่นช่วยด้วยวิธีการต่างๆ
ย่อมไม่สำเร็จได้ตามความปรารถนา
เราจึงช่วยตัวเองการลงมือปฏิบัติตามแนวทางนั้นๆ
ที่เราได้รับรู้รับการาศึกษามาอันผลที่เกิดจากการปฏิบัตินั้น
ไม่ต้องให้ใครบอก เรารู้ได้เอง
เหมือนกับเรารับประทานอาหาร เปรี้ยวหวานมันเค็มอย่างไร
เราผู้รับประทานย่อมรู้ได้ด้วยตนเอง
ไม่ต้องให้ใครอธิบาย ถึงแม้จะมีใครอธิบายให้ฟํง
เราก็ไม่รู้ไม่เข้าใจชัดเจน เพราะยังไม่ได้รับประทาน
แต่เมื่อรับประทานเข้าไปก็รู้ทันทีว่า
เปรี้ยวหวานมันเค็มอย่างไร
ข้อนี้ฉันใด ในเรื่องการปฏิบัติตามธรรมะในทางศาสนา
ก็เป็นเช่นเดียวกัน เมื่อเราลงมือปฏิบัติ
เราก็ซาบซึ้งในเรื่องนั้นได้ทันที เช่นจิตสงบขึ้น
มีความสบายขึ้น ความร้อนต่างๆ หายไป
อันนี้เป็นหลักควรจะเข้าใจไว้ว่า
การปฏิบัตินั้นเรารู้ได้ด้วยตัวของเราเองของเราเอง ประการหนึ่ง

ทีนี้อีกประการหนึ่ง ในเรื่องการทำกิจในทางศาสนา
จะเป็นการให้ทาน รักษาศีล หรือทำอะไรก็ตาม
ญาติโยมบางคนก็เข้าใจผิด คือ เข้าใจผิดว่าทำไว้เมื่อหน้า
ไปเอาผลกันข้างหน้า อันนี้ยังไม่ตรงแท้ตามหลักความเป็นจริง
คือว่า ในการปฏิบัติอะไรก็ตาม ข้างหน้านั้นมันก็มีเหมือนกัน
แต่ว่า ผลอันแท้จริงถูกต้องนั้น คือ ผลที่เราได้รับทันทีในปัจจุบันนี้
เมื่อเราปฏิบัติเราก็ได้ผลทันที
ไม่ต้องรอไปเอากันเมื่อนั้นเมื่อโน้น
ซึ่งบางคนอาจจะเข้าใจว่าทำไว้เผื่อข้างหน้า
อันนี้ยังไม่ตรงตามความหมาย ต้องเข้าใจกันเสียใหม่ว่า
ทำทันทีได้ทันที ทำดีก็ได้ดีทันที ทำชั่วก็ได้ชั่วทันที
ทำเหตุให้เกิดทุกข์ ก็เกิดทุกข์ทันทีเหมือนกันได้ในขณะนั้น


ผลที่ได้นั้นได้ที่ตรงไหน ก็ได้อยู่ที่ใจของเรา
ใจเรารู้สึกว่าเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้
สมมติว่าเราคิดดี เราก็ได้ผล คือ ใจสบาย
ถ้าเราทำดี เราก็สบายใจ ถ้าเราคิดชั่ว เราร้อนใจ
ถ้าเราทำชั่วเราก็มีความทุกข์เกิดขึ้นในใจ
อันนี้ได้แล้ว ได้ผลอยู่ในปัจจุบันทันตา
ซึ่งทุกคนทำ ทุกคนก็ได้ทุกคนก็เห็น
ส่วนผลอันจะมาข้างหน้านั้นมันก็มีเหมือนกัน
แต่ว่าอาจจะช้า จะเร็ว เป็นผลของทางวัตถุไป
ไม่ใช่เป็นเรื่องของทางนามธรรมที่เกิดขึ้นในใจของเรา
ผลที่เกิดในใจนั้น ทำทันทีได้ทันที
ทำเดี๋ยวนั้นได้เดี๋ยวนั้น ขอให้เข้าใจอย่างนี้ไว้

ดอกไม้ ดอกไม้ ดอกไม้


(มีต่อ 6)
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 03 ก.พ.2007, 5:40 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ฉะนั้นเมื่อเราจะทำอะไร เราก็จะได้รู้ว่าทำเพื่ออะไร
และเราจะได้อะไร เมื่อทำแล้ว
เราก็สังเกตตัวเราว่า มีความรู้สึกอย่างไรเกิดขึ้นในใจ
ความรู้สึกนั้นเยือกเย็นหรือเร่าร้อน
ความรู้สึกนั้นเป็นสุขหรือเป็นทุกข์
เราพิจารณาได้ด้วยตัวของเราเอง
เราจะเห็นชัดเจนแจ่มแจ้งในผลนั้น
ทีนี้เมื่อเห็นผลแล้ว อันนี้แหละก็จะเกิดผลที่เรียกว่า ปสาท
ปะสาทะ แปลว่า เลื่อมใสในการปฏิบัติ
ที่เกิดความเลื่อมใสในการปฏิบัติขึ้น ก็เพราะว่าเราสบายใจ
เราได้เห็นผลที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัตินั้น เราก็ใคร่จะทำอีกต่อๆ ไป
ครั้นเมื่อทำนานๆ เข้าก็เคยชิน
ถ้าความเคยชินเกิดขึ้นในจิตใจก็เป็นนิสัย
นิสัยในทางดีเกิดขึ้นแก่บุคคลใด
บุคคลนั้นก็ได้ชื่อว่าเป็น คนดี อยู่กับพระอยู่ตลอดเวลา
ไม่ผละตนออกไปอยู่กับสิ่งชั่วร้าย
อันจะทำตนให้เกิดความทุกข์ ความเดือดร้อน
นี่คือ ตัวผล อันเกิดขึ้นจากการปฏบัติ
ซึ่งเราทั้งหลายจะได้พบเองด้วยตัวของเราทั้งนั้น นี้ประการหนึ่ง

ทีนี้อีกประการหนึ่ง ในการที่เราจะปฏิบัติตามหลักธรรมะ
ในทางพระพุทธศาสนา ที่พระผู้มีพระภาคแสดงไว้นั้น
เราควรจะเริ่มต้นที่ไหน ควรจะเริ่มต้นด้วยเรื่องอะไร
อันนี้ก็เป็นข้อที่ควรจะได้เข้าใจเป็นประการแรกเหมือนกันว่า
ในการปฏิบัติธรรมนี้ เราควรจะเริ่มต้นที่อะไรก่อน
การเริ่มต้นการปฏิบัติธรรมนั้น ก็เริ่มที่ตัวของเราเอง
ข้อที่เราจะเอามาปฏิบัตินั้นมีอยู่ ๒ ประการ
หลักธรรมะในทางพระพุทธศาสนานั้นมีอยู่ ๒ เรื่องคือ
เรื่องที่เรียกว่า "ศีลธรรม" ประการหนึ่ง
เรื่องที่เป็น "สัจธรรม" นั้นอีกประการหนึ่ง

ศีลธรรมนั้น เป็นข้อบัญญัติที่ผู้รู้ทั้งหลายได้บัญญัติขึ้น
เพื่อประโยชน์เพื่อความสุขของคนหมู่มาก

เพราะว่าคนเราเมื่ออยู่คนเดียวมันยุ่งน้อย
แต่ถ้าอยู่ ๒-๓-๔ คน ขึ้นไป ความยุ่งก็มากขึ้น
ความยุ่งที่เกิดขึ้นในใจคนที่รวมกันเป็นหมู่นั้น
เกิดจากเรื่องอะไร ก็เกิดจากเรื่องของจิตใจไม่ตรงกัน
คือ จิตใจที่ได้รับการปรุงแต่งไม่ตรงกัน แต่งไม่เหมือนกัน
ก็เหมือนกับการแต่งกายนี่ ดูพวกเราทั้งหลายที่แต่งกายนี้
แต่งไม่เหมือนก้น คนหนึ่งอาจจะแต่งสีนั้น
คนอื่นๆ อาจจะแต่งสีโน้น สีนี้
ไม่เหมือนกันสักคนเดียว เท่าที่มานั่งๆ กันอยู่
ข้อนี้ฉันใด ใจเรานี้ก็เหมือนกัน ว่ากันโดยเนื้อแท้ถ้าพูดถึงว่า
จิตเดิมแท้ของมนุษย์นั้น คือ ความบริสุทธิ์ความสะอาด
มีความผ่องใสอยู่ตลอดเวลา อันนั้นเหมือนกัน
ทุกคนมีสภาพเช่นเดียวกัน เป็นจิตแบบเดียวกัน
จิตเดิมนี้ หน้าตาเหมือนกันทุกคน
และมีสิทธิ์ทีจะไปถึงความบริสุทธิ์ได้ทุกคน
แต่ว่าที่ไม่เหมือนกันนั้น ไม่ได้หมายถึงจิตดวงนั้น
แต่หมายถึงจิตที่ถูกปรุงแต่งด้วยอะไรต่างๆ
ที่เราพูดกันว่า นานาจิตตัง

ดอกไม้ ดอกไม้ ดอกไม้


(มีต่อ 7)
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 03 ก.พ.2007, 5:40 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

คำว่า นานาจิตตัง ไม่ใช่จิตเดิม แต่เป็นจิตที่ปรุงแล้ว
แต่งแล้วด้วยอะไรๆ มากเรื่องมากประการ
ได้ปรุงตั้งแต่เป็นเด็กน้อย เป็นหนุ่มเป็นสาวจนเป็นผู้ใหญ่
มันปรุงมันแต่วด้วยสิ่งแวดล้อม
ด้วยการอบรมบ่มนิสัยของผู้หลักผู้ใหญ่ตามทัศนะของคนเหล่านั้น
บางคนก็อบรมให้เกิดความเข้าใจผิดในเรื่องอะไรมากเรื่อง
ให้เชื่อผิดในเรื่องอะไรมากเรื่อง
ให้กระทำด้วยความหลงผิดอะไรต่างๆ
จิตนี้มันก็แตกต่างกับจิตของคนอื่นไป
มีความคิดไม่ตรงกันในเรื่องนั้นเรื่องนี้

คนเราถ้ามีความคิดไม่ตรงกัน เมื่อมานั่งด้วยกัน ก็มักจะเถียงกัน
ทะเลาะกัน ทำอะไร ก็ทำกันไปคนละทาง
คนหนึ่งมีความคิดอย่างหนึ่ง ก็ไปด้านหนึ่ง
อีกคนหนึ่งก็ไปอีกด้านหนึ่งเลยไม่ลงรอยกัน
เมื่อไม่ลงรอยกันก็เกิดการทะเลาะเบาะแว้งกัน
สร้างความทุกข์ความเดือดร้อนให้เกิดขึ้นในสังคมด้วยประการต่างๆ
จึงต้องมีระเบียบสำหรับบังคับคนเหล่านั้น
ให้มีความคิด ความเห็นในทัศนะเดียวกัน
มีการกระทำในทางเดียวกัน เพื่อจะให้ไปกันได้
ไม่ใช่วิ่งเพ่นพ่านไปคนละทิศคนละทาง
แต่ว่าให้มุ่งไปในทางเดียวกัน ทางนั้นก็คือทางธรรมะ
ซึ่งเรียกว่าทางของ ศีลธรรม ที่ผู้รู้ทั้งหลายได้บัญญัติแต่งตั้งไว้

คนเราถ้ามีความคิดไม่ตรงกัน เมื่อมานั่งด้วยกัน ก็มักจะเถียงกัน
ทะเลาะกัน ทำอะไร ก็ทำกันไปคนละทาง
คนหนึ่งมีความคิดอย่างหนึ่ง ก็ไปด้านหนึ่ง
อีกคนหนึ่งก็ไปอีกด้านหนึ่งเลยไม่ลงรอยกัน
เมื่อไม่ลงรอยกันก็เกิดการทะเลาะเบาะแว้งกัน
สร้างความทุกข์ความเดือดร้อนให้เกิดขึ้นในสังคมด้วยประการต่างๆ
จึงต้องมีระเบียบสำหรับบังคับคนเหล่านั้น
ให้มีความคิด ความเห็นในทัศนะเดียวกัน
มีการกระทำในทางเดียวกัน เพื่อจะให้ไปกันได้
ไม่ใช่วิ่งเพ่นพ่านไปคนละทิศคนละทาง
แต่ว่าให้มุ่งไปในทางเดียวกัน
ทางนั้นก็คือทางธรรมะ
ซึ่งเรียกว่าทางของ ศีลธรรม ที่ผู้รู้ทั้งหลายได้บัญญัติแต่งตั้งไว้


ดอกไม้ ดอกไม้ ดอกไม้


(มีต่อ 8)
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 03 ก.พ.2007, 5:44 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

แต่ถ้าเมื่อใดมนุษย์เราเกิดดื้อขึ้นมา
เกิดดื้อแล้วก็เกิดจะไปท้ารบกับธรรมชาติขึ้นมา เรียกว่า รบกับธรรมะ
หรือว่าไปรบกับพระผู้เป็นเจ้า เดี๋ยวนี้มนุษย์ไม่ใช่ทำสงคราม
ระหว่างมนุษย์แล้ว แตี่ว่ากำลังทำสงครามกับพระผู้เป็นเจ้า
ไปท้ารบกับพระผู้เป็นเจ้า การท้ารบกับพระผู้เป็นเจ้านั้นทำอย่างไร
ขัดขืนต่อการปฏิบัติตามธรรมะ
ไม่เอาธรรมะมาเป็นหลักปฏิบัติ
ด้วยการถือดีว่า ฉันไม่ปฏิบัติตามธรรมะฉันก็อยู่ได้
ฉันก็มีกิน ฉันก็มีใช้ ฉันจะไปยุ่งกับศีลธรรมทำไม
ฉันจะกอบโกยเอาตามชอบใจของฉัน
ถ้าไปถือศีลธรรมอยู่ ไม่ทันอกทันใจ
อันนี้แหละเขาเรียกว่าท้ารบกับธรรมะ หรือท้ารบกับพระผู้เป็นเจ้า
ซึ่งเราเรียกกันโดยสมมติในรูปอย่างนั้น

ถ้ามนุษย์เราไปประกาศสงครามกับธรรมะอย่างนี้
โลกก็เต็มไปด้วยความวุ่นวาย
เต็มไปด้วยความเร่าร้อนด้วยประการต่างๆ
อย่าเป็นคนคิดในรูปเช่นนั้น แต่ควรคิดว่าเราทำเช่นนั้นไม่ได้
เราควรหันเข้าประนีประนอมกับธรรมะ
อันเป็นหลักสำหรับชีวิตดีกว่า
แล้วก็หันเข้าหาธรรม เอาธรรมมาเป็นหลักปฏิบัติ
พอเราเริ่มหันหน้าเข้าหาธรรมะ เราก็ได้รับแสงสว่าง
ได้เกิดความรู้สึกผิดชอบชั่วดี
มีอะไรๆ เกิดขึ้นในใจหลายสิ่งหลายประการ
ความยับยั้งชั่งใจ ความอดทน การบังคับตัวเอง
ความเป็นคนมีน้ำใจหนักแน่น ความเสียสละ
ความละอายในการที่จะกระทำในสิ่งไม่ดีไม่งาม
ย่อมเกิดขึ้นในใจของบุคคลผู้นั้นๆ
เมื่อสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นในใจแล้ว
มันก็เป็นเช่นบังเหียนที่เราใช้บังคับม้า ทำให้ม้าวิ่งตรงทาง


มนุษย์เราก็เป็นเช่นเดียวกัน
พอมีธรรมะเป็นบังเหียนเราก็วิ่งตรงทาง เดินตรงทาง
ทำอะไรก็ตรงทาง ชีวิตก็เรียบร้อย
ต่างคนต่างเดินตามเส้นของตน ไม่ข้ามเส้น ไม่ขวางทางกัน
อันนี้จะสะดวกสบายหรือไม่
ญาติโยมทั้งหลายพิจารณาแล้วก็จะมองเห็นด้วยตนเองว่า
เป็นความสะดวกสบายในรูปดังกล่าว

ก็ควรจะได้หันเข้าหาหลักศีลธรรมนั้นๆ
เช่นเราถือเป็นนิสัย ถือ ธรรม คู่กับ ศีล ไว้เป็นนิสัยประจำใจ
สมาชิกในครอบครัวของเรา ก็ควรปฏิบัติตนเช่นนั้นทุกถ้วนหน้า
การอยู่ร่วมกันก็จะสงบเรียบร้อย

ดอกไม้ ดอกไม้ ดอกไม้


(มีต่อ 9)
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 03 ก.พ.2007, 5:45 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ให้สังเกตดูครอบครัวบองอริยบุคคลในสมัยก่อน
ดังปรากฏอยู่ในตำนานต่างๆ
เช่น ครอบครัวของที่านอนาถบิณฑิกเศษฐี
ซึ่งเป็นเศรษฐีตัวอย่างในครั้งพุทธกาล
การที่ท่านผู้นี้ได้ชื่อว่า "อนาถะบิณฑิกะ"
ถ้าจะแปลเป็นภาษาไทยง่ายๆ ก็ว่า "หม้อข้าวของคนยากจน"
นั้นเป็นชื่อที่เขาตั้งให้ เดิมท่านไม่ได้ชื่ออย่างนั้น
แต่ชื่อว่า "สุทัตตะ" อันเป็นชื่อที่พ่อแม่ตั้งให้
แต่ว่าต่อมาเมื่อได้มาเป็นลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้า
ได้ถือศีลถือธรรมเคร่งครัด ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ
ทรัพย์สมบัติที่ท่านมีอยู่นั้น เกิดเป็นประโยชน์แก่สังคม
ด้วยการสงเคราะห์ช่วยเหลือมนุษย์ที่ลำบากยากจน
ใครต้องการเสื้อผ้า ต้องการอาหาร ต้องการยานพาหนะ
ต้องการวัวควาย ไปพึ่งพาอาศัย ก็ได้
ไม่เคยปฏิเสธต่อบุคคลที่มาขอ
ชาวบ้านในถิ่นนั้นจึงได้ใส่ชื่อให้ใหม่
ถ้าพูดสมัยใหม่ก็ว่าเป็น นิคเนม ของท่านผู้นั้นว่า "อนาถะบิณฑิกะ"
แปลเป็นไทยว่าหม้อข้าวคนยากจน
ใครที่ลำบากยากจนเดินเข้าไปสู่บ้านนั้นต้องอิ่มท้อง
ถ้าไม่มีเสื้อผ้าก็ต้องได้มา ต้องการสิ่งใดก็ได้
ในครอบครัวนี้ ถ้าเราศึกษาดูตามตำนานแล้ว
จะพบว่ามีการประพฤติธรรมเคร่งครัด
พ่อบ้านคือท่านเศรษฐีก็ประพฤติธรรม
แม่บ้านของท่านก็ประพฤติธรรม
ท่านมีลูกสาว ๓ คน ก็เป็นคนเคร่งครัด
ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เป็นผู้ช่วยเหลือบิดาในการปฏิบัติงาน
ให้ทานรักษาศีล สนใจในการฟังธรรม
ประตูเปิดกว้างสำหรับพระภิกษุที่เข้ามารับอาหารบิณบาต
พระทั้งหลายจึงคุ้นเคยกับท่านผู้นี้เป็นอย่างดี
มีการประพฤติชอบ ถ้าถึงวันอุโบสถศีล ทั้งบ้านต้องถืออุโบสถ
ไม่มีการหุงหาอาหารรับประทานมื้อเย็น
กินอาหารเพียงเช้าชั่วเพล พ้นจากนั้นแล้วโรงครัวปิดเงียบ
ไม่มีการรับประทานอาหารกันเลยทั้งบ้าน อันนี้เป็นการปฏิบัติดีอยู่

ดอกไม้ ดอกไม้ ดอกไม้


(มีต่อ 10)
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 03 ก.พ.2007, 5:45 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

แล้วก็ท่านมีลูกชายอยู่คนหนึ่ง
เป็นลูกชายคนเดียวของครอบครัว
ก็เหมือนกับลูกชายของครอบครัวทั่วไปนั่นแหละ
เกเรหน่อย เพราะว่าพ่อเป็นเศรษฐีมั่งมีทรัพย์
ไม่ชอบวัดฟังธรรม เวลาพระมาก็แอบไปที่อื่นเสีย
ไม่อยู่ต้อนรับ ไม่อยู่เลี้ยงพระอะไรทั้งนั้น
ท่านเศรษฐีมองดูลูกชายแล้วก็เห็นว่า
มันผ่าเหล่าผ่ากออยู่หน่อย มันผิดประหลาดอยู่เจ้าลูกชายคนนี้
จะทำอย่างไรดีให้ลูกชายไปวัดเสียบ้าง ได้ฟังธรรมเสียบ้าง
ท่านคิดว่าเด็กๆ มันชอบเงินชอบทอง
เลยเรียกลูกมาบอกว่า ลูก ขอให้ลูกไปที่วัด
ถ้าไปวัดแล้วไปพักอยู่ที่วัด ๑-๒ ชั่วโมง กลับมาพ่อจะให้เงิน
เจ้าหนุ่มนั่นก็อยากได้เงิน เอาไปเที่ยวไปเตร่ ก็เลยไปที่วัด
แต่ว่าไปนอนหรอก ไม่ได้ไปทำอะไร
ไปนอนเสียชั่วโมงสบาย เสร็จแล้วกลับมา
พ่อให้รางวัล ทำอย่างนั้นหลายครั้งหลายหน
ทีนี้พ่อเขยิบเลื่อนชั้นลูกชายขึ้นอีกหน่อย
บอกว่าไปนอนน่ะมันไม่ได้อะไร
ต่อไปนี้ขอให้ไปฟังธรรมด้วย ถ้าพระแสดงธรรมแล้ว
ก็ให้ไปนั่งฟังกับเขาด้วยก็แล้วกัน เขาก็ไปนั่งฟัง
แต่ว่าใจไม่ได้อยู่เสียงพระ ฟุ้งซ่านไปในเรื่องอะไรก็ไม่รู้
เวลากลับมาพ่อลองสัมภาษณ์ดูว่าไปฟังเทศน์ได้อะไรบ้าง
ไม่ได้เรื่อง เพราะว่าไม่ได้ตั้งจะฟัง
พ่อก็ให้รางวัลในฐานะที่ได้ไปฟังแล้ว
ต่อมาก็เลื่อนชั้นขึ้นไปอีก คือบอกว่า ทีนี้น่ะ ไปฟังแล้วจำเรื่องให้ได้
นำมาเล่าให้พ่อฟัง แล้วพ่อจะให้รางวัลขึ้นไปกว่านี้อีก
เจ้าลูกชายก็ชักกระหยิ่มอิ่มใจ เพราะได้รางวัลมากขึ้นมาเป็นลำดับ
วันนั้นก็เลยไปตั้งใจฟัง เมื่อตั้งใจฟังเข้า
พระผู้มีพระภาคเจ้าก็เทศน์ให้ฟัง ฟังแล้วเกิดจับจิตจับใจ
ได้ความรู้ได้ความเข้าใจ บรรลุธรรมเป็น โสดาบันบุคคลเหมือนกัน
พอได้โสดาบันบุคคลแล้ว วันนั้นไม่กลับบ้าน
นอนวัดเสียเลย นอนทั้งคืน

ดอกไม้ ดอกไม้ ดอกไม้


(มีต่อ 11)
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 03 ก.พ.2007, 5:46 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

รุ่งขึ้นเช้า พระผู้มีพระภาคเจ้าจะไปบิณทบาต
ในบ้านของท่านเศรษฐี เจ้าลูกชายเศรษฐีนั้นตื่นเช้าเหมือนกัน
จัดแจงแต่งตัวเรียบร้อย รับอาสาอุ้มบาตรตามหลังพระพุทธเจ้าเลย
ไปบ้านพ่อ เวลาเดินไปเขานึกอยู่ในใจว่า
"อย่าให้พ่อเอ่ยเรื่องเงินเรื่องทองรางวัลเลย"
นึกในใจอย่างนั้น บอกว่าอย่าให้เอ่ยถึงเรื่องนั้น
ถ้าไม่เอ่ยแล้วก็จะดี รู้สึกว่าน่าละอาย
ที่ได้รับการจ้างให้มาฟังธรรมนี่น่ะ ละอายใจ
กลัวพระพุทธเจ้าจะทรงทราบ
แต่ความจริงพระองค์ทราบมานานแล้ว ไม่ต้องบอกก็รู้ได้
แต่ท่านเศรษฐีก็เข้าใจจิตวิทยาเหมือนกัน
พอเห็นลูกชายอุ้มบาตรตามหลังมา
ไม่พูดอะไรสักคำเดียวในเรื่องเงินรางวัลอะไรต่ออะไร
ดีอกดีใจ ยิ้มด้วยนิดหน่อย
เสร็จแล้วลูกชายเข้าไปเอาบาตรถวายพระผู้มีพระภาคเจ้า
แล้วนั่งปฏบัติวัตรฐาก เอาน้ำถวาย จัดของถวาย
จนพระพุทธเจ้าฉันเสร็จ พระฉันเสร็จอนุโมทนา
เขาก็นั่งฟังอยู่ด้วยความเรียบร้อย
พระองค์เสด็จลุกขึ้น เขาก็อุ้มบาตรไปส่งถึงประตูบ้าน
แล้วพระผู้มีพระภาคเสด็จกลับสำนักที่อยู่ เขากลับเข้าบ้าน
พ่อก็บอกว่า อือ วันนี้พ่อสบายใจเหลือเกิน
ตั้งแต่ลูกเกิดมา พ่อไม่เคยสบายใจเท่าวันนี้
วันนี้เป็นวันที่พ่อมีความสุข เพราะลูกของพ่อ
ได้เข้าถึงพระเดินตามพระ มีพระประจำจิตใจ
อันเป็นความสุขที่พ่อบอกไม่ถูก อันนี้เศรษฐีพูดออกมาอย่างนี้

ดอกไม้ ดอกไม้ ดอกไม้


(มีต่อ 12)
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 03 ก.พ.2007, 5:46 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เรื่องนี้ก็นับว่าเป็นตัวอย่าง แก่ทั้งผู้เป็นบุตรและบิดามารดา
คือ บิดามารดานั้นตามปกติรักลูกเหลือล้น
รักจนกระทั่งว่าไม่รู้รักอย่างไร แต่ว่าบางทีรักให้ลูกเสียไปเหมือนกัน
ที่ว่าเรารักให้ลูกเสียนั้น รักอย่างไร รักเกินไป
จนไม่ว่ากล่าวแนะนำพร่ำเตือน ให้เกิดความรู้สึกผิดชอบชั่วดี
ลูกจะทำอะไร จะไปไหน ก็ปล่อยตามเรื่องตามราว
ไม่มีการชี้แจงเหตุผลให้ลูกเข้าใจในเรื่องนั้นๆ
อันนี้เรียกว่ารักเกินไปจนกระทั่งว่า
ลูกเสียผู้เสียคนไปก็มีแบบหนึ่ง
อีกแบบหนึ่งนั้นน่ะ รักเหมือนกัน แต่ว่าดุด้วย
ดุจนเสียคนได้เหมือนกัน เรียกว่าดุเกินไป
เอาแต่ดุท่าเดียว ตวาดแหว ดุด่า กลับมาก็ดุ
ว่ากล่าวอย่างนั้นอย่างนี้ด้วยถ้อยคำรุนแรง
ลูกไม่อยากกลับบ้าน เพราะว่ากลับมาทีไร ก็เจอยักษ์ ๒ ตน
นั่งอยู่ในบ้าน แล้วยักษ์นั้นก็คือพ่อกับแม่นั่นเอง
เอาแต่แผดเสียงตวาดอยู่ตลอดเวลา
ลูกรำคาญ มาบ้านไม่ได้
ทีนี้เมื่อมาบ้านไม่ได้ ก็ไปที่อื่น
ไปหาคนอื่นซึ่งมีความสุขกว่า
พ่อแม่ก็เสียอกเสียใจ ลูกไม่รักเรา ไม่มาหาเรา
แต่ว่าไม่รู้ว่าใครผิดในเรื่องนี้ อันนี้ก็เรียกว่ารักไม่ถูกเหมือนกัน
ทำให้ลูกเสียหายไป


ความรักที่ถูกทางนั้นต้องเปลี่ยนวิถีใหม่
คือว่า ต้องรักให้ถูกตามคำโบราณนั่น
ที่เขาพูดว่า "รักวัวให้ผูก รักลูกให้ตี"
คำว่าตี ไม่ได้หมายความว่าไม้เรียวมาไว้สักโหล
กลับมาแล้วเฆี่ยนเอาๆ ตีอย่างนั้นก็ไม่ได้
ลูกเจ็บเนื้อเปล่าๆ แนะนำพร่ำเตือน
เอาวาจาอ่อนหวาน สอน เตือนแนะนำวันละเล็กละน้อย
ค่อยแก้ไปอย่าไปแก้วันเดียว แก้ที่เดียว
หรือ ๓ เดือนแก้ทีหนึ่ง อย่างนี้มันก็ไม่ได้
เรื่องอบเรื่องรมเรื่องดัดนี้ ต้องทำทุกวัน ทำบ่อยๆ
ก็เหมือนว่าเราดัดไม้ ถ้าเราดัดทีเดียวไม้ก็หักเท่านั้นเอง
ต้องค่อยๆ ดัด ค่อยๆ ลนไฟ ไฟร้อนจัดก็ไม่ได้
ร้อนน้อยก็ไม่ได้ ต้องรู้ว่าร้อนขนาดไหน
แล้วก็ค่อยโน้มเข้ามาทีละน้อยๆ แล้วก็มัดไว้
เมื่อเด็กๆ เคยเห็นเขาดัดไม้ไผ่ทำขอบกระด้ง
ต้องใช้เวลาค่อยๆ ดัด แต่บางคนใจร้อน ทำอะไรรวดเร็ว
ดัดเข้าไป หักหมดเลย ทำขอบกระด้งไม่ได้มันเป็นอย่างนี้
เด็กเรานี่ก็เหมือนกันต้องค่อยฝึกค่อยสอนไปทีละเล็กละน้อย
ค่อยๆ บอก อย่างนี้ก็จะดีขึ้น
อย่าเอาคำหยาบไปพูดให้เด็กตกอกตกใจ
อย่าดุอย่าด่า ถ้าเขาไปไหน ทำอะไรมาไม่ชอบ
ไม่ควรค่อยพูดค่อยสอนค่อยไต่ถามว่าไปไหนมา
... ไปหาใคร...ไปทำอะไร...ไปทำอะไร...
เราก็ค่อยพูดชี้แจงทีละเล็กทีละน้อยไม่บังคับ
แต่พูดเสนอแนะให้เขาเข้าใจ
เขามาได้ความคิดเองในภายหลัง
อันนี้เป็นการชอบการควรที่ควรกระทำต่อเด็กของเรา
ซึ่งเป็นหน้าที่ของพ่อแม่

ดอกไม้ ดอกไม้ ดอกไม้


(มีต่อ 13)
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 03 ก.พ.2007, 5:48 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ทีนี้ลูกก็เหมือนกัน เราต้องรู้ถ้าเราเป็นลูก
รู้ว่าคนที่รักเราจริงๆ มี ๒ คนเท่านั้น คือ คุณพ่อกับคุณแม่
คนอื่นรักก็ไม่จริงหรอก เช่นเรามีแฟน
เขารักเราก็รักอย่างนั้นแหละ ไม่จริงจังเท่าใด
รักคนละแบบ แต่ว่าพ่อแม่รักเราจริง
ทุกข์ร้อนไปพึ่งได้มีอะไรก็เข้าเกาะแข้งเกาะขาท่าน
ท่านไม่ปัดหรอก บางคนแม้จะพูดว่าตัดขาด
ไม่เป็นลูกเป็นแม่กันต่อไป ก็ว่าไปอย่างนั้นแหละ
แต่ว่าภายหลังพอลูกเข้าไปหา ก็ใจอ่อนลงไปทันที
มันตัดไม่ได้เพราะเราให้กำเนิดมาเอง เลี้ยงมาเอง
จะตัดได้อย่างไร พ่อแม่เป็นอย่างนั้น

เราผู้เป็นลูกก็ควรจะคิดว่า เออ น้ำใจพ่อแม่นั้นดีกับเราดีเหลือล้น
เราควรจะเอาใจท่านไว้บ้าง อย่าเอาใจตัวเองเป็นใหญ่
จะทำอะไรก็ต้องคิดต้องตรองให้รอบคอบ
คือ ต้องคิดว่าเจ้าพระคุณทั้ง ๒ นี้ท่านจะว่าอย่างไร
ท่านจะพอใจหรือว่าท่านจะไม่พอใจ
ถ้าทำอะไรพอใจเรา แต่ไม่เป็นที่พอใจของบิดามารดา
เราจะอยู่อย่างไร เราก็กลายเป็นลูกที่เรียกเอาแต่ใจตัว
ไม่คิดถึงพ่อแม่ที่เลี้ยงเรามา ท่านก็จะน้อยเนื้อต่ำใจ
จะเศร้าโศกเสียใจ เสียใจว่า แหม อุตสาห์เลี้ยงดูมา
ให้การศึกษาเล่าเรียน จ่ายเงินจ่ายทองไปเยอะแยะ
แต่ว่าเมื่อสำเร็จ ปีกกล้าขาแข็งแล้ว เขาไม่เหลียวแลเราเลย
เขาเป็นเหมือนกับตัวผีเสื้อ
พอบินได้แล้วก็บินไปเลย ไม่กลับมาอีกต่อไป
อันนี้พ่อแม่โทมนัสน้อยใจ

ทำให้ท่านเป็นทุกข์ถ้าเราเป็นบุตรเป็นธิดา
ทำให้พ่อแม่เป็นทุกข์ต้องร้องให้ร้องห่มก็ไม่ดี
เรียกว่าสร้างขุมนรกไว้ในอกของมารดาบิดา เป็นการไม่ชอบไม่ควร
เราผู้เป็นบุตรจะต้องสร้างวิมานน้อยๆ ไว้ในใจของพ่อแม่
ให้ท่านเป็นสุข แม้เราจะเป็นทุกข์จะเดือนร้อนก็ไม่เป็นไร
แต่ขอให้ เจ้าพระคุณทั้ง ๒ นั้นมีความสุขมีความสบาย
ถ้าใครทำได้อย่างนี้ก็เรียกว่าทำดีทำชอบ


ดอกไม้ ดอกไม้ ดอกไม้


(มีต่อ 14)
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 03 ก.พ.2007, 5:50 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ในครอบครัวถ้าหากว่าได้มีการประพฤติธรรม
พ่อประพฤติธรรม แม่ประพฤติธรรม ลูกก็ประพฤติธรรม
ถ้าคนใช้ที่เราจ้างมาทำงานทำการ
เราก็สอนให้เขาประพฤติธรรมะให้ประพฤติดีประพฤติชอบด้วย
บ้านนั้นก็จะกลายเป็นบ้านของธรรมะไป
ทุกคนในบ้านนั้นก็จะมีความสุข ความสงบ
ไม่มีความยุ่งยากลำบากเดือนร้อน
ครอบครัวในสมัยก่อน เช่น ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี
ครอบครัวของนางวิสาขา ครอบครัวของอุบาสก มีมาก
ซึ่งปรากฏในคัมภีร์หลายด้านด้วยกัน
ล้วนแต่เป็นตัวอย่างของครอบครัวนั้นๆ ทั้งนั้น
อยู่ในศีลธรรมทั้งนั้น จึงมีความสุขความเจริญ
อันนี้เป็นเรื่องที่มีความสำคัญอยู่ประการหนึ่ง


จึงใคร่จะขอฝากญาติโยมทั้งหลายไว้ว่า...
เราควรจะได้เข้าหาธรรมะ
ความจริงก็ได้ประพฤติกันอยู่แล้วในทางนั้นๆ
แต่ว่ายังไม่เข้าใจชัดเจน พูดย้ำให้ฟังอีกทีหนึ่ง
คนใดประพฤติแล้ว จะได้ภูมิใจอิ่มใจ
อิ่มใจว่าเราได้เดินทางถูก
เราประพฤติตามคำสอนของพระ
เราจึงมีความเจริญความก้าวหน้าอยู่
ถ้าบังเอิญครอบครัวของผู้ใดกำลังมีความทุกข์อยู่
ก็จะได้รู้ว่า ความทุกข์ความเดือดร้อนลำบากต่างๆ ในครอบครัวนี้นะ
มันไม่ใช่เรื่องอะไร แต่เป็นเรื่องที่เราทำไม่ถูก
เราต้องแก้ไขเสียใหม่ เราต้องปรับปรุงใหม่
ต้องหันหน้าเข้าหาธรรมะ ปรับปรุงชีวิตให้ดีงามเรียบร้อยต่อไป
ก็เป็นเรื่องเรียบร้อย นี้ประการหนึ่ง
เป็นการปฏิบัติในขั้นทีเรียกว่า ศีลธรรม
อันเป็นการปฏิบัติเบื้องต้น ซึ่งเป็นของจำเป็นสำหรับทุกคน


เมื่อได้ปฏิบัติในขั้นนี้แล้ว ก็ยังไม่พอ เราจะต้องก้าวหน้าต่อไป
เพราะว่าความทุกข์ความเดือดร้อนที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันนั้น
แก้ได้ด้วยหลักศีลธรรมเพียงเล็กน้อย ขั้นพื้นฐานตื้นๆ เท่านั้นเอง
แต่ความทุกข์ความเดือดร้อนชั้นลึกๆ ยังมีอยู่ยังแก้ไม่ได้
ต้องใช้หลักธรรมะชนิดสูงที่ประณีตขึ้นไปกว่านั้น


สิ่งนั้น คือ หลักธรรมะที่เรียกว่า "สัจจธรรม"
ในทางศาสนามีหลักคำสอนชั้นสูงชนิดที่เรียกว่า สัจจธรรม


ดอกไม้ ดอกไม้ ดอกไม้


(มีต่อ 15)
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 03 ก.พ.2007, 5:53 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สัจจธรรมนี้เป็นคำสอนที่ปรากฏอยู่ในที่ทั่วๆ ไป
ไม่มีใครบัญญัติแต่งตั้งหรอก แต่ว่ามีผู้คนพบ
เช่น ในทางพระพุทธศาสนานี้ พระผู้มีพระภาคผู้บรมครู
ของชาวเราทั้งหลาย ได้ทรงค้นพบด้วยพระองค์เอง
เปิดเผย ทำให้ตื้น แจกจ่ายให้แก่คนทั่วไป
เราจึงได้รู้ว่าอะไรเป็นอะไรถูกต้องตามความเป็นจริง
และได้นำหลักธรรมะเหล่านั้นมาเป็นแนวปฏิบัติ
ขูดเกลาจิตใจของเราให้สะอาด สงบ สว่าง ตามควรแก่ฐานะ
เรื่องของสัจจธรรมนี้จึงเป็นเรื่องที่ลึกซึ้ง
มีอยู่ในที่ทุกหนทุกแห่ง

ถ้าเราตั้งใจดู ตั้งใจฟัง ตั้งใจคิด
เราก็จะได้พบสิ่งนั้นเหมือนกัน


มันมีอยู่ที่เราจะพบได้ แล้วเมื่อเราได้พบแล้ว
เราก็นำมาเป็นหลักสำหรับพิจารณาแก้ไขปัญหาต่างๆ
จะยกตัวอย่างให้เห็นง่ายๆ
เช่นว่าญาติโยมบางคนก็มีความประพฤติดีประพฤติชอบอยู่
แต่ว่ายังมีความทุกข์ในใจ ทุกข์ด้วยเรื่องอะไร...ด้วยเรื่องของธรรมดา
เช่น ทุกข์เพราะพลัดพรากจากของรักของชอบใจ
มีลูกตายจากไปเราก็เสียใจ มีทรัพย์ถูกขโมยไปเราก็เสียใจ
บางครั้งบางคราวตัวเราเอง มีความเจ็บไข้ได้ป่วยด้วยโรคภัยไข้เจ็บ
อันเป็นเรื่องธรรมชาติ มนุษย์เกิดมาแล้วก็ต้องมีเรื่องอย่างนี้
ก็นอนเป็นทุกข์ตรมตรองใจด้วยประการต่างๆ
มีหลานบางทีก็เป็นทุกข์เพราะหลาน
เช่นมีหลานเลี้ยงอยู่ก็สบายใจ
พอเขาเอาหลานไปก็เป็นทุกข์กลุ้มอกกลุ้มใจ
ต่อไปไม่มีหลานจะเลี้ยงแล้ว
ทำไมจึงเป็นอย่างนั้น ทุกข์เรื่องนี้มันเกิดจากอะไร
ก็เพราะไม่เข้าใจในสัจจธรรมอันเป็นหลักความจริงของโลก
เป็นหลักความจริงของชีวิต
เราไม่ได้คิดถึงความจริงทั้งหลายเหล่านั้นให้เข้าใจชัดเจน
เลยไปเกิดความยึดถือขึ้น
ความยึดถือนี้เป็นสิ่งที่สร้างความทุกข์ให้เกิดขึ้นในใจของเรา
ยึดถือว่าเป็นลูกของฉัน หลานของฉัน เงินของฉัน ทองของฉัน
อันนั้นอันนี้เป็นของฉันไปทั้งนั้น
นึกอย่างนี้เขาเรียกว่านึกผิดไปจากความจริง
ความจริงนั้นมันเป็นอย่างไร "ความจริงสิ่งทั้งหลายนี้ไม่ใช่ของใคร"

พระผู้มีพระภาคได้ตรัสไว้ใน ในธรรมะบทหนึ่งว่า
คนเราคิดว่าสิ่งนั้นเป็นของตนสิ่งนี้เป็นของตน
เช่นคิดว่าทรัพย์มีอยู่ ของนั้นมีอยู่ การคิดเช่นนี้ไม่ถูกต้อง
เพราะว่าตนของตนก็ยังไม่มี แล้วจะเอาสิ่งนั้นมาจากไหน
คำบาลีว่า
"ปุตตา นัตถิ ธะนะนัตถิ
อิติ พาโล วิหัญญะติ
กุโต ปุตตากุโต ธะนัง
ท่านว่าอย่างนั้น แปลว่า
คนเขลาคิดว่าบุตรของฉัน ทรัพย์ของฉัน
แล้วก็เข้าใจว่าสิ่งนั้นเป็นของตัวตลอดไป
เนื้อแท้ตัวของตัวก็ยังไม่มี
แล้วสิ่งนั้นมันจะมีได้อย่างไร"


อันนี้มันลึกซึ้ง ถ้าฟังเผินๆ ก็อาจจะมองไม่เห็น
เราต้องคิด เพื่อให้เห็นจริง ว่ามันไม่มีอย่างไร
มันไม่เป็นของเราอย่างไร ต้องหมั่นคิดนึกตรึกตรองในปัญหาเหล่านี้


หลักที่เราจะนำมาคิดก็มีอยู่ ๓ หลัก
อันเป็นหลักธรรมดาธรรมชาติที่มีอยู่ตลอดเวลา คือ
๑. ความไม่เที่ยงหลักหนึ่ง
๒. ความเป็นทุกข์หลักหนึ่ง
๓. ความเป็นอนัตตา
คือ ที่ไม่ใช่ของตัวที่แท้จริงนี้อีกหลักหนึ่ง


ดอกไม้ ดอกไม้ ดอกไม้


(มีต่อ 16)
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 03 ก.พ.2007, 5:54 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ถ้าเราหมั่นเอาความคิดเหล่านี้มาคิดบ่อยๆ
ก็จะมองเห็นชัดเจนขึ้น คือ เห็นว่ามันไม่เที่ยงจริง
มันมีความทุกข์เพราะเข้าไปยึดถือจริง
มันไม่มีตัวตนที่แท้จริง มีแต่เกิดขึ้น ตั้งอยู่
และก็ไหลไปชั่วขณะหนึ่งๆ ตามเรื่องตามราวของมันเท่านั้นเอง
ไม่มีอะไรที่เรียกว่าเป็นตัวตนที่แท้จริงถาวร
อันควรจะเข้าไปจับไปเกาะว่าเป็นตัวเราเป็นของเราขึ้นมา
อันนี้เป็นเรื่องที่ต้องคิดนึกตรึกตรองบ่อยๆ พิจารณาบ่อยๆ
เห็นอะไรข้างนอก เราก็เอามาพิจารณาเป็นเครื่องเตือนใจได้


สมมติว่าเราเล่นดอกไม้ เราปลูกกุหลาบไว้กระถางหนึ่ง
ที่หน้าบ้าน กุหลาบมันก็ออกดอก เวลามันจะออกดอกนะ
มันจะออกอย่างไร ถ้าหมั่นไปดูเช้าๆ
เพื่อดูว่าหนอนมันจะมารังแกหรือเปล่า
เราไปใส่ปุ๋ยรดน้ำให้มัน เราก็จะเห็นว่ามีดอกเล็กๆ
เป็นดอกตูมออกมานิดเดียว ดอกตูมนั้นค่อยโตขึ้น
พอโตขึ้นมาแล้วมันก็แย้มออกมาหน่อยหนึ่ง
แล้วต่อมามันก็บานออก เป็นดอกสวย
เราก็ชมว่า แหม ดอกใหญ่ดี สวยงาม สีก็งาม กลิ่นก็หอม
เราก็ชอบใจ เราก็เพลิดเพลินอยู่กับดอกกุหลาบนั้น
เราไม่ได้คิดว่าดอกกุหลาบนี้มันจะเป็นอะไรต่อไป
ถ้าดูต่อไปอีกหน่อย ดูต่อไป บางทีวันเดียวเท่านั้นแหละ
ดอกกุหลาบนั้นกลีบนอกชักจะเหี่ยว
มันเหี่ยวที่ริมน้อยๆ ก่อน สีไปก่อนต่อไปก็เหี่ยวทั้งกลีบ
ไม่เท่าใดกลีบนั้นก็ร่วงหล่นลงไปในกระถางต่อไป
กลีบอื่นก็หล่นลงไป ผลที่สุดก็เหลือแต่ก้าน
ดอกกุหลาบนั้นหายไปแล้ว และเมื่อหล่นลงไป
ในกระถางหรือที่ดินแล้ว มันก็จมดินหายไป
ดอกกุหลาบที่เราเข้าไปยึดถือว่าสวยงาม กลิ่นหอมน่ารักนั้น
มันหายไปไหน มันก็หายไปตามเรื่องของมัน
เพราะว่ามันเกิดขึ้นจากการปรุงแต่ง
มันก็หายไปตามเรื่องของมันอีก
คือว่า เครื่องปรุงแต่งหมดมันก็หายไป
ไม่มีอะไรที่เป็นตัวจริงของดอกกุหลาบนั้น

ถ้าเราเพ่งมองอย่างนี้เราก็จะเกิดปัญญาขึ้นมาได้ว่า
อ้อร่างกายเราก็เหมือนกับดอกไม้
เราเกิดมาเป็นเด็กๆ น้อยๆ แล้วค่อยเจริญเติบโตขึ้นโดยลำดับ
ผู้หลักผู้ใหญ่ชอบอกชอบใจ
พอเห็นหลานยิ้มก็ชอบใจ หลานกินได้ก็ชอบใจ
ชอบใจไปก่อนแต่พอหลานป่วยหรือเป็นอะไรไปบ้าง
ญาติโยมที่มีลูกมีหลานก็รู้เอง ไม่ต้องบอกก็ได้
พอหลานป่วยนี่วุ่นกันไปทั้งบ้าน แล้วใจก็ไม่สบาย
คุณยายก็เป็นทุกข์ คุณตาก็เป็นทุกข์ แม่ก็เป็นทุกข์
คนใช้ก็พลอยเป็นทุกข์ไปกับเขาด้วย
เพราะต้องวิ่งว่อนเที่ยวเรียกหมอมารักษา
ไม่เป็นอันหลับอันนอนกันละ
เรื่องหลานไม่สบายนั้นเป็นทุกข์ขึ้นมาแล้ว มันเป็นอย่างนี้

ความทุกข์อย่างนี้จะเกิดขึ้นแก่ใครเมื่อใดก็ได้
ในเมื่อสิ่งนั้นเปลี่ยนสภาพไป
แต่ถ้าเรา เข้าใจกฏความจริงไว้ว่า
อ้อ สิ่งทั้งหลายเปลี่ยนได้
สิ่งทั้งหลายไม่มีความมั่นคงถาวร
เราจะไปตู่เอาว่าจงเป็นอย่างนั้นจงเป็นอย่างนี้
มันจะเป็นตามใจเราได้ที่ไหน
เพราะสิ่งทั้งหลายไม่อยู่ในอำนาจของใคร
มันต้องไปตามเรื่องของมัน มันก็ต้องเปลี่ยนแปลงไปอย่างนั้น
ถ้าเรามีธรรมะเป็นหลักคุ้มครองจิตใจเราก็พอคิดได้

ดอกไม้ ดอกไม้ ดอกไม้


(มีต่อ 17)
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 03 ก.พ.2007, 5:56 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เช่นว่าหลานป่วย เราก็คิดว่าเป็นเรื่องธรรมดา
เราไม่ต้องเป็นทุกข์เรื่องความป่วย
หน้าที่ของเราจะทำอย่างไร เราก็ต้องเอาหลานไปหาหมอ ไปโดยเร็ว
ไปให้หมอรักษา เวลาอุ้มหลานไปหาหมอ
อย่าอุ้มไปด้วยความทุกข์
ถ้าอุ้มไปด้วยความทุกข์ก็เหมือนกับอุ้มกองไฟไป
เราก็เป็นทุกข์ไปตลอดทาง หมอตรวจแล้ว เขาก็ให้ยารักษา
มันไม่ใช่อย่างนั้น มันต้องรอเวลา
กินยาเข้าไปแล้วต้องรออีกสักวันสองวัน
ความไข้มันก็จะค่อยเบาบางไปเอง ค่อยฟื้นขึ้น
เราอย่าใจร้อน อย่าด่วนจะให้หายเร็วๆ
แต่เราต้องรู้ว่ามี เกิด แล้วมันต้องมี ดับ
เมื่อเป็น แล้วมันก็ หายได้ แต่ว่าสิ่งนี้ขึ้นอยู่กับเวลา

เราต้องนั่งดูด้วยความอดทนด้วยใจเย็น
หลานป่วย ยายก็ไม่ต้องไปป่วยกับหลาน
ลูกป่วยแม่ก็ไม่ต้องไป ป่วยกับลูกด้วย
ทีนี้ถ้าเราไม่เข้าใจธรรมะ ป่วยหมด ลูกป่วย แม่ป่วย พ่อป่วย
ป่วยหมดทุกคน ลูกป่วยทางกาย พ่อแม่ป่วยทางจิตใจ นั่งเป็นทุกข์
กระสับกระส่าย คนใช้ในบ้านก็พลอยรับทุกข์
เพราะว่าแม่บ้านพ่อบ้านดุเอาด้วย นี่มันไปกันใหญ่
ความทุกข์มันเต็มบ้านอย่างนี้นะ
เพราะไม่ได้ใช้ธรรมะเป็นหลักพิจารณา
ถ้าได้ใช้ธรรมะเป็นหลักพิจารณาก็สบายใจ
ไม่ต้องเป็นทุกข์ในเรื่องนั้นมากเกินไป
ถึงบทตัวเราป่วยเองบ้างญาติโยมป่วยเองนะทีนี้
ถ้าป่วยเองขอให้มันป่วยแต่กาย อย่าให้ใจป่วยเข้าไปด้วย
ร่างกายเจ็บปวด แต่อย่าให้ใจเข้าไปเจ็บปวด
เราต้องรู้จักแยกความรู้สึกนั้นออกจากกันได้พอสมควร
ก็จะมีความสบายตามควรแก่ฐานะ
เคยไปที่โรงพยาบาลศิริราช
ไปที่ตึกเกี่ยวกับการผ่าตัดพวกคนสันหลังหัก แข้งขาหัก
อะไรจำพวกนั้นแหละ เกี่ยวกับพวกกระดูก
ผู้ป่วยบางคนนอนตะแคง บางคนนอนคว่ำ
ถามว่านอนคว่ำมากี่เดือนแล้ว เขาตอบว่านอนคว่ำมา ๓ เดือนแล้ว
นึกในใจว่า โอ มันแสนทรมาน แต่ว่าเปล่า
คนไข้เหล่านั้นเขาคุยกัน เขาหัวเราะกัน
จากเตียงนี้ข้ามไปเตียงโน้น จากเตียงโน้นข้ามไปเตียงนั้น
เอะอะโวยวายตามเรื่องตามราวของเขา
เขาไม่ได้เป็นทุกข์ที่ต้องนอนมาตั้ง ๓ เดือน
หรือว่าเดินไม่ได้หรือว่าทำอะไรไม่ได้ เขาไม่เป็นทุกข์แล้ว
ขาสนุกกัน คุยกันโวยวายกันไปตามเรื่อง บางคนก็เปิดวิทยุฟังเพลง
ฟังลิเกคณะหอมหวลอะไรเพลินกันไปตามเรื่อง
ดูๆ แล้วนึกว่า อ้อ เขาไม่ทุกข์แล้ว
ที่ไม่ทุกข์แล้วนั่นเพราะอะไร
คงจะเกิดธรรมะขึ้นในใจอย่างหนึ่งเป็นอย่างน้อย
แม้ว่าจะไม่ได้ศึกษาธรรมะ แต่ว่ามันเกิดขึ้นในใจแล้ว
ธรรมข้อนั้นเกิดขึ้นว่าอย่างไร...คงเกิดขึ้นว่า
ไม่ใช่ฉันคนเดียวที่ป่วย แต่ว่ามีคนอื่นมาป่วยอยู่อีกหลายสิบคน
แล้วฉันจะมาเป็นทุกข์เรื่องอะไร
เมื่อคนอื่นเขาไม่ได้ทุกข์มากมาย
เขาหัวเราะหัวไห้ก็เลยพลอยหัวเราะไปกับเขาด้วย
อันนี้มันเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ
เพราะว่าอยู่กันเป็นหมู่เป็นคณะ
หมู่ทำอะไรก็ทำไปอย่างนั้นตามเรื่องตามราว
ความเจ็บป่วยก็บรรเทา
ที่ไปคราวนั้น ไปเยี่ยมคนหนึ่งแกป่วยขาขาด
คือว่า รถทับขาขาดเลย เลยถามว่า เป็นอย่างไร
ขาขาดนี่รู้สึกอย่างไร
แกบอกว่า มาแรกๆ นี่เป็นทุกข์เต็มที ไม่สบายใจเลย ๓ วัน
"วันที่สี่เป็นอย่างไร"
"ค่อยสบาย"
ถามว่า "สบายเพราะอะไร"
"เพราะนึกได้ว่ามันไม่ได้เป็นแต่ผมคนเดียว" ว่าอย่างนั้น
คนอื่นเขาก็เป็นกันหลายคน
แล้วก็เปิดประตูดูคนที่นอนอยู่ข้างนอก
ก็ไม่เห็นเขานอนเป็นทุกข์สักคนเดียว

เขามีความพอใจในสภาพที่เป็นอยู่ แล้วหัวเราะกัน
คุยกันเล่านิทานกัน ก็เลยพลอยไม่เป็นทุกข์ไปกับพวกนั้นด้วย
อันนี้เป็นเรื่องที่เป็นไปได้ คือ หมดทุกข์ไป
ก็เพราะเกิดความรู้สึกตัวว่า
อ้อ ธรรมดาคนเราเกิดมาแล้วก็ต้องเป็นอย่างนั้น ด้วยกันทั้งนั้น
เป็นเรื่องหนีไม่พ้น ก็นึกได้ เมื่อนึกได้มันก็หมดเรื่องไป
เรื่องอื่นๆ ก็เหมือนกัน สมมติว่าเราอยู่กัน สามีภรรยาอยู่ด้วยกัน
ทีนี้ตายจากไปคนหนึ่ง ภรรยาตายไป
สามีก็นั่งเป็นทุกข์เหงาใจว่าเหงาเต็มทีอยู่คนเดียว
หรือว่าสามีตาย ภรรยาก็เป็นทุกข์เหงาจิตเหงาใจว่าอยู่คนเดียว
นี่เป็นเพราะไม่ได้คิดถึงกฎธรรมดา

ดอกไม้ ดอกไม้ ดอกไม้


(มีต่อ 18)
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 03 ก.พ.2007, 5:57 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ถ้าคิดถึงกฏธรรมดาว่าก่อนนี้เราก็อยู่คนเดียว
เราไม่มีเพื่อนสองอย่างนี้ แต่ต่อมาชีวิตมันก็เปลี่ยนฉาก
ไปตามเรื่องนึกดูว่าฉากละครชีวิตที่เราแสดงมาเป็นอย่างไร
นึกถึงภาพเด็กน้อยๆ ที่นอนอยู่ในเบาะ
เด็กที่รู้จักคลาน รู้จักเดินเตาะแตะไปโรงเรียนได้ เป็นหนุ่มเป็นสาว
แต่งงานมีลูกมีหลาน หรืออาจจะไม่มีก็ได้
แล้วก็อยู่มาจนป่านนี้ อ้อ มันเปลี่ยนมาเรื่อยๆ
ชีวิตนี่เปลี่ยนมาโดยลำดับ
คนเราที่เกิดมาแล้วต้องจากกันทั้งนั้น ต้องตายทั้งนั้น
เมื่อก่อนนี้เรามีพ่อแม่ มีคุณปู่ คุณตา คุณย่า คุณยาย
เดี๋ยวนี้ปู่เราไปไหนแล้ว ทวดเราไปไหนแล้ว
ย่าเราไปไหน ยายเราไปไหน
ถ้าคิดดู อ้อ ท่านไปแล้ว ไปก่อนแล้ว
ปู่ทวดไปก่อน แล้วปู่ตาไป ย่ายายไป พ่อแม่เราก็ไป
สามีเราก็ไป ภรรยาเราก็ไปกันโดยลำดับ
คนอื่นเขาไปกันแล้ว วันหนึ่งเราก็ต้องไป แต่เวลานี้ยังไม่ไป
เพราะร่างกายมันยังมีปัจจัยเครื่องปรุงเครื่องแต่งอยู่
ยังพออยู่ในโลกมนุษย์ไปได้


แล้วเราจะอยู่ด้วยความทุกข์ดี
หรือว่าจะอยู่ด้วยความสุขใจความเบาใจดี
ถามตัวเองอย่างนี้ ก็คงจะตอบตัวเองได้ว่า
อยู่ด้วยความเบาใจสบายใจดีกว่า


ทำอย่างไรจึงจะสบายใจ ทำอย่างไรจึงจะเบาใจ
จะนึกจะคิดอย่างไรใจจะสบาย ต้องถามตัวเองต่อไป
ก็รู้ได้ว่าถ้าเราคิดอย่างนั้นเราเป็นทุกข์
ความคิดที่ทำให้เกิดทุกข์นั่นคิดไปทำไม
หน้าต่างบานไหนเปิดแล้วมันมีแต่กองขยะมูลฝอย
เราจะไปเปิดบานนั้นทำไม เอาไม้ตีปิดเสียเลยอย่าให้มันเปิดได้
แต่บานไหนเปิดไป เห็นสนามหญ้าสวยมีดอกไม้งามๆ
เราก็เปิดบานนั้น เปิดไปก็เห็นสีเขียวสดชื่น สบายใจ ฉันใด

ดอกไม้ ดอกไม้ ดอกไม้


(มีต่อ 19)
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง