Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 หลวงตาสอนศิษย์ในวัด (หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน) อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
วีรยุทธ
บัวทอง
บัวทอง


เข้าร่วม: 24 มิ.ย. 2005
ตอบ: 1790
ที่อยู่ (จังหวัด): สกลนคร

ตอบตอบเมื่อ: 01 ก.พ.2007, 7:04 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

Image

เรื่อง : หมวดหลวงตาสอนศิษย์ในวัด
โดย..ท่านพระอาจารย์มหาบัว ญาณสัมปันโน
วัดป่าบ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี



1. ถ้ามาอยู่ที่วัดป่าบ้านตาดนี้ให้ระมัดระวังทุกคนน่ะทั้งพระทั้งเณร เถร ชี อย่ามาเก้งก้าง อย่ามาหน้าดื้อหน้าด้าน อย่ามามึนตึงไม่ได้นะที่นี่น่ะ ธรรมะไม่ใช่ธรรมะมึนตึง ฟังตรงไหนจับให้ดี เอาไปพินิจพิจารณา ที่สอนแล้วนี้จำกันได้ไหม การปัดกวาดมาเพ่นพ่านๆ อยู่ในเหล่านี้น่ะ มันขวางตามานานแล้วนะ ได้เตือนแล้วนะ คราวนี้เตือนหนัก คราวหลังไล่ออกหนีเลย ไม่ได้พูดซ้ำๆ ซากๆ อีกนะ เพราะเตือนแล้วเตือนเล่า มาอยู่แบบหน้าด้านก็มี ทะลึ่งพึ่งพรวด การนั่งการอยู่แย่งชิงหาแต่ที่กัน แล้วแบบหน้าด้าน มีอยู่เยอะนะ เรามองดูตลอด ว่าเราไม่ดูเหรอ เราดูอยู่ ใครหน้าด้าน ใครหน้าหนาใครหน้าบาง ดูไปหมด มันเป็นยังไง มาแย่งมาชิงแต่ที่หลับที่นอนที่นั่งนะ แย่งชิงหาอรรถหาธรรมเพื่อความดีงามแก่ตนมันไม่แย่งนะ มันแย่งแต่ของเลอะๆ เทอะๆ อย่างงั้น ดูไม่ได้นะ

อยู่ไปนานไปมันหน้าด้านไปเรื่อยๆ นะพวกนี้ มันมีเราก็ได้ยินอย่างนี้ ได้ยินมานานแล้วนะแต่ยังไม่พูด ถึงเวลาพูดมันเป็นเองของมันแหละ ถ้าถึงเวลาพูดแล้วหงายเลยทันที หลบทันก็ทัน ไม่ทันหงายเลย มันมีแปลกๆ ๆ อยู่ในวัด อยู่ภายในนั่นน่ะ มันยังไงกันๆ อยู่งั้นละ แต่ไม่พูด นี่เพียงแย็บออกมา เรียกว่าเตือนให้รู้ตัวไว้ ความหมายว่างั้นนะ มาแบบแฝงๆ แผลงๆ มาอะไรอยู่ในนั้น มันมีหึงๆ หวงๆ สอดๆ แนมๆ มีอยู่ในนั้นนะ จำให้ดีคำนี้ ธรรมไม่ได้มีอย่างนั้นนี่นะ มันอะไรก็ไม่รู้ มาหึงมาหวงหาอะไร สอดๆ แนมๆ หาอะไร ดูกิเลสตัวมันดื้อๆ อยู่ภายในหัวใจนั่นซิ มันแสดงแบบไหนออกมาอย่างนั้น มันถึงออกมาหยาบๆ ให้คนอื่นเห็น ตัวเองไม่เห็นตัวมันออกมานั้นน่ะ ดูเอาซิ ดูตัวนั้นซิ

นี่ทราบมานานแล้วนะ พึ่งจะมาพูดวันนี้ เตือนนะ ถ้าเตือนครั้งที่สองมักจะไล่ออกจากวัดเลย นี่เป็นการเตือนแล้วให้รู้เรื่องเอาไว้ มาสอดมาแนมมาจับพริบจับไหว มาหึงมาหวงกันหาอะไรผู้มาปฏิบัติธรรมด้วยกัน ทำไมไม่เสาะแสวงหาที่เป็นอรรถเป็นธรรม แสวงหาในเรื่องของกิเลส เรื่องหึงเรื่องหวงเรื่องกิเลสตัณหา เรื่องเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องอรรถเรื่องธรรม อย่านำมาใช้ในวัดนี้นะ มันยิ่งเลอะๆ เทอะๆ เข้าไปทุกวัน

ตามวัดตามวานี้ก็เหมือนกันมองไม่ทันนะ อยู่ข้างนอกข้างในก็ตามเลอะเทอะไปหมดนะ เราก็ได้ไปดูเป็นบางเวลา ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น ถ้าไปเวลาอื่นไม่ได้มันรุมเอาเหมือนแม่ต่อแม่แตนนะ เราก็ลำบากของเราเหมือนกันนะ ส่วนมากจะไปตอนเช้า ๆ ปั๊บออกไป ไปดูนั้นดูนี้ดูทุกสิ่งทุกอย่างแล้วมาสั่งเสียพระ หรือสั่งเสียคนงานที่เกี่ยวข้องกัน อะไรเป็นยังไงๆ แล้วก็มาสั่งเสีย ไปดูที่นั่นแล้วดูที่นั่น ดูๆ แล้วก็มาสั่งเสีย เราจะไปตามเวล่ำเวลาที่เราต้องการ มันไปไม่ได้นะ

พอตื่นเช้านี้รุมๆ มาแล้ว ไม่ทราบมาเหตุผลกลไกอะไร มาสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้หน้าได้หลัง มาเลอะๆ เทอะๆ ไม่ได้มาเป็นศีลเป็นธรรมมีจำนวนมากนะในวัดนี้ ทนแสนทนนะเรา แล้วกลางวี่กลางวันก็อย่างเดียวกัน เพ่นพ่านๆๆ ตลอดถึงค่ำ ออกมาไม่ได้นะนั่น ออกมานี้รุมเลย ต้องได้เลือกเวล่ำเวลา บางทีก็ตอนเย็น มักจะออกมาตอน ๔ โมง คือเวลาพระปัดกวาด มาดูข้อวัตรปฏิบัติ นี่มักจะออกเสมอตอนนี้ นอกจากนั้นก็ตอนค่ำ คาดว่าคนจะหมดไปแล้วทีนี้ก็ด้อมออกดูนั้นดูนี้ แล้วก็มาสั่งเสียพระ ทีนี้มันออกไม่ได้นะ ตามเวลาต่างๆ นี้ออกไม่ได้ รุมๆ นี่ละมันไม่เป็นท่าเลยนะ เสีย

ผู้ที่เข้ามาในวัดในวาก็เหมือนกัน มันไม่ได้ลืมหูลืมตามานะ มาวัดวาท่านปฏิบัติกันยังไง ธรรมะสอนคนให้ดีหรือสอนคนให้เลว ท่านสอนยังไงท่านปฏิบัติยังไงมันควรจะดู ควรจะสังเกต มันไม่สังเกตนะ ทำแบบไหนมาก็เอาแบบนั้นละมา มาอวดพระเสียด้วยนะไม่ใช่ธรรมดา เอาของเลวๆ มาอวดพระ เอาขี้หมูขี้หมาเอาส้วมเอาถานมาอวดพระเต็มวัดเต็มวา การแต่งเนื้อแต่งตัวดูไม่ได้นะเวลานี้ เราบอกจริงๆ แต่งแบบจิ๊กโก๋จิ๊กเก๋เข้ามา แบบกิเลสตัณหาหน้ามืดหน้าด้านนั้นอย่าเข้ามาในวัดนี้ เราไม่หวังจะกินอาหารกับคนประเภทนี้ เราตายเราก็ตายดีกว่าจะมากินมูตรกินคูถของคนสกปรกอย่างนี้

เรากินด้วยความสะอาดสะอ้านในธรรมของเรา กินเท่าไรเรากินได้ เราตายก็ตายเป็นสุข อย่าให้ตายด้วยแบบกินมูมมาม ๆ กับพวกเปรตพวกผี พวกหน้าด้านสันดานหยาบนี้เลยนะ จะเอานั้นมาอวดหรือว่ามาวัดมาวา ถ้าท่านว่าให้เราเราก็ไม่เอาอะไรมาทาน โคตรพ่อโคตรแม่มึงไม่มาก็ช่างกูไม่ตาย เข้าใจไหม กูปฏิบัติตามศีลตามธรรม พุทฺธํ ธมฺมํ สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ ต่างหาก กูไม่ปฏิบัติเพราะโคตรพ่อโคตรแม่มึงจะเอาอาหารมาให้กูกิน ถ้าไม่ดีสูจะเอาหนี สูไปทั้งโคตรสูก็ไปซิ กูจะว่าอะไรเข้าใจไหมล่ะ อย่าเอามาอวดนะอวดธรรม เราพูดจริง ๆ อวดไม่ได้เป็นอันขาด ไม่มีอะไรเลิศเลอยิ่งกว่าธรรม

นี้เอามาสอนโลกด้วยความเมตตาสงสาร มันยังจะเอาขี้หมูขี้หมามาอวดธรรมอยู่เหรอ เราอยากถามว่าอย่างนั้นนี่นะ สอนโลกทุกวันนี้แทบเป็นแทบตายเพราะอะไร ความเลิศเลอในหัวใจพระพุทธเจ้า ของพระอรหันต์เป็นยังไงมันเคยเห็นไหมล่ะ ตั้งแต่โคตรพ่อโคตรแม่มันก็ไม่เคยเห็น สอนธรรมออกมาเท่านี้มันยังจะเอาโคตรพ่อโคตรแม่มาอวดธรรมอีกมีอย่างเหรอ เข้าใจไหมล่ะพวกนี้ มีโคตรหรือไม่มีพวกนั่งอยู่ใต้ถุนศาลานี่น่ะ หรือมีแต่โคตรหลวงตาบัวคนเดียวที่แว้ๆ อยู่นี้ โอ้ พวกบ้า มันยังไงกันนี่

[เทศน์ ณ วัดป่าบ้านตาด วันที่ ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๔๖ เรื่อง เห็นบุญเห็นคุณสถานที่]


2. ทีแรกเราก็แยกเป็นสติเป็นปัญญา อย่างเวลาเราตั้งเบื้องต้นนี้สติต้องมาก่อน ต้องตั้งเป็นพื้นฐาน ปัญญาจะออกเป็นเวลาๆ ในโอกาสอันควรนะ ถ้าสติตั้งไม่ดีๆ ปัญญาออกไม่ได้ ออกเป็นสัญญาอารมณ์ไปหมด กว้านเอาฟืนเอาไฟคือกิเลสมันเป็นสัญญามันเป็นกิเลสมาเผาเจ้าของ จึงต้องตั้งสติไว้ให้ดี

ลูกศิษย์ : อันนี้ฟังก็เหมือนกับรูปธรรม ทีนี้ถ้าเราจะออกมาเป็นนามธรรม เราจะฝึกให้มันเป็นขั้นตอน เพราะว่าบางอย่างกิริยามันรวมกันหลายๆ อย่าง มันออกจากจิต

หลวงตา : ไม่ต้องการมาก เวลานี้ไม่ต้องการมาก เพียงอันเดียว ให้อยู่อันเดียวเสียก่อน เหมือนกับเราปลูกต้นไม้ เอาต้นมาปลูกก่อน แล้วกิ่งก้านสาขาดอกใบของมันเมื่อได้รับการบำรุงจากลำต้นแล้ว มันจะแตกของมันไปเองเข้าใจไหมล่ะ เบื้องต้นนี้สนใจกับปลูกต้นอันนี้ให้ดีฝังให้ดี แล้วบำรุงมันด้วยปุ๋ยด้วยน้ำ แล้วมันจะค่อยงอกเงยขึ้นไป กิ่งก้านของมันมันจะแตกของมันไปเอง อันนี้ว่าแผนกนั้นแง่นั้นแง่นี้รูปธรรมนามธรรมอะไรอย่าไปยุ่ง สอนตะกี้นี้สอนว่ายังไง นี่เพื่อตั้งรากตั้งฐานของมันตั้งตรงนี้ก่อน ไอ้รูปธรรมนามธรรมไม่ต้องบอกมันก็เป็นไปเอง เพราะใจอยู่กับรูปธรรมนามธรรม เป็นแต่เพียงว่าไม่พิจารณามันก็ไม่รู้ เมื่อเวลามันตั้งรากฐานได้แล้ว รูปธรรมนามธรรมเป็นทางเดินของสติปัญญา ของความเพียรทั้งนั้น เข้าใจหรือเหล่าที่พูดนี้ ยังไม่เข้าใจยังมาถามรูปธรรมนามธรรมไม่เห็นได้เรื่อง บอกจุดใหญ่ที่จะตั้งรากตั้งฐานก็ดังที่สอนตะกี้นี้ จิตไม่สงบเสียอย่างเดียวไม่เกิดประโยชน์อะไรนะ จิตสงบมันสงบได้ยังไง ด้วยมีวิธีการผูกมัดมันให้สงบ พอสงบก็รวมตัวได้ ๆ พักตัวได้ออกทำงานทำการอะไรได้ เป็นอย่างนั้นนะ พอเข้าใจไหมล่ะ

[คัดจากกัณฑ์เทศน์ ณ วัดป่าบ้านตาด วันที่ ๙ กรกฎาคม ๒๕๔๔]


3. “ในวัดนี้พระ ๕๐ วันนี้ขาดไปตั้ง ๒๐ พระ ๒๐ องค์นั้นท่านมีพุงๆ เหมือนเราทุกคนแต่ท่านไม่มาฉัน วันนี้ขาดไป ๒๐ พุง มาฉัน ๓๐ พุง แบ่งรับแบ่งสู้ แบ่งให้กิเลสบ้าง แบ่งให้ธรรมบ้าง ถ้าแบ่งให้กิเลสแล้วพระองค์หนึ่งให้ได้ ๓ พุง พระ ๕๐ องค์เอา ๓ คูณเป็นเท่าไร เท่านั้นพุง นี่ละพวกนี้กินแล้วจมนรกในหม้อหมูเข้าใจไหม หม้อหมูนอนจม ถ้าผู้ที่จะแบ่งตัวให้พ้นจากหมูนอนจมแล้วก็แบ่งอย่างนี้ละ เพราะฉะนั้นวันนี้พระที่ไม่มาฉันจึงมีตั้ง ๒๐ องค์ นี่ท่านภาวนานะ ท่านอดอาหารนั้นผู้ที่ถูกจริตนิสัยอันนี้มันต่างกัน ผู้ทำความเพียรใครหนักทางไหน คือดีทางใดได้ประโยชน์ทางใด เช่น อดนอนบ้าง ผ่อนอาหารบ้าง อดอาหารบ้าง เดินมากบ้าง นั่งมากบ้าง สังเกตกิริยาการทำความเพียรของตน ทั้งๆ ที่ตั้งสติอยู่ด้วยกัน อย่างไหนมีผลมากผลน้อยสังเกต อย่างนั้นจึงเรียกว่าเป็นนักภาวนา

ทำสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้ไม่ถูกทาง วิธีการที่ท่านทำเหล่านี้ท่านทำตามอัธยาศัย แล้วภาวนาเป็นพื้นฐาน ความสังเกตแนบติดตลอดเวลา ถ้าเห็นว่าทางไหนดี เช่น ผ่อนอาหารดี ท่านมักจะผ่อนไปเรื่อยๆ อดอาหารดีท่านมักจะอดไปเรื่อยๆ แล้วเดินจงกรมมากท่านมักจะเดินมากอยู่เสมอ หรือนั่งมากท่านมักจะนั่งมากเสมอ เมื่อทำอย่างนี้การภาวนาได้ผลดี นี่ละการทำความเพียรต้องเป็นนักสังเกต พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้คนโง่ สอนให้ฉลาดๆ ทุกอย่าง ทำอะไรลงไปไม่ใช่ไม่มีเหตุมีผล พระพุทธเจ้าเป็นองค์แห่งเหตุผล ศาสดาองค์เอกเราคือองค์แห่งเหตุผล จึงขอให้นำมาใช้นะ

นี่ที่ท่านทำของท่าน ใครจะไม่อยากใครจะไม่หิว ปากท้องมีทุกคน ต้องทนอดทนหิว ไม่ฉันก็หิวแต่ไม่ยอมฉัน ธรรมเลิศเลอยิ่งกว่าการฉัน ฉันเมื่อไรก็ได้ แน่ะ แต่ธรรมไม่เอาได้ง่ายๆ อย่างนั้นนะ ท่านจึงพยายามตักตวงเอาเวลาที่พอจะได้ ไม่ได้ทำสุ่มสี่สุ่มห้า เห็นแก่ปากแก่ท้อง เห็นแก่อยู่แก่กิน ใช้ไม่ได้ พวกนี้พวกนอนไม่มีวันสนใจที่จะขึ้นจากหล่มลึกแหละ ตกนรกทั้งเป็นๆ ทางท้องนั่นเต็ม หัวใจเป็นฟืนเป็นไฟ ใช้ไม่ได้นะ ท้องจะแฟบบ้างก็ตามหัวใจเต็มไปด้วยอรรถด้วยธรรมมีความชุ่มเย็น นั้นแลคือผู้บรรจุความสุขขึ้นภายในใจ หรือสิ่งเลิศเลอภายในใจ อยู่ตรงนั้นนะ ไม่ได้อยู่ที่พุงกางๆ หนา

ไอ้พุงกางๆ ไม่ว่ากางแบบไหนมีแต่พาให้จม ยิ่งไปฉกไปลักไปปล้นไปจี้ ไปหาอุบายรีดไถเขาคดโกงประเภทต่างๆ ร้อยสันพันคม พวกนี้พวกจม สมบัติเหล่านี้ได้มามากน้อยเพียงไรก็ตามกองเท่าภูเขา นั้นแลคือกองไฟเท่าภูเขา จะเผาหัวมันคนนั้นแหละ ที่เห็นแก่ได้พุงกางๆ นั้นแหละ พากันจำเอานะ ให้ใจกางด้วยอรรถด้วยธรรมซิ ในใจมีแต่ธรรมแล้วเลิศเลอ ในใจมีแต่พุงกางแบบรีดแบบไถ แบบคดแบบโกงร้อยสันพันคม นี้คือไฟเผาหัวมัน จำให้ดีนะ

ใครเก่งกว่าพระพุทธเจ้า เอา ท้าทายลงไป ศาสดาองค์ใดสอนแบบเดียวกัน พวกนี้ก็ให้ท้าทายถ้าเก่งต่อนรกจริงๆ จำให้ดีนะท่านทั้งหลายมาศึกษาอบรม นี้สอนบางทีก่อนจังหัน หลังจังหัน สอนทุกแง่ทุกมุมที่จะให้เกิดประโยชน์ ให้นำไปทำประโยชน์ อย่าให้แต่กิเลสมัดคอๆ ดูแล้วสลดสังเวชนะ ดูกิเลสมัดคอสัตวโลกนี้ แหม ว่างั้นเลย มันเคยมัดคอเรามากี่กัปกี่กัลป์จนกระทั่งสะทกสะท้านขยะแขยง เมื่อเวลาเจอมันเข้าอย่างจังๆ แล้ว เอาละให้พร”

[คัดจากกัณฑ์เทศน์ ณ วัดป่าบ้านตาด วันที่ ๓๐ สิงหาคม ๒๕๔๔]


4. “การกินมากฉันมากนี้จึงเป็นภัยต่อจิตตภาวนา กินมากเท่าไรความง่วงเหงาหาวนอนมาก กำลังวังชาที่เป็นเครื่องเสริมราคะตัณหามากไม่มีชิ้นดี นักภาวนาต้องเป็นนักสังเกต เพราะฉะนั้นท่านจึงได้ผ่อนอาหารลง พอผ่อนอาหารอันนี้ก็เบาลง สติค่อยดีดได้ ผ่อนลงๆ ควรอด-อด ถ้ามันหนักมากผ่อนไป ฉันแต่น้อย ถ้ามันพอนั้นเข้าอีก หยุดพักอาหาร ความเพียรเร่ง สติดีขึ้นปัญญาดีขึ้น สว่างไสวขึ้น นั่นมันแก้กันอย่างนี้ เพราะฉะนั้นพระภาวนาท่านจึงติดนิสัยถูกกับทางอดอาหาร ส่วนมากจะถูกทางอดอาหาร เพราะเรื่องอาหารนี้มันเสริมด้วยความง่วงเหงาหาวนอน ถ้ากิเลสแท้ๆ ไม่ต้องพูด แล้วเสริมราคะตัณหา พอผ่อนอันนี้ลงไปเหล่านี้จะสงบลงๆ ไป เพราะฉะนั้นผู้ที่อดอาหารเลยสองคืนไปแล้วไม่มีง่วง

คืนแรกจะมีนิดหน่อยละง่วง คืนที่สองลดลงแทบไม่ปรากฏ พอคืนที่สามไม่มีเลย นั่งเท่าไรก็ได้ มันง่วงเพราะอาหาร อาหารนี้สำคัญที่กับนะ ถ้ามีแต่ข้าวเปล่าๆ ก็ไม่ค่อยง่วง นี่เคยทดลองแล้ว กินแต่ข้าวเปล่ามันจะกินได้มากขนาดไหนใช่ไหม ๒-๓ คำมันก็อิ่ม ไม่อิ่มมันก็กลืนไม่ลง เรื่องท้องไม่อิ่มแหละ แต่ปากมันกลืนไม่ลง ก็มีแต่ข้าวเปล่าๆ มันจะกลืนลงได้ยังไง มันก็ไม่กินมาก เมื่อไม่กินมากแล้วความง่วงก็ไม่มี แล้วมีแต่ข้าวเปล่าๆ ความง่วงไม่มีนะ ถ้ามีกับเข้าไป กับประเภทต่างๆ พวกผัดพวกมันนี้เสริมเก่งทีเดียว ดีไม่ดีหลับครอกๆ ตั้งแต่ยังกำลังกินข้าวอยู่นั่น ทั้งเคี้ยวทั้งหลับครอกๆ ไปเลย มันกล่อมได้ดี สังเกตซินักภาวนา อาหารพวกผัดๆ มันๆ นี้กล่อมได้เร็ว ทีนี้เวลาเราอดอาหารเข้าไปคืนที่ ๓ ไม่มีเลย จากนั้นไปไม่มีคำว่าง่วง จะให้เห็นง่วงว่าปรากฏนี้ไม่มี นี่เห็นชัดๆ เพราะฉะนั้นท่านจึงอดอาหาร เพื่อความเพียรได้ดี

สตินั่นแหละสำคัญ ถ้าอดอาหารความเพียรดีคือสติตั้งได้อยู่ สติตั้งแล้วมันรู้สึกตัว สติความรู้สึกตัว รอบตัวๆ สติดีเท่าไรยิ่งรอบตัว ทุกสิ่งทุกอย่างทุกอย่างผ่านเข้ามารู้ทันทีๆ นั่นสตินะ พออดอาหารไปหลายคืนเท่าไรไม่มีคำว่าง่วง ตั้งหน้านอนหลับมันก็ไม่อยากหลับ นั่นเห็นไหม เวลาจะหลับจะนอนผู้ที่อดอาหารนอน เราอยากจะพูดว่าอย่างมากไม่เกิน ๒ ชั่วโมง หลับกลางคืนนะ ทั้งๆ ที่ธาตุขันธ์ก็ดีหนุ่มน้อยอยู่ แต่เวลาอดอาหารมากๆ เข้าไปนี้ความง่วงไม่มี จิตใจมันก็ยิ้มแย้มแจ่มใสเบิกบาน ภาวนาเพลินไปเรื่อย ไม่ค่อยเห็นมันง่วงนะ ให้นอนมันยังไม่อยากหลับ นี่ถ้าอดอาหารไปมากๆ นอนไม่หลับนะ ไม่ง่วง แล้วทางด้านจิตตภาวนาดีขึ้นเรื่อยๆ นี่หมายถึงผู้ที่ถูกนิสัยกับทางอดอาหารหรืออดนอน

ใครดีทางไหนมันก็รู้เอง เด่นทางไหนผู้นั้นก็ต้องตะเกียกตะกายไปทางนั้น ยากลำบากก็ต้องบืน เพราะทางเดินอยู่ที่นี่ ผลประโยชน์อยู่ทางนี้ต้องไปทางนี้ จะยากลำบากก็ทนเอา ความสะดวกๆ ส่วนมากเป็นเรื่องของกิเลส ให้ทดสอบสังเกตดูเรา พระท่านอดอาหารอย่างนี้ใครจะอยากอด ความหิวโหยเป็นของดีหรือ มันเป็นกองทุกข์ทั้งนั้น แต่ของดีที่เหนือจากการหิวการโหยการทุกข์ทรมานเพราะการอดอาหารมันมีอยู่ในนั้นคือธรรม นั่นละอันนี้เหนือนั้นๆ ท่านจึงตะเกียกตะกายเอาความดียิ่งกว่าเรื่องอาหาร ท่านจึงได้อด การฝึกจะให้เป็นคนดีนี้ เราจะเอาขนาดเด่นเท่าไร ความฝึกของเราก็ต้องมีเด่นๆ ตลอดไปเลย

ไม่ใช่ว่าอยู่ธรรมดาจะสำเร็จขึ้นมาๆ ในเสื่อในหมอนในส้วมในถานในที่นอนหมอนมุ้ง แล้วไปที่ไหนสำเร็จเกลื่อนไปหมด มีแต่คนสำเร็จ ในครัวของเรามีแต่คนสำเร็จ หลวงตาบัวนี้แตกวัดเลยอยู่กับหมู่เพื่อนไม่ได้ เพราะเหตุใดหลวงตาบัวแทบเป็นแทบตายมาสอนหมู่เพื่อน พวกนั้นไปที่ไหนมองเห็นหน้ากันเป็นยังไง พอมองเห็นยังไม่ถามเลย พอมองเห็นหน้ากัน ถ้าอย่างมากก็ถามเป็นยังไง ทางนู้นก็บอกสำเร็จแล้ว พอมองเห็นหน้ากันไม่ต้องถาม มีแต่สำเร็จแล้ว ผลสุดท้ายไอ้ปุ๊กกี้ก็วอกขึ้นเลย สำเร็จแล้ว โอ๋ย หลวงตาบัวนี้อยู่วัดไม่ได้นะ

คือเราฝึกทรมานเราแทบเป็นแทบตาย ครั้นมาเจอพวกลูกศิษย์มีแต่พวกสำเร็จแล้ว อู๊ย อยู่ทุกแง่ทุกมุม มีแต่พวกสำเร็จแล้วทั้งนั้นมันยังไงกันวะ หลวงตาบัวนี่มันเลวขนาดนั้นนะ ลูกศิษย์เรามันเลิศเลอที่สุด อยู่ที่ไหนๆ มีแต่พวกสำเร็จทั้งนั้น ไม่ต้องพูดละในวงศาลานี่ นอกศาลาไปนี้มีแต่แดนแห่งความสำเร็จทั้งนั้นเต็มไปหมด ฮู้ย พูดแล้วทุกขัง ทุกฺขํ อนิจฺจํ อนตฺตา อาจารย์แทบเป็นแทบตาย ลูกศิษย์นี่สบายมาก สำเร็จ มันพิลึก ถ้าเป็นพวกขิปปาภิญญา เป็นอีกประเภทหนึ่ง อันนั้นดีดผึงๆ ไปเลย ขิปปาภิญญา พวกอุคฆฏิตัญญู พวกขิปปาภิญญา ตรัสรู้เร็วบรรลุเร็ว พอเปิดประตูปั๊บผึงออกเลย ขิปปาภิญญาตรัสรู้ได้เร็ว

พวกเราไม่เป็นอย่างนั้นนะ พอเปิดประตูนี้พวกขิปปาภิญญาโดดผึงผังๆ พวกนี้หันหน้ามาสู้เจ้าของ ไล่ขวิดเอา คือจะไล่ออกนอกมันไม่ยอมไป มันจะเข้าลึกๆ กว่านั้นมันไล่ชนเอา ดีไม่ดีเจ้าของตกออกนอกห้องมันไล่ชน พวกนี้พวกไล่ชนเจ้าของ เข้าใจเหรอ อู๊ย เขาไม่ยาวนะแต่มันชนเก่งพวกนี้น่ะ พูดไปเท่าไรก็มีแต่ขบขันไปเรื่อย พวกเก่งๆ ทั้งนั้น ไปนี่ไปหาอันนั้นมา ใครยังไม่ได้ใบประกาศไปเสนอกันนะ ข้าสำเร็จมาแล้วตั้งแต่ยังไม่บวช ข้าสำเร็จมาแล้วตั้งแต่ยังไม่เข้าวัดนี้ ไหนใบประกาศไม่เห็นให้ข้า มันจะไปทวงเอาอย่างนั้นนะ มันลำบาก ได้พวกง่ายนี่มันง่ายที่สุดอย่างนี้ละ เข้าใจไหม ง่ายอย่างพวกคนดีจะตาย ไม่ทราบจะปฏิบัติตามยังไง ปฏิบัติตามพวกนี้น่ะ

อย่างพระปัจเจกพุทธเจ้าไม่มีใครสอนท่านนะ หลักธรรมชาติสอนท่านเอง คืออริยสัจ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค มีอยู่ทั่วแดนโลกธาตุ ผลิตสติปัญญาอยู่ในนี้รับกันปั๊บๆ พิจารณาแก้ไขตรัสรู้ขึ้นไปเลย พระปัจเจกพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็ทรงรู้เองเห็นเอง ทรงขวนขวายด้วยความเพียรเอง แล้วพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายก็เหมือนกัน สำเร็จเอง แต่ไม่สนใจจะสอนใคร รู้เฉพาะๆ เจ้าของแล้วผ่านไปๆ ส่วนพระสงฆ์สาวก พวกพระสงฆ์ทั้งหลายต้องได้ยินได้ฟัง ท่านจึงว่าสาวกๆ สาวก แปลว่า ผู้ได้ยินได้ฟัง ได้อบรมมาจากพระพุทธเจ้าหรือครูบาอาจารย์องค์ใดก่อนแล้วจึงจะสำเร็จได้ ให้สำเร็จโดยลำพังเจ้าของด้วยการพิจารณาเจ้าของเองนี้ไม่มี สำหรับพระปัจเจกพุทธเจ้ามี เป็นอย่างนั้นนะ

วันนี้ก็พูดกันมากแล้วนะ ไม่ทราบว่าขึ้นเรื่องไหนขึ้นไปเลย วันนี้เทศน์เพียงเท่านั้นละนะ วันละมากละน้อยบ้าง เพราะวัดนี้มันง่ายเหลือเกินแล้วแหละ สำเร็จเต็มวัดเต็มวา วันนี้ไม่ต้องเทศน์มาก เพราะลูกศิษย์เราเก่งกว่าครูแล้ว สำเร็จเต็มวัดเต็มวา”

[คัดจากกัณฑ์เทศน์ ณ วัดป่าบ้านตาด วันที่ ๓๐ สิงหาคม ๒๕๔๔ ]


5. พระที่อยู่เป็นที่ๆ ข้างในนั้น ที่ของตัวโดยเฉพาะๆ ไม่ได้กว้างขวางอะไร ที่ทำเลศาลานี้เป็นที่กว้างขวาง ต่างองค์ต่างออกมารวมปัดกวาดเช็ดถูที่บริเวณศาลาซึ่งเป็นส่วนรวม ที่ของเจ้าของมันแคบนิดเดียวๆ อันนี้ได้คิดกันหรือไม่ล่ะ เรามาดูมันแปลกๆ ตาอยู่นะ มันเห็นแก่ตัวๆ นะ ที่ส่วนรวมไม่เห็นเป็นสำคัญ ที่ของเรามันแคบนิดเดียวๆ อยู่ที่ไหนก็ได้ ปัดเมื่อไรกวาดเมื่อไรก็ได้ แต่ที่ส่วนรวมที่เป็นที่สาธารณะ ต้องได้ใช้เป็นประโยชน์อย่างจำเป็นๆ นั้นน่ะ เป็นที่ๆ สำคัญมากทีเดียว ให้ดูทุกอย่างๆ นะมาประพฤติปฏิบัติอรรถธรรม อย่ามาเซ่อๆ ซ่าๆ แบบไม่เอาไหนๆ มีเกลื่อนโลกเวลานี้ เข้าใจไหมอันไม่เอาไหนนี่น่ะ คือเรื่องกิเลสเหยียบหัวสัตว์โลกนะ

อะไรๆ ก็มีแต่ความมักง่ายความสะดวกสบายๆ แล้วเหยียบหัวเจ้าของลงไปด้วยความที่ว่าสะดวกสบายๆ นะ ธรรมท่านดูหมดนี่นะ เรื่องกิเลสเหยียบหัวสัตว์โลกท่านดูหมด จึงเอาธรรมมาประกาศสอนซิ ทุกคนให้ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติ ผิดพลาดประการใด เราอย่าเข้าใจว่าสิ่งนั้นสิ่งนี้ผิดพลาด ตัวเราเองเป็นตัวผิดพลาด ให้ดูจุดนี้เรามาศึกษาอบรม ดูที่หัวใจ เคลื่อนไหวไปผิดถูกดีชั่วประการใด แล้วการกระทำหน้าที่การงานผิดถูกประการใด บกพร่องตรงไหน ดูให้ดีตัวเอง อย่ามองข้ามหัวใจนะ หัวใจนี้เป็นหลักใหญ่มากทีเดียว สติอยู่กับใจ ปัญญาอยู่กับใจ รักษาใจ ใจจะปลอดภัย ทำหน้าที่การงานอะไรจะสมบูรณ์พูนผล ถ้าขาดสติธรรม ปัญญาธรรม ไปเสียอย่างเดียวไม่เป็นท่าทั้งนั้น

จำให้ดีพระมาทุกวันๆ มากขึ้นโดยลำดับลำดานะ เราก็มองดูไม่ทั่วถึง ทั้งข้างในข้างนอก ไม่ทราบจะมองดูที่ไหนบ้าง ต่างคนให้ต่างดูตัวเอง ตามีทุกคน หูมีทุกคน ไม่มีแต่หลวงตาองค์เดียวที่จะมองดู ฟังเสียงหมู่เพื่อนนะ หมู่เพื่อนมีหูมีตามีใจ เอาไปใช้เอาไปคิดสำหรับตัวเองทุกคนๆ ไม่งั้นจะเลอะเทอะไปหมด

เราพูดถึงเรื่องพระเณรของเรานี้มันสลดสังเวชจริงๆ เราเพศของพระด้วยกัน หัวโล้นด้วยกันดูกัน มันดูไม่ได้นะทุกวันนี้ จนเป็นความสลดสังเวช ดูเขาดูไม่ได้ ดูเราดูไม่ได้ ดูท่านดูใครดูไม่ได้ มันเลอะเทอะไปด้วยกันหมด มีแต่มูตรแต่คูถเต็มกิริยามารยาท การสำรวมระวังด้วยสติด้วยปัญญาซึ่งเป็นฝ่ายธรรมนี้ไม่ค่อยมีนะ มันชินชาอยู่ในหัวใจเรานั้นแหละ มันออกก่อนๆ ให้จำให้ดีทุกองค์ๆ มากขึ้นทุกวันๆ ให้พร

[คัดจากเทศน์ ณ วัดป่าบ้านตาด เมื่อวันที่ ๑๘ พฤษภาคม ๒๕๔๖]


6. พระที่มาใหม่และเก่า ให้ดูข้อวัตรปฏิบัติให้ดีด้วยกันนะ ในบริเวณศาลาที่ไหนๆ แถวนี้สำคัญมาก เป็นที่ชุมนุมชน ต้องได้ทำความสะอาดอยู่ตลอดไป ดูให้ดี แล้วกุฏิสองหลังทางด้านนั้นๆ เคยเข้ามาเตือนอยู่เสมอ กุฏิหลังนั้นๆ ไป พระไม่ต่ำกว่า ๔ องค์แต่ละวันๆ ทำให้ดีทุกอย่างนะ อะไรเหลวไหลแสดงไปจากตัวเองเหลวไหลนะ เราอย่าเข้าใจว่าสิ่งเหล่านั้นเหลวไหล สิ่งนั้นไม่ดี ตัวไม่ดีนั่นเองมันจึงทำอะไรๆ ไม่ดีทั้งนั้น ให้ดูตัวเอง ศาสนาให้ดูตัวเองนะ ดูใจตัวเอง ดูความเคลื่อนไหวของตัวเองแล้วกระจายออกไปข้างนอก ถ้าข้างในเคลื่อนไหวด้วยความมีสติปัญญาพินิจพิจารณาแล้ว ข้างนอกจะไม่เหลวไหล จะเรียบร้อยดีงามตามๆ กันไป

มันส่อไปจากใจนะ ทุกอย่างใจเป็นของสำคัญมาก เพราะฉะนั้นท่านถึงให้อบรมใจ อบรมใจดีมากน้อยเพียงไร กิริยาอาการที่แสดงออกจะเป็นไปเพื่อความรอบคอบทั่วๆ ไปหมด จิตเป็นของสำคัญ การมาศึกษาอบรมอย่ามาดูตั้งแต่นอกๆ ไม่ดูหัวใจตัวรกรุงรังนี้ไม่ได้นะ ต้องดูให้ดี เวลาผมไม่อยู่นี้วิตกวิจารณ์นะกับเพื่อนกับฝูงที่เข้ามาเกี่ยวข้อง อย่ามาโลเลโลกเลกนะ ให้พากันตั้งใจปฏิบัติให้ดี ดูตัวเอง อะไรบกพร่องอย่าไปด่วนตำหนิติเตียนอันใดก่อนตำหนิติเตียนตัวเองจากการสังเกตตัวองนะ ขอให้ดูให้ดีเลอะๆ เทอะๆ ไม่ได้นะ

เวลานี้เราสลดสังเวชนะ เกี่ยวกับเรื่องศาสนาคือพระเณรเรานี้น่ะ ที่เป็นหัวหน้าของชาวพุทธทั่วประเทศไทย ขึ้นอยู่กับพระนะ พระเป็นยังไง ดูตัวของเราแต่ละองค์ๆ เหลวไหลโลเลหรือดี ถ้าไม่ดีก็ประกาศความไม่ดีกระจายออกไป จะให้ใครถือเป็นสาระได้ อันนี้สำคัญมากนะ มันยิ่งแซงหน้าไปเรื่อยนะ นำศาสนาพระเรานำ นำออกแบบจรวดดาวเทียม แบบดูไม่ได้ จักรยานก็ขี่ได้อย่างสบายๆ ขับรถยนต์ขี่เองนะพระเราเดี๋ยวนี้ กำลังแซงขึ้นไปโดยลำดับลำดา ดูซิในคัมภีร์ในวินัยท่านไม่มี เพราะอย่างนี้ฆราวาสเขาก็รู้ พระทำไมเป็นผู้ปฏิบัติเพื่อความละเอียดลออยิ่งกว่านี้ จะไม่ทราบว่าสิ่งเหล่านี้ผิดพลาดขนาดไหน

เพียงพระนั่งซ้อนท้ายจักรยานไปเท่านั้นมันก็ไม่น่าดูแล้ว จะพูดอะไรก็พูดยาก พระดูกันก็ดูยาก แล้วพระก็ขี่จักรยานไปอีก เอาเข้าอีก แล้วพระขี่รถยนต์ขับรถยนต์เอง กำลังเก่งไปทางนี้พระเราเวลานี้ จะเอานี้หรือออกไประกาศศาสนา ถ้าออกประกาศศาสนา พระพุทธเจ้าก็จะแสดงมานานแล้วนะ นี่จะให้พระเราเป็นผู้นำศาสนาด้วยการขี่รถยนต์ด้วยตัวเอง ดีไม่ดีมอเตอร์ไซค์เข้าไปอีก แล้วรถจักรยานขี่แน่นถนนไปหมด เตะพวกญาติพวกโยมตกถนนหนทาง มันกีดขวางทางเดินของพระที่ขับขี่รถยนต์ จักรยาน มอเตอร์ไซค์ ไปตามถนนหนทาง มันทับทางพระ ให้พระท่านขับขี่ได้สะดวก ให้โยมเขาได้ตกถนน เวลานี้กำลังพระเราขี่รถยนต์ พระขับรถยนต์เอง ไม่มีในพระวินัย จะมีอะไรหยาบขนาดนั้น ตั้งแต่ฆราวาสเขายังรู้ ทำไมเราจะไม่รู้

มันน่าสลดสังเวชนะพระขับรถยนต์นี่ แล้วขี่จักรยาน เป็นยังไงมีไหมเมืองไทยเรา ไปหาดูนะ มอเตอร์ไซค์ยังไม่เห็นเวลานี้ กำลังฟิตซ้อมหรือกำลังซ่อมเครื่องอยู่ในโรงซ่อมเครื่องก็ไม่ทราบแหละ ยังไม่ได้ออกมาตีคนให้แหลกไปหมด คนตกถนน พระเรามันเก่งทางนี้นะเวลานี้ น่าสลดสังเวชไหมท่านทั้งหลายที่นั่งฟังอยู่นี้ พระเรานั้นน่ะดูไหมพิจารณาไหม หน้าด้านไหมพระเรา โอ๋ย สลดสังเวชนะพวกพระหน้าด้าน พวกเรานี่แหละไม่มีใครหน้าด้าน ใครเขาก็ไม่แตะ จะพูดอะไรก็ อู๊ย ลำบากๆ แต่พระยิ่งหน้าด้านเสริมความหน้าด้านสันดานหยาบเข้าไปโดยลำดับลำดา มันน่าสลดสังเวช

เวลามีมากๆ พอๆ เข้าไปเดี๋ยวจะไปทูลพระพุทธเจ้าให้มาเป็นผู้นำนะ เป็นผู้นำขับรถจักรยาน ขับรถยนต์ด้วยตัวเองๆ มีศาสดาเป็นแนวหน้านำสอนประชาชนเขา เขาขับรถตามถนนหนทางสู้พระไม่ได้ เวลานี้ประชาชนให้ระวังนะ พระกำลังเตรียมฟิตตัวเองนะเดี๋ยวนี้ ฟิตขี่จักรยาน มอเตอร์ไซค์ยังไม่เห็น ฟิตขี่รถยนต์นะเวลานี้ ส่วนจักรยานกับรถยนต์เห็นแล้วๆ ว่างั้นเลย ส่วนมอเตอร์ไซค์ยังไม่เห็น ให้ญาติโยมตั้งตัวเตรียมพร้อมไว้เพื่อโดดถนนนะ เวลารถจรวดดาวเทียมของพระผ่านถนนไปนั้น จะดาดาษไปด้วยหัวโล้นๆ ผ้าเหลืองๆ ขี่จักรยาน ขี่รถยนต์ ขับด้วยตัวเองไปนั้น จะไม่หลีกใครนะพระพวกนี้ ให้พากันเตรียมหลบข้างถนนให้ดีนะ ถ้าตกลงตายจะว่าหลวงตาไม่บอก นี่หลวงตาบอกแล้วนี่นะ

พวกจรวดดาวเทียมหัวโล้นๆ นี่ขับขี่รถยนต์ รถจักรยาน แล้วอาจจะเป็นรถมอเตอร์ไซค์เข้าไปอีกก็ได้เต็มถนน ตกถนนแหละประชาชน ให้ระมัดระวังให้ดีนะ นี่เตือนไว้ๆ มันเป็นยังไงพระเรา แหม สันดานหยาบจริงๆ นะพระนี่ มันทำไมถึงหยาบขึ้นทุกวันๆ พระ มันหน้าด้านขึ้นทุกวันๆ สลดสังเวช ใครแตะไม่ได้ คือดูมันดูไม่ได้แล้วจะว่าไง จะมาพูดอะไรก็ลำบากลำบนที่จะพูดเพราะพระแท้ๆ ควรจะรู้เรื่องดีชั่วยิ่งกว่าประชาชน เพราะเราเป็นผู้นำ แล้วกลับเลวยิ่งกว่าประชาชน จะให้เขาพึ่งใครอาศัยใคร ฟังให้ดีนะพระลูกพระหลานเต็มอยู่นี้น่ะ ดูให้ดี ฟังเข้าใจไหมเดี๋ยวนี้น่ะ ยังไม่เข้าใจเหรอ ยังเอารถยนต์มาขับขี่ตรงหน้าศาลานี่เหรอ ให้ดู ใครขับขี่ไม่ดีให้หลวงตาบัวเป็นผู้แนะ

เกิดมาแต่โคตรพ่อโคตรแม่หลวงตาบัวไม่เคยได้ขับรถยนต์รถไฟ ขี่จักรยาน จะเอาอะไรมาสอนท่านทั้งหลายน่ะ จำให้ดีนะ เลวมากทีเดียวพระเรา เลวลงทุกวันๆ เราไม่ได้ตำหนิติเตียนใคร เอาหลักธรรมหลักวินัยเป็นความถูกต้องดีงามของพระมาแสดงด้วย เอาความเลวร้ายของพระที่ไม่มองดูหลักธรรมหลักวินัยมาแจงด้วย ให้ดูทั่วหน้ากันนะ

พระที่มาประจำศาลานี้ก็ทุกวันๆ รายละอาทิตย์หนึ่งๆ สับเปลี่ยนกันบนศาลา คอยดูแลศาลารอบด้าน รับผิดชอบนับแต่โกดังมา ในศาลา ผู้คนพระเณรเข้ามาเกี่ยวข้อง พระที่อยู่ศาลานี้จะคอยดู จัดเป็นวาระๆ เอาไว้เป็นประจำ เราอยู่ก็ตามไม่อยู่ก็ตามก็มีเป็นประจำอย่างนั้นตลอดไป

พระเข้ามาเกี่ยวข้องอยู่ตลอดเวลาต้องได้เทศน์ได้สอน แล้วคำว่าพระนี้มันก็กระจายไปหมดอย่างน้อยก็เรียกว่าทั่วประเทศไทย มากกว่านั้นพระอยู่ที่ไหนก็เกี่ยวข้อง เพราะมีพระธรรมวินัยอันเดียวกัน สอนเพื่อให้เข้าอกเข้าใจ เรื่องมันมีความผิดความทำลายมี การแก้ไขดัดแปลงหรือการต้านทาน หักห้ามต้องมี ไม่มีไม่ได้ ไม่มีก็เหลวแหลกไปเรื่อย คนเราจะพอดูได้งามตางามหู ต้องมีธรรมประจำตนนะ ถ้าไม่มีธรรมแล้วก็ไม่ผิดอะไรกับสัตว์ คือสัตว์เขาไม่มีอะไร ไปตามภาษาเขา แต่คนนี้มี เพราะฉะนั้นคำว่าเกิดเป็นมนุษย์จึงสูงกว่าบรรดาสัตว์ทั่วโลก เพราะมนุษย์นี้รู้ดีผิดถูกดีชั่ว ซึ่งเป็นทางออกดี สำหรับสัตว์นี้มีแต่ทางเข้ามากกว่าทางออก ทางลงมากกว่าทางขึ้น สำหรับมนุษย์เรานี้มีทางออกทางเข้าทางขึ้นทางลงเสมอกัน เพราะดีก็รู้ชั่วก็รู้ ผิดถูกดีชั่วรู้กันทั้งนั้น เมื่อผู้ที่มีธรรมก็แยกแยะออก อันไหนผิดไม่ไป ไปแนวทางที่ถูกต้อง

การประพฤติตัว การพูดการจา เราเป็นสัตว์หมู่สัตว์พวก เราจะพูดตามความชอบใจของเราอย่างเดียวอย่างนี้ไม่ได้ เพราะความชอบใจของเรานั้นมันเป็นความไม่ชอบใจของคนอื่นแทรกอยู่ในนั้น ถ้ามีธรรมอยู่ในนั้นแล้วการพูดออกไปจะหนักเบามากน้อย จะไม่ผิดทางถูกต้องดีงาม จะไปเรียบๆ ถ้าไม่มีธรรมแล้ว ถึงจะนิ่มขนาดไหนก็นิ่มเพื่อกัดเพื่อฉีกอยู่ในนั้น เป็นอย่างนั้นนะ ทางธรรมนิ่มก็มีแข็งก็มี ทางกิเลสนี้ส่วนมากมักจะออกตอบต้อนรับกันด้วยความนิ่มๆ แต่ลึกๆ นั้นแข็งมาก นั่น กิเลสเป็นอย่างนั้นนะ

จึงขอให้มีธรรมเถอะพวกเราชาวพุทธด้วย ขอให้มีธรรมปฏิบัติต่อตนเอง และปฏิบัติต่อส่วนรวม นับแต่ตัวของเราผู้เกี่ยวข้อง ครอบครัวเหย้าเรือนออกไปเป็นลำดับ การจะพูดอะไรออกมาให้คำนึงคำนวณความผิดถูกชั่วดีเสียก่อน แล้วความผิดถูกชั่วดียังพิจารณาอีกว่า การใดควรไม่ควรอีก แน่ะ เป็นขั้นๆ ไป และไม่ค่อยผิดพลาดคนเรา พูดไปตามอารมณ์ชอบใจตัวเองนี้ส่วนมากมักขัดๆ เพราะอารมณ์ของตัวเองนี้มันเป็นฝ่ายชั่วฝ่ายต่ำทั้งนั้น ไม่มีฝ่ายดีแฝง เมื่อมันชินต่อนิสัยแล้ว คนเราชอบทำตามอำเภอใจตามความอยากของตัวเองแล้ว จะไม่คำนึงถึงความผิดถูกชั่วดีของผู้ใด แล้วจะผิดดะไปเลย

พูดออกมาก็ขวางหูไปเลย ทำอะไรออกมาจะขวางหูขวางตาไปเลย นี่คือไม่คำนึงตัวเองเทียบกับคนอื่น ซึ่งมีหัวใจด้วยกัน โลกนี้มีหัวใจ มนุษย์เรานี้ยิ่งสำคัญ จึงต้องได้พิจารณา อะไรที่มันผิดอยากทำก็ไม่ทำอย่างนั้นถูก บังคับ ถ้าไม่ทำแล้วก็ไม่ผิด แน่ะ ยังเป็นความดีติดนิสัยไปอีก ถ้าให้เป็นตามอารมณ์นี้มีแต่ผิดๆ ไปเรื่อยๆ แหละ สุดท้ายก็เข้ากับหมู่กับพวกไม่ได้ เข้ากับใครไม่ได้ ให้อยู่คนเดียวก็อยู่ไม่ได้อีกนะ ก็วิ่งหาพวกหาเพื่อน ครั้นไปที่ไหนมันก็กีดก็ขวางไป มันก็เลยเข้ากับโลกไม่ได้ นี่เขาเรียกว่า คนโลกแคบ ไปอยู่ที่ไหนแคบไปหมด ให้พากันระมัดระวังการอยู่ร่วมกัน

เช่นอย่างพระนี้ที่มาอยู่นี้ดูซิน่ะ ยกวัดป่าบ้านตาดนี้เลยละ ทุกภาคอยู่นี้เป็นประจำ ไม่เอาคำว่าภาคไหนเป็นใหญ่ไม่มี ต้องเอาคำว่าพระลูกศิษย์ตถาคต บวชมีอุปัชฌายะอาจารย์ มีหลักธรรมหลักวินัยเป็นเครื่องยืนยันกันเรียบร้อยแล้ว อยู่ด้วยกันเป็นผาสุก ไม่มีนี่มาจากที่ไหนๆ จะดูถูกเหยียดหยามกันด้วยภาคด้วยบุคคล ด้วยฐานะสูงต่ำอย่างนี้ไม่ได้ ท่านห้ามไม่ให้ดูถูกกัน ให้เอาความดีเข้ายันกัน นั่น ผิด ถูก นี้เข้ายันกัน ถ้าผิดแล้วเป็นเทวดามาก็ใช้ไม่ได้ เข้ากับหมู่เพื่อนไม่ได้ ถ้าถูกแล้วเข้าได้ทั้งนั้น นี่ละเรื่องพุทธศาสนา เช่นอย่างอยู่ในวัดนี้ก็เหมือนกัน วัดนี้รู้สึกจะมีพระประจำอยู่ทุกภาคเรื่อยมาจนกระทั่งป่านนี้ ถามถึงหลักธรรมหลักวินัยเป็นเครื่องยืนยันอยู่ด้วยกันเป็นผาสุก ผิด ถูก ชั่ว ดี ไม่ต้องไปคำนึงถึงชาติชั้นวรรณะ ฐานะสูงต่ำ ภาคนั้นภาคนี้ไม่มี เอาธรรมวินัยกางผึงเลยทันที ผิดหรือถูกตรงนี้ เอายันกันตรงนี้ อยู่กันด้วยนี้เอง

ถ้าปฏิบัติหลักธรรมหลักวินัยถูกกันแล้ว อยู่ที่ไหนอยู่ด้วยกันได้หมด ถ้าไม่ถูกแล้วไม่ได้ อย่างน้อยแนะนำตักเตือนสั่งสอน ดุด่าว่ากล่าว อัปเปหิ ขับ นั่น เป็นระยะๆ นี้ตามหลักธรรมหลักวินัยท่านปกครองกันมาอย่างนั้น เพราะฉะนั้นพระที่มุ่งอรรถมุ่งธรรมจึงมาอยู่ด้วยกันผาสุก อยู่ด้วยกันเหมือนอวัยวะเดียวกัน ใครทำผิดยอมรับทันที นั่น เรียกว่า ธรรม ใครถูกความถูกต้องเป็นใหญ่ ความผิดไม่ได้เป็นใหญ่ เอาความถูกต้องเป็นใหญ่ แล้วก็อยู่ด้วยกันเป็นผาสุกร่มเย็น คิดดูซิตั้งแต่หมาเลี้ยงไว้ในวัดนี้ ไปรังแกกันไม่ได้นะ ไม่เรียวหวดเลย หมาในวัดนี้จึงไม่เคยกัดกัน กัดไม่ได้ไม่เรียวกัดหลังก่อนแล้ว พอเห่อๆ เปรี๊ยะข้างหลัง วิ่งเลย ทีหลังพอเห่อแล้ววิ่งหนีกลัว กลัวไม้เรียว นั่น อย่างนั้นนะวัดนี้ พอมีลักษณะเห่อๆ ใส่เขา ต้องหาทางออกแล้วนะรู้ว่าตัวผิด วิ่งหนีเลย เราสนุกดู ดูหมาในวัดคือเลี้ยงกันไว้อยู่ด้วยกันหมด

หมากับคนก็มีนิสัยคล้ายกันนะ หมาตัวใหญ่ชอบรังแกคนอื่น ชอบกีดขวางคนอื่น คือกีดขวางตัวอื่น บางตัวนิ่มไปหมดอยู่ได้หมด เป็นอย่างนั้นนะ บางตัวต้องมีไม้เรียวแนบข้างไปเลย ไปที่ไหนไม้เรียวต้องแนบข้างไป คนไม่ดีก็เหมือนกัน ต้องมีคำดุด่าว่ากล่าวแนบไปด้วย ถ้าดีแล้วก็ไม่เป็นไร เรายกตัวอย่างเอาอย่างนี้ละ เราเดินมาทีแรกโน่นนะ พอเห็นตัวเล็กๆ เข้ามาในวัดเราดูนะ หมาตัวนี้ต้องระวังบอกเลย บอกแต่ต้นก็ไม่ผิดเลย หมาตัวนี้มันชอบเบ่งนะ มันจะรังแกกันนะหมาตัวนี้ ระวังให้ดี แล้วมันก็เป็นมาตั้งแต่ต้นจริงๆ ตั้งแต่ตัวเล็กๆ นะ ระวังนะหมาตัวนี้ หมาตัวนี้จึงมีไม้เรียวแนบอยู่เรื่อยๆ แต่ไม่เคยกัดตัวไหนนะ เพราะเขารู้ตัว พอเห่อเขาวิ่งหนีเลย เขารู้ว่าเขาผิด

แต่เขามาดีอันหนึ่ง เอ้า เรายกตัวอย่างเลย หมาของเราตัวนี้ชื่อไอ้หมี ที่น่าติก็คือมันชอบใหญ่ ไปที่ไหนเห่อๆ แต่ไม้เรียวๆ ใส่หลังมันละซิ ที่น่าชมก็คือว่ามันไม่ถือสีถือสาตัวเล็กนะ นี่อันหนึ่ง ตัวเล็กนี้ทำอะไรได้หมด ไล่กัดนี้เขาวิ่งหนีหัวซุกหัวซุน คือเขาขี้เกียจเล่นกับเด็กเข้าใจไหม เขาไม่เล่นกับเด็ก เช่น อย่างไอ้ปุ๊กกี้นี่ไล่กัด ถ้ายิ่งเจ้าของมันมาแล้ว หวงเจ้าของ ตัวอื่นตัวใดเข้าไปไม่ได้ ยิ่งไอ้หมีมานี้ไล่กัดเลย ไอ้หมีก็วิ่งหัวซุกหัวซุนเข้าแถวนั้นไม่ได้ถูกไอ้ปุกกี้ไล่กัด อย่างนี้แหละคือไม่ถือ ไล่กัดเอาจริงๆ นะ ไม่ใช่ธรรมดา ไอ้นั้นก็วิ่งหนีจริงๆ แสดงว่า โอ้ ไม่ถือสาเด็กนี่ก็น่าชม ถ้าเป็นเด็กแล้วไม่เล่นด้วย ที่จะไปขู่ไปคำรามไม่มี ถ้าเป็นตัวใหญ่มีบ้างเป็นธรรมดา นี่ก็น่าชมอันหนึ่งเหมือนกัน กับเด็กไม่ถือสีถือสา หมาตัวนี้ก็ดี

เพราะฉะนั้นเราการอยู่ด้วยกันให้รักษาน้ำใจกัน อย่าเอาแต่ใจตัวเอง คำพูดตัวเองกิริยาท่าทางอย่างนี้เข้าใครไม่ได้สุดท้ายมันก็ปิดตันอั้นตู้ เข้าใครไม่ได้ต้องระวังคำนี้ เราอยากให้มีคุณค่ามีราคาต้องฝึกหัดตัวเอง เราอย่าปล่อยตามอารมณ์ลดค่าลดราคาจนกระทั่งถึงไม่มีค่าเลย ถ้าเราตั้งใจปฏิบัติตัวเองให้มีคุณค่าต้องดูหัวใจคนอื่นด้วย คำพูดคนอื่นด้วย อะไรที่ควรเก็บๆ เสียไม่แสดงออก ควรพูดกันบ้างถ้าพอจะเป็นเหตุเป็นผลเป็นประโยชน์ก็พูดกัน อย่างนั้นถูก คนเราอยู่ร่วมกัน สัตว์มีพวกมนุษย์นี้ยิ่งมีพวก ไปที่ไหนอยู่คนเดียวไม่ได้มนุษย์ต้องหาหมู่หาพวก อย่างนั้นเป็นประจำ เมื่อเป็นอย่างนั้นจึงต้องระมัดระวังกิริยาการแสดงออกของตัวเอง อย่าให้เป็นอารมณ์ของใจ อารมณ์ที่ว่าสบายเรา แต่มันเอาไฟไปเผาหัวอกคนอื่นนั่นซิมันเสียมาก ใครก็มีหัวอกมีหัวใจด้วยกันทุกคน จึงต้องได้ระมัดระวังกัน แล้วเราจะดีขึ้นเรื่อยๆ ถ้าระวังตัวเองจะดีขึ้นเรื่อยๆ ถ้าไม่ระวังตัวเองจะเลวลงเรื่อยๆ ไม่มีทางดี ธรรมพระพุทธเจ้าท่านสอนอย่างนั้น ถ้าต้องการดีก็ต้องระวังตัว ทุกสิ่งทุกอย่างอย่าแสดงออกตามความอยาก ความคิดเห็นอย่างเดียว ให้พิจารณาเสียก่อน

[คัดจากเทศน์ ณ วัดป่าบ้านตาด เมื่อวันที่ ๙ เมษายน ๒๕๔๖]


7. พระหนาหน้าหนาตาขึ้นมาเรื่อยๆ แต่ความสวยงามของพระที่ติดกับพระคือศีลคือธรรมนั้น จะมีมาด้วยหรือเปล่าก็ไม่รู้นะ อันนี้ละเลอะเทอะ พระเราเวลานี้เลอะเทอะมากนะ ใครๆ เขาไม่อยากแตะพระ เขากลัวเป็นบาปเป็นกรรม แต่พระกลับหน้าด้าน อันนี้ซิที่มันเข้ากันไม่ได้ ฟังซิ พวกเรานั่งอยู่ด้วยกันนี่พวกหน้าด้าน ไม่รู้จักบาปจักบุญ ไม่รู้จักอาย ศีลเหยียบแหลกหมด มันมีศีลหรือไม่มีก็ไม่รู้ หรือมีแต่หัวโล้นๆ ผ้าเหลือง อาศัยกินข้าวเขาแล้วก็ทำงานเพื่อกิเลสๆ เต็มวัดเต็มวาเวลานี้ มันเป็นยังไง ในวัดนี้มีกี่องค์มันถึงพิลึกพิลั่นนักหนา

พระบวชมามากเท่าไรทำลายแหลกลงๆ ไปดูซิมีแต่ส้วมแต่ถานในวัดวาหนึ่งๆ ดูตั้งแต่วัดป่าบ้านตาดนี้ออกไป มันมีศีลมีธรรมติดบ้างหรือเปล่าเวลานี้น่ะ เรานี่ทุเรศจริงๆ นะ อีตาบัวนี่ก็ไม่ได้วิเศษวิโสอะไร ดูเขาดูเราแล้วมันก็อดทุเรศไม่ได้ ผลของมันน่าทุเรศ มีแต่ส้วมแต่ถาน เรื่องศีลเรื่องธรรมจะติดวัดติดวาอาวาส ติดพระติดเณรให้สวยงามตา มีความยิ้มแย้มแจ่มใสรื่นเริงภายในจิตใจ เพราะได้เข้ามาเห็นพระเจ้าพระสงฆ์ มันจะไม่มีนะเวลานี้ มีแต่ความแหลกเหลวๆ ของพระ

ทำไมพระเราถึงหน้าด้านขึ้นทุกวันๆ หือ มันเป็นยังไง พระประเทศไทยเรานี่ ดูตั้งแต่นี้ออกไป จะไม่มีใครพูดนะนี่ เราเป็นลูกศิษย์ตถาคตนำธรรมพระพุทธเจ้ามาสอนพวกเราเอง สอนทั้งผลของท่านทั้งหลายเอง ให้ฟังกันนะ เวลานี้พระเราหน้าด้านมากที่สุดนะเวลานี้น่ะ ไปที่ไหน โห เป็นพระเจ้าชู้ขุนนาง กล้องติดคอ ไปที่ไหนถ่ายแพ็บนั้นแพ็บนี้ โถ พิลึกพิลั่น มันพิลึกจริงๆ นะ ถ้าเรื่องอย่างนี้ละออกหน้าออกตา เป็นพระเจ้าชู้ พระขุนนาง พระราชการงานเมือง พระขี้เต็มหัวมันไม่เห็นพูดบ้าง ความสกปรกเต็มจิตใจของพระ กิริยาของพระ เต็มอยู่ในพระเรานี้ ดูบ้างซิทำไมจึงไม่ดู ให้ประชาชนเขามาดูยังไง เราเป็นผู้ปฏิบัติ บวชเข้ามาปฏิบัติ มาสอดส่องดูแลตัวของเรา ทำไมจะไม่เห็นเรา แล้วจะให้คนอื่นเขามาดูทำไม

มันเลอะเทอะมากนะเวลานี้พระเรา ไม่มีใครกล้าพูดนะ นี่เราเอาธรรมพระพุทธเจ้ามาพูด พูดได้หมดธรรมพระพุทธเจ้าเพราะเป็นธรรมสอนโลก เรามันเป็นโลกหรือเป็นอะไร ขอให้พากันคิดให้ดีนะพระเรา เวลานี้เลอะเทอะมากที่สุดเลยประเทศไทยเรานี้ ที่อื่นเราไม่รู้ไม่เห็น ประเทศไทยเรานี่ วัดใหญ่วัดเล็กวัดอะไรๆ มีแต่ส้วมแต่ถาน ความเลอะๆ เทอะๆ ไม่เอาไหนของพระนั่นน่ะ อันเป็นเรื่องของกิเลสทั้งหมด จึงเรียกว่าส้วมว่าถาน ไม่มีอะไรติดเนื้อติดตัวนะ ความฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมไม่มีอะไรเกินพระสมัยปัจจุบันนี้ ทุกสิ่ง เย่อเหยิ่งจองหองไม่มีใครเกินพระปัจจุบันนี้เวลานี้

ว่าบวชเข้ามาสั่งสมอรรถสั่งสมธรรม มันสั่งสมอะไรเดี๋ยวนี้น่ะ มีแต่ส้วมแต่ถาน มีแต่ฟืนแต่ไฟเผาไหม้ในวงกันเอง แล้วก็แตกกระจัดกระจายออกไป มันน่าสลดสังเวชนะ จำให้ดีนะพระลูกพระหลานอยู่ที่นี่ เอาละพอ

[คัดจากเทศน์ ณ วัดป่าบ้านตาด เมื่อวันที่ ๔ เมษายน ๒๕๔๖]


8. พระมาจำนวนมากขึ้นทุกวันๆ ให้ตั้งหน้าตั้งตาศึกษานะพระมา พระจะเป็นผู้ละเอียดลออกว่าประชาชนทั้งหลายอยู่มาก ถ้าพระปฏิบัติเป็นไปตามหลักธรรมหลักวินัยจะสวยงามมากทุกอาการเคลื่อนไหว เพราะมีสติมีปัญญาพินิจพิจารณารอบคอบในความเคลื่อนไหวของตน ความผิดพลาดจึงมีน้อย ถ้าพูดถึงเรื่องในสากลโลกนี้ยกธรรมนี้ขึ้นเป็นชั้นเอก ทั้งทางเหตุได้แก่แนวทางการแนะนำสั่งสอน และการปฏิบัติตามที่ท่านสอนไว้แล้ว ทั้งผลจะเป็นที่สงบเย็นใจ สำหรับพระผู้ตั้งใจปฏิบัติอยู่แล้วเย็นใจตลอดเวลา นับแต่ศีลขึ้นไปอบอุ่นตั้งแต่วันอุปสมบทแล้วว่าตนมีศีลเต็มตัว

เรื่องธรรม สติธรรม วิริยธรรม เข้ากลมกลืนกับจิตตภาวนา ตลอดหน้าที่การงานอย่างอื่นอย่างใด ให้มีสติรอบคอบขอบชิดกับความเคลื่อนไหวของตน และการงานนั้นๆ ให้เป็นไปด้วยความรอบคอบ นี่เรียกว่างานของพระ ต้องเป็นงานที่ละเอียดลออ เพราะธรรมเป็นสิ่งที่ละเอียดสุดยอด ในโลกนี้ไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือนธรรมเลย พอว่าธรรมอย่างเดียวเท่านั้น จิตใจหมอบ ถึงจะเป็นฟืนเป็นไฟมาพอได้ยินคำว่าธรรมเท่านั้น จิตใจจะยอมรับและหมอบราบ เพื่ออรรถเพื่อธรรมนั้นๆ เข้ามาสู่ใจตนเองนะ เราที่มาปฏิบัตินี้ ท่านทั้งหลายที่มาอยู่ในวัดป่าบ้านตาด ซึ่งวัดนี้ได้รับตลอดมาทั่วประเทศไทยเป็นอย่างน้อย และประเทศอื่นๆ มีหลายประเทศมารวม เรียกว่าทั่วประเทศเขตแดน ที่เป็นนักบวชในพุทธศาสนา

เราเปิดรับอยู่เสมอเท่าที่จะรับได้ตามกำลัง สำหรับผู้มาด้วยความตั้งใจปฏิบัติดีปฏิบัติชอบจริงๆ วัดนี้จึงรวมลงในสมณะทั้งหลาย ว่าเป็นอวัยวะเดียวกัน ขอให้ทุกท่านได้ตั้งหน้าตั้งตาดูจิตใจตัวเองก่อนจะดูผู้อื่นผู้ใด เห็นคนอื่นผิดพลาดประการใดให้ดูความเคลื่อนไหวของตน จะไปซ้ำเติมเขาอย่างไรบ้าง หรือจะนำมาเป็นคติเครื่องเตือนใจตนเอง และเห็นความกระเพื่อมของตนที่จะยกโทษยกกรณ์คนอื่นนั้นว่าเป็นภัยอยู่เสมอ ผู้นั้นจะอยู่เย็นใจ ต่างคนต่างคิดโดยอรรถโดยธรรมอย่างนี้แล้ว จะอยู่เย็นใจเสมอหน้าไปหมด ในสามแดนโลกธาตุนี้ไม่มีอะไรเหนือธรรม

ถ้าโลกยอมรับกันแล้วจะมีความสงบร่มเย็นทั่วหน้ากัน ผู้น้อยก็มีความสงบเย็นใจ ผู้ใหญ่ก็มีความเมตตาสงสาร ต่างคนต่างให้อภัยกันด้วยอรรถด้วยธรรม ประเทศใหญ่ประเทศน้อยเหมือนประเทศพ่อแม่พี่น้องลูกหลานอยู่ร่วมกัน ถ้าถือธรรมเป็นเครื่องดำเนินจะไม่มีใครเย่อหยิ่งจองหองพองตนต่อกัน ที่จะทำให้ฟืนไฟเกิดขึ้นจากความเย่อหยิ่งจองหองนั้นเลย จะมีแต่ความสงบเย็นใจโดยถ่ายเดียวเท่านั้น จึงขอให้พระลูกพระหลานตลอดประชาชนที่เข้ามาเกี่ยวข้องในวัดนี้ได้นำไปพินิจพิจารณาและไปปฏิบัติตน

เฉพาะพระนั้นปฏิบัติอย่างเคร่งครัดตามหลักธรรมหลักวินัยอย่าให้คลาดเคลื่อน ถ้าลงปฏิบัติตนออกนอกลู่นอกทางของธรรมวินัยแล้ว เท่ากับปลีกทางออกจากศาสดา ศาสดาคือธรรมและวินัยนั้นแล เป็นศาสดาองค์เอกของพวกเราทั้งหลายแทนตถาคต เมื่อพระองค์นิพพานไปแล้ว นี่เป็นพระวาจาที่พระองค์ทรงประทานให้แก่บรรดาภิกษุทั้งหลาย เพราะฉะนั้น ขอให้ยึดหลักธรรมหลักวินัย มีสติปัญญาเข้าแนบในหลักธรรมหลักวินัยข้อนั้นๆ ปฏิบัติให้ราบรื่นดีงาม จะมีศาสดาประจำตนทุกอิริยาบถแห่งความเคลื่อนไหว

สำหรับประชาชนที่เข้ามาเกี่ยวข้องในวัด ก็ให้มาด้วยความสังเกตพินิจพิจารณาเพื่ออรรถเพื่อธรรมด้วยกัน มาตั้งอกตั้งใจประพฤติปฏิบัติให้ได้คติเครื่องเตือนใจไปทุกวี่ทุกวัน ไม่มากก็น้อย แล้วจะเพิ่มความดีงามเข้าสู่ตนโดยลำดับลำดา สมชื่อว่าไม่ว่าวัดวัดใดเป็นที่อบรมศีลธรรมอันดีงามให้แก่พระเณร และประชาชนที่มาเกี่ยวข้องทั้งนั้น เพราะฉะนั้น เราทั้งหลายที่มานี้ขอให้ตั้งอกตั้งใจปฏิบัติตน ด้วยศีลด้วยธรรม นี่ละอันนี้เป็นหลักใหญ่มาก โลกจะมีความผาสุกร่มเย็นทั่วหน้ากันก็ขึ้นอยู่กับหลักธรรม โลกจะบกพร่องเกิดความเดือดร้อนวุ่นวาย ถึงขนาดเอาไฟเผากันทั่วโลกดินแดนนี้ก็เพราะกิเลสทำงาน กิเลสเป็นข้าศึกของธรรม ไปที่ไหนจะเป็นฟืนเป็นไฟติดแนบตัวไปเสมอ นี่เป็นเรื่องของกิเลส

ถ้าเป็นธรรมแล้วมีความสม่ำเสมอเย็นทั่วหน้ากัน ขอให้ท่านทั้งหลายจดจำไว้ เวลาเข้ามาในวัดในวาอย่าเอาจริตนิสัย ที่เป็นความเคยชินของกิเลสเข้ามาเหยียบย่ำทำลายวัดวาอาวาส หูตาพระเณร ตาจะบอด หูจะหนวก สมองจะทะลุทะลักไปหมด เพราะความเคยชินต่อนิสัยของกิเลสไม่มีขอบเขต ไม่มียางอาย การแต่งเนื้อแต่งตัวแต่งเหมือนสัตว์เดรัจฉาน เราไม่ใช่สัตว์ไม่อายตัวบ้างเหรอ ให้คิดข้อนี้ให้ดี ในวัดนี้ก็ติดประกาศเอาไว้ ให้อ่านให้ดู ถ้าตัวเองอ่านตัวเองไม่ออกให้ไปอ่านประกาศที่ท่านเขียนไว้ตามที่ต่างๆ ในวัดนั้นๆ เฉพาะวัดนี้ก็ดูว่ามีอยู่สองแห่งสามแห่ง เป็นคำเตือนคนลืมตัว คนลืมตัวให้อ่านคำเตือนแล้วให้ไปปฏิบัติตนเอง ให้สวยงาม

เรื่องกิเลสตัณหานั้น ความสวยงามที่หลอกโลกนั้นไม่มีสิ้นสุด แต่งโก้เก๋เท่าไรก็ไม่พอ หากว้านมาซื้อ ซื้อมาหามาเท่าไรก็ไม่พอกับความโก้เก๋ของกิเลส นี่คือเรื่องของกิเลส ทั้งๆ ที่มันไม่ได้โก้อะไร ความสกปรกโสมมอยู่กับกิเลสทั้งหมด มันกลบเอาไว้ด้วยสิ่งตกแต่งต่างๆ ประดับประดา ตัวมันเองสกปรกสุดยอด ไม่มีอะไรเกินกิเลส ให้พากันจำเอาไว้

การแต่งเนื้อแต่งตัว ปู่ ย่า ตา ยาย บรรพบุรุษเราพาแต่งมาสักเท่าไร ท่านมีความสงบเย็นใจ ผู้ใหญ่ ผู้น้อย ผู้หญิง ผู้ชาย เห็นกันมีความชื่นชมยินดี เป็นฝ่ายอรรถฝ่ายธรรม ไม่เป็นฟืนเป็นไฟเผากัน ไม่ได้แฮ่ๆๆ คอยจะกัดกันเหมือนกิเลสพาแต่งเนื้อแต่งตัว มองเห็นกันหญิงกับชายเป็นไฟแล้ว เหมือนหมาเดือนเก้า คือมันแต่งเป็นสื่อเป็นเชื้อประดับร้านของกิเลส ออกมาให้เป็นฟืนเป็นไฟ แล้วก็มีแต่ความเดือดร้อน ในการพบการเห็นกันของคนที่แต่งเนื้อแต่งตัวแบบกิเลส ผิดกันกับผู้แต่งเนื้อแต่งตัวด้วยความมีศีลมีธรรม ดังบรรพบุรุษท่านพาแต่งมานั้นเป็นความสวยงามน่าดูน่าชม ขอให้ลูกหลานทั้งหลายยึดไปปฏิบัติ

[คัดจากกัณฑ์เทศน์ ณ วัดป่าบ้านตาด วันที่ ๑๕ มิถุนายน ๒๕๔๖]


คัดมาจาก
http://www.luangta.com/salawatpa/content_show.php?content_id=173
 

_________________
ท่านสามารถฟังวิทยุเสียงธรรมหลวงตามหาบัวได้ทั่วประเทศ
และโทรทัศน์ดาวเทียมเสียงธรรมทั้งภาพและเสียงได้แล้วที่
http://www.luangta.com
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง