Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 จับลูกแมวถ่วงน้ำ อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
สายลม
บัวเงิน
บัวเงิน


เข้าร่วม: 30 พ.ค. 2004
ตอบ: 1245

ตอบตอบเมื่อ: 28 ม.ค. 2007, 5:52 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

Image

ท่านผู้อ่านคงเคยได้ยิน หรือแม้แค่คำพูดของตัวเองที่ว่า “เป็นเวรเป็นกรรมอะไรหนอ” คำนี้มักจะพูดเมื่อชีวิตอับจน และเหมือนถูกต้อนเขามุม หมดที่พึ่ง แต่ตอนที่สุขสบายดี มีโอกาสทำบุญสร้างทานสร้างบารมี กลับไม่สนใจ ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนฝูง พ่อแม่ญาติพี่น้องพูดจนปากจะฉีกถึงรูหูก็ไม่เชื่อไม่ฟัง

พจนีย์ เป็นหญิงสาวจากสถาบันเดียวกับผม และบ้านเราก็อยู่ติดๆ กัน เธอรู้ว่าผมไม่ได้รักเธออย่างเพื่อนเสียแล้ว ผมยังไม่ได้พูดกันเป็นทางการ แล้วจู่ๆ ผมกลับนึกเกลียดเธอ เกียดโกรธอย่างรุนแรง ไม่ใช่ว่าเธอมีชายอื่นมาชอบ แต่ผมไม่ชอบเธอเอง

เรื่องของเรื่อง เป็นเรื่องจริงที่เกิดแก่ตัวผมเอง อย่างที่ไม่เคยคาดคิดเลยว่า ในความสวย ความงามความน่ารักนั้น ถึงแม้จะเป็นคนใจบุญสุนทาน ใส่บาตรแทบทุกวัน นับถือศาสนาพุทธ
สาเหตุมาจากวันหนึ่งเป็นวันหยุด ผมตั้งใจจะไปซื้อของในตลอดโดยใช้จักรยานเป็นพาหนะ ถนนที่จะไปนั้นจะต้องผ่านสะพานปูนสูงข้างล่างเป็นลำห้วย คำคลองน้ำลึกท่วมศีรษะ ผมเห็นพจนีย์เพื่อสาวคนที่ผมหมายตาเอาไว้ พร้อมกับเด็กผู้ชายอีก 3-4 คน กำลังไล่จับตัวอะไรอยู่ยังไม่ทราบ ด้วยความสงสัยจึงจอดรถดู ในมือของเด็กพวกนั้นมีถุงปูนซีเมนต์อยู่ 1 ใบ พร้อมทั้งเชือกปอยาวประมาณเมตรครึ่ง ส่วนพจนีย์นั้นเธอยืนเท้าเอวสั่งการณ์อยู่

Image
มองดูอยู่นานจึงเห็นเด็กพวกนั้น ช่วยกันจับแมวยัดเข้าไปในถุงกระดาษ แล้วเอาเชือกมัดปากถึงปลายเชือกปออีกข้างหนึ่งมัดติดกับหินใหญ่

แค่นี้ก็พอเดาออกว่า คนเหล่านี้กำลังจะเอาลูกแมวถ่วงน้ำทิ้ง

ผมรีบขี่จักรยานเพื่อจะเข้าไปห้ามด้วยอารามรีบ เพื่อขอชีวิตลูกแมวเอาไว้ อาจจะต้องเสียเงินสัก 20 บาทเพื่อไถ่ชีวิตก็ยอมด้วยความสงสาร แต่...สายไป

พอไปถึงก็ได้ยินเสียงวัตถุสิ่งของตกลงบนผิวน้ำ มองตามไปที่ผิวน้ำ เห็นแตพรายน้ำขึ้นปุดๆ ลูกแมวคงจะทรมานมาก กว่าจะตาย

ถามเด็กๆ เหล่านั้นดูว่า “ไปทำแมวมันทำไม รู้ไหมว่าบาป ฆ่าแมวเหมือนฆ่าเณร”

แต่เด็กๆ กลับตอบว่า

“ผู้หญิงคนนี้จ้างด้วยเงิน 10 บาท ให้กระทำ”

ผมหันไปถามพจนีย์ “ทำไมคุณต้องไปฆ่ามัน”

พจนีย์ตอบหน้าตาเฉย “มันดื้อนัก ขโมยปลาทูกินตั้ง 2 ตัว ตายได้ก็ดี ฉันต้องจ้างวานเด็ก ๆ เขาทำกันว่าจะไปไม่ว่าดู แต่ใจหนึ่งยังไมเชื่อว่าจะจับถ่วงน้ำจริงหรือเปล่า”

นั่นคือคำพูดอันเป็นคำตอบที่ฟังดูมันเป็นการเน้นให้เห็นเจตนารมณ์ของความเครียดแค้นอย่างยากที่จะมีอะไรเปลี่ยนแปลงความรู้สึกนั้นได้ เธอลืมคิดไปว่า มันเป็นเพียงสัตว์เดียรัจฉานเท่านั้น กะอีแค่ปลาทูสองตัว น่าจะอภัยให้มันได้

แมวมันคงจะหิว แล้วผมก็ต้องสะดุ้งตกใจขึ้นมากับคำพูดของพจนีย์อีกที่ว่า “แม่ของลูกแมวพวกนี้ ฉันก็ตีมันตายแล้ว”

Image

ผมปีนเดินไปตามทางลาดชันของขอบถนน จากที่เกิดเหตุ มาที่จักรยานด้วยความอ่อนเพลียละเหี่ยใจที่ไม่สามารถช่วยลูกแมว อาจจะมีถึง 4-5 ตัวได้ทัน มันทารุณเกินไป ผมเกิดความรู้สึกจงเกลียดจงชังพจนีย์ที่ออกคำสั่งวางแผนฆ่าลูกแมว อีกใจนึกว่า “ช่วงเขาเถิด”

กรรมใคร-เวรมัน...

ตามปกติครอบครัวผมกับที่บ้านพจนีย์สนิทชิดชอบกัน พจนีย์มีพี่ชายขับรถบรรทุกของบริษัททำมันสำปะหลัง มันเม็ดและมันเส้นแห่งหนึ่งในอำเภอที่หมู่บ้านเราอยู่ ที่บ้านพจนีย์มีคนอยู่ 4-5 คนรวมทั้งภรรยาพี่ชายและหลานอีกหนึ่งคน

ไม่มีใครบังคับ แต่มีความรู้สึกว่าไม่อยากคบ..ต่อมาไม่กี่เดือนพจนีย์ก็ได้แต่งงานกับคนในหมู่บ้านละแวกเดียวกัน ผมไม่ได้นึกเสียดายแต่อย่างใดเลย

อ้อ..ลืมบอกท่านผู้อ่านไปว่าตอนหลังที่บ้านของผมได้ย้ายไปจากแหล่งเดิม ไปอยู่ที่อื่น แต่ไม่ห่างจากบ้านเดิมนัก พจนีย์แต่งงานได้ไม่เท่าไรเธอก็ตั้งครรภ์

ครบกำหนดคลอด พจนีย์ปวดท้องอยู่ถึง 3 วัน 3 คืน จึงคลอดออกมาเป็นผู้ชาย แต่ตรงกระหม่อมบนศีรษะไม่มีเหมือนเด็กอื่น มีน้ำไหลออกทางปากจมูกตลอดเวลา ทำให้เด็กหายใจไม่ค่อยสะดวก ไอและสำลักอยู่ตลอดเวลา เหมือนคนสำลักน้ำ

พจนีย์และสามีพาลูกไปหาหมอ หมอบอกว่าเด็กเป็นโรคน้ำท่วมปวด หมดความสามารถที่จะช่วยชีวิตเอาไว้ได้ เพราะผ่าตัดไม่ได้เด็กยังเป็นทารก เล็กมาก ในที่สุดเด็กก็ตาย ก่อนตายดิ้นทุรนทุราย ที่ศีรษะสั่นระริกเหมือนแมวถูกทุบ

พจนีย์กับสามีเสียใจมากสำหรับลูกคนแรกคนหัวปี สามีนั้นงานการเสียไปเพราะติดเหล้า เมาสุรา ดื่มกินยาบำรุงทัมใจ ปวดหาย สารพัดอย่าง อัดบุหรี่วันละ 3 ซองเป็นอย่างต่ำ

และแล้ววันนั้นก็มาถึง..สามีพจนีย์เป็นเซลส์ เดินสายต่างจังหวัด วันนั้นเขาขับรถไประยองและจันทบุรี ความจริงแล้วเขาเป็นคนระมัดระวังในเรื่องการขับรถ ขณะมุ่งหน้าไปนั้นเลนซ้ายมีรถของเขาคันเดียว แต่ช่วงขาเข้า มีรถ 10 ล้อเกือบ 10 คัน แล้วจู่ๆ ขณะที่ความเร็วเกือบ 120 กม./ชม. รถสิบล้อคันหนึ่งเกิดแตกกลุ่มแซงพวกเดียวกันซึ่งเป็นเวลาเดียวกันกับที่รถของสามีพจนีย์พุ่งเข้ามา จึงเกิดการปะทะอย่างเลี่ยงไม่ได้ เกิดเสียงดังดุจฟ้าผ่า

ร่างของสามีพจนีย์ถูกแรงกระแทก ศพอยู่ในลักษณะหลุดจากรถลงไปแช่น้ำข้างถนน ไม่มีบาดแผลตามร่างกาย เพียงแต่สลบไป และเสียชีวิตเพราะร่างจมอยู่ในน้ำนั้นเอง

ข่างอุบัติเหตุการตายล่วงรู้ถึงพจนีย์ในตอนสาย โดยตำรวจทางหลวงโทรมาที่บริษัทตามหมายเลขที่โทรในนามบัตรที่กระเป๋าสตางค์ ให้เธอรีบไปรับศพ ยังความโศกเศร้าเสียใจยิ่งนัก

เมื่อฌาปนกิจศพสามีแล้วบริษัทจ่ายเงินให้กับเธอก้อนหนึ่งเป็นการชดเชย เพียงผ่านไป 3 เดือน พจนีย์ก็ได้สามีใหม่ เป็นช่างรับเหมาก่อสร้าง สำนักงานอยู่ในตลอดสด สามีเป็นนักดื่ม ดื่มทุกคืนชาวบ้านจะได้ยินเสียงทะเลาะวิวาททุบตีกัน สำหรับผัวเมียคู่นี้ทุกคืนเช่นกัน

ตามปกติ 5 โมงเย็น งานก็เลิกหมดแล้ว บ้านใครบ้านมัน แต่สำหรับสามีคนที่สองนี้ ไม่เคยกลับบ้านก่อน 2-3 ทุ่ม กลับเข้าบ้านพูดอะไรไม่ค่อยรู้เรื่อง พูดเหมือน “แมวกัดกัน”

Image

พจนีย์อยู่กับสามีใหม่ได้ปีเศษๆ เธอก็ตั้งครรภ์อีก เมื่อคลอดลูกออกมาเป็นเด็กผู้หญิง หน้าตาน่ารักน่าชัง แต่ก็แบบเดิมเหมือนกับลูกที่มีกับสามีคนแรก คือไม่มีกระหม่อมมีน้ำไหลท่วมปากจมูกเหมือนคนสำลักน้ำ อยู่ได้ไม่ถึง 10 ชั่วโมงก็เสียชีวิต

สามีคนใหม่ถือโอกาสที่จะใช้อ้างว่าเสียใจ เพราะลูกตาย วันนั้นจึงหยุดงานทั้งวัน ระดมพลพรรคพวกขี้เหล้าเมายา มาดื่มกินกันเป็นการฉลองความเสียใจ

ใครห้ามก็ไม่ฟัง ภรรยาก็บ่นว่า นี่มันเกินขอบขีดของความเสียใจไปแล้ว

บรรดาเพื่อนคอเดียวได้ยินคงจะนึกเกรงใจ จึงย้ายสถานที่ดื่มเป็นร้านอาหารที่มีสุรายาเมา สามีของเธอก็ไปด้วย แล้วก็หายไปถึง 2 วันไปกลับบ้าน พจนีย์จึงออกติดตาม ตามไปยังบ้านเพื่อนฝูงสามี ซึ่งทุกคนได้ยืนยันว่า เขาบอกจะกลับบ้านตั้งแต่คืนนั้น

จนเช้าของวันที่ 3 ที่สามีใหม่หายไป ก็มีเสียงร้องเอะอะแถวสะพานว่า “คนตกน้ำตาย”

สามีของพจนีย์นั่นเอง ไม่มีใครให้เหตุผลได้ว่า เขาพลัดตกลงสะพานไปได้อย่างไร

มันเป็นสถานที่เดียวกันกับที่ซึ่งพจนีย์เคยจ้างเด็ก 10 บาทเอาลูกแมวไปถ่วงน้ำ

ศพของเขาขึ้นอืดส่งกลิ่นเหม็นตลบ

พจนีย์จัดการเรื่องศพเรียบร้อยแล้ว ยามว่างทำให้ครุ่นคิดว่ามีสามีมาแล้ว 2 คน ทุกคนตายโหง ลูก 2 คนเกิดมาดูโลกได้คนละไม่กี่ชั่วโมงก็ตาย

ในที่สุด โรคจิต ประสาทก็รุมเล่นงานเธอ

ทุกวันนี้พจนีย์ยังมีชีวิตอยู่แต่อยู่ในสภาพของคนที่ไม่สามารถควบคุมสติสัมปชัญญะได้ไม่มีใครบอกได้เลยว่า กรรมที่เธอทำเอาไว้ได้ตามสะสางกันตอนนี้ ไม่ต้องรอไปถึงสวรรค์หรือลงนรกแต่อย่างใด แม้แต่ในชาติหน้า


………….
คัดลอกจากหนังสือ “กฎของกรรม ฉบับที่ 9”
รูปภาพจาก http://student.nu.ac.th/u48340146/

ตกใจ ตื่นเต้น ซึ้ง
 

_________________
"อย่าลืมตัว อย่าลืมปัจจุบัน อย่าลืมปฏิบัติ"
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัว
ไม้อ่อน
บัวพ้นดิน
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 09 เม.ย. 2007
ตอบ: 62

ตอบตอบเมื่อ: 27 เม.ย.2007, 11:25 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ขออนุโมทนากับเรื่องที่อ่านข้างบนด้วยค่ะ
 

_________________
Image
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง