Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 สมบัติ เมทะนี แฟมิลี่แมนตัวจริง กับ 3 หลักยึดในชีวิต อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
admin
บัวทอง
บัวทอง


เข้าร่วม: 15 ธ.ค. 2004
ตอบ: 1886

ตอบตอบเมื่อ: 15 ม.ค. 2007, 7:52 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน



s.jpg


คร่ำหวอดอยู่ในวงการบันเทิงมายืนยงยาวนานกว่า 50 ปี จนขึ้นชื่อว่าเป็นพระเอกตลอดกาลของวงการมายา ประสบการณ์มากมายที่ผ่านมาในทุกช่วงชีวิตจึงถือเสมือนเป็นเครื่องหมายการันตี รับประกันคุณภาพความสามารถ รวมถึงการประพฤติปฏิบัติตัวเป็นแบบอย่างที่ดีจน เป็นที่ชื่นชม และเป็นที่ยอมรับจากผู้คนในสังคมวงกว้าง

ทว่า ‘สมบัติ เมทะนี’ ในวันนี้มิได้เป็นเพียงศิลปินผู้เชี่ยวชาญศิลปะการแสดงเท่านั้น ล่าสุดเมื่อเขาหันมาสู่วงการเมือง ด้วยการลงสมัครสมาชิกวุฒิสภา (สว.) เมื่อเดือนเมษายน 2549 ก็ได้รับเลือกจากคนกรุงเทพฯ ด้วยคะแนนเสียงมาก มาย แต่ก็ต้องพ้นสภาพ สว.ไป เมื่อเกิดเหตุการณ์ปฏิวัติรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 ก.ย.49 แต่ในที่สุดคณะมนตรีความ มั่นคงแห่งชาติก็ได้แต่งตั้งให้เขาได้เข้ามาเป็นหนึ่งในสมาชิก สภานิติบัญญัติแห่งชาติ ซึ่งถือเป็นความภาคภูมิใจที่สุดในชีวิตที่ครั้งหนึ่งได้ทำคุณประโยชน์ให้กับประเทศชาติ

นับเป็นบุคคลที่เหมาะสมกับการประเดิมคอลัมน์คนดังมีดี ที่ปรากฏสู่สายตาคุณผู้อ่านในช่วงเดือนธันวาคม เดือนที่ลูกหลายๆ คนใช้โอกาสนี้ในการเริ่มต้นทำสิ่งดีๆ ให้กับคุณพ่อของตัวเอง โดยมีหัวหน้าครอบครัว ‘เมทะนี’ มาร่วมบอกเล่าหลักธรรมที่ใช้ยึดเหนี่ยวจิตใจ และถือปฏิบัติมาตลอดชีวิตเพื่อเป็นข้อคิดสะกิดใจแก่ผู้อื่นอีกด้วย

นักแสดงอาวุโส วัย 70 ปี เริ่มต้นบทสนทนาโดยบอกเล่าธรรมะในการครองเรือน ครองใจ ที่ปฏิบัติมาตั้งแต่ครั้งยังเป็นเด็กน้อย ด้วยถูกซึมซับคำสั่งสอนมาจากคุณย่า และ คุณพ่อ ส่วนคุณแม่นั้นเสียดายที่ไม่มีโอกาสได้ใกล้ชิด เพราะเสียชีวิตไปตั้งแต่สมบัติอายุเพียง 1 ขวบ

เขาบอกว่า ในความเป็นจริงแล้วศีลทั้งหลายที่ฆราวาสพึงปฏิบัติมิได้จำเพาะแค่ศีล 5 ซึ่งเป็นศีลที่คนดีๆ ทุกคนควร จะพึงปฏิบัติอยู่แล้วเท่านั้น แต่ส่วนตัวยังมีอีก 2-3 ข้อที่ ตัวเองใช้เป็นหลักธรรมประจำใจ ข้อแรก คือ ต้องมีสติสัมปชัญญะ ยามที่จะทำ พูด หรือคิดอะไร ต้องคิดก่อนถึงจะพูด หรือจะทำ ต้องมีสติสัมปชัญญะนำหน้า ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญมากของคนในทุกๆ อาชีพ ส่วนข้อสอง คือ ต้องมีขันติ อดทน อดกลั้น ซึ่งข้อนี้สามารถครอบคลุมได้หลากหลายสถานการณ์ตลอดช่วงชีวิต

“ยกตัวอย่าง ผมเป็นดาราก็ต้องมีผู้หญิงมากหน้าหลายตา ทั้งสาวโสด สาวแก่ แม่ม่าย เข้ามาข้องเกี่ยวเยอะ ด้วยความที่เขาอาจคิดว่าเราเป็นโสด ข้อขันติจึงมีความสำคัญมาก ต้องอดทนอดกลั้นต่อสิ่งที่ยั่วยุ รวมไปถึงอดทนต่อคำวิพากษ์วิจารณ์ของสื่อที่รุมเร้าด้วย สื่อบางคนชอบเราก็สรรเสริญเยินยอชมชอบเรา แต่สื่อบางคนไม่ชอบเราเขาก็ด่า ฉะนั้น ต้องพยายามอดกลั้นอดทนเป็นอย่างมาก ต้องทำใจ เหมือนอย่างที่โบราณเขาบอกว่า คนรักเท่าผืนหนัง คนชังเท่าผืนเสื่อ การได้ฟังคำพูด หรือได้อ่านข้อเขียนของเขาไม่ว่าจะดีหรือร้าย เราก็ต้องรับฟังไว้ หรือไม่ฟัง ไม่สนใจเลย เพื่อให้พ้นจากความโกรธ โลภ หลง มาเข้าสู่จิตใจเรา” พระเอกตลอดกาลอธิบาย

สมบัติบอกว่า สำหรับเรื่องความหลงยิ่งเป็นเรื่องใกล้ตัวของคนในวงการบันเทิงมาก เช่น คนที่เป็นดารา พอดังขึ้นมามักลืมตัวทันที นึกว่าตัวเองเป็นเทวดา นางฟ้า ต้องให้คนมาพะเน้าพะนอ สิ่งเหล่านี้ได้ทำลายคนมานักต่อนักแล้ว ฉะนั้นต้องจัดการไม่ให้ล่องลอยไปกับลาภยศ สรรเสริญด้วยการเหยียบเท้าตัวเองไว้อย่าให้ลอย ถ้าจะลอยเมื่อไหร่ให้กระทืบแรงๆ จะได้รู้ตัว

อีกสิ่งสำคัญสำหรับผู้ที่ต้องปกครองคนหมู่มาก คือ อย่าให้โลภะ โทสะ โมหะ เข้ามาครอบงำ เพราะความโกรธจะทำลายทุกอย่าง สามารถทำให้คนฉลาดเฉลียวที่สุด กลายเป็นคนโง่ที่สุดภายในพริบตาเดียว ถึงได้มีคนบอกไว้ว่า เวลาโกรธอย่าพูด เพราะถ้าพูดในขณะโกรธทุกอย่างจะถูกระบายออกมาโดยไม่ได้ผ่านการตรึกตรองถึงผลลัพธ์ที่จะตามมา หรือจากคนที่เคยพูดจาไพเราะก็จะกลายเป็นคนที่พูดจาสบถหยาบคายได้เช่นกัน

เช่นเดียวกับความโลภ หากถูกครอบงำด้วยความอยากได้ อยากมี อยากเป็นจนเกินพอดีก็ทำให้ลุ่มหลงในทรัพย์สิน เงินทอง และสามารถทำทุกอย่างเพื่อสนองความ ต้องการทั้งทางร่างกาย และจิตใจของตัวเอง ซึ่งจะทำให้ชีวิต คนคนนั้นไม่สามารถมีความสุขได้อย่างแท้จริง

ฉะนั้น การมีสติยึดมั่นจะเป็นสิ่งป้องกันตัวจากสิ่งต่างๆ ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ ซึ่งตัวเองใช้เป็นหลักยึด และถือปฏิบัติมานานครอบคลุมทั้งในด้านการครองเรือน การดำเนินชีวิต การทำงาน การคบเพื่อนฝูง และการปฏิบัติตัวกับคนรอบข้างรวมถึงผู้มีพระคุณด้วย

“นอกจากนี้ยังต้องมีความกตัญญูกตเวทิตากับผู้มีพระคุณ เพราะผู้ที่ให้โอกาสกับเราถือเป็นคนที่มีพระคุณสูงสุด นอกจากคุณพ่อ คุณแม่ ปู่ ย่า ตา ยายที่ต้องนึกถึงแล้ว ผู้ที่ให้โอกาส และผู้ที่ให้เราได้ทำงานดีๆ ยังเป็นบุคคล ที่เราพึงปฏิบัติดี และระลึกถึงเสมอ

ส่วนการปฏิบัติต่อภรรยา หรือลูกเมีย เป็นข้อที่ไม่ต้องพูดถึงมากมาย เพราะผมได้ให้ทั้งความรัก ความเมตตา ความเห็นใจมาโดยตลอด สำหรับลูกๆ ทุกคนก็เป็นคนดี ต้องบอกว่าเป็นโชคดีของตัวเองที่มีลูกดีทุกคนถึงแม้จะไม่ได้ มีชื่อเสียงมากมาย แต่ก็เป็นคนดี ปฏิบัติดี ไม่ทำให้พ่อแม่เดือดเนื้อร้อนใจ ไม่เคยไปมีเรื่องมีราวให้พ่อแม่วุ่นวายใจ

ต้องบอกว่า ผมเป็นคนมีบุญ เกิดมาคุณพ่อคุณแม่ก็ดี ปู่ย่าก็ดี มาเรียนหนังสือก็ได้เพื่อนที่ดี ที่สำคัญพอแต่งงานก็ได้พ่อตาแม่ยายที่ดี คู่เขยก็ดี คือ โชคดีที่ผมเกิดมาแล้วได้พบเจอแต่คนดีๆ พอมีคู่ก็ดีอีก ซึ่งการมีคู่ดีเป็นเรื่องสำคัญมากของชีวิตลูกผู้ชาย เมื่อมีลูกมีหลานจึงดีตามไป ด้วย ถือเป็นสิ่งที่ประเสริฐที่สุด

ดังนั้นการที่ประพฤติปฏิบัติตัวดีมาโดยตลอดจึงกลายเป็นแบบอย่างในการนำมาถ่ายทอดสอนให้กับลูกหลานแบบทางอ้อม โดยไม่ต้องไปจ้ำจี้จ้ำไช หรือชี้นำให้วุ่นวาย เพราะว่าเขาดีที่ตัวเองด้วย จากการได้ดูตัวอย่างจากพ่อแม่ว่าประพฤติตัวอย่างไร เรียกว่าถ้าลองลูกมีพ่อเป็นฮีโร่ในดวงใจแล้วก็ไม่ต้องสอนอะไรกันมาก เพราะพ่อคือ วีรบุรุษคนแรกของลูก ถ้าพ่อประพฤติชั่ว เลวทราม หรือทำความยุ่งยากวุ่นวายก็จะไม่เป็นวีรบุรุษ เป็นแบบอย่างที่ดีให้กับลูกๆ แน่นอน” คุณพ่อลูก 6 ถือโอกาสบอกเล่าเรื่องราวดีๆในชีวิต

แต่หากถามว่าผู้ชายที่ชื่อ ‘สมบัติ เมทะนี’ มีดีตรงไหน ? เขาตอบแบบทันควันเลยว่า “ความดีสิ่งแรกที่ทุกคนต้องนึก ถึงคือ ผมเป็นแฟมิลี่แมน...เป็นคนรักครอบครัว จนบ่อยครั้งที่ถูกเชิญไปบรรยายตามสถานที่ต่างๆ มักต้องให้พูดถึง ความเป็นคนรักครอบครัว และการครองเรือนเสมอ ลำดับถัดมาเป็นคนปฏิบัติดีไม่เคยทำเรื่องเสื่อมเสีย และเป็นคน ที่มีสุขภาพดี ซึ่งเป็นเรื่องดีๆ 3 ประการที่คนที่รู้จักมักคุ้นกันดี รวมถึงคนส่วนใหญ่คงนึกถึงเมื่อเอ่ยถึงผม ถือเป็นโลโก้ของตัวเองเลยก็ว่าได้”

ก่อนปิดฉากการสนทนา..พระเอกคนดังผู้มากประสบการณ์ยังให้ข้อคิดไว้เตือนใจสำหรับผู้ที่ทำความดีทุกคน ซึ่งแม้วันนี้ความดีที่กระทำไปจะไม่เกิดผลเป็นรูปธรรม ทว่าการครองตนให้อยู่ในกรอบของคุณงามความดีนั้น แม้คนทั่วไปอาจไม่เห็นคุณค่า แต่อย่างน้อยที่สุดเทพยดาฟ้าดินอาจรับรู้ได้ถึงการประกอบกรรมดีของเราอย่างแน่นอน.. ฉะนั้น ขอจงอย่าท้อถอย และอ่อนล้าที่จะทำความดีต่อไป

จากหนังสือพิมพ์ธรรมลีลา ฉบับที่ 73 ธ.ค. 49 โดย นันทยา



สาธุ สาธุ สาธุ
 

_________________
-- การให้ธรรมเป็นทาน ชนะการให้ทั้งปวง --
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัว
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง