Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 พักกาย พักใจ (หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ) อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 08 ม.ค. 2007, 10:04 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

Image

พักกาย พักใจ
โดย หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ

วันอาทิตย์ 10 กรกฎาคม พ.ศ.2520

คัดลอกจาก...
http://www.panya.iirt.net

สาธุ สาธุ สาธุ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 08 ม.ค. 2007, 10:05 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ณ บัดนี้ถึงเวลาของการฟังปาฐกถาธรรมะ
อันเป็นหลักคำสอนในทางพระพุทธศาสนาแล้ว
ขอให้ทุกท่านอยู่ในอาการสงบ ตั้งอกตั้งใจฟังด้วยดี
เพื่อให้ได้ประโยชน์อันเกิดขึ้นจากการฟัง ตามสมควรแก่เวลา
วันอาทิตย์ เป็นวันหยุดงานหยุดการ
ทางร่างกายเราก็มาพักผ่อนทางด้านจิตใจ
ร่างกายกับใจนั้น จะต้องมีการพักผ่อนเท่าๆ กัน
ร่างกายพักผ่อนด้วยการนอนหลับนอนในเวลากลางคืน
ใจนั้นพักผ่อนด้วยการสงบอารมณ์
อันจะเป็นเหตุให้เกิดความวุ่นวายยุ่งยากทางใจ ด้วยประการต่างๆ
ถ้าเราพักผ่อนแต่เพียงร่างกาย
จิตใจไม่ได้พักผ่อนเลย ก็เกิดเป็นปัญหา
เพราะว่าความเหน็ดความเหนื่อยทั้งหลายนั้นมันอยู่ที่ใจ
มากกว่าที่อยู่ที่ร่างกาย
ความเหนื่อยทางใจนั้น เป็นความเหนื่อยที่ลึกซึ้ง
ส่วนความเหนื่อยทางร่างกายนั้น
เป็นแต่เพียงผิวเผิน แก้ง่ายสะดวกสบาย ไม่ลำบาก
แต่ว่า ความเหน็ดเหนื่อยทางจิตใจนั้น เป็นเรื่องที่แก้ยาก

ถ้าไม่ศึกษาวิธีการในการที่จะแก้ไข
ความเหน็ดเหนื่อยทางจิตใจไว้บ้างแล้ว
เราก็จะรู้สึกเหนื่อยใจมากขึ้น
ดังที่เราได้ยินคนบางคนพูดว่าเหนื่อยใจหนักใจ
หรือว่าไม่สบายใจ อะไรๆ ต่างๆ อันนี้
ก็เนื่องจากว่าใจไม่ได้มีการพักผ่อนเสียบ้างเลย


ดอกไม้ ดอกไม้ ดอกไม้


(มีต่อ 1)
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 08 ม.ค. 2007, 10:07 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ใจที่ไม่มีการพักผ่อนนั้น ก็คือ ใจที่คิดเรื่องอะไรๆ อยู่ตลอดเวลา
แล้วไม่ได้คิดเพื่อให้เกิดความสบายใจ
เป็นการคิดสร้างความทุกข์ ความเดือดร้อนให้แก่ใจ
ด้วยประการต่างๆ ที่เราเรียกกันว่า ความวิตกกังวลนั่นเอง


ความวิตกกังวลเมื่อเกิดขึ้นในจิตใจของผู้ใดแล้ว
ต้องทำให้ผู้นั้นเหน็ดเหนื่อยทางใจวุ่นวายใจอยู่ตลอดเวลา
ไม่เป็นอันได้พักผ่อน แม้เวลาหลับนอนก็ไม่ได้หลับกับเขา
มีอยู่ไม่ใช่น้อยที่คนนอนแล้วไม่หลับกระสับกระส่ายตลอดเวลา
เวลาที่เรานอนไม่หลับนั้น มันเป็นเรื่องปัญหาทางใจ
ไม่ใช่เรื่องปัญหาทางกายอย่างเดียว
เรื่องปัญหาทางกายนั้นก็มีบ้างเหมือนกัน
เช่นว่าท้องใส้ผิดปกติ เช่นว่าท้องเสีย
หรือวามีอาการไม่สบายทางร่างกายในส่วนใดส่วนหนึ่ง
อย่างนี้ก็เป็นเหตุให้นอนไม่หลับ
หรือว่าเกิดเจ็บไข้ได้ป่วยด้วยโรคอะไรก็ตาม
เรานอนไม่หลับ นั่นเป็นเรื่องของร่างกายแท้ๆ
แต่ว่า บางทีร่างกายเป็นปกติ
กินอาหารได้ท้องใส้เป็นปกติ แต่ว่ากลับนอนไม่หลับ
ที่นอนไม่หลับก็เพราะว่า ใจมันคิดเรื่องอะไรต่ออะไร
ยุ่งวุ่นวายไปหมด ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในใจนั้น
ก็เนื่องจากกระทบกับอารมณ์
บางประเภทที่เราไม่นึกไม่ฝัน ว่ามันจะเกิดขึ้นในชีวิตของเรา
เมื่อสิ่งนั้นเกิดขึ้นโดยกระทันหัน
โดยเราไม่รู้เนื้อไม่รู้ตัว ก็เกิดความครุ่นคิดอยู่ในใจตลอดเวลา
ตัวอย่างเห็นง่ายๆ เช่นเราสูญเสียอะไรที่เรารักใคร่พอใจไป
จะเป็นคนก็ตาม เป็นวัตถุเป็นสิ่งของก็ตาม
เราไม่นึกว่ามันจะสูญเสีย เราไม่นึกว่ามันจะจากเราไป
แต่ว่าเกิดสูญเสียขึ้นอย่างกระทันหัน
โดยเราไม่ได้คิดนึกไว้ก่อน
พอสิ่งนั้นเกิดขึ้นเราก็ไม่สบายใจ
มีความกระทบกระเทือนทางจิตใจ
ถ้าคนเป็นโรคเกี่ยวกับหัวใจอยู่บ้าง
ก็คงจะกระทบกระเทือนอย่างหนัก
จนอาจจะเป็นคนเขาเรียกว่าช็อค ไปเลยก็ได้
แต่ถ้าไม่มีโรคทางอย่างนั้น เขาเรียกว่า ไม่เป็นโรคหัวใจ
ความคิดต่างๆ เกิดมามากขึ้นในใจ
จนกระทั่งว่านอนไม่หลับ บางทีเป็นอย่างนั้นมีบ่อยๆ
สำหรับบุคคลบางคนที่เกิดความคิดอย่างนี้ขึ้น

ดอกไม้ ดอกไม้ ดอกไม้


(มีต่อ 2)
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 08 ม.ค. 2007, 10:09 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

วันก่อนนี่มีพระองค์หนึ่ง ท่านต้องสูญเสียบิดาไป
แล้วก็มานอนพักอยู่ที่กุฏิ ทั้งคืนไม่ได้นอน
ตามไฟสว่างหยิบหนังสือเล่มนั้นมาอ่านจบไป
เล่มโน้นมาอ่านจบไป อาตมาก็หลับไปเต็มตื่น
ตื่นขึ้นมาเห็นยังนั่งอ่านหนังสืออยู่ ก็เลยถามว่า

ทำไมไม่หลับไม่นอน บอกว่า มันนอนไม่หลับ
นอนไม่หลับมาหลายคืนแล้ว
อันนี้เกิดจากความคิดนั่นเอง
คือ มันคิดอยู่แต่เรื่องที่เราประสบกับปัญหา
ไม่ได้ปล่อยวางปัญหานั้น หรือไม่ได้คิดเตรียมตัวไว้ก่อน
ในเรื่องปัญหาอย่างนั้น อาการอย่างนั้นจึงเกิดขึ้นในใจ


ญาติโยมที่อยู่บ้านก็คงจะมีปัญหาประเภทอย่างนี้
ที่จะเกิดขึ้นแก่เราได้บ่อยๆ เช่นเราเป็นคนประกอบธุรกิจการงาน
เรื่องธุรกิจการงานที่เรากระทำนั้น มันไม่แน่เสมอไป
ไม่แน่ว่าเราจะมีกำไรเสมอไป
หรือว่าจะได้ดังที่เราต้องการเสมอไป
บางครั้งมันก็ได้ แต่บางครั้งมันก็ไม่ได้
เวลาได้รู้สึกอย่างไร
ถ้าเวลาได้ก็มักสบายใจชุ่มชื่นรื่นเริง ด้วยประการต่างๆ
แต่ถ้าเวลาเราไม่ได้จะรู้สึกอย่างไร
เราก็รู้สึกไม่สบายใจ ผิดหวังในเรื่องนั้นเรื่องนี้

ดอกไม้ ดอกไม้ ดอกไม้


(มีต่อ 3)
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 08 ม.ค. 2007, 10:11 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

การที่เราผิดหวังก็เพราะว่าเราตั้งความหวังไว้มากเกินไป
อย่าไปตั้งความหวังในอะไรๆ ให้มากเกินไป
อันนี้เป็นเรื่องหลักที่ควรจะได้คิดไว้ในใจบ่อยๆ
ว่าเราจะทำอะไรก็ตาม อย่างไปหวังให้มากเกินไป
คืออย่างหวังเอาร้อยเปอร์เซ็นต์
สุดแล้วแต่มันจะได้ดีกว่า
ถ้าเราไปหวังมากเกินไป แล้วก็รุนแรง
เป็นความคิดที่มีความหวังรุนแรง
เมื่อสิ่งนั้นไม่สมหวัง เราก็เสียดาย
เรามีความทุกข์มีความเดือดร้อนใจ
บางทีก็เป็นทุกข์เอามากทีเดียว
เมื่อถามว่าเป็นทุกข์ด้วยเรื่องอะไร
ก็แอบไปว่า แหมมันไม่เหมือนใจเลยคราวนี้
หวังว่าจะได้อย่างนั้นอย่างนี้ แต่ไม่ได้ดังที่ต้องการ
อันนี้คือ ความผิดพลาดของการดำเนินขีวิตของเรา
ในแง่จิตใจการดำเนินชีวิตผิดในแง่จิตใจ
มันสร้างความทุกข์ความเดือดร้อนแก่เราอย่างเหลือเกินทีเดียว

เพราะฉะนั้น อยากจะแนะแนวไว้กับโยมทั้งหลายว่า
ไม่ว่าเรื่องอะไรๆ เราอย่าไปตั้งความหวังในเรื่องจะได้ไว้มากเกินไป
เรามีความคิดแต่เพียงประการเดียวว่า
เราจะทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ ทำไปตามหน้าที่ ที่เราจะต้องทำ
เช่น เราทำการค้าขาย ประกอบธุรกิจการงานอะไรๆ ก็ตาม
เราก็ทำไปตามหน้าที่ของเรา
เราไม่ต้องการผิดอะไรให้มากเกินไป
เพียงสักแต่ว่าทำไปเท่านั้น ทำด้วยสติด้วยปัญญา
ความสามารถมีเท่าใดก็ลงทุนไปเถอะ
ในเรื่องนั้นลงทุนให้เต็มที่
แต่อย่าไปหวังว่าจะได้เท่านั้นจะได้เท่านี้ให้มันมากเกินไป
เพราะสิ่งต่างๆ นี้ไม่ได้อยู่ในอำนาจของเรา
เราบังคับมันไม่ได้ ให้ได้ดังใจมันไม่ได้

เช่นว่า เราลงทุนไปก้อนหนึ่ง
เพื่อสร้างงานสร้างการอะไรขึ้นมา
ถ้าเราหวังว่าจะได้กำไรเท่านั้นเปอร์เซ็นต์เท่านี้เปอร์เซ็นต์
แต่ว่าเอาจริงเอาจังเข้ากลับไม่ได้
เพราะสิ่งทั้งหลายในโลกนี้เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
ไม่มีอะไรหยุดนั่งสักอย่างเดียว
การค้าขายก็มีความเปลี่ยนแปลงการบ้านการเมือง
เรื่องของคนเรื่องของพื้นแผ่นดิน เรื่องดินฟ้าอากาศ
อะไรๆ ต่างๆ นี้มันเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
เราจะไปกำหนดเอาตายตัวว่า
จะเป็นอย่างนั้นจะเป็นอย่างนี้นั้น เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
เพราะสิ่งเหล่านั้นไม่ได้อยู่ในอำนาจของเรา
เช่นเราสั่งอะไรมาสักอย่างหนึ่ง แล้วเรานึกว่าคราวนี้แหละ
เราจะได้กำไรมากมายจากสิ่งเหล่านี้
แต่ว่าดินฟ้าอากาศเปลี่ยนแปลงไปเช่นว่า
เราอยู่อากาศมันก็แห้งๆ ฝนฟ้าไม่ตก
แต่พอเราลงมือทำงานทำการเรื่องนั้น
ฝนเทลงมาจั๊กๆ น้ำท่วมบ้านท่วมเมืองเลยทีเดียว
ทำให้สินค้าที่เราสั่งมานั้น มีอุปสรรค
ไม่สามารถจะส่งไปที่นั่นที่นี่ได้ดังใจ
อันนี้มันเป็นเรื่องธรรมดา ที่อาจจะเกิดขึ้นแก่ใครๆ
เมื่อใดก็ได้แก่กิจการงานที่เรากระทำอยู่เมื่อใดก็ได้
เพราะฉะนั้นพระท่านจึงสอนว่า
อย่าไปมีความหวังในเรื่องอะไรๆ ให้มันมากเกินไป


ดอกไม้ ดอกไม้ ดอกไม้


(มีต่อ 4)
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 08 ม.ค. 2007, 10:14 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ชาวโลก เรามักจะพูดกันว่า เราอยู่กันด้วยความหวัง
คือว่า หวังน้ำบ่อหน้ากันเรื่อยไป คล้ายๆ กันคนเดินทาง
พอมาถึงศาลาพักร้อนหลังนี้ พักแล้วก็เดินต่อไป
นึกว่าจะไปพัก ศาลาโน้นต่อไป
พอถึงศาลานั้นก็นึกว่าจะไปพักศาลาโน้นต่อไป
อย่างนี้เรียกว่า เดินไปด้วยความหวัง
ความหวังนั้น ก็คือ ความอยากนั่นเอง
เราเอาความอยากมาเป็นอาหารใจ
มาเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงจิตใจ
ชาวโลกทั่วไปนี่อยู่ด้วยความอยาก
อยู่ด้วยความปรารถนา ว่าจะมีสิ่งนั้นจะมีสิ่งนี้
เรียกว่า หาเหยื่อมาล่อจิตใจอยู่ตลอดเวลา
ทีนี้การที่เราเอาเหยื่อต่างๆ มาล่อจิตใจเรานั้น
มันไม่สุขใจอะไรมากนัก แล้วอาจจะผิดหวังเมื่อใดก็ได้
เราก็เกิดเป็นความทุกข์ความเดือดร้อน


เมื่อเราผิดหวัง ถ้าพูดกันในแง่ธรรมะ
ในแง่จิตใจอย่างแท้จริงแล้ว
เราไม่ควรจะอยู่ด้วยความหวังอย่างนั้น
แต่เราควรจะอยู่อย่างไร เราควรจะอยู่เพียงเพื่อ
ทำหน้าที่ของเราอย่างเดียวเท่านั้นเอง
ใครมีหน้าที่อันใดก็ทำหน้าที่อันนั้นไป
หน้าที่พ่อค้าก็ค้าขายไป หน้าที่ราชการก็ทำไป
หน้าที่พ่อหน้าที่แม่ก็ทำไป
ใครมีหน้าที่อันใดก็ทำหน้าที่อันนั้นไป
อันนี้คือ สิ่งที่จำเป็นสำหรับชีวิต
แต่ว่าผลอันจะเกิดขึ้นจากการกระทำนั้น
ไม่ใช่เรื่องที่เรจะหวังได้เสมอไป


เราจะหวังว่าเมื่อทำงานชิ้นนี้แล้ว
จะได้เท่านั้นจะได้เท่านี้อันนี้อย่าไปสร้างความหวังไว้เลย
เพราะถ้าเราสร้างไว้ก็เท่ากับสร้างวิมานในอากาศ
มันเป็นรูปเป็นร่างอะไรขึ้นมาเลย
นอกจากจะเป็นความฝันแบบลมๆ แล้งๆ
ที่เราสร้างขึ้นมาในมโนภาพของเราเท่านั้นเอง
มันจะสลายลงเมื่อใดก็ได้ และเมื่อมันสลายไป
จิตใจเราก็ต้องมีความทุกข์มีความเหี่ยวแห้งใจ
มีความไม่สบายใจด้วยประการต่างๆ
แล้วมันเรื่องอะไร ที่เราไปหาเรื่อง
ให้เกิดความทุกข์ความเดือดร้อน
มันเรื่องอะไรที่จะไปหาความทุกข์ให้แก่จิตใจของเราเอง
เราไม่ได้เกิดมาเพื่ออยู่กับความทุกข์ ความเดือดร้อนใจ
แต่เราเกิดมาเพื่อความรู้เท่ารู้ทัน
ในสิ่งเหล่านั้นตามสภาพที่เป็นจริง
อยู่ในโลกด้วยปัญญา ไม่ใช่อยู่ด้วยความโง่เขลา
หรือด้วยอวิชชา คือ ความไม่รู้ชัดไม่เข้าใจชัดในเรื่องนั้น
ตามสภาพที่เป็นจริง เป็นเหตุให้เกิดปัญหาวุ่นวายขึ้น
ในจิตใจของเรา ด้วยประการต่างๆ


ดอกไม้ ดอกไม้ ดอกไม้


(มีต่อ 5)
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 08 ม.ค. 2007, 10:16 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เราได้ยินข่าวปรากฏอยู่บ่อยๆ ว่า
คนที่พลาดหวังนั้นมักจะทำอะไรๆ ในทางแปลกๆ แผลงๆ
เช่นว่า ทำลายตัวเองเสีย เพราะว่าไม่สมหวัง
เช่นชายหนุ่มหญิงสาวที่มีความรักกัน
แล้วมีความหวังร้อยเปอร์เซ็นต์
ว่าจะได้อยู่กันแต่งงานกันตามเรื่องตามราว
แต่มันเกิดผิดหวังขึ้นมา เพราะเหตุการณ์เปลี่ยนแปลง
เช่นว่า คนโน้นเขาคลายความรักไป เขาไม่รักเหมือนเดิมแล้ว
เขาไปมีรักใหม่แล้ว คนที่ถูกพรากความรักไปก็เสียอกเสียใจ
ไม่กินไม่นอน ไม่อยากจะอยู่ในโลกต่อไป
อันนี้ก็เพราะว่าผิดหวัง จึงได้เกิดอารมณ์เช่นนั้นขึ้นมา
หรือในเรื่องอื่นๆ อีกก็เหมือนกัน มันมีมากมายก่ายกอง
ที่สร้างปัญหาคือความทุกข์ความเดือดร้อน
ให้เกิดขึ้นในใจของเราด้วยประการต่างๆ
ถ้าหากว่าเราศึกษาในเรื่องอย่างนี้
คือ ศึกษาจากประสบการณ์ในชีวิตของเราเอง
ว่าในชีวิตของเรามันมีอะไรเกิดขึ้น
แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นมันให้อะไรแก่เรา
ให้ความสุขใจเบาใจแก่เรา ให้ทุกข์ความหนักใจแก่เรา
ให้เความเดือดเนื้อร้อนใจแก่เรา เราจะต้องศึกษาเรื่อยๆ ไป
หาประสบการณ์เหล่านั้นมาเป็นบทเรียน
เป็นเครื่องเตือนจิตสะกิดใจไว้บ่อยๆ
เพื่อจะได้ไม่ทำอะไรซ้ำลงไปในเรื่องอย่างนั้นอีก
จะได้หลีกเลี่ยง จากเรื่องที่มันเคยเป็นเหตุให้เกิดความทุกข์
ความเดือดร้อนแก่เรา เราก็จะมีปัญญามากขึ้นในเรื่องเกี่ยวกับชีวิต


การเป็นอยู่ในชีวิตประจำวัน ต้องเป็นอยู่ด้วยการศึกษา
หาความรู้ความเข้าใจ จากประสบการณ์ที่เราผ่านมา
ทุกเรื่องทุกประการ ให้ถือว่าเรื่องต่างๆ
ที่เกิดขึ้นในชีวิตของเรานั้น เป็นครูเราทั้งนั้น
เป็นบทเรียนสอนใจเราทั้งนั้น
และเมื่อเราถือเอาเรื่องเหล่านั้น เป็นบทเรียนเครื่องสอนใจ
แล้วเราก็จำไว้ ทีหลังเราจะไม่คิดอย่างนั้น
จะไม่นึกในรูปนั้นอีกต่อไป
เพราะการคิดนึกในรูปอย่างนั้น จะไม่นึกในรูปนั้นอีกต่อไป
เพราะการคิดนึกในรูปอย่างนั้น
มันสร้างความทุกข์ความเดือนร้อนให้แก่เรา
แต่ว่าเราจะคิดในรูปที่เรียกว่ามีปัญญา
มีความเข้าใจในเรื่องนั้นๆ ถูกต้องตามสภาพที่เป็นจริง
อันนี้จะช่วยให้เกิดการผ่อนคลายทางด้านจิตใจ
จะได้คลายความทุกข์ความเดือดร้อนใจไปได้ นี้ประการหนึ่ง

ดอกไม้ ดอกไม้ ดอกไม้


(มีต่อ 6)
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 08 ม.ค. 2007, 10:34 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ทีนี้อีกประการหนึ่ง ความผิดในเรื่องนี้
ที่ทำให้เกิดความหนักอกหนักใจ
หนื่อยใจในชีวิตของเราทั่วๆ ไป
ก็คือ การคิดในเรื่องเก่าๆ ที่ผ่านมานั้น
ไม่ใช่ว่าจะห้ามเสียเลย หามิได้
คิดได้ แต่ว่าต้องคิดด้วยปัญญา
คิดเพื่อเอามาเป็นบทเรียนเอาสอนใจ
หาความจริงในเรื่องอย่างนั้น คิดแบบวิเคราะห์วิจัย
อย่างนี้ไม่เสียหาย แต่ว่าโดยมากหาได้คิดในรูปนั้นไม่
เอามาคิดในรูปที่มันจะสร้างปัญหา
คือ ความทุกข์ความเดือดร้อนแก่ตนทั้งนั้น
คือ คิดด้วยความโง่เขลา ไม่ได้คิดด้วยปัญญา
ในเรื่องอะไรต่างๆ เรื่องบางเรื่องมันผ่านพ้นไปตั้งนานแล้ว
แต่ก็เราเอามาคิด พอคิดแล้วก็เกิดความไม่สบายใจ
เป็นทุกข์ขึ้นมาก็เพราะเรื่องอย่างนั้น


บางคนถึงกับว่าน้ำตาไหล ถามว่าทำไมจึงน้ำตาไหล
แหมคิดถึงเรื่องเก่าแล้ว ฉันเศร้าใจเหลือเกิน
เรื่องอะไรที่ไปคิดให้มันเศร้าใจ
มันเรื่องอะไร อยู่ดีๆ ไม่ว่า ไปหาเรื่องให้เกิดความทุกข์
ความเดือดร้อน ที่คนโบราณเขาว่า เอามือไปซุกหีบ
มือมันอยู่ดีๆ ไม่ชอบเอาเข้าไปซุกในหีบ แล้วก็ปิดฝาหีบลงไป
โดนเอามือเจ็บปวดไปเปล่าๆ
นี่มันไม่ได้เรื่องอะไร เราทำไมจึงชอบคิดในเรื่องอย่างนั้น
เรื่องเก่าๆ ที่ผ่านมาไม่ชอบปล่อยชอบวาง
ไม่ชอบทิ้งเรื่องนั้นออกไปเสีย


ในหลักธรรมะของพระพุทธเจ้านั้น
ท่านวางหลักในเรื่องนี้ไว้อย่างไร
ให้เราคิดอย่างไรนึกอย่างไร
พระผู้มีพระภาควางหลักเรื่องนี้ไว้ว่า
"อตีตัง นานวาคะเมยยะ นัปปะฏิกังเข
อนาคตัง ปัจจุปปันนัญ จะ โย ธัมมัง
ตัตถะ ตัตถะ วิปัสสะติ"
บอกว่า อย่าคิดถึงสิ่งที่ล่วงมาแล้ว
อย่าคิดถึงสิ่งที่ยังไม่มาถึง
สิ่งใดเกิดขึ้นเฉพาะหน้า ให้เพ่งพิจารณาในเรื่องนั้น
เพื่อให้รู้ชัดเห็นชัดตามสภาพที่มันเป็นอยู่จริงๆ
อันนี้เป็นหลักการอันหนึ่ง
ซึ่งเราน่าจะนำมาใช้ในชีวิตประจำวันของเรา

ดอกไม้ ดอกไม้ ดอกไม้


(มีต่อ 7)
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 08 ม.ค. 2007, 10:40 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เพราะว่าคนเราทั่วๆ ไป ที่มีความทุกข์ระทมตรมใจอะไรต่างๆ นั้น
ส่วนมากก็เป็นเรื่องเก่าๆ ที่มันผ่านพ้นมาแล้ว
ของหายไปตั้งสองเดือนแล้ว ก็ยังเอามาคิดถึงอยู่
คือบางทีก็พูดกะใครๆ ว่า
แหมนึกถึงเรื่องนั้นทีไรแล้วแสนจะกลุ้มใจรู้ว่ากลุ้มใจ
แต่ว่าทำไมไปคิดถึงเรื่องนั้นนี่เขาเรียกว่า เผลอไป ประมาทไป
ไม่ได้ระมัดระวัง ควบคุมความคิดของตัว
แล้วก็ไปคิดถึงเรื่องที่ทำให้เศร้าใจ
ให้เสียใจเป็นทุกข์เป็นร้อนด้วยประการต่างๆ นั้น
ล้วนแต่เป็นเรื่องเก่าๆ แก่ๆ ทั้งนั้น
เอามานั่งคิดนั่งผันไป ไม่ได้เรื่องอะไร
อย่างนั้นไม่ควรคิด เพราะมันผ่านพ้นไปแล้ว

เรื่องเวลานี้มันมีสามกาละ
คือว่า ปัจจุบัน อตีด อนาคต
สามกาลนี้มันนิดเดียวเท่านั้นเอง
ตัวปัจจุบันนี่ก็นิดเดียว แล้วมันก็กลายเป็นอดีตไป
แล้วอนาคตก็ย่างเข้ามา กลายเป็นตัวปัจจุบัน
แล้วก็เป็นอดีตต่อไป

ถ้าหากว่าเราถือหลักว่าเวลานี้มันไม่คงที
มันมาถึงเราแล้วก็ผ่านพ้นไปๆ
วินาทีนั้นผ่านพ้นไป
วินาทีใหม่ผ่านเข้าแล้วก็ผ่านพ้นไป
คล้ายๆ กับว่าภาพยนตร์
เวลาเราดูหนัง ภาพต่างๆ มันผ่านสายตาเราไปในรูปต่างๆ กัน
นั่นคือ ความเปลี่ยนแปลงของภาพอยู่ตลอดเวลาภาพ
มันถี่ยิบเพราะความหมุนของเครื่อง
แล้วฟิล์มมันก็หมุนไป เราก็เห็นว่าเป็นภาพวิ่ง
แสดงอย่างนั้นแสดงอย่างนี้ เป็นปรากฏการแก่สายตายของเรา
ทำให้เราเห็นว่ามันเป็นจริงๆ จังๆ เป็นเรื่องเป็นราว

บางทีดูด้วยความเพลิดเพลิน
บางทีดูแล้วก็เศร้าโศกเสียใจ
เวลาจบเรื่องลงไปก็พลอยเศร้าไป
กับ พระเอกหรือว่า นางเอกที่ต้องพบชะตากรรมที่ไม่นึกฝัน
ว่าจะเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้
ที่จริงภาพเหล่านั้นมันเป็นมายา
ที่มาหลอกตาเราชั่วขณะหนึ่งเท่านั้นเอง
แต่ว่าภาพมันติดต่อกัน
เลยเห็นเป็นเรื่องเดียวกันตลอดเวลา
อย่างนี้มันก็ผ่านๆ ไปเท่านั้นเอง
อะไรๆ มันก็ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป
ไม่ได้หยุดอยู่มันผ่านมาแล้วก็ผ่านไป
ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ไม่ได้หยุดอยู่
แต่ว่าเรานั้นเป็นผู้ทำผิด ทำผิดในเรื่องอย่างไร
ทำผิดคือไปเก็บเอาสิ่งนั้นไว้เอามาใส่ในใจ
ใส่ไว้ในห้วงนึกในความคิดของเรา
เก็บเรื่อยไปไม่รู้ว่าอะไรต่ออะไร
เรียกว่า เป็นคนชอบเก็บ ชอบสะสม
ลักษณะของจิตมันก็อย่างนั้นอยู่ด้วยเหมือนกัน
คือว่า ชอบสะสมอารมณ์ประเภทต่างๆ
ที่ผ่านมาเข้ามาแล้วมันก็เก็บไว้
แล้วเอามานั่งคิดนั่งนึกให้เกิดความทุกข์ความเศร้าใจ
ไม่มีเรื่องอะไรจะคิดก็ไปเอาเรื่องที่มันเศร้าใจ ให้ไม่สบายใจ

บางทีไปคิดในเวลาใกล้จะนอน เลยกระทบอารมณ์
อารมณ์เลยนอนไม่หลับ
หรือบางทีไปคิดว่าเวลารับประทานอาหาร
เลยเกิดเบื่ออาหารขึ้นมา ไม่อยากจะรับประทานแล้ว
ใจมันไม่สบาย คนอื่นนั่งใกล้ก็ถามว่า ไม่สบายใจด้วยเรื่องอะไร
แหมใจมันไปคิดในเรื่องครั้งกระโน้น เก่าไม่รู้สักกี่สิบปีแล้ว
ถ้าเป็นวัตถุก็เรียกว่าบูดแล้ว เน่าแล้ว เปื่อยแล้ว
เราอุตส่าห์เอามาสร้างเป็นโครงร่างขึ้นมาใหม่
ไปเก็บเอาขี้เถ้ามันมา เอามาเสกสรรปั้นแต่ง
ให้มันเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาแล้ว
นั่งดูด้วยความเศร้าโศกใจ
นี่เรียกว่า ความเขลาหรือความฉลาด
ขอให้เราคิดดูสักเล็กน้อย


ดอกไม้ ดอกไม้ ดอกไม้


(มีต่อ 8)
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 08 ม.ค. 2007, 10:43 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ถ้าคิดดูแล้วก็เห็นว่า เอ มนุษย์นี่แย่เต็มที
เรื่องมันเป็นขี้เถ้าผงไปหมดแล้ว
อุตส่าห์เอาขี้เถ้าขึ้นมาเสกอีก ให้เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา
แล้วก็มานั่งฝันในเรื่องความทุกข์คความเศร้าใจ
อันนี้มันไม่ใช่เรื่องที่ควรจะเป็นไปเลย
สิ่งใดที่มันผ่านไปแล้วก็ปล่อยไป
ช่างมันเถอะผ่านพ้นไปแล้ว
เราจะไปคิดถึงสิ่งนั้นทำไมให้มันเป็นอดีตไป
อดีตมันก็ผ่านพ้นไปแล้วปัจจุบันมันก็ผ่านพ้นไปแล้ว
อนาคตก็ยังมาไม่ถึง แต่ถ้ามาถึงเข้า เราก็พิจารณาต่อไป
ด้วยปัญญาว่าสิ่งนี้กำลังเกิดขึ้นแก่เรา
แต่ว่าสิ่งนี้มันไม่เที่ยง มันมีความเปลี่ยนแปลง
คอยดูว่ามันจะเปลี่ยนแปลงอย่างไรต่อไป
ให้เราทำตนเป็นคนดูด้วยปัญญา
อย่าดูด้วยความยึดมั่นถือมั่น
อย่าดูด้วยความหลงผิดในเรื่องนั้นๆ
จิตใจเราก็จะสบายขึ้นไม่มีปัญหา
ไม่มีความทุกข์ความเดือดร้อนใจ
นี่หลักหนึ่งที่ช่วยแก้ปัญหา คือ ความทุกข์อย่างหนึ่ง เหมือนกัน
คือ ให้รู้ว่าอะไรที่ผ่านพ้นไปแล้วก็ผ่านพ้นไป
อย่าไปรื้อไปค้นเอามาคิดนึกให้เสียเวลา
ให้เกิดความทุกข์ความเดือดร้อนใจเปล่าๆ
แต่ถ้าเราจะเอามาคิดนึกก็เรียกว่าคิดด้วยปัญญา
รื้อมันด้วยปัญญา สร้างขึ้นด้วยปัญญาตลอดเวลา
อย่างนั้นสิ่งนั้นจะเป็นประโยชน์
ไม่เป็นคความเสียหายในการที่เราจะคิด
เพราะเอามาศึกษาค้นคว้าในเรื่องอย่างนั้น
ว่าสิ่งนี้มันเกิดขึ้นอย่างไร ตั้งอยู่เปลี่ยนแปลงไปในสภาพอย่างไร
เราจะได้จดจำไว้เป็นบทเรียนสำหรับชีวิตของเราต่อไป
ไม่ใช่เรื่องเสียหาย แต่ถ้าเอานั่งคิดด้วยความเขลาแล้ว
เรานั่งกลุ้มใจเป็นทุกข์ไม่สบาย
อย่างนั้นไม่ใช่เรื่องที่เราควรจะกระทำนี้ประการหนึ่ง
เป็นเรื่องที่จะช่วยแก้ปัญหา คือ ความไม่สบายใจ
หรือว่าความเหน็ดเหนื่อยใจที่เกิดขึ้น ให้พอคลายไปได้
จากการคิดนึกในรูปอย่างนี้
อันเรื่อง ที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้า
เรื่องนั้นเรียกว่าเรื่องปัจจุบัน


ดอกไม้ เราควรจะทำจิตให้เป็นปัจจุบันไว้
จิตที่เป็นตัวปัจจุบันหมายความว่า มันตื่นอยู่ตลอดเวลา
ไม่หลับไหลไม่มัวเมา
คำว่า หลับไหลในทางจิต นั้นหมายความว่า
ไม่รู้ไม่เข้าใจ เมื่อใดเราไม่รู้ไม่เข้าใจก็เรียกว่าเราหลับแล้ว
พอเราหลับแล้วมันก็วุ่นวาย
เกิดปัญหาแล้วไม่มีอะไรร้อยแปดเกิดขึ้น
เพราะไม่ได้ตื่นด้วยสติปัญญา
เรากลายเป็นคนหลับอยู่ในขณะนั้น
ไม่ดีไม่งามเราจะต้องเพ่งปัจจุบัน
หมายความว่าตื่นตัวอยู่ด้วยสติปัญญานั่นแหละ
มันจะช่วยตัวเองให้เรามองเห็นอะไรชัดเจนแจ่มแจ้ง
ว่ามีอะไรเกิดขึ้นแล้ว มีอะไรเกิดขึ้นต่อไป
อะไรมันเปลี่ยนแปลงไปในรูปอย่างไร
คอยมองไปค้นคว้าไป ศึกษาไปในเรื่องนั้นๆ
อย่างนี้เรียกว่า อยู่ด้วยความตื่นตัว อยู่ด้วยปัญญา
ความตื่นตัวนั้นก็คือ ความมีสติ คอยพิจารณาอะไรๆ ต่างไว้


ดอกไม้ ดอกไม้ ดอกไม้


(มีต่อ 9)
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 08 ม.ค. 2007, 10:45 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ทีนี้โดยปกติอารมณ์ต่างๆ นั้น
ไม่ใช่ว่ามันจะเป็นเครื่องยั่วเสมอไป
ไม่ใช่ยั่วให้เกิดความโกรธเคืองอะไรๆ เสมอไปก็หามิได้
มันมีเฉพาะเรื่องเฉพาะบางประการ
ขอให้เราสังเกตุว่าตาได้เห็นรูปหูได้ยินเสียง
จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส กายได้ถูกต้องสิ่งไรก็ตาม
บางทีมันก็เฉยๆ ไม่มีความรู้สึกอะไร
เช่น ตาเราเห็นของบางอย่างมันก็เฉยๆ
ไม่มีการปรุงแต่งเป็นความรักความชัง
หรืออะไรขึ้นมาในใจแม้แต่น้อย มันเพียงสักแต่ว่า
เห็นแล้วผ่านพ้นไปเท่านั้นเอง
แต่ว่าอารมณ์บางประเภทมันก่อให้เกิดอะไรขี้น
เช่นก่อให้เกิดความกำหนัด เกิดความขัดเคือง
เกิดความลุ่มหลง เกิดความมัวเมาขึ้นในใจของเรา
มันก็มีเหมือนกัน อันนี้ขอให้เราสังเกตุดูตัวเราเอง
ว่าเวลาเราเห็นอะไร ได้ยินอะไร ได้รสอะไร
ได้ถูกต้องสิ่งใดสภาพจิตของเรา
มีอะไรเกิดขึ้นบ้าง มีความกำหนัดเกิดขึ้นหรือไม่มี
โทสะเกิดขึ้นหรือไม่ มีความลุ่มหลงเกิดขึ้น
หรือไม่มีความมัวเมา มีความริษยา
มีความพยาบาทเคียดแค้นต่อสิ่งเหล่านั้นที่มากระทบหรือไม่
ให้คอยสังเกตุลักษณะความคิดที่เกิดขึ้นในใจของเรา
การคอยสังเกตุนี่แหละ คือ เพ่งอยู่เฉพาะหน้าเหมือนกัน
"ปจฺจุปฺปนฺนญฺจ โย ธมฺมํ" คือ การเพ่งอยู่เฉพาะหน้า
ก็คือการคอยสังเกตุดู ว่า
เมื่อสิ่งนั้นมากระทบตาเกิดอะไรขึ้น
เสียงมากระทบหูแล้วเกิดอะไรขึ้น
กลิ่นมากระทบจมูก ของเราแล้วเกิดอะไรขึ้น
เรารับประทานอาหาร เช่นรับประทานรสเปรี้ยว
รสเค็ม รสหวาน รสผสมกัน
เราก็ต้องคอยสังเกตุว่า พอเคี้ยวถูกสิ่งนั้น มีรสเป็นอย่างนั้น
อะไรเกิดขึ้นในใจเรา ให้คอยกำหนดไว้
ขณะรับประทานอาหารเข้าไปในปาก ก็คอยกำหนดไว้
ขณะดื่มก็คอยกำหนดไว้
ขณะรับประทานอะไรเข้าไปในปากก็คอยกำหนดไว้
ตาได้ดู หูได้ฟัง จมูกได้กลิ่น มือได้สัมผัสสิ่งใด
เราก็คอยกำหนดสิ่งนั้นไว้ ว่ามันเกิดอะไรขึ้นบ้างในจิตของเรา
เราก็จะได้รู้ว่ามันเกิดอะไร
แล้วเมื่อรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นแล้ว
เราก็อย่าให้มันพ้นไปเฉยๆ


แต่เราควรจะตั้งปัญหาต่อไปว่า
ทำไมจึงเกิดอย่างนี้ ทำไมจึงเกิดความพอใจ
ทำไมจึงไม่พอใจ ทำไมจึงไปโกรธเขา
ทำไมจึงไปเกลียดเขา ทำไมจึงไปริษยาเขา
หรือทำไมจึงไปพยาบาทเขาอาฆาตเขา
ให้เอามาแยกแยะวิเคราะห์วิจัยดูอารมณ์นั้นว่า
ทำไมมันเป็นอย่างนั้น แล้วสิ่งนั้นมันคืออะไร
ที่ทำให้เราโกรธเคืองมันคืออะไร


ดอกไม้ ดอกไม้ ดอกไม้


(มีต่อ 10)
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 08 ม.ค. 2007, 10:48 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ยกตัวอย่าง ง่ายๆ เช่นคำว่า ด่า
คำ ด่า ว่าที่คนอื่น ด่า เรา เช่นเขา ด่า เราว่าอ้ายชาติชั่ว
หรือว่าชาตินั้นชาตินี้ หรือคนอย่างนั้นอย่างนี้
พอเราได้ฟังแล้วแหมด่าขึ้นมา ด่ากู ทีเดียว
หูแดงตาแดงขึ้นมาทีเดียวมันมาแล้ว
อารมณ์มันมาแล้ว มันเกิดความโกรธขึ้นมาแล้ว
ทำไมจึงเกิดความโกรธขึ้นมาในเมื่อเขาว่าอย่างนั้น
ก็เพราะว่าเราไปสำคัญผิด
สำคัญผิดว่าเขาด่าเรา มันมีเราแล้วก็มีเขา
มีสองผู้ขึ้นมา ผู้รับกับผู้ให้
ผู้รับ คือ ตัวเรา ผู้ให้ ก็คือ ผู้ที่ด่าเรา
เกิดเป็นสองคนขึ้นมา คนหนึ่งเป็นผู้ด่า
อีกคนหนึ่งเป็นผู้รับคำด่า
เรียกว่า มีตัวสมมติขึ้นสองตัวในโลกแล้ว
คือ ตัวเราตัวหนึ่ง แล้วตัวเขาอีกตัวหนึ่ง
แล้วเราก็เกิดฟังขึ้นมาว่ามันด่ากูนี่หว่า
อ้ายคนด่าก็มีขึ้นมา กลายเป็นสองตัวขึ้นมา
สองผู้ขึ้นมาแล้ว เรียกว่า ผู้ด่ากับผู้ถูกด่า
มีสองอย่าง ในโลกนี้มันก็มีอยู่สองเรื่องนี้


ญาติโยมจำไว้ด้วยมีอยู่สองเรื่องเท่านี้
คือ สิ่งที่เรารับรู้ แล้วก็ความรับรู้ของเรา
หรือว่า ผู้กระทำ ผู้ถูกกระทำ

ว่านาย ก. ด่า นาย ก. เป็นผู้ทำ
เราเป็นผู้ถูกกระทำ คือ ถูกด่า
แล้วเราก็ไปโกรธนาย ก.
โกรธนาย ก. ว่าด่าเราเรา
มองเห็นนาย ก. เป็นก้อนเป็นกลุ่มขึ้นมา
ว่าเป็นตัวเป็นตนมีอะไรต่ออะไรพร้อม
แล้วก็พูดคำผรุสวาท ด่าเราอย่างนั้น
แล้วเราก็มองดูตัวเราว่า ฉันก็เป็นตัวเหมือนกัน
เป็นตัวที่จะออกไปรับคำด่า
เลยเกิดโกรธขึ้นมาเช่นนั้น

สาเหตุมันอยู่ที่ตรงนี้
ไม่ใช่เรื่องอะไรตรงที่ว่าเรายึดมั่นถือมั่น ว่าฉันมีฉันเป็น
แล้วก็ยึดมั่นว่าเขามีเขาก็เป็น
มันมีเรามีเขาขึ้นมา เขาด่าเรา เราเป็นผู้ถูกด่า
แล้วเราเป็นผู้โกรธ โกรธเขาผู้นั้น ว่าเขาผู้นั้นมันด่าเรา
เราก็โกรธขึ้นมาทันที อันนี้เป็นความคิดที่ได้รับมานานแล้ว
ฝังอยู่ในใจมานานแล้ว ตั้งแต่เป็นเด็กตัวน้อยๆ
เพราะว่าคนเราพอเกิดมาก็ถูกสอนให้ยึดมั่นถือมั่น
ในเรื่องอะไรต่างๆ ให้ยึดมั่นในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ
แล้วก็ค่อยขยายไปทุกวันเวลา


อยู่ในครอบครัวเด็กตัวน้อยๆ ก็ยึดมั่นในของที่ตัวมี
เช่นว่ามีของเล่นของฉัน คนอื่นมาแตะต้องไม่ได้
มาเอาไปก็ไม่ได้ เกิดความร้องไห้
ทำอะไรไม่ได้ก็ร้องไห้ไปตามเรื่อง
เมื่อเขาเอาอะไรของฉันไป
เกิดความทุกข์ความเดือดร้อนใจขึ้นมา
เพราะความยึดถือว่า สิ่งนี้เป็นของฉัน
แล้วแม่พ่อก็สอนอย่างนั้น นี่ของหนูน๊ะ
บอกให้เด็กรับไว่ว่าเป็นของหนู
ตุ๊กตาของหนู อ้ายนี่ของหนู
เราสอนมาอย่างนั้นสอนให้ยึดไว้โดยไม่รู้ตัว
ตั้งแต่ตัวน้อยๆ แต่ว่าเด็กนั้นเราจะอธิบายเหตุผลมันก็ลำบาก
จึงต้องให้เข้าอย่างนั้นไว้ก่อน
แต่ว่าเมื่อเด็กนั้นพอรู้เดียงสา พอพูดจากันเข้าใจ
พ่อแม่ควรจะเพาะแล้ว เพาะให้เรียนรู้ความจริงของชีวิต
ให้รู้ว่าอไรที่เป็นตัวเรานั้นมันหามีไม่
ไม่มีอะไรที่เป็นของเรา
หลักอนัตตาไม่ใช่ว่าเป็นเรื่องที่จะสอนคนแก่
หรือว่าคนที่มีอายุมากๆ อะไรหามิได้
เราจะต้องสอนเด็กนั้งแต่ตัวน้อยๆ
ให้เขามีฐานทางจิตใจถูกทางไว้ตั้งแต่เบื้องต้น
ไม่ให้เกิดความยึดถือที่รุนแรงในเรื่องอะไรๆ ต่างๆ
ให้รู้ว่าอะไรเป็นของสมมติ
อะไรเป็นของจริงของแท้
แล้วให้รู้ว่าสิ่งทั้งหลายมันมีความเปลี่ยนแปลงอย่างไร


ดอกไม้ ดอกไม้ ดอกไม้


(มีต่อ 11)
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 08 ม.ค. 2007, 10:53 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

บางทีเราอาจจะพาเด็กไปดูดอกไม้
เพราะในต้นไม้ต้นหนึ่ง มันมีดอกไม้หลายชนิด
เช่นมีดอกไม้ที่กำลังตูม กำลังแย้ม กำลังบาน
บานเต็มที่ แล้วก็กลีบบางอันก็เริ่มเหี่ยว
แล้วก็ล่วงหล่นลงไปอยู่ที่โคนต้น
บางอันก็หล่นไปหมดแล้ว บางอันก็ยังสมบูรณ์อยู่
เราก็เอาเด็กไปใกล้ต้นไม้ คุยกับเด็กในแง่ธรรมะ
ซึ่งเป็นสัจจธรรมเลย คือ ความจริงที่เด็กควรจะเข้าใจ
เป็นการสร้างฐานชีวิตให้เด็กได้เข้าใจตั้งแต่ตัวน้อยๆ
โตขึ้นเด็กจะไม่เป็นโรคประสาท
จะไม่เกิดความหลงผิดในปัญหาอะไรต่างๆ
จะช่วยชีวิตเขาสดชื่นรื่นเริง
เพราะเขารู้ความจริงเข้าใจความจริงของสิ่งเหล่านั้น
เราก็อธิบายให้เห็นว่า นี่ดอกไม้เหล่านี้ มันแตกต่างกัน
มันไม่เหมือนกัน แต่ว่าทุกดอก
ต้องมีสภาพเหี่ยวแห้งร่วงโรย เหมือนกันไปโดยลำดับ
ชั้นแรกก็เป็นดอกตูม ดอกแย้ม ดอกบาน
แล้วก็ล่วงผลอยลงไปที่โคนต้น
ไม่มีอะไรเหลืออยู่มันเป็นอย่างนี้

ถ้าเรา เห็นผลไม้ก็สอนเด็กได้ในเรื่องผลไม้
ในเรื่องความเปลี่ยนแปลง ก็ผลไม้แรกออกมันก็ลูกเล็กๆ
เกิดจากดอกนั้นเอง แล้วต่อมาก็ค่อยโตขึ้นๆ
โดยลำดับต้นไม้ต้นหนึ่งก็มีลูกหลายชนิด
ลูกเริ่มเป็น แล้วก็ลูกที่อ่อน ลูกที่แก่
ลูกที่มีเปลือกเป็นสีเรื่อๆ เหลืองๆ ลูกที่สุกเอาไปกินได้
แล้วที่หล่นไปกองอยูที่พื้นดินเน่าไปก็มี
สิ่งเหล่านี้เป็นบทเรียนได้ทั้งนั้น
ที่เราจะคุยกับเด็กของเราให้เข้าใจไปทีละน้อยๆ
ในเรื่องเกี่ยวกับปัญญาของชีวิต
เรื่องปัญหาหรือปัญญาของชีวิตเด็กจะได้รู้เป็นฐาน
เมื่อเขาเติบโตขึ้นเป็นหนุ่มน้อย
เราก็ค่อยอธิบายไปโดยลำดับ
ในเรื่องความจริงตามหลักเหล่านี้
ซึ่งเป็นสัจจะเป็นเรื่องแท้เรื่องถูกต้อง
เด็กก็จะรับสิ่งเหล่านี้มาฝังไว้ในความคิดของเขา
เมื่อมีปัญหาอะไรเกิดขึ้นเขาก็จะปลงตกไป


เหมือนกับเด็กที่พอเอาแมวสองตัวไปให้คนอื่นเขา
แล้วก็ยิงตัวตาย แสดงว่าคนในครอบครัวนั้น
ไม่ได้คุยธรรมะกับลูกกับหลานเลย
ไม่ได้คุยธรรมะให้เด็กเข้าใจ
ว่าแมวนี่มันเป็นสัตว์ธรรมดามีอยู่ทั่วไปเยอะแยะ
บ้านไหนเขาก็เลี้ยงแมวกันทั้งนั้น
แล้วก็ต้องตายต้องสูญหาย
มันต้องเปลี่นนแปลงอะไรไปบ้างเป็นธรรมดา
แล้วจะไปยึดถืออะไร
นี่ไม่ได้คุยธรรมะ เพราะทั้งพ่อทั้งแม่ก็ต้องไปทำงานตลอดทั้งวัน
ลืมที่จะสอนธรรมะให้ลูกได้เข้าใจ
นับถือศาสนาแต่ไม่ถึงธรรมะของพระศาสนา
เลยไม่ได้เอาไปใช้ เสียดายที่กำลังเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัย
แล้วก็ไปยิงตัวตาย วิชาที่เรียนมาทั้งหมดนั้นช่วยตัวเองไม่ได้
ช่วยจิตใจไม่ได้ถ้าปราศจากธรรมะ
อันเป็นความจริงที่เราจะต้องรู้ต้องเข้าใจ
ถ้าเราสอนลูกของเราไปตั้งแต่เริ่มต้น
ให้เข้าใจเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ทุกโอกาสที่จะสอนได้
เช่นเราไปงานศพเราก็สอนเด็กได้
ดูหนังดูละครก็สอนเด็กได้
เพราะในนั้นมันก็มีอะไรที่เปลี่ยนแปลงอยู่
เรื่องกฏแห่งกรรมยิ่งสอนได้ง่าย
เพราะว่ามันสนองกันอยู่ในตัว
ใครทำบาปทำกรรมไว้ก็ได้รับผล เราก็สอนให้เด็กเข้าใจได้ทุกโอกาส
คือว่า การสอนธรรมะ กับเด็กๆ นี่ อย่าเอาเป็นจริงเป็นจัง
สอนเล่นๆ ฝากไว้ในสมองมันตั้งแต่ตัวน้อยๆ

สังเกตดูเด็กน้อยๆ ยังไม่รู้ แต่ว่าเราเป็นผู้ใหญ่อายุหลายสิบแล้ว
ลองระลึกถึงอดีตว่า ในสมัยที่เราเป็นเด็กนั้น
เรานอนกับคุณย่าคุณยาย ท่านสอนอะไรเรามั่ง
ท่านพูดอะไรกับเรามั่ง สิ่งที่เราได้รับเมื่อเป็นเด็ก
มันฝังอยู่ในหัวเป็นความคิดที่นานเหลือเกิน
แล้วก็ถ้าว่าเรื่องที่ท่านสอนเราในเรื่องที่ถูกที่ชอบ
มันก็ฝังอยู่ในใจ ทำให้เรายึดมั่นอยู่ในสิ่งนั้น
ไม่ค่อยจะเปลี่ยนแปลง เพราะรับตั้งแต่เด็ก
คือ จิตใจของเด็กนี้มันคล้ายกับผ้าขาวที่สะอาด
ใครจะย้อมสีอะไรก็ได้ จะย้อมสีใดก็เรียกว่าสวยทั้งนั้น
แต่ถ้าเราไม่ย้อมมันเลย มันก็เปรอะขี้ฝุ่นไปตามเรื่อง
เก็บตกจากสิ่งต่างๆ จากสิ่งแวดล้อม
จากคนนั้นนิดจากคนนี้หน่อย
เรียกว่าเลอะเทอะเปรอะเปื้อนไปหมด
ไม่มีระเบียบในจิตใจเขา ไม่มีหลักเกณฑ์
เที่ยวเก็บมาจากนั้นนิดหน่อยเลยไม่ได้เรื่องอะไร


ทีนี้ให้เราค่อยพูดค่อยจาให้เขาเข้าใจในเรื่องความจริง
เช่นเด็กมาฟ้องว่าเด็กคนนั้นด่าหนู
เขาด่าว่าอย่างไร เราลองถามเด็กว่าเขาด่าว่าอย่างไร
เขาด่าว่าหนูเป็นหมา แล้วหนูเป็นหมาหรือเปล่า
ไหนเดินดูซิเหมือนหมาไหม เราต้องถามเด็กอย่างนั้น
เด็กมันบอกว่าเดินไม่เหมือนสุนัข
สุนัขมันไม่ได้เดินอย่างนั้น
ก็คลำดูตามเนื้อตามตัวก็ไม่มีขน
หูก็ไม่ยาวเหมือนสุนัข ปากก็ไม่แหลม
อะไรๆ ที่เขาว่าเขาโกหกทั้งนั้น
เขาว่าเราเป็นหมา เราก็ไม่ได้เป็นตามเขาว่า
จะไปโกรธไปเคืองอะไรเขา
ไม่ใช่เรื่องที่ควรจะโกรธเคืองอะไร
หรือจะพูดในแง่ว่าเขาเตือนเรา
ให้เราสำนึกตัวว่าอย่าเป็นสุนัข
อย่าทำอะไรเหมือนกับสุนัข จะได้เป็นเครื่องสำรวมจิตใจ
เราพูดเราสอนเขาอย่างนั้นทำให้เด็กคลายความโกรธไป

เรื่องของเด็กเขาไม่ยึดมั่นเท่าใดหรอก ไม่เหมือนผู้ใหญ่
ผู้ใหญ่มีเรื่องอะไร แหม ฝังหัวไว้เลยทีเดียว
โกรธนักโกรธหนา ไม่ยอมเปลี่ยนแปลง
ยึดมั่นไว้ในจิตใจ


ดอกไม้ ดอกไม้ ดอกไม้


(มีต่อ 12)
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 08 ม.ค. 2007, 10:57 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เคยมีท่านคนหนึ่งแกมีลูกสาว
แล้วก็ไปรักไปชอบกับผู้ชายคนหนึ่ง ก็ไปแต่งงานกัน
ไม่ได้ถูกต้องตามประเพณีอะไร
ไปอยู่ด้วยกันอย่างนั้น ก็โกรธใหญ่โตเลย
บอกพี่ชายของผู้หญิงว่า เอ็งไปซิไปที่บ้านนั้น ไปเอากลับมา
กูเกลียดน้ำหน้าอ้ายผู้ชายคนนั้น
ทีนี้พี่ชายก็ไปไปนั่งดูๆ เอ๊ะ เขารักกันดีนี่ ไปอยู่กันเรียบร้อย
ไม่มีอะไร ดูเสร็จแล้วก็ไม่พูดอะไรเลยสักคำหนึ่ง
กลับมาเลย มาถึงบอกพ่อให้ไปเอาน้องมา ทำไมไม่เอามา
ผมไปดูแล้วมันรักกันดี ไปอยู่กับเรียบร้อย
แล้วก็ผู้ชายนั้นก็เป็นคนเรียบร้อย
ไม่ขี้เหล้าเมายาเป็นคนมีความรู้
งานการต่อไปเขาจะก้าวหน้าสูง
พื้นฐานเขาดี จะไปแยกเขามมำทำไม เขาอยู่กันก็ดีแล้ว
พ่อว่า เอ็งมันไม่เหมือนข้า ดุลูกชายเข้าไปอีกว่าไม่เหมือนข้า
หาว่าไม่โกรธเหมือนข้า แล้วก็ต่อมาก็มีลูก
มีลูกเป็นชายน่ารักน่าเอ็นดูทีเดียว
แล้วก็พามาที่บ้านคุณตา เอามาถึงให้คนอุ้มดูแล
แกก็เห็นเข้า โอ๋ลูกใครน่ารักจริง ไม่ว่าหลานตัวก็เข้าไปอุ้ม
โอ๋อ้ายหนูน่ารักยิ้มน่าเอ็นดู แล้วก็ถามว่าคนใช้ลูกใครวะ
พอเขาบอกว่า ลูกของลูกสาวตัว ก็วางทันที
เอาไปๆ กูไม่อยากแตะต้อง
ดูเถอะนี่เขาเรียกว่า โกรธเหลือเกิน
เอาไปอุ้มอยู่ได้ เพราะไม่รู้
พอรู้ว่าลูกของลูกสาวตัว ก็ว่าเอาไปเลย
กูไม่อยากแตะต้อง ของเก่ามันออกมา
ไม่รู้ตัวมันออกมาไม่รู้ตัว
นี่เรื่องผู้ใหญ่โกรธแล้วก็โกรธนานจริงๆ
โกรธตัดญาติขาดมิตรกันเลย
แต่ว่าเด็กนั้นเขาโกรธประเดี๋ยวประด๋าว
เช่น เด็กชาย ก. ด่าเด็กชาย ข.
เด็กชาย ข. ก็โกรธไม่อยากจะคุยด้วยแล้ว หันหลังให้
ประเดี๋ยวประด๋าวเท่านั้นแหละ ไปคุยกันต่อไปหยอกล้อกันต่อไป
ผู้ใหญ่เรา ถ้าทำใจให้เป็นเด็กมั่งก็จะดีเหมือนกัน
มันสบายไม่ต้องผูกโกรธกัน

แล้วคนเดี๋ยวนี้น่ากลัวกันจริงๆ
มันโกรธกันมันฆ่ากันทั้งนั้น ไม่ไว้ชีวิตกันแล้ว
อยู่รวมแผ่นดินกันไม่ได้ มันเหลือเกินแล้ว
นี่เพราะอะไร ก็เพราะว่าจิตใจห่างศีลธรรมเหลือเกิน
ห่างธรรมะ ในครอบครัวของคนเหล่านั้น
คงจะไม่มีศาสนา ประจำจิตใจไม่มีธรรมะ ไม่ได้อบรมบ่มนิสัย
อยู่กันแต่เรื่องของวัตถุ เรื่องกิน เรื่องใช้
เรื่องวัตถุตลอดเวลา ไม่ได้สอนธรรมะกันไว้บ้าง
นี่แหละคือ ความผิดพลาดของการดำเนินชีวิต ของสังคมในยุคปัจจุบัน
ที่ไม่หันหน้าเข้าหาศาสนาไว้


ดอกไม้ ศาสนานี่มันเป็นเครื่องเหนี่ยวรั้งบังคับจิตใจ
ทำคนให้เกิดความสำนึกรู้สึกผิดชอบชั่วดี
จะช่วยให้จิตใจของเราสงบสบาย
ไม่กระทำชั่วหยาบๆ แล้วก็ไม่ให้กระทำความขั่ว
ที่ลึกซึ้งมากเกินไป เพราะพอคิดได้
แล้วโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ก็คือว่า เป็นยาแก้ทุกข์ในชีวิตประจำวัน
ที่จะทำเราให้ผ่อนคลายจากปัญหานานาประการ
ที่เกิดขึ้นในชีวิตของเรา


ดอกไม้ ดอกไม้ ดอกไม้


(มีต่อ 13)
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 08 ม.ค. 2007, 11:00 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ให้ลองสังเกตตัวเราแต่ละท่าน ตั้งแต่เราเริ่มศึกษาธรรมะ
อ่านหนังสือบ้างมาฟังธรรมะบ้าง
สนทนาอะไรๆ กันอยู่บ่อยๆ
ความรู้สึกนึกคิดในจิตใจนั้นเปลี่ยนแปลงไปหรือไม่
เราก็เห็นว่าเปลี่ยนแปลงไป มีความยับยั้งชั่งใจ
มีความสำนึก มีปํญญาในเรื่องอะไรๆ ต่างๆ
เช่นว่า บางคนใจร้อนก็หายใจร้อนไป
มักโกรธก็เบาไป หรือว่าอะไรต่ออะไรมันดีขึ้นทุกอย่าง
นี่คืออะไรช่วย ธรรมะช่วย
ธรรมะอย่างเดียวที่จะช่วยเราได้ในทุกประการ
ถ้าเราใช้ธรรมะเหล่านั้นเป็นเครื่องปลอลโยนจิตใจของเราไว้
เพราะฉะนั้น จึงต้องคอยควบคุมไว้ตลอดเวลา
เอาสติปัญญาเป็นเครื่องมือควบคุมไว้
ให้มองเห็นอะไรๆ ตามสภาพเป็นจริงไว้ตลอดไป

นอกจากการพิจารณาดังที่กล่าวมาแล้ว
ถ้าเราอยู่ว่างๆ เราก็หมั่นดูตัวเอง
กำหนดลมหายใจเข้าออกง่ายๆ
หายใจธรรมดาธรรมดา แล้วก็คอยกำหนดไว้
ให้จิตมันอยู่ที่ลมเข้าลมออกว่างๆ
ก็นั่งทำอย่างนั้นเสียบ่อยๆ
จะได้เกิดกำลังทางภายในมากขึ้น
เวลามีปัญหาอะไร เรียกว่าทิ้งปัญหานั้นเสีย
แล้วก็มานั่งเพ่งอยู่ที่ลมเข้าลมออก
เพื่อปรับตัวเองให้มันหยุดเสียก่อน
เช่นว่า จะเกิดความโกรธ กำหนดลมเสีย
หายใจแรงๆ หายใจเข้าแรง หายใจออกแรง กำหนดลมเสีย
ความโกรธมันก็เบาไป เช่นคนเราพอจะโกรธนี้รีบหายใจ
หายใจให้แรง หายใจเข้าแรงๆ หายใจออกแรงๆ
อารมณ์นั้นก็ผ่อนคลายไป
และขณะหายใจนั้น คอยกำหนดอยู่เรื่อย
มีสติคอยกำหนดลมเข้าลมออก ก็พอจะตั้งตัวได้
ไม่เกิดความโกรธประเภทรุนแรงขึ้นมา
ไม่ต้องไปทุบไปตีกับใครๆ
แล้วเมื่อจิตสงบแล้วจากความโกรธ
เราก็ใช้ปัญญาพิจารณาว่า เอ๊ะ เมื่อตะกี้นี้
อะไรมันเกิดขึ้นในใจของเรา
เราก็ตอบตัวเองว่า ความโกธรเกิดขึ้น
โกรธอะไรโกรธใคร โกรธเรื่องนั้นโกรธเรื่องนี้
แล้วทำไมไปโกรธเรื่องนั้น เรื่องนั้นมันเรื่องอะไร
ทำไมมันจึงเกิดขึ้น เราบังคับมันได้หรือ
อยู่ในอำนาจของเราหรือที่จะไม่ให้โกรธนั้น
เราก็พอจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไรขึ้นมา
ก็พอจะหนี่ยวรั้งจิตใจของเราไว้
ไม่ให้เกิดความกระทบกระทั่ง
เพราะอารมณ์นั้นๆ มากเกินไป

เมื่อเรานำพาไปบ่อยๆ ก็เกิดความชำนาญ
เกิดความแคล่วคล่องที่จะต่อสู้กับอารมณ์
มีความแคล่วคล่องที่จะคิดแยกแยะปัญหาประเภทต่างๆ
ที่จะเกิดขึ้นรบกวนจิตใจของเรา
สภาพจิตใจก็ค่อยสบายขึ้น
ถ้าจิตใจสบายแล้ว อะไรอื่นมันก็พลอยดีไปหมด


เช่นระบบการย่อยอาหาร การขับถ่าย
ประสาทสมองอะไรมันก็ดีไปหมด
เพราะระบบการควบคุมจิตใจอยู่ในสภาพปกติ
แต่ถ้าเมื่อใดจิตใจไม่ปกติแล้ว การสั่งงานมันไม่เรียบร้อย
เพราะฉะนั้นจึงเกิดเป็นโรคอย่างนั้นอย่างนี้
เช่นเป็นโรคทางประสาท โรคขับถ่ายไม่ดี
ย่อยอาหารก็ไม่ดี
นี่มันกระทบกระเทือนจากความยุ่งยากทางด้านจิตใจทั้งนั้น

ดอกไม้ ดอกไม้ ดอกไม้


(มีต่อ 14)
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 08 ม.ค. 2007, 11:02 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ในทางพระพุทธศาสนาถือว่า ใจเป็นใหญ่
ใจเป็นต้นเรื่องของอะไรทุกสิ่งทุกประการ
เราจึงต้องคอยควบคุมความคิดนึกของเราไว้
ให้อยู่ในแนวทางที่ถูกที่ชอบ
วันหนึ่งๆ ของชีวิต ต้องพยายามรักษาจิตของเราให้มันสงบไว้
ให้เป็นน้ำนิ่งในอ่าง อย่าให้เป็นน้ำในทะเล
ที่มันกระเพื่อมเป็นคลื่นใหญ่ๆ อยู่ตลอดเวลาไม่เอา
ให้เป็นน้ำนิ่งในอ่าง มีอะไรเกิดขึ้นก็ค่อยนึกตรึกตรอง
อย่าใจร้อนอย่าใจเร็ว อย่าทำอะไรด้วยอารมณ์หุนหันพลันแล่น
การทำด้วยอารมณ์หุนหันนั้น
ตั้งตัวไม่ทันเมื่อตั้งตัวไม่ทัน
แล้วก็สับสนวุ่นวายไปหมด
เพราะปรับตัวไม่ทันลำบาก
เพราะฉนั้นค่อยๆ คิด ค่อยๆ ตรอง
หัดทำอย่างนี้บ่อยๆ สภาพจิตใจก็จะอยู่ในภาวปกติ
เมื่อจิตใจปกติเราก็จะรู้สึกว่าสบาย
มีอะไรมากระทบก็เฉยๆ ได้ ไม่วุ่นวายมากเกินไป

สมัยก่อน มีบ้านเจ้าคุณอะไรอยู่คลองบางลำภู
ใกล้ถนนวันชาติ สพานยี่สิบสี่มิถุนา
บ้านนี้สวดมนต์กันทั้งบ้านเลย
คนใช้สวดมนต์เป็นหมด
ไม่ใช่สวดน้อยๆ สวดธรรมจักร สวดอาทิตย์
สวดอนัตต์ได้คนใช้ในบ้านนั้น
สวดทุกคืนพอค่ำก็สวดมนต์แล้ว
ลูกเล็กเด็กน้อยก็มานั่งสวดมนต์กันหมดทั้งบ้าน
ใส่บาตรขันใหญ่ เคยไปบิณฑบาตที่บ้าน

เขาสวดมนต์กันอย่างนั้น
นี่คือ อุบายให้คนในบ้านรักกัน
นั่งสวดมนต์ด้วยกันแล้วก็เป็นกันเองแล้ว
ไม่ทะเลาะเบาะแว้งกัน
คนอยู่กันมากๆ มันต้องมีอะไรเป็นเครื่องควบคุมจิตใจ
ถ้าไม่มีอะไรเหนี่ยวรั้ง
เลยมันก็แตกแยกทะเลาะกันเบาะแว้งกัน
คนโบราณเขาฉลาดใช้วิธีการระงับจิตใจด้วยธรรมะ
ก็อยู่กันด้วยความสบาย ไม่ต้องขึ้นเงินเดือนให้ก็ได้
เพราะคนใจมันไม่วุ่นวาย


เดี๋ยวนี้พอไม่พอใจก็สไตรค์
นักเรียนก็สไตรค์ต้องการไว้ผมยาว
ต้องการห้องสูบบุหรี่พิเศษนานๆ
มันจะเดินสไตรค์ว่าให้ครูสอนเวลานั้น
เวลานั้นหยุดพักสูบบุหรี่กัน
บ้านเมืองจะเละเทะเข้าทุกวันเวลานี้
เพราะว่ามันขาดสิ่งสำคัญในทางจิตใจ
ดังที่กล่าวมาก็พอสมควรแก่เวลา ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้

ดอกไม้ ดอกไม้ ดอกไม้


จบบริบูรณ์
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
บัวหิมะ
บัวเงิน
บัวเงิน


เข้าร่วม: 26 มิ.ย. 2008
ตอบ: 1273

ตอบตอบเมื่อ: 31 ส.ค. 2008, 12:42 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

โมทนาบุญด้วยค่ะ สาธุ
 

_________________
ชีวิตที่เหลือเพื่อธรรมะ
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ฌาณ
บัวเงิน
บัวเงิน


เข้าร่วม: 23 ก.ค. 2008
ตอบ: 1145
ที่อยู่ (จังหวัด): หิมพานต์

ตอบตอบเมื่อ: 25 ก.ย. 2008, 9:36 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สาธุ สาธุ
 

_________________
ผมจะพยายามให้ได้ดาวครบ 10 ดวงครับ
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง