Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 อาฬวกยักษ์ (ธรรมะเอขก - ขวัญ เพียงหทัย) อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
webmaster
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 04 มิ.ย. 2004
ตอบ: 769

ตอบตอบเมื่อ: 19 พ.ย.2005, 9:13 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน



5712.gif


อาฬวกยักษ์
(ธรรมะเอขก - ขวัญ เพียงหทัย)

แก่นแก้วเป็นเด็กชายตัวอ้วนปั๊ก หน้ากลม แก้มยุ้ย

เพื่อนๆ เรียกเขาว่ายักษ์เล็ก เขาเป็นคนขี้เล่น

จึงทำท่าเหมือนยักษ์ไล่แกล้งเพื่อนตามสมญาที่เพื่อนตั้งให้

วันหนึ่ง คุณครูศม (อ่านว่า ศะมะ แปลว่า ผู้มีความสุขอันเกิดจากความสงบ)

ซึ่งเป็นนักเล่านิทาน นั่งพักอยู่ใต้ต้นไม้ร่มรื่น

พวกเด็กๆ รุมล้อมเข้ามาจะฟังนิทาน เมื่อคุณครูศมถามว่า

วันนี้จะฟังเรื่องอะไรดี มะระก็ยกมือขึ้น และถามว่า

“คุณครูครับ ยักษ์มีจริงมั้ยครับ”

คุณครูศมบอกว่า “มีจริงซีครับ ในชาดกก็มีเรื่องยักษ์หลายเรื่อง”

เด็กๆ จึงขอให้คุณครูเล่าเรื่องยักษ์ให้ฟัง

“ยักษ์ตนนี้นะ เขาชื่ออาฬวกยักษ์ อาศัยอยู่โคนต้นไทร

เขาได้รับพรจากท้าวเวสวัณเป็นหัวหน้ายักษ์นะ ได้รับพรว่า

ถ้าใครเข้ามาในร่มเงาต้นไทรต้นนี้เวลาเที่ยง อนุญาตให้จับกินได้”

“กินหมดเลย” แก่นแก้วลุกขึ้นยืน เอามือตบพุง พวกเด็กๆ

หัวเราะกัน แล้วฟังคุณครูต่อ

“ก็มีพระราชาชื่อ อาฬวกะ”

“ชื่อเหมือนกันเลย” เด็กๆ ร้อง คุณครูยิ้มพยักหน้า

“ใช่ ชื่อคนมาจากชื่อเมืองไง

เขาเป็นพระราชาของเมืองอาฬวี เลยชื่ออาฬวกะ

พระราชาออกไปล่าเนื้อในป่ากับลูกน้อง แล้วบอกกันว่า

ถ้าเนื้อหนีไปทางคนไหนนะ คนนั้นจะต้องมีโทษ

แต่เนื้อก็หนีไปทางพระราชานั่นแหละ

พระราชาเลยต้องไปตามจับเนื้อมา

พอจับได้แล้วก็ไปนั่งพักที่โคนต้นไทร ตอนเที่ยงพอดีเป๊ะ”

“อ้าว ก็โดนยักษ์กินสิ” แก่นแก้วกระโดดเหยาะๆ

“ใช่ พอยักษ์จะจับกิน พระราชาก็ขอร้องว่า อย่ากินเลย

ถ้าปล่อยพระองค์ไป จะส่งคนใส่ถาดมาให้ยักษ์กินทุกวันเลย

ยักษ์ก็เลยปล่อยไป

พระราชากลับไป แล้วไปเล่าให้ผู้รักษาพระนครฟัง

ให้เขาจัดคนไปให้ยักษ์กิน เขาถามว่า

มีกำหนดเวลาหรือเปล่า ว่าจะส่งไปให้กินนานเท่าไหร่

พระราชาบอกว่าไม่ได้กำหนด

เขาทูลว่าไม่ได้กำหนดเป็นเรื่องยาก

เพราะคนเราจะทำได้แค่ตามกำหนดเท่านั้น

นักเรียนว่ายากมั้ยครับ”

“ผมว่ายาก” มะระร้อง “ยักษ์กินทุกวัน เดี๋ยวคนก็หมดหรอก”

“หมด ก็กลับมากินพระราชา” น้ำตาลสด

เด็กหญิงผมเปียน่ารักพูดอย่างตื่นเต้น

คุณครูศมหัวเราะเอ็นดูเด็กๆ

“แล้วเขาทำยังไงครับคุณครู” แก่นแก้วอยากรู้

“ตอนแรกเขาไปเอานักโทษมา

ส่งไปให้ยักษ์กินทีละคนจนหมดคุกเลย

พวกชาวบ้านร่ำลือกันว่า

พระราชาจับโจรได้เอาไปให้ยักษ์กิน

ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่ค่อยมีใครเป็นโจรเลย

พระราชาออกอุบาย เอาสิ่งของของพระองค์ไปทิ้งไว้ที่ถนน

ถ้าใครมาหยิบก็เป็นไง จับเลยใช่มั้ยแล้วมีคนมาหยิบมั้ย”

“ม่ายมี” เด็กๆ ตอบเป็นเสียงเดียวกัน

“ใช่แล้ว พวกอำมาตย์ปรึกษากันว่า

จะเอาคนแก่ในเมืองให้ยักษ์กิน แต่พระราชาบอกว่า

คนแก่มีญาติเยอะ เดี๋ยวโดนประท้วง ไม่เอาหรอก

พวกนั้นก็เสนอให้เอาเด็กทารก พระราชาตกลง”

“ทารกขนาดไหนครับ” มะระกลัว“ผมพ้นทารกอ๊ะยัง”

“โอ้ย เขาไม่จับแกไปกินหรอก แกมันขม” แก่นแก้วว่า

มะระยิ้มแฉ่ง คุณครูศมหัวเราะอีก

“เราพาเด็กๆหนีก็ได้” น้ำตาลสดผู้ฉลาดเฉลียวไม่กลัว

“ใช่ คนในเมืองเลยพาเด็กทารกไปไว้เมืองอื่น

ที่ยังอยู่ก็ถูกจับไป เป็นอย่างนี้อยู่ ๑๒ ปี

วันหนึ่ง หาเด็กที่ไหนไม่ได้ เหลือแต่อาฬวกกุมาร

โอรสของพระราชาเท่านั้น พวกอำมาตย์ทูลพระราชา

พระราชาบอกว่าเรารักลูกเรา คนอื่นเขารักลูกเขาเหมือนกัน

เมื่อให้ลูกคนอื่นได้ ก็ต้องให้ลูกของตัวเองได้

ความรักลูกนั้นไม่เท่ากับรักตัวเอง จงให้ลูกเรากับยักษ์ไปเถอะ”

“พ่อใจร้าย” น้ำตาลสดค้อนสะบัดหน้าจนหางเปียแกว่ง

“วันนั้นพระพุทธเจ้าของเราตรวจดูสัตว์โลกทรงเห็นว่า

วันนี้อาฬวกยักษ์จะได้บรรลุเป็นโสดาบัน

ส่วนราชกุมารต่อไปในอนาคตจะได้เป็นอนาคามี


โสดาบันคืออะไร ลูก มีใครตอบได้มั้ยครับ”

ใบไม้ผู้นั่งเงียบมานาน ฟังอยู่ด้วยความระทึก

ก็ยกมือขึ้น “ทราบค่ะ”

คุณครูศมถามใบไม้ ผู้สวมแว่นแล้วตั้งแต่เดือนก่อน

ด้วยความที่เป็นผู้คงแก่เรียน

“แปลว่า ได้บรรลุธรรมขั้นที่ ๑ ค่ะ”

“ใครบอกใบไม้จ๊ะ” คุณครูศมถาม

“คุณพ่อค่ะ คุณพ่อบอกว่า คนที่เขาบวชเรียนสูงๆ

เขาจะได้บรรลุธรรม แต่ต้องมี ๔ ขั้น ถึงจะสำเร็จค่ะ

๔ ขั้นก็มี โสดาบันขั้นที่ ๑ ขั้นที่ ๒ สกทาคามี

ขั้นที่ ๓ อนาคามี ขั้นที่ ๔ อรหันต์”

“โอ้โฮ ท่องเก่งจัง” มะระชม “ยังงี้มะระจำไม่ได้หรอก”

“นายเคยจำอะไรได้มั่งล่ะ” น้ำตาลสดแหวใส่

“ไม่เอา พูดกันดีๆ” คุณครูศมเตือน “ใบไม้เก่งมาก

จำที่คุณพ่อบอกได้”

“คุณครูเล่าต่อซีคะ” น้ำตาลสดอยากฟัง

“เอ้า พระพุทธเจ้าจะไปโปรดยักษ์ ก็เลยไปที่บ้านของยักษ์

แต่ตอนนั้นยักษ์ไม่อยู่ ไปประชุมที่ป่าหิมวันต์”

“เหมือนพ่อผมเลย ประชุมยัน” แก่นแก้วบ่นอุบอิบ

“พระพุทธเจ้าไปยืนอยู่หน้าบ้านยักษ์

คนเฝ้าบ้านออกมาบอกว่ายักษ์ไม่อยู่

พระพุทธเจ้าบอกว่าจะเข้าไปคอย เขาบอกว่า

เขาจะต้องไปบอกยักษ์ก่อน เพราะยักษ์คงไม่ชอบใจ

ถ้ามีใครมาที่พักของเขา คนเฝ้านี่ชื่อคัทรภะ เขาเหาะไปหายักษ์

พระพุทธเจ้าเข้าไปในที่อยู่ของยักษ์ ทรงเปล่งพระรัศมีสีทอง

พอพวกผู้หญิงของยักษ์ได้เห็นรัศมีสีทองก็มานั่งล้อมพระพุทธเจ้า

พระองค์ทรงแสดงธรรมให้ผู้หญิงพวกนั้นด้วย

ในตอนนั้นมียักษ์อีก ๒ ตน ชื่อสาตาคีรี กับเหมวตา

นี่เป็นยักษ์ดี คิดจะไปถวายบังคมพระพุทธเจ้า

แล้วค่อยไปประชุมที่ป่าหิมวันต์

พอเหาะมาถึงที่อยู่ของอาฬวกยักษ์

มีพระพุทธเจ้าประทับอยู่ พวกยักษ์ก็เหาะผ่านไม่ได้

เพราะถ้าพระพุทธเจ้าประทับที่ใด ท้องฟ้าข้างบนตรงนั้น

ใครจะมาเหาะไปเหาะมาไม่ได้นะ”

“ตกปุ๊กลงมา” มะระร้อง

“ยักษ์ ๒ ตนก็ดูว่ามีอะไรเกิดขึ้น

พอเห็นพระพุทธเจ้าก็รีบลงมา...”

“ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะ” แก่นแก้วยกสองมือขึ้นเหนือหัว

“แล้วพวกยักษ์ก็ไปป่าหิมวันต์ ไปบอกข่าวดีกับอาฬวกยักษ์

แต่อาฬวกยักษ์ไม่รู้จักพระพุทธเจ้า

ก็โกรธที่พระพุทธเจ้ามาอยู่ที่ของตัว”

“พระพุทธเจ้าดังจะตาย ไม่รู้จักได้ไง” ใบไม้บ่น

คุณครูศมยังคงเล่าต่อไป “ยักษ์ไม่ชอบใจ ก็เลยทดลองแสดงฤทธิ์

เพื่อจะลองดีกับพระพุทธเจ้า เช่น บันดาลให้เกิดลมบ้าหมู

ที่พัดแรงขนาดถอนต้นไม้ได้...”

แก่นแก้วลุกขึ้นทำท่าบันดาลประกอบ “อ๊ากก...”

“แต่ลมไม่อาจทำให้ชายจีวรของพระพุทธเจ้าไหวได้เพราะพระพุทธเจ้าอธิษฐานไว้

ยักษ์ก็ทำให้แผ่นหินตกลงมา...”

แก่นแก้วทำท่ายกหิน

“แต่แผ่นหินก็ได้กลายเป็นดอกไม้บูชาพระพุทธเจ้า

ยักษ์บันดาลให้ความมืดแผ่เข้ามา

แต่พอมาถึงพระพุทธเจ้าความมืดก็หายไป

ยักษ์เข้าไปหาพระพุทธเจ้าพร้อมกับพวกผี

แต่เข้าใกล้พระพุทธเจ้าไม่ได้ ยักษ์คิดว่า

เราปล่อยภูษาวุธดีกว่า ภูษาคืออะไร ใบไม้”

“ผ้าค่ะ” ใบไม้ตอบรวดเร็ว

“ใช่ ผ้าที่เป็นอาวุธ เป็นอาวุธสำคัญของยักษ์

พอปล่อยออกไป อาวุธนั้นก็ส่งเสียงน่ากลัวในอากาศ...”

“จ๊ากกกกก.....” เสียงของแก่นแก้วดังลั่น

ทำท่ากำลังภายใน แต่ดูเหมือนไอ้มดแดง

“แล้วผ้าก็ตกลงมาเหมือนผ้าเช็ดเท้า” คุณครูศมเล่าต่อ

แก่นแก้วระทวยลงไปเรื่อยๆ แล้วนอนแผ่ลงกับสนามหญ้า

“ยักษ์คิดว่า เอ๊ ทำไมผ้าภูษาวุธนี่ถึงทำร้ายพระพุทธเจ้าไม่ได้

สงสัยพระพุทธเจ้าจะเป็นคนมีเมตตามาก

เราต้องยั่วให้พระพุทธเจ้าโกรธเสียก่อน

จึงจะทำร้ายพระพุทธเจ้าได้ ยักษ์บอกพระพุทธเจ้าว่า

ให้ออกไปจากบัลลังก์ของตน เพื่อให้พระพุทธเจ้าโกรธ

พระพุทธเจ้าคิดว่า ยักษ์เป็นคนหยาบคาย

ต้องเอาชนะด้วยความอ่อนโยน จึงเสด็จลงจากบัลลังก์

ยักษ์คิดว่า เอ๊ ว่าง่ายดีแฮะ บอกคำเดียวก็ลงมาแล้ว

เดี๋ยวลองใหม่ ก็บอกอีก

ให้พระพุทธเจ้าเข้ามานั่งบัลลังก์ พระพุทธเจ้าก็เข้ามา

ทำอย่างนี้อยู่ ๓ หน พระพุทธเจ้ายอมตาม

เพื่อให้ยักษ์มีใจอ่อนโยนจะได้ฟังธรรมได้ เหมือนพ่อแม่ที่ตามใจลูกก่อน

เพื่อให้ลูกทำตามที่พ่อแม่ต้องการทีหลัง”

“พ่อหนูก็ทำอย่างนี้” ใบไม้พูดเบาๆ

“ยักษ์ก็คิดว่า จะแกล้งพระพุทธเจ้าอย่างนี้ไปทั้งคืน

ก็สั่งให้ออกไปแล้วเข้ามาอีก แต่พระพุทธเจ้าไม่ทำตามแล้ว

บอกยักษ์จะทำอะไรก็ทำเถอะ

ยักษ์ก็เลยจะแกล้งพระพุทธเจ้าด้วยการถามปัญหา

ยักษ์ถามว่า อะไรเป็นทรัพย์ที่ประเสริฐของคนในโลกนี้

อะไรที่บุคคลประพฤติดีแล้ว จะนำความสุขมาให้

อะไรเป็นรสเลิศกว่ารสทั้งหลาย

ชีวิตอย่างไรจึงได้ชื่อว่าเป็นชีวิตที่ประเสริฐที่สุด

นักเรียนตอบคำถามยักษ์ได้มั้ยครับ”

คุณครูศมถาม ทุกคนส่ายหัวดิก แก่นแก้วตอบว่า

“ผมไม่ใช่พระพุทธเจ้า”

คุณครูศมหัวเราะ “พระพุทธเจ้าตอบอย่างนี้นะ

ศรัทธาเป็นทรัพย์ที่ประเสริฐของคนในโลกนี้

ธรรมที่คนประพฤติดีแล้ว จะนำความสุขมาให้

ความสัตย์เป็นรสเลิศกว่ารสทั้งหลาย

ชีวิตของคนที่อยู่ด้วยปัญญา เป็นชีวิตที่ประเสริฐที่สุด

ยักษ์ถามต่อไปอีก ๔ คำถามว่า บุคคลจะข้ามโอฆะได้ยังไง

ข้ามอรรณพได้ยังไง ล่วงทุกข์ได้ยังไง และบริสุทธิ์ได้ยังไง

คำว่า โอฆะ ปกติแปลว่าห้วงน้ำ

แต่ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงน้ำธรรมดาแต่หมายถึงกิเลส

พระพุทธเจ้าตรัสว่า บุคคลข้ามโอฆะได้ด้วยศรัทธา

คือคนที่มีศรัทธาย่อมจะเชื่อกรรมและผลของกรรม

ตั้งใจทำดีไม่ทำชั่ว เชื่อในคำสอนของพระพุทธเจ้า

ทำตามที่ท่านสอน แล้วก็จะชนะกิเลสได้

ส่วนคำว่า อรรณพ คือห้วงน้ำที่ใหญ่กว่าโอฆะ คือสังสารวัฏ

คนที่ไม่ประมาทจึงจะข้ามไปได้ ถ้าคนไหนประมาท ชอบทำบาป

ก็จะข้ามห้วงน้ำนี้ไปไม่พ้น ได้แต่วนเวียนอยู่

ต้องเป็นคนที่หมั่นทำความเพียร ปฏิบัติธรรมด้วยความตั้งใจ

ก็จะข้ามห้วงน้ำคือสังสารวัฏอันนี้ได้”

“สังสารวัฏคืออะไรคะคุณครู” น้ำตาลสดถาม

“สังสารวัฏ คือ การเวียนว่ายตายเกิดของคนเราที่มีอยู่เรื่อยๆ

ไม่มีวันจบสิ้น มีแต่พระอรหันต์เท่านั้น

ที่ไม่ต้องมาเกิดใหม่ ออกไปจากสังสารวัฏได้”

“แล้วอีก ๒ คำถามล่ะคะ คุณครู” ใบไม้เตือน

“อ๋อ ยักษ์ถามว่า จะล่วงทุกข์ได้ยังไง

พระพุทธเจ้าตรัสว่า ต้องมีความเพียร

คือความพยายามจึงจะพ้นทุกข์ได้

และถามว่าคนเราจะบริสุทธิ์ได้ยังไง

ตอบว่าต้องมีปัญญาจึงจะบริสุทธิ์ได้

ยักษ์ถามต่อว่า บุคคลทำยังไงถึงจะได้ปัญญา

ทำยังไงถึงจะได้เงินทอง ทำยังไงถึงจะได้ชื่อเสียง

ทำยังไงถึงจะผูกมิตรไว้ได้ ทำยังไงเวลาตายไปแล้วจะไม่โศกเศร้า

พระพุทธเจ้าตรัสตอบว่าคนที่เชื่อธรรมของพระอรหันต์

ฟังอย่างดี ตั้งใจไม่ประมาท ย่อมได้ปัญญา

คนจะหาเงินทองได้ต้องขยัน

คนจะได้ชื่อเสียงต้องมีสัจจะ คือพูดจริง

รักษาคำพูดจะผูกมิตรกับใครๆ ต้องเป็นผู้ให้ นักเรียน

ถ้ามีคนที่ไม่เคยให้ใครเลย ขี้เหนียวมากๆ เพื่อนจะอยากคบมั้ย”

เด็กๆ หัวเราะส่ายหน้าทุกคน

“อีกข้อคือ คนที่มีธรรมะสำหรับผู้ครองเรือน ๔ ประการคือ

๑ สัจจะ ๒ ทมะคือฝึกตนเอง ๓ ขันติ คือความอดทน

และ ๔ จาคะ คือการบริจาค ถ้าใครทำได้อย่างนี้

ตอนอยู่ก็มีความสุข ตายไปแล้วก็ไม่เศร้าโศก หมายถึงได้ไปเกิดที่ดี

คำตอบคำถามนี่อาจจะยากสำหรับนักเรียน

แต่ให้ฟังเอาไว้ก่อนนะ อีกหน่อยโตขึ้นจะเข้าใจมากกว่านี้

แต่ยักษ์ฟังพระพุทธเจ้าแล้วก็เข้าใจ

เลยได้บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบัน

ตอนนั้นเป็นเวลาเช้า ทหารนำพระโอรสคือ อาฬวกกุมารมามอบให้ยักษ์

ยักษ์ไม่กินแล้วเพราะเป็นโสดาบันไปแล้ว

พระพุทธเจ้าทรงรับอาฬวกกุมาร แล้วทรงให้พรให้อายุยืน

ให้มีความสุขปราศจากโรค มีชีวิตอยู่เพื่อประโยชน์แก่โลก

ขอให้กุมารเคารพพระรัตนตรัยตลอดชีวิต

แล้วพระพุทธเจ้าก็คืนพระกุมารให้ทหารไป

พระกุมารโตขึ้นมีพระนามว่า อัตถกอาฬวก

ได้มีโอกาสฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าแล้วได้บรรลุธรรมเป็นพระอนาคามี

เป็นไง จบแล้ว”

“ก็สนุกดีค่ะ” น้ำตาลสดพูด

“ผมชอบตอนรบกัน” แก่นแก้วว่าแล้วทำท่าไอ้มดแดง

“เอาล่ะ นักเรียน เห็นมั้ยว่ายักษ์ก็กลับตัวเป็นยักษ์ดีได้

แต่เราทุกคนเป็นคนดีอยู่แล้ว

ก็ต้องรักษาความเป็นคนดีของเราตลอดไปนะครับ”

“นี่คนดีหรือคะ” น้ำตาลสดว่าพลางชี้ไปทางแก่นแก้ว

“หนูว่าเขาบ๊องๆ”
 

_________________
ธรรมจักรดอทเน็ต
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
admin
บัวทอง
บัวทอง


เข้าร่วม: 15 ธ.ค. 2004
ตอบ: 1886

ตอบตอบเมื่อ: 30 พ.ค.2013, 1:29 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สาธุ
 

_________________
-- การให้ธรรมเป็นทาน ชนะการให้ทั้งปวง --
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัว
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง