Home
•
กระดานสนทนา
•
สมาธิ
•
สติปัฏฐาน
•
กฎแห่งกรรม
•
นิทาน
•
หนังสือ
•
บทความ
•
กวีธรรม
•
ข่าวกิจกรรม
•
แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้
ค้นหา
สมัครสมาชิก
รายชื่อสมาชิก
กลุ่มผู้ใช้
ข้อมูลส่วนตัว
เช็คข้อความส่วนตัว
เข้าสู่ระบบ(Log in)
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
วาจามีความสำคัญที่สุด (สมเด็จพระญาณสังวรฯ)
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
:: ลานธรรมจักร ::
»
บทความธรรมะ
ผู้ตั้ง
ข้อความ
I am
บัวบานเต็มที่
เข้าร่วม: 25 ต.ค. 2006
ตอบ: 972
ตอบเมื่อ: 17 มี.ค.2008, 9:09 am
วาจามีความสำคัญที่สุด
พระพุทธศาสนาประกาศความยิ่งใหญ่ของวาจา
ไว้ในพระพุทธศาสนสุภาษิตหลายที่หลายแห่ง เช่น
“ควรเปล่งวาจางาม”
“ความสะอาดพึงรู้ได้ด้วยถ้อยคำ”
“ไม่ควรเปล่งวาจาชั่วเลย” และ
“คนเปล่งวาจาชั่วย่อมเดือดร้อน”
เป็นต้น
ได้อ่าน ได้ยิน ได้ฟัง ความยิ่งใหญ่ของวาจาแม้เพียงเท่าที่นำมาในที่นี้ ก็น่าจะพยายามเห็นความสำคัญอย่างยิ่งของวาจา ที่ตลอดมายากจะมีผู้ให้ความสนใจกับวาจา คือกับคำพูดทั้งของตนเอง และของใครทั้งหลายอื่น
ที่ว่าไม่ให้ความสนใจกับวาจาทั้งของตนเองและของใครอื่นทั้งปวง ก็มิได้หมายความว่าไม่มีความสนใจ ไม่เชื่อถือวาจาใดทั้งสิ้น
ไม่ได้หมายความเช่นนั้น ที่ว่ายากจะมีผู้ให้ความในใจกับวาจาของตนเอง หรือวาจาของผู้ใดอื่นทั้งสิ้นนั้น มุ่งหมายเตือนให้เข้าใจวาจา แต่ละประโยคแต่ละข้อคำที่ดังเข้าหูเข้าหัวใจเรา
อย่าสักแต่ว่าได้ยิน แล้วก็ไม่พินิจพิจารณาเลยว่า วาจาที่ออกจากปากมนุษย์ด้วยกันกับเรา แม้จะต่างชาติชั้นวรรณะ มีความสูงต่ำร่ำรวยยากจนแตกต่างกัน
และแน่นอนมีความดีความไม่ดีแห่งจิตใจที่ต้องแตกต่างกันแน่นอนด้วย
เราผู้ได้ยินได้ฟังอาจจะมีจิตใจดีกว่าคนนั้นบ้าง เลวกว่าคนโน้นบ้างนี้เป็นธรรมดา ธรรมดาที่ยากจะหาผู้อาจหยั่งรู้ให้ถูกต้องได้ ถึงความเป็นจริงของทุกจิตใจ
แม้จะรู้ไม่ได้ ว่าใจใครเป็นอย่างไร แต่ก็รู้ได้แน่นอน ว่าแม้ความริษยามีในใจใครใดมาก ใจใครนั้นก็จะมีโทษมาก ให้โทษร้ายแรงมากทั้งแก่ตนเอง และทั้งแก่ผู้เกี่ยวข้องทั้งหลาย
ที่สำคัญควรเข้าใจความจริงประการหนึ่งว่า ความริษยานั้นจะเกิดได้ด้วยความรู้สึกไม่ดีต่อผู้ใดผู้หนึ่ง
ไม่ใช่ความเกลียด แต่เป็นความรู้สึกว่าผู้ใดผู้หนึ่งนั้นมีดีกว่าตน เป็นที่สนใจมากกว่าตน ผู้ใหญ่ให้ความสำคัญมาก จนน่ากลัวว่าจะเกินหน้าตน
หรือไม่ก็เป็นความรู้สึกทำนองหมั่นไส้ใครคนใดคนหนึ่งนั้น ความรู้สึกทำนองดังกล่าว ที่แท้จริงคือความริษยาที่จะพาให้โลกฉิบหาย มากน้อยหนักเบาเพียงไรขึ้นอยู่กับความแรงความอ่อนของความรู้สึกริษยา ที่ก็คือความอิจฉาที่รุนแรงนั่นเอง
บางคนไม่ใช่ผู้มีความริษยา ที่จะเป็นเหตุแห่งความฉิบหาย แต่อาจเป็นผู้ร่วมมือกับผู้มีความริษยา
คือทั้งที่ความริษยาไม่ได้เกิดในใจตน แต่หลงร่วมก่อทุกข์โทษภัยกับผู้มีความริษยาได้ ด้วยการได้ยินได้ฟังวาจาของผู้มีความริษยา ที่กล่าวร้ายผู้ถูกริษยานานาประการ แล้วหลงเชื่อว่าเป็นความจริง
พลอยเห็นด้วยกับความไม่ดีไม่งามของผู้ถูกริษยา เห็นสมควรที่จะมีส่วนช่วยให้เป็นที่ปรากฏความไม่ดีแก่โลก เพื่อช่วยคนทั้งหลายในโลกให้ห่างไกลจากความไม่ดีของคนคนหนึ่งนั้น แม้คนคนหนึ่งนั้นมีความไม่ดีจริง ย่อมไม่ถูกริษยา ย่อมไม่มีผู้ริษยา ที่จะมุ่งให้โลกรู้เพื่อเข้าร่วมในการกีดกัน ในการทำลาย ไม่ให้คนคนนั้นอยู่อย่างได้ดีมีความสงบสุข
ดังนั้น ควรมีสติใช้ความพิจารณาอย่างรอบคอบ
อย่าตกเป็นผู้ร่วมมือกับผู้หนึ่งผู้ใด ที่มีใจริษยา
ปรารถนาสร้างความเสื่อมเสียให้แก่ผู้ใดผู้หนึ่ง ที่มีฐานะน่าริษยาอย่างยิ่ง ในความรู้สึกของผู้ที่ความริษยาเกิด และเกิดอย่างรุนแรง
พอจะนำให้คิดให้พูด ให้ทำผู้ที่ถูกริษยาให้กลายเป็นคนไม่ดี ไม่เป็นที่ควรเชื่อถือของคนดีมีชื่อเสียงเกียรติยศ ที่จะสามารถทำลายผู้ที่เป็นคนดี ให้กลายเป็นคนไม่ดีในสายตาของผู้ได้ยินได้ฟังคำบอกเล่าของผู้ริษยา
อาจจะโดยตรงจากวาจาของผู้ริษยานั้น หรืออาจจะมีการฟังต่อๆ กันมา ด้วยความเชื่อ โดยปราศจากความเคลือบแคลงสงสัย ว่าเป็นความจริง หรือเป็นความไม่จริงเพียงไร
ผลร้ายที่จะเปิดตามความเชื่ออย่างไม่เคลือบแคลงสงสัยเช่นนี้ แม้ผิด ก็จะเกิดโทษ มากน้อยหนักเบาเพียงใดก็ได้ แล้วแต่กรณี
: แสงส่องใจ ๓ ตุลาคม ๒๕๕๐
: สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
_________________
ทุกข์ใดดับได้ด้วยปัญญา ทุกข์นั้นจะไม่เกิดอีก
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089
ตอบเมื่อ: 18 มี.ค.2008, 2:38 pm
สาธ ุสาธ ุสาธุจ้า...คุณ I am
ควรมีสติใช้ความพิจารณาอย่างรอบคอบ...ในทุกเรื่องเสมอ
ธรรมะสวัสดีค่ะ
กุหลาบสีชา
บัวเงิน
เข้าร่วม: 30 เม.ย. 2007
ตอบ: 1466
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.
ตอบเมื่อ: 20 มี.ค.2008, 1:50 am
สาธุ...สาธุ..สาธุค่ะคุณ Iam
admin
บัวทอง
เข้าร่วม: 15 ธ.ค. 2004
ตอบ: 1886
ตอบเมื่อ: 11 มี.ค.2012, 5:37 pm
_________________
-- การให้ธรรมเป็นทาน ชนะการให้ทั้งปวง --
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:
แสดงทั้งหมด
1 วัน
7 วัน
2 สัปดาห์
1 เดือน
3 เดือน
6 เดือน
1 ปี
เรียงจากเก่า-ใหม่
เรียงจากใหม่-เก่า
:: ลานธรรมจักร ::
»
บทความธรรมะ
ไปที่:
เลือกกลุ่ม บอร์ด
กลุ่มสนทนา
----------------
สนทนาธรรมทั่วไป
แนะนำตัว
กฎแห่งกรรม
สมาธิ
ฝึกสติ
การสวดมนต์
การรักษาศีล-การบวช
ความรัก-ผูกพัน-พลัดพลาก
กลุ่มข่าวสาร-ติดต่อ
----------------
ข่าวประชาสัมพันธ์
ธรรมทาน
รูปภาพ-ประมวลภาพกิจกรรมต่างๆ
สำหรับนักเรียน นักศึกษา ขอความรู้ทำรายงาน
แจ้งปัญหา
รูปภาพในบอร์ด
กลุ่มสาระธรรม
----------------
หนังสือธรรมะ
บทความธรรมะ
นิทาน-การ์ตูน
กวีธรรม
นานาสาระ
ต้นไม้ในพุทธประวัติ
วิทยุธรรมะ
ศาสนสถานและศาสนพิธี
----------------
สถานที่ปฏิบัติธรรม
วัดและศาสนสถาน
พิธีกรรมทางศาสนา
พุทธศาสนบุคคล
----------------
พระพุทธเจ้า
ประวัติพระอสีติมหาสาวก
ประวัติเอตทัคคะ (ภิกษุณี, อุบาสก, อุบาสิกา)
สมเด็จพระสังฆราชไทย
ประวัติและปฏิปทาของครูบาอาจารย์
ในหลวงกับพระสุปฏิปันโน
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณ
ไม่สามารถ
สร้างหัวข้อใหม่
คุณ
ไม่สามารถ
พิมพ์ตอบ
คุณ
ไม่สามารถ
แก้ไขข้อความของคุณ
คุณ
ไม่สามารถ
ลบข้อความของคุณ
คุณ
ไม่สามารถ
ลงคะแนน
คุณ
สามารถ
แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ
สามารถ
ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้
เลือกบอร์ด •
กระดานสนทนา
•
สมาธิ
•
สติปัฏฐาน
•
กฎแห่งกรรม
•
นิทานธรรมะ
•
หนังสือธรรมะ
•
บทความ
•
กวีธรรม
•
สถานที่ปฏิบัติธรรม
•
ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ
•
วิทยุธรรมะ
•
เสียงธรรม
•
เสียงสวดมนต์
•
ประวัติพระพุทธเจ้า
•
ประวัติมหาสาวก
•
ประวัติเอตทัคคะ
•
ประวัติพระสงฆ์
•
ธรรมทาน
•
แจ้งปัญหา
จัดทำโดย กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ
webmaster@dhammajak.net
Powered by
phpBB
© 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
www.Stats.in.th