Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 สิ่งที่ทำให้พ้นจากทุกข์ อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
Puy
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 28 ก.ย. 2008
ตอบ: 15

ตอบตอบเมื่อ: 30 ก.ย. 2008, 5:42 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ท่านคิดว่าสิ่งใดระหว่าง 2 หัวข้อนี้เป็นสิ่งที่ช่วยให้เราพ้นทุกข์

1. เมื่อมีทุกข์เข้ามาแล้วแก้ปัญหาไม่ได้ก็ไปหาหมอดูให้ดูว่าเป็นเพราะเหตุอะไร, หรือเมื่อมีทุกข์เข้ามาแล้วไปจุดธูปบนบานสานกล่าวต่อสิ่งศักดิ์ให้ช่วยเหลือ/หรือไปตามสำนักทรงต่างๆ ให้เขาช่วยแก้ไข/หรือนั่งคิดปรุงแต่งไปแล้วร้องให้ไปสุดท้ายแก้ปัญหาไม่ได้ ฆ่าตัวตายดีกว่า

2. วิธีที่ 2 เมื่อมีทุกข์เข้ามาให้ใช้ปัญญาดูว่าทุกข์เกิดขึ้นเพราะอะไรให้แก้ที่เหตุและต้องทำใจย่อมรับความเป็นจริงของธรรมชาติให้ได้ ปล่อยวางตัวตัณหาคือความอยากและอุปทานคือความยึดมั่นถือมั่นในตัวตนของเราให้ได้ศึกษาธรรมะแล้วทำตามคำสั่งสอนของพระพุทธองค์เพราะถ้าทุกคนดูให้ดีทุกข์นั้นเกิดที่กายกับจิตของเราเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้นคนที่จะแก้ปัญหาให้เราได้ไม่ใช่ใครก็คือเรานี้เองที่จะแก้ปัญหานั้นได้ด้วยตัวเราเองต่อให้ไปบอกใครหรือบนบานหรือขอร้องให้ใครช่วยก็ไม่ได้ดีเท่ากับแก้ที่จิตเรา เช่นปัญหาเกิดความทุกข์ว่าไม่สบายก็ให้ทำใจให้เห็นเป็นเรื่องธรรมชาติถ้าไม่สบายก็ไปหาหมอ หมอรักษาได้ก็หาย หมอรักษาไม่ได้ถ้ามันต้องตาย ถือเป็นเรื่องธรรมชาติ แต่เวลาที่เหลืออยู่ทำจิตให้ดีให้มีความสุขเพียงเท่านี้ก็พอ เพราะถึงทุกข์ไปก็ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นเพราะความตายเป็นของเที่ยงทุกคนเกิดมาต้องตาย สรุปแล้วความทุกข์นั่นเกิดที่จิตที่ชอบคิดปรุงแต่งต่อสิ่งที่มากระทบทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นั้นเอง

แล้วท่านจะเลือกเดินทางไหนระหว่างข้อ 1 กับข้อ 2
 

_________________
อยู่กับปัจจุบัน
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง EmailMSN Messenger
คามินธรรม
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2008
ตอบ: 860
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.

ตอบตอบเมื่อ: 01 ต.ค.2008, 1:19 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ก็ชิงตอบซะแล้ว จะตอบอีกก็ยังไงอยู่


เศร้า
 

_________________
ฐิโต อหํ องฺคุลิมาล ตฺว ฺจ ติฏฺฐ
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ขันธ์
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 19 ก.ค. 2008
ตอบ: 520

ตอบตอบเมื่อ: 01 ต.ค.2008, 2:17 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ผิดทั้งสองข้อแหละคุณ ทางที่ถูก คือ ศีล สมาธิ และ ปัญญา คือ ไม่ทำอะไรเพิ่มหรือวิ่งวุ่น ตั้งมั่นและไม่สอดส่ายกับการงานที่ทำอยู่ในปัจจุบัน และ ค่อยๆ ใช้ปัญญาใคร่ครวญ ว่าสิ่งที่คิดไม่มีประโยชน์

เพราะตามธรรมดา จะไปใช้ปัญญา ปลงตกมันเป็นเรื่องเป็นไปได้ยากหากไม่มีกำลังจิต กำลังใจ
 

_________________
เพราะเอาใจเข้าไปวิพากษ์ จึงมีบาปและบุญ
สรรพสิ่งมันอยู่อย่างนั้นเอง เราเองคือผู้หลงเข้าไปเอาทุกข์
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
หนวดเต่า
บัวผลิหน่อ
บัวผลิหน่อ


เข้าร่วม: 20 ก.พ. 2007
ตอบ: 4

ตอบตอบเมื่อ: 01 ต.ค.2008, 4:34 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ปรบมือ ทุกข์ให้รู้
สมุทัยให้ละ
นิโรธทำให้แจ้ง
มรรคให้เจริญ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
Puy
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 28 ก.ย. 2008
ตอบ: 15

ตอบตอบเมื่อ: 03 ต.ค.2008, 7:30 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ขอบคุณมากคะคุณคามินธรรมและดีใจที่เป็นศิษย์สำนักเดียวกันเพราะปัจจุบันก็ใช้วิธีการดูกายและดูจิตในชีวิตประจำวันเช่นเดียวกันซึ่งเมื่อก่อนก็จะฝึกสมาธิแบบพองยุบโดยการกำหนดจุด 28 จุดเดินจงกรม 6 ระยะตามแบบของพระอาจารย์ทอง วัดจอมทองจังหวัดเชียงใหม่ตอนนั้นก็คิดว่าดีที่สุดแล้วและทำอย่างเคร่งครัดก็ได้สิ่งที่ดีมาพอสมควรแต่ก็ยังไม่สามารถดับทุกข์ได้จริงๆ เพราะในการปฏิบัติตอนนั้นใช้วิธีเพ่งลูกเดียวก็เลยกลายเป็นสมถะมันมีความสงบสบายในขณะปฎิบัติแต่พอกลับมาใช้ชีวิตประจำวันก็ยังเกิดความทุกข์แต่ก็ยังปฏิบัติก่อนนอนทุกคืนจนกระทั่งวันหนึ่งขณะเดินจงกรมจิตฟุ้งซ้านมากจึงหยุดและหยิบหนังสือของหลวงปู่ดุลย์มาอ่านก็เกิดความประทับใจในคำพูดของท่านที่ว่า ดูจิตอย่าส่งจิตออกนอกทำญานให้เห็นจิต และคำว่าคิดเท่าไหร่ก็ไม่รู้ต่อเมื่อหยุดคิดจึงรู้ แต่ต้องอาศัยคิด หลังจากนั้นจึงหันไปศึกษาหลักการปฎิบัติของท่านอย่างแท้จริงว่าท่านสอนเรื่องอะไรและใช่วิธีปฏิบัติอย่างไรก็เรื่มเข้าใจและเปลี่ยนวิธีปฏิบัติใหม่แต่ก็ยังทำได้ไม่ดีเท่าไรต่อมาเพื่อนแนะนำให้ฟังธรรมะของหลวงพ่อปราโมทย์เพราะท่านเป็นศิษฐ์หลวงปู่ดุลย์เมื่อฟังแล้วก็เกิดความเข้าใจมากยิ่งขึ้นและตอนหลังได้เข้าสมัครเป็นสมาชิกของเวปวิมุตติได้รับคำปรึกษาจากท่านอาจารย์สุรวัตน์ก็เข้าใจแจ่มแจ้งและรู้แล้วว่านี้ละคือทางสว่างที่หามานาน ปัจจุบันก็ศึกษาธรรมะโดยซื้อหนังสือพระไตรปิฏกมาอ่านเพราะต้องการรู้ว่าคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าจริงๆ แล้วท่านสอนอะไรและได้ศึกษาเรื่องวิปัสสนามากขึ้นและปฏิบัติในชีวิตประจำวันได้อย่างสบายโดยรู้กายรู้จิตไปส่วนก่อนนอนก็จะไหว้พระเดินจงกรมนั่งสมาธิตามรูปแบบเป็นเวลา 1-2 ช.ม. ทุกวันผลที่ได้รับจิตเปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือจริงๆคะความทุกข์ก็หายไปเมื่อมีอะไรมากระทบทางอายตนะ 6 ก็แค่รู้และจิตก็จะแสดงไตรลักษณ์ให้เห็นและเห็นการเกิดดับของจิตที่มีอยู่ตลอดเวลา

แต่ถึงอย่างไรถ้าผู้ใดมีความคิดเห็นเกี่ยวกับสิ่งที่ทำให้พ้นทุกข์ได้นอกเหนือจากนี้หรือเห็นว่าสิ่งที่เขียนมายังไม่ถูกต้องประการใดและควรทำอย่างไรถึงจะถูกต้องก็ขอให้แนะนำด้วยนะคะขออนุโมทนาคะ
 

_________________
อยู่กับปัจจุบัน
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง EmailMSN Messenger
Puy
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 28 ก.ย. 2008
ตอบ: 15

ตอบตอบเมื่อ: 05 ต.ค.2008, 3:17 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ความอยากอย่างแรงกล้าที่จะหลุดพ้นหรือรู้แจ้งนั้นจะเป็นความอยากที่ขวางกั้นการหลุดพ้น พยายามมากเกินไป แต่ขาดปัญญา เป็นการเคี่ยวเข็นตนเองสู่ความทุกข์ยากโดยไม่จำเป็น

เดินทางสายกลาง คือ สงบ วางสุข วางทุกข์ หน้าที่ของเราทำเหตุให้ดีที่สุดเท่านั้นส่วนผลที่จะได้รับเป็นเรื่องของเขาถ้าเราดำเนินชีวิตด้ยการปล่อยวางเช่นนี้แล้วทุกข์ก็ไม่รุมล้อมเรา

จิตของคนตามธรรมชาตินั้นไม่มีความดีใจเสียใจ ที่มีความเสียใจดีใจไม่ใช่จิตแต่เป็นอารมณ์ที่มาหลอกลวงจิตก็หลงไปตามอารมณ์โดยไม่รู้ตัว แล้วก็เป็นสุขเป็นทุกข์ไปตามอารมณ์

ผู้ใดตามดูจิต ผู้นั้นจักพ้นจากบ่วงของมาร การกระทำให้จิตสงบนั้นอย่าเพิ่งเข้าใจว่ามาทำวันเดียวหรือสองวันมันจะสงบได้ จะต้องพยายามทำเรื่อยๆ ไปให้เห็นความสงบเกิดขึ้นมาต้องพยายามทำให้มาก ทำบ่อยๆ ยืน เดินนั่งนอนต้องมีสติอยู่เสมอ

หลวงพ่อชา สุภัทโท
 

_________________
อยู่กับปัจจุบัน
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง EmailMSN Messenger
Puy
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 28 ก.ย. 2008
ตอบ: 15

ตอบตอบเมื่อ: 08 ต.ค.2008, 1:06 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สุดยอดธรรมคือการปฏิบัติธรรม
เพียงรู้ธรรมคือรู้เท่าทันธรรมชาติว่าธรรมชาติย่อมเป็นเช่นนี้คนย่อมเป็นเช่นนี้ทุกอย่างมันก็เป็นของมันอย่างนั้นอยู่แล้วที่มันไม่ดี ไม่ถูกก็เพราะจิตเราปรุงแต่งว่าไม่ดีไม่ถูกไม่ชอบไม่น่าพอใจขึ้นมาเองจิตปรุงว่าไม่ดีมันก็ทุกข์ จิตปรุงว่าดีมันก็สุขเลือกปรุงเอาเถิดว่าจะปรุงอย่างไหน
พระอาจารย์ม้น ภูริทัตโต

คุณจะมีความทุกข์เพียงไหน ถ้าคุณใช่ชีวิตทุกวันอยู่กับความไม่พอใจ ต่อคน สัตว์หรือสิ่งที่ไม่เป็นดังใจคุณ คุณจะมีแต่ความทุกข์ที่ทับถมทวีคูณเพราะความไม่พอใจนั้นไม่เคยมีที่สิ้นสุด ถ้าคุณยังปฏิบัติกับทุกอย่างโดยใช้ตังเองเป็นเกณฑ์ตัดสินแล้ว จะพบสิ่งที่พอใจจริงๆนั้นคงยาก
ความสุขที่คุณไม่ต้องซื้อหามาจากไหนแต่คุณสร้างมันขึ้นมาได้ด้วยใจคุณเอง
หลวงปู่ขาว อนาลโย
 

_________________
อยู่กับปัจจุบัน
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง EmailMSN Messenger
Puy
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 28 ก.ย. 2008
ตอบ: 15

ตอบตอบเมื่อ: 08 ต.ค.2008, 1:47 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

จิตที่สงบแล้ว ไม่วุ่นวาย จึงนับว่าเป็นความสุขอย่างแท้จริงพุทธศาสนาสนใจในเรื่องทุกข์ที่ละเอียดทางใจมากกว่าทุกข์ทางกายที่เห็นชัดๆ กันอยู่พระองค์ตรัสว่าสังขารหรือสิ่งปรุงแต่งเป็นทุกข์ทั้งนั้นในโลกนี้อะไรที่เป็นความสุขมันก็เป็นความทุกข์ในตัวของมันเองด้วย เช่น เรามีความสุขจากสัตว์เลี้ยงที่น่ารัก นั่นก็แปลว่าเราจะต้องมีความเศร้าโศกเมื่อมันตายฉะนั้นการใช้ชีวิตในโลกนี้จึงอยู่ที่ว่าทำอย่างไรเราจึงจะมีช่วงแห่งความสุขมากกว่าความทุกข์
บุญกับบาปต่างกันตรงไหน
อะไรที่ทำไปแล้วนึกถึงเมื่อใดก็สบายใจนั่นคือบุญอะไรทำไปแล้วย้อนนึกถึงเมื่อไรเกิดความไม่สบายใจนั่นเป็นบาป
และต่อไปนี้หากท่านอยากจะให้ชีวิตของท่านมีสุขมากกว่าทุกข์ท่านก็ทำได้ด้วยตัวท่านเอง ด้วยการทำบุญ คือทำใจให้บริสุทธิ์ สงบ และสบาย
ท่านพุทธทาสภิกขุ
 

_________________
อยู่กับปัจจุบัน
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง EmailMSN Messenger
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ ไม่สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง