Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 สงสัยการละสังโยชน์ 10 ครับ ?????? อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
ฌาณ
บัวเงิน
บัวเงิน


เข้าร่วม: 23 ก.ค. 2008
ตอบ: 1145
ที่อยู่ (จังหวัด): หิมพานต์

ตอบตอบเมื่อ: 07 ก.ย. 2008, 8:04 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เรียนถามอาจารย์ทุกท่านครับ สงสัย

1. ในสังโยชน์ 10 เราต้องละเรียงลำดับข้อไหมครับ....
และทำไมต้องเรียงตามนั้น (เพราะความยากในการละหรือครับ)

2. อรูปราคะ หรือรูปราคะในสังโยชน์ 10 นั้นต้องทำอรูปฌาณหรือรูปฌาณให้ได้
ก่อนจึงละได้ใช่ไหมครับ

สาธุ ขอบคุณอาจารย์และพี่ๆ ทุกคนครับ สาธุ
 

_________________
ผมจะพยายามให้ได้ดาวครบ 10 ดวงครับ
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
tanaphomcinta
บัวใต้น้ำ
บัวใต้น้ำ


เข้าร่วม: 19 ก.ค. 2008
ตอบ: 127
ที่อยู่ (จังหวัด): 138 หมู่ที่ 1 ต.โนนคูณ อ.คอนสาร จ.ชัยภูมิ 36180

ตอบตอบเมื่อ: 07 ก.ย. 2008, 10:23 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ส่งคำถามไปที่ Email tamaphom.supashok99@gmail.com
ได้ไหมจะหามาตอบให้ทาง อีแมว ถ้ามีเพราะยังหาตำราไม่เจอ ฮิฮิฮิ
 

_________________
ทำบุญตั้งแต่ยังมีชีวิตอยู่ ดีกว่าตายแล้วให้เขาทำบุญอุทิศหา รักษาศีลตั้งแต่ยังมีชีวิตอยู่ ดีกว่าตายแล้วให้เขาเคาะโลงลุกขึ่นมารักษาศีล
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัวตำแหน่ง AIMYahoo MessengerMSN Messenger
ขันธ์
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 19 ก.ค. 2008
ตอบ: 520

ตอบตอบเมื่อ: 07 ก.ย. 2008, 10:53 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

คุณ ฌาณ ผมจะตอบให้ในสิ่งที่คุณ สงสัย

ข้อแรก
อ้างอิงจาก:
1. ในสังโยชน์ 10 เราต้องละเรียงลำดับข้อไหมครับ....
และทำไมต้องเรียงตามนั้น (เพราะความยากในการละหรือครับ)


ต้องเรียงลำดับ เพราะว่ามันเป็นเหตุเป็นผลต่อกัน และ เป็นเรื่องที่หยาบไปจนถึงละเอียด

เช่น สักกายทิฎฐิ ตัวแรก นี้คือ ความหลงของมนุษย์และสัตว์ และ เทพ พรหม ทั้งปวง ที่เข้าใจ ว่าสรรพสิ่งเป็นตัวตน โดยไม่ได้แยก ความรู้สึก ความจำ ความปรุงว่า มันเกิดขึ้นแล้วดับไป จนก่อให้เกิดทิฎฐิ ที่ทำให้ยึดมั่นถือมันในความทุกข์และสุขทั้งปวง ตัวนี้คือ ตัวโง่ประการแรก ดังนั้นหากไม่เห็นตัวนี้แล้ว เรื่องอื่นไม่ต้องพูดถึง

เมื่อเกิดความยึดมั่นถือมั่นแล้วเกิดอะไรขึ้น มันก็เกิดความสงสัย ในตัวเองเมื่อเกิดความทุกข์ นั้นแหละสังโยชน์ตัวที่สอง และ ตามมาซึ่งการสอดส่ายหาวิธีแก้ไขความทุกข์ ตามกำลังตัณหาที่มันทะยานไป

ทีนี้การละ ในส่วนของพระโสดาบัน ก็ต้องละทั้งสามตัว ด้วยกำลังปัญญาทีเดียวเลย สามตัว เมื่อจิต อบรมวิปัสสนาญาณจนถึงพร้อมและเข้าไปจนถึงตัวอวิชชา แล้ว จะตื่นขึ้นทันทีว่า นี่เรากำลังตามเรื่องตามราวอะไรด้วยปัญญา และความคิดของเราเอง อย่างหลง พอหยุดทั้งหมด มันก็ไม่มีอะไรให้สานต่อ ตรงนั้นแหละ คือ ละสังโยขน์ได้ ด้วย มรรคญาณ และ สัมประยุตด้วยสมาธิ

เมื่อมากไปกว่านั้น ก็จะเป็น ความรู้สึก หรือ สัญชาติญาณ ที่มีอยุ่ในใจ อันไม่ใช่ความคิด ก็คือ ราคะ และ โทสะ เช่นว่า พอได้ยินใครพูดไม่ถูกใจก็ โกรธทันที นี่มันมาจากความรู้สึก และ เมื่อเห็นใครสวยใครหล่อ ภาพ อาหาร กลิ่น ที่เราถูกใจ ก็เกิดราคะ ขึ้นทันใด

พระสกิทาคา ท่านก็มองเห็นต้นเหตุ ที่ทำให้ก่อเป็นราคะและโทสะได้ ก็จึงสามารถควบคุม เห็นต้นเหตุได้ และ ดับไม่ให้มันเกิดได้บางส่วน

จนสูงไปกว่านี้ ก็จะเป็น เรื่องที่ละเอียดขึ้นๆ ไป ก็ขอพูดเท่านี้ แล้วกัน

แต่สรุปว่า ยิ่งสูงเท่าไร สังโยชน์นั้นจะละเอียดและขุดยากขึ้น เพราะมันเหมือนกับเป็นเนื้อเดียวกับจิต อันยากที่จะขุด ต้องค่อยๆ สางความโง่ความหลงออกไป เรื่อยๆ เปรียบเหมือนค่อยๆ กระเทาะเปลือกออกทีละชั้น นั่นแหละจึงจะพบ ตัวละเอียดได้
 

_________________
เพราะเอาใจเข้าไปวิพากษ์ จึงมีบาปและบุญ
สรรพสิ่งมันอยู่อย่างนั้นเอง เราเองคือผู้หลงเข้าไปเอาทุกข์
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
Buddha
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2007
ตอบ: 415

ตอบตอบเมื่อ: 09 ก.ย. 2008, 11:17 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ตอบ...
ก่อนอื่นคุณต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับ "สังโยชน์" จนเกิดความรู้ ความเข้าใจทีถูกต้องและเป็นบรรทัดฐาน อันเป็นไปตามหลักความจริงแห่งศาสนา

สังโยชน์ ตามตำรากล่าวเป็น ธรรมชนิดหนึ่งที่เกิดขึ้นเพื่อมัดใจมนุษย์ และสัตว์ ไว้ทำให้เกิดความทุกข์ หรือจะกล่าวว่า เป็นกิเลสที่มีอยู่ในใจของสรรพสิ่งก็ว่าได้

ดังนั้น คำว่า "สังโยชน์" จึงเป็นพียงคำบอก หรือคำแนะนำให้รู้ว่า กิเลสที่มีอยู่ใจมนุษย์ สัตว์ และพืชทั้งหลายนั้น คืออะไรบ้าง "สังโยชน์" จึงมิใช่สิ่งที่จะนำให้ท่านทั้งหลายหลุดพ้นจากความทุกข์ เมื่ออ่านมาถึงตอนนี้ ก็อย่าเพิ่งคิดว่า ข้าพเจ้าคัดคัานคำสอน

แต่ในทางที่เป็นจริงแล้ว ผู้ที่เกี่ยวข้องกับพุทธศาสนา เข้าใจผิด รู้ และเข้าใจในความหมายของคำว่าสังโยชน์ไปแบบผิดๆ คือ รู้แล้วคิดว่า สังโยชน์ เป็นธรรมะ ถ้าละสังโยชน์ได้ ก็บรรลุธรรม อย่างงนะขอรับ อ่านช้าๆ แล้วจะรู้ลึกซิ้ง บรรลุธรรมได้

หลักธรรมท่านทั้งหลาย ครองเรือนเป็นมนุษย์ ย่อมต้องมีความคิด มีการะลึกนึกถึงอดีต ระลึกนึกถึง ความรู้ ประสบการณ์ต่างๆ ย่อมต้องรู้คุณแห่งความรู้ รู้คุณแห่งการเจรจาติดต่อสื่อสาร รู้คุณแห่งสรรพอาชีพ และการประพฤติปฏิบัติ ตามอาชีพ หรือการครองเรือนนั้นๆ รู้จักการให้หรือทาน ตามการครองเรือน ตามอาชีพแห่งตน อันเป็นธรรมชาติ อันได้รับการขัดเกลาจากสังคมสิ่งแวดล้อม นั้นๆ กิเลส หรือจะกล่าวว่า สังโยชน์ เกิดขึ้น เพราะสิ่งที่ได้กล่าวไปแล้วนั้น

หากทุกท่านมีความเข้าใจ ในการครองเรือนของตัวเอง และผู้อื่น หมายถึงไปถึงหลักธรรมข้ออื่นๆ อันทำให้เกิดสภาพสภาวะจิตใจที่เรียกว่า "พรหมวิหารสี่" อิทธิบาทสี่" ทุกท่าน ก็จะรู้ว่า อะไร คือต้นตอแห่งกิเลส หรือ สังโยชน์

ดังนั้น ในข้อสังโยชน์ จึงไม่จำเป็นต้อเรียงลำดับอะไร เพียงแค่ให้ท่านทั้งหลายอ่านแล้วรับรู้ว่า มนุษย์, สัตว์, พืช มีกิเลสนะ มีสิ่งที่ทางตำราเรียกว่า สังโยชน์ นะ เมื่อรู้แล้ว ก็พิจารณาจากหลักธรรมที่ข้าพเจ้าได้อธิบายไป เมื่อเกิดความเข้าใจ ในหลักธรรม ก็จะพบเคล็ดวิชา สามารถบรรลุธรรมชั้นโสดาบันได้
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
dazeng
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 08 ก.ย. 2008
ตอบ: 12

ตอบตอบเมื่อ: 09 ก.ย. 2008, 2:31 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ปล่อยใจให้ว่าง... นั่นไงความอยากมาแล้ว!!! สมองฟุ้งถึงความอยากเรื่องไหนก่อนให้วางเรื่องนั้นลงเป็นเรื่องแรก... ตอนนี้แหละที่นักปฎิบัติมือใหม่จะทำได้ยาก ส่วนผู้ที่เข้าใจดีแล้วก็เป็นเรื่องสบายๆ ดูมันต่อไป... นี่ไงมาอีกเรื่องแล้ว!! มันไม่เที่ยงๆก็แค่สังขาร(ความคิดปรุงแต่ง)มาแล้วก็รู้และปล่อยไป... นี่ไงมาอีกแระ! อยากเยอะจริงๆหากวางไม่ลงไปอยากเรื่องไหนใจก็จะไปเกิดกับเรื่องนั้น เช่นอยากกินของหวานมากมายตายไปก็อาจเกิดเป็นพวกราหรือสัตว์เซลเดวที่เกิดตามอาหารบูดเน่านั่นแหละ เข้าจั๊ย สาธุ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ฌาณ
บัวเงิน
บัวเงิน


เข้าร่วม: 23 ก.ค. 2008
ตอบ: 1145
ที่อยู่ (จังหวัด): หิมพานต์

ตอบตอบเมื่อ: 10 ก.ย. 2008, 9:41 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สาธุ สาธุ สาธุ ขอบคุณอาจารย์ทุกท่านครับ สาธุ สาธุ สาธุ
 

_________________
ผมจะพยายามให้ได้ดาวครบ 10 ดวงครับ
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
guest
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 09 ก.ค. 2008
ตอบ: 254

ตอบตอบเมื่อ: 11 ก.ย. 2008, 12:01 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

คุณ ฌาณ ครับ

ตอบ ข้อ ๒. นะครับ

ความคิดเห็นของผม

ถ้าบรรลุอนาคามีก็จะได้ รูปฌาณ และ อรูปฌาณ เอง

ดังจะเห็นได้ว่า พระอนาคามี ถ้าตายไปโดยที่ยังไม่บรรลุ อรหันต์

ก็จะไปเกิดที่ อรูปพรหม ๕ ชั้น คือ สุทธาวาสพรหม

การยึดติดในรูปราคะ คือ ติดพันยินดีในสุขเวทนาในรูปฌาณ

การยึดติดในอรูปราคะ คือ ติดพันยินดีในสุขเวทนาในอรูปฌาณ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ฌาณ
บัวเงิน
บัวเงิน


เข้าร่วม: 23 ก.ค. 2008
ตอบ: 1145
ที่อยู่ (จังหวัด): หิมพานต์

ตอบตอบเมื่อ: 11 ก.ย. 2008, 8:19 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

อ้างอิงจาก:
คุณ ฌาณ ครับ

ตอบ ข้อ ๒. นะครับ

ความคิดเห็นของผม



สาธุ เยี่ยมครับ

สาธุ
สู้ สู้
 

_________________
ผมจะพยายามให้ได้ดาวครบ 10 ดวงครับ
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
บัวหิมะ
บัวเงิน
บัวเงิน


เข้าร่วม: 26 มิ.ย. 2008
ตอบ: 1273

ตอบตอบเมื่อ: 13 ก.ย. 2008, 12:08 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ปรบมือ แลบลิ้น สู้ สู้
 

_________________
ชีวิตที่เหลือเพื่อธรรมะ
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
นัน555
บัวผลิหน่อ
บัวผลิหน่อ


เข้าร่วม: 25 ก.ย. 2007
ตอบ: 7
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.

ตอบตอบเมื่อ: 26 ก.ย. 2008, 8:30 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สังโยชน์ นั้น สังโยชน์ คือ กิเลสที่ผูกมัดใจสัตว์, ธรรมที่มัดสัตว์ไว้กับทุกข์ หรือกิเลสเครื่องร้อยรัดจิตใจให้จมในวัฏฏะ มี ๑๐ อย่าง ...เธอรู้ได้ อยู่แล้ว

หิน.กรวด.ทราย. จะขอสนทนาธรรม เรื่องสังโยชน์ ให้ พิศดาร ดังนี้
....
อะไร คือข้อต่าง ระหว่าง สวย-กับ น่าเกียจ
อะไร คือข้อ ต่าง ระหว่าง สุข กับ ทุกข์
.....
เวลา ตา ของ เรา เห็น รูป ที่สวย...แสงมากระทบ ตา เรา จำได้ ว่า อย่างนี้ เรียก ว่า สวย เราก็ ที่ อารมณ์ สุข เกิด ขึ้น ..ชอบ ดู ติดใจ.. อยากดู อีก..
....
เวลา ตา ของ เรา เห็น รูป ที่น่าชัง น่ารังเกียจ ...แสงมากระทบ ตาเรา เราก็ร้อง ยี้ ไม่เอา ไม่ อยากดู จะรีบไป ให้ พ้น อารมณ์ หม่นหมองก็ เกิด ทุกข์เล็ก ก็เกิด...เราก็ จำไว้ว่า อย่างนี้ ไม่ ชอบเลย..ไม่อยากได้เลย..
....
แสดงว่า รูป ภายนอกเป็นเหตุ ให้ ทุกข์ กับ สุข หรือ?
เอ๊ะ..รูป ก็ อยู่ของมันดีๆ เราไปมอง มันเอง..เพราะฉะนั้น รูป ภายนอก ไม่น่าจะเป็น เหตุ..

.....
ตาเรา เป็ฯเหตุ แน่ ....ตา เรา มัน ไม่มี ความ รู้ มันมี หน้าที่ ดู ให้ เห็น ภาพ..เท่านั้น เอง มันดูไป หมด... สมองเราต่าง หาก ที่ไว มาก แปล ภาพ นั้น ว่า สวย หรือ ไม่สวย
......
เมื่อเรา มองภาพสวย มา 1 - google 10 ยกกำลัง 100000 ชาติแล้ว มัน ก็คงอยู่ ใน dna เราแล้ว ....ว่า อยากดู ของสวยๆ...
ดู เด็กทารก เอาคนหน้าตาดี ให้ดู เขาก็ยิ้ม พอ หน้าตาดุร้าย มาใกล้ เขาก็ร้อง..
ความอยากต่างๆ ทั้งหลายนี้ (อยากดูรูปสวย)รวมเรียกว่า กิเลส 1005 ตัณหา 108
....................
สังโยชน์ - สักกายทิฐิ ก็คือ ว่า เรา มี spyware ติดตั้ง รู้เท่าทัน ความอยาก กิเลส ก็ คือ malware คือ พอเรา เชื่อมต่อnet มันก็เข้ามาเลย ถ้าเรายังรู้ สึกว่า สวย/ไม่สวย สุข/ทุกข์ ก็คือ malware(กิเลส) มันทะลุ ผ่าน firewall เข้ามาแล้ว...

..................................................
ส่วน โสดาบันบุคคลทีท่าน ละ สังโยชน์ ข้อ สักกายทิฐิ คือ ท่านได้ ติดตั้ง spywaregเบอร์1-สำหรับไว้จับ malware(กิเลส) ไว้แล้ว ....
พอเห็นรูป ...
ถ้าไม่มี....
 

_________________
“ยงฺกิญฺจิ สมุทยธมฺมํ สพฺพนฺตํ นิโรธธมฺมํ ”

สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา
สิ่งนั้นล้วนมีความดับไปเป็นธรรมดา
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
นัน555
บัวผลิหน่อ
บัวผลิหน่อ


เข้าร่วม: 25 ก.ย. 2007
ตอบ: 7
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.

ตอบตอบเมื่อ: 26 ก.ย. 2008, 8:51 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ถ้าไม่มี spyware เราก็จะถูก กิเลสมันโจมตี...ถูกโจมตีมากๆก็ตกเป็นทาสมัน..
...........
ส่วโสดาบันบุคคล พอท่านเห็นรูป...ปุ๊บ...spywareก็ทำงานโดย
shield malware..ความรู้ที่ว่า
"เห็นรูปโดยความเป็นทุกข์
จึงจะละสักกายทิฐิได้ รู้เห็นจักษุวิญญาณโดยความเป็นทุกข์ จึงจะละสักกายทิฐิ
ได้ รู้เห็นจักษุสัมผัสโดยความเป็นทุกข์ จึงจะละสักกายทิฐิได้ รู้เห็นแม้สุข-
เวทนา ทุกขเวทนา หรืออทุกขมสุขเวทนาที่เกิดขึ้นเพราะจักษุสัมผัสเป็นปัจจัย
โดยความเป็นทุกข์ จึงจะละสักกายทิฐิได้ บุคคลรู้เห็นหู ... รู้เห็นจมูก... รู้เห็น
ลิ้น... รู้เห็นกาย... รู้เห็นใจโดยความเป็นทุกข์ จึงจะละสักกายทิฐิได้ รู้เห็น
ธรรมารมณ์โดยความเป็นทุกข์ จึงจะละสักกายทิฐิได้ รู้เห็นมโนวิญญาณโดยความ
เป็นทุกข์ จึงจะละสักกายทิฐิได้ รู้เห็นมโนสัมผัสโดยความเป็นทุกข์ จึงจะละ
สักกายทิฐิได้ รู้เห็นแม้สุขเวทนา ทุกขเวทนา หรืออทุกขมสุขเวทนาที่เกิดขึ้น
เพราะมโนสัมผัสเป็นปัจจัย โดยความเป็นทุกข์ จึงจะละสักกายทิฐิได้ ดูกรภิกษุ"
............
ยกตัวอย่าง ที่มีภิกษุ ท่านไม่ได้เห็น สตรี ท่านเห็นเพียงแต่ อัฐิ ฟัน..เป็นต้น
...พอเห็นปั๊บ...ปุถุชนทั้วไปแบบเรา รูปเป็น สุข(ถ้าสวย)--รูปเป็นทุกข์
(ไม่สวย)...เพราะยังมีครึ่งที่สวย เราเลยไล่ตามดู รูปสวย มา 100 ล้านชาติ..
ต่อเมื่เกิดปัญญารู้เท่าทัน เบื่อภพชาติแล้ว ไม่อยากเกิดดับ อีก 100 ล้านชาติ แบบ เมล็ด ทราย ริมทะเลอีก ขอเกิด ดับอีก สัก 7 ชาติ แบบ เมล็ดทรายในมือ 7 เมล็ด...
จึงได้ติดตั้ง spyware มีความเพียร ทำสมถภาวนา เพ่ง ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เป็น ต้น จน ชำนิ ชำนาญ จับ malware ได้
.....
เห็นรูป ปั๊บ...แปลเลย นี้ ทุกข์..นี้ อนิจจัง ทุขัง อนันตา..
สักแต่ว่าเห็น ตามดู scan ดู ว่า lสุข/ทุกข์ เกิดมั้ย
ถ้าเห็นรูปแล้ว โอ้ยเสียว.. นั้นแหละ กิเลส ตัวใหญ่ spyware มันมาอีกแล้ว..
..................
เห็นได้ว่าไม่ใช่รู้ว่าเป็นอย่างไร มันง่าย แต่จะทำได้จริงๆ ไม่มี spyware ทะลุ เข้ามาได้ มันยากแสนยาก...
................
เพราะเราท่านอาจจะต้องติดตั้ง antispyware หลายตัว
เปรียบกับ สมถภวานา 40 ที่ถูกกับเรา..
หรือ ธรรมะหลายข้อ
...บางท่านถูกกับ มหาสติปํตฐานเป็นต้น...
....

พิมพ์สะกดผิดถูกขออภัย..

หิน.กรวด.ทราย
 

_________________
“ยงฺกิญฺจิ สมุทยธมฺมํ สพฺพนฺตํ นิโรธธมฺมํ ”

สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา
สิ่งนั้นล้วนมีความดับไปเป็นธรรมดา
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ทานธรรม
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 26 ก.ย. 2007
ตอบ: 13
ที่อยู่ (จังหวัด): สุพรรณบุรี

ตอบตอบเมื่อ: 30 ก.ย. 2008, 10:10 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ผมว่า "สังโยชน์" มันเป็น "ผล" ที่เกิดมาจากการปฏิบัติธรรมจนบรรลุอริยธรรม นะ

คือหมายความว่า สังโยชน์ ไม่ได้เป็น "มรรค" (คือไม่ได้เป็นวิธีปฏิบัติ)
แต่เป็น "ผล" ของมรรค อีกทีหนึ่งครับ.... (คงไม่งงนะ)

ดังนั้นการที่จะละสังโยชน์ได้ ก็ต้องปฏิบัติสติปัฏฐาน ๔ ไปจนบรรลุ รู้แจ้ง ก็จะละสังโยชน์ได้เองตามลำดับชั้น
ไม่ต้องไปดิ้นรน ขวนขวาย เพื่อที่จะละสังโยชน์โดยตรงหรอกครับ...

เพราะเมื่อเหตุเกิด ผลก็จะเกิดตามมาเอง.....

ยิ้มแก้มปริ
 

_________________
จงทำดีแต่อย่าเด่นจะเป็นภัย ไม่มีใครอยากเห็นเราเด่นเกิน
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
natdanai
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 18 เม.ย. 2008
ตอบ: 387
ที่อยู่ (จังหวัด): bangkok

ตอบตอบเมื่อ: 01 ต.ค.2008, 4:10 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

อืมม์ อืมม์
ทำไมเราไม่เคยสงสัยแบบนี้นะ.... ยิ้มเห็นฟัน ยิ้มเห็นฟัน
กระผมว่าเดินตามองค์มรรคไปเรื่อยๆเด๋วมันละไปเองมั้งครับ.... สาธุ สาธุ
 

_________________
ตั้งสติไว้ มองความจริงตามความเป็นจริง
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง EmailMSN Messenger
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ ไม่สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง