Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 การฆ่าตัวตายไม่ได้เป็นบาปเสมอไป อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
พลศักดิ์ วังวิวัฒน์
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 30 มิ.ย. 2008
ตอบ: 542

ตอบตอบเมื่อ: 03 ก.ย. 2008, 2:37 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

กรุณาใช้วิจารณญานในการอ่านข้อความในกระทู้นี้

admin
4 ก.ย.51


************
เนื่องจากท่านผู้ดูแลเว็บลบข้อความในกระทู้ของผมทิ้งไป และไปตั้งเป็นกระทู้ใหม่
เรื่องการฆ่าตัวตายเป็นบาป อันนี้ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรนะครับ เพียงแต่ว่า ท่านไม่
ยอมใส่ชื่อของท่านเป้นผู้ตั้งกระทู้ คงไว้ชื่อของผม คือ พลศักดิ์ วังวิวัฒน์
ซึ่งผมไม่ได้พูดแบบนั้นว่า การฆ่าตัวตายเป็นบาป มันเป็นบาปแค่เมื่อจิตมีเจตนา
อกุศลเท่านั้น เป็นกรณีอาจจะ 95% ไม่ได้เป็นทุกกรณี 100% แต่อย่างใด ดังนั้น
ท่านใช้ชื่อผม ทั้งๆที่ผมไม่ได้เขียนเช่นนั้น ผมจึงถือโอกาสตั้งกระทู้ใหม่


JARUWAN_G พิมพ์ว่า:

แต่การฆ่าตัวตายก็บาปมากนะ วิญญาณอาจจะไปไหนไม่ได้ ต้องอยู่ที่เดิมตลอด จนกว่าจะหมดกรรมถึงจะได้ไปรับกรรมอย่างอื่นต่อ


เนื่องจากหลายท่านยังไม่เข้าใจสิ่งที่ผมอธิบายว่า การผิดศีล 5 ไม่ได้เป็นบาป
แต่อย่างใด
การผิดศีล 5 ที่เป็นบาปต้องประกอบด้วยสิ่งเหล่านี้ ผมสรุปจาก
คำสอนของพระพุทธเจ้า คือ

1. ต้องมีเจตนาอย่างใดอย่างหนึ่งในจิตในการทำสั่งนั้น เพราะ เจตนาคือกรรม
2. บาปมีทั้งทางกาย วาจา ใจ
3. แต่“ใจเป็นใหญ่ ใจเป็นประธาน ทุกสิ่งสำเร็จด้วยใจ” ถ้ากายทำ วาจาทำ แต่ใจไม่ได้ทำ ก็ไม่บาป
4. จิตเจตนากระทำ ถ้าจิตเจตนาเป็นกุศล ก็เป็นบุญ ถ้าจิตเจตนาเป็นอกุศลก็เป็น
บาป
ถ้าไม่มีจิตเจตนาทั้ง 2 อย่างก็เป็นกิริยาเฉยๆ ไม่เป็นบาปและบุญ
5. ธรรมหรือความเป็นไปทั้งปวง จะดี (เป็นกุศล เป็นบุญ) ก็ตาม จะไม่ดี (เป็นอกุศล เป็นบาป) ก็ตาม เกิดขึ้นได้ก็เพราะใจคิด ใจอยาก ใจต้องการ

เพื่อความเข้าใจเรื่องนี้ดีขึ้น แม้แต่การฆ่าตัวตายก็ไม่ได้เป็นบาป ผมขอยก
ตัวอย่างในพระไตรปิฎก ที่มีพระอรหันต์หลายท่านที่ฆ่าตัวตาย

1. ในฉันโนวาทสูตรชี้ชัดว่า ไม่มีพุทธพจน์ใดๆ แสดงว่า การฆ่าตัวตาย เป็นบาป

แต่ในฉันโนวาทสูตร พระพุทธองค์ให้หลักการไว้ในเรื่อง ควรถูกตำหนิหรือไม่
ควรถูกตำหนิ โดยทรงให้หลักการว่า

" บุคคลใดแล ทิ้งกายนี้และยึดมั่นกายอื่น บุคคลนั้นเราเรียกว่า ควรถูกตำหนิ
ฉันนภิกษุหามีลักษณะนั้นไม่ ฉันนภิกษุหาศาตรามาฆ่าตัวอย่างไม่ควรถูกตำหนิ ฯ ..."



จะเห็นว่า "ฆ่าตัวตาย” ผิดศีลข้อ 1 ชัดๆ แต่ไม่ถือว่าเป็นบาป(ปาณาติบาต)ในกรณี
พระฉันนะ เพราะจิตของพระอรหันต์ทำอะไรทุกอย่างเป็นแค่กิริยาเท่านั้น

2. และในพระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๗ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๙
สังยุตตนิกาย
ขันธวารวรรค เรื่องวักกลิ ที่ฆ่าตัวตาย ก็ชี้ชัดในเรื่องการฆ่าตัวตายไม่ได้เป็นบาป



ผมขอยกมาชี้ให้เห็น

.......ท่านขอถวายบังคมพระยุคลบาทของพระผู้มีพระภาคด้วยเศียรเกล้า
และ(พระวักกลิ)ยัง
ได้สั่งมากราบทูลอย่างนี้ว่า

พระเจ้าข้า ข้าพระองค์ไม่เคลือบแคลงว่า รูปไม่เที่ยง ไม่สงสัยว่า สิ่งใด ไม่เที่ยง
สิ่งนั้นเป็นทุกข์ ไม่สงสัยว่า สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา


ความพอใจก็ดี ความกำหนัดก็ดี ความรักใคร่ก็ดี ในสิ่งนั้น มิได้มีแก่ข้าพระองค์.

ข้าพระองค์ไม่เคลือบแคลงว่า เวทนา ... สัญญา ... สังขาร ... วิญญาณไม่เที่ยง
ไม่สงสัยว่า สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ ไม่สงสัยว่า สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์
มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา

ความพอใจก็ดี กำหนัดก็ดี ความรักใคร่ก็ดี ในสิ่งนั้น มิได้มีแก่ข้าพระองค์ ดังนี้.

ภิกษุเหล่านั้นรับคำท่านพระวักกลิแล้วหลีกไป ครั้งนั้น เมื่อภิกษุเหล่านั้น หลีกไปไม่นาน ท่านพระวักกลิก็นำเอาศาตรามา....(เชือดคอตาย)


จะเห็นได้ชัดว่า พระวักกลิบรรลุอรหันต์ก่อนแล้ว ท่านก็ได้เชือดคอตาย แต่ไม่
ถือว่าเป็นบาป เพราะจิตเจตนาของท่านไม่ได้เป็นอกุศลแต่อย่างใด ดังที่พระพุทธองค์
ตรัสสอนพระฉันนะว่า

" บุคคลใดแล ทิ้งกายนี้และยึดมั่นกายอื่น บุคคลนั้นเราเรียกว่า ควรถูกตำหนิ
ฉันนภิกษุหามีลักษณะนั้นไม่ ฉันนภิกษุหาศาตรามาฆ่าตัวอย่างไม่ควรถูกตำหนิ ฯ ..."
 


แก้ไขล่าสุดโดย พลศักดิ์ วังวิวัฒน์ เมื่อ 05 ก.ย. 2008, 1:23 pm, ทั้งหมด 1 ครั้ง
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ชาวมหาวิหาร
บัวผลิหน่อ
บัวผลิหน่อ


เข้าร่วม: 04 ก.ย. 2008
ตอบ: 9

ตอบตอบเมื่อ: 04 ก.ย. 2008, 3:42 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ขณะใดเกิดโลภะ โทสะ โมหะ
ขณะนั้นเรียกได้ว่าเป็นบาป

แต่บาปนั้น จะถึงขั้นล่วงอกุศลกรรมบท
หรือล่วงปาณาติบาตหรือไม่ต้องพิจารณาอีกทีครับ

สำหรับเรื่องอัตวินิบาตกรรม
ท่าฎีกาจารย์ได้วินิจฉัยว่าไม่จัดเป็นปาณาติบาตครับ

(อาจจะบาปด้วยอกุศลจิตที่เกิดในขณะนั้น
แต่กรรมนี้ไม่จัดว่าเป็นปาณาติบาต)

ขอยกหลักฐานมาแสดงประกอบดังนี้นะครับ

----------------------------------------------------------------


จาก ปรมัตถโชติกะ
มหาอภิธัมมัตถสังคหฎีกา
ปริเฉทที่ ๕: วีถิมุตตสังคหะ (เล่ม ๒)
ได้มีข้อความแสดงไว้ว่า

...........การฆ่าตัวเองอย่างเดียวจึงไม่จัดว่าเป็นการล่วงกรรมบถปาณาติปาตกรรม

อนึ่งในองค์แห่งปาณาติบาต ๕อย่างนั้น ผู้ฆ่าตัวเองตายย่อมไม่ครบองค์ ๕ คือขาดปาณสัญญิตา หมายความว่าในข้อที่ว่าสัตว์มีชีวิตนี้มิได้มุ่งหมายเอาตนเอง หมายเอาสัตว์อื่นๆ ที่นอกจากตนเท่านั้น ดังนั้นการฆ่าตัวเองจึงไม่ล่วงกรรมบถสำเร็จเป็นปาณาติบาตดังนั้นท่านฎีกาจารย์จึงได้แสดงไว้ในสารัตถทีปนีฏีกาและวิมติวิโนทนีฏีกาว่า

“อตฺตานํ มุญฺจิตฺวา ปรปาณิมฺหิ ปาณสญฺญิตาลกฺขณสฺส
องฺคสฺส อภาวโต เนวตฺถิ ปาณาติปาโต”

“ปาณาติปาตกรรมย่อมไม่มีแก่ผู้ที่ฆ่าตัวเองตายโดยแน่
นอน เพราะขาดองค์ปาณสัญญิตาที่ว่าสัตว์มีชีวิตในสัตว์อื่นๆ
ที่นอกจากตนเอง”


--------------------------------------------------------------------
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
คามินธรรม
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2008
ตอบ: 860
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.

ตอบตอบเมื่อ: 04 ก.ย. 2008, 3:52 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ชาวมหาวิหาร พิมพ์ว่า:


สำหรับเรื่องอัตวินิบาตกรรม
ท่าฎีกาจารย์ได้วินิจฉัยว่าไม่จัดเป็นปาณาติบาตครับ


“ปาณาติปาตกรรมย่อมไม่มีแก่ผู้ที่ฆ่าตัวเองตายโดยแน่
นอน เพราะขาดองค์ปาณสัญญิตาที่ว่าสัตว์มีชีวิตในสัตว์อื่นๆ
ที่นอกจากตนเอง”


- ไม่เห็นด้วยเลย
เราย่อมรู้ว่าตัวเรามีชีวิต เป้นสัตว์ที่มีชีวิต

ถ้า"รู้"ว่าตัวเอง "มีชีวิต" ก็เท่ากันกับ รู้ว่าสัตว์ มีชีวิต

จากคำสอนมากมายของพระพุทธเจ้า
ท่านให้ละเว้นการเบียดเบียนตัวเองด้วย
ไม่ใช่ว่า เบียดเบียนตัวเองได้

ทั้งหมดนี่ ความเชื่อส่วนตัวผมนะคับ
ไม่ได้อ้างอิงอะไร คิดเอาเฉยๆ
 

_________________
ฐิโต อหํ องฺคุลิมาล ตฺว ฺจ ติฏฺฐ
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ชาวมหาวิหาร
บัวผลิหน่อ
บัวผลิหน่อ


เข้าร่วม: 04 ก.ย. 2008
ตอบ: 9

ตอบตอบเมื่อ: 04 ก.ย. 2008, 5:34 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

คือผมไม่ได้เสนอข้อมูล
เพื่อแสดงว่าไม่บาปนะครับ
เพียงแต่ "ไม่ได้จัดเข้าหมวดปาณาติบาต" เท่านั้นเอง

ยกตัวอย่างเช่น
พระเทวทัตทำพระพุทธเจ้าห้อพระโลหิต
กรรมนี้เป็นบาปที่หนักถึงขั้นอนันตริยกรรม
แต่ไม่ได้จัดอยู่ในหมวดล่วงปาณาติบาตครับ


ผมได้เสนอไว้ว่า
ขณะใดจิตเป็น โลภะ โทสะ โมหะ
ขณะนั้นย่อมเป็นบาป
แต่จะจัดเข้าหมวดปาณาติบาตหรือไม่
ต้องพิจารณาอีกทีครับ



ปาณาติปาตจะเกิดขึ้นได้ต้องประกอบด้วย องค์ ๕
-------------------------------------------------------------

องค์ ๕ นี้ได้แก่

๑. ปาโณ สัตว์มีชีวิต
๒. ปาณสญฺญิตา รู้ว่าสัตว์นั้นมีชีวิต
๓. วธกจิตฺตํ มีจิตคิดจะฆ่า
๔. ปโยโค ทำความเพียรเพื่อให้ตาย
๕. เตน มรณํ สัตว์นั้ตายลงด้วยความเพียรนั้น

-------------------------------------------------------------

ซึ่ง ชีวิตของสัตว์ใน องค์ของปาณาติปาตนี้
ท่านฎีกาจารย์ได้แสดงว่า หมายถึง
ชีวิตของสัตว์อื่นเท่านั้น
 


แก้ไขล่าสุดโดย ชาวมหาวิหาร เมื่อ 04 ก.ย. 2008, 6:00 am, ทั้งหมด 1 ครั้ง
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ชาวมหาวิหาร
บัวผลิหน่อ
บัวผลิหน่อ


เข้าร่วม: 04 ก.ย. 2008
ตอบ: 9

ตอบตอบเมื่อ: 04 ก.ย. 2008, 5:50 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สำหรับที่ คุณ พลศักดิ์กล่าวไว้ ผมขอชี้แจงเพิ่มเติมดังนี้นะครับ

1. การผิดศีล 5 นี้เป็นบาปแน่นอน
สำหรับที่บอกว่าทำด้วยกิริยานั้น
กิริยาชวนจิตจะเกิดขึ้นได้ก็แต่ในพระอรหันต์เท่านั้น
และท่านพ้นแล้วจากการล่วงศีล 5 ครับ
อย่าว่าแต่พระอรหันต์เลย แม้พระโสดาบันท่านก็ไม่อยู่ในฐานะ
ที่จะล่วงศีล 5 ได้เลยเพราะเป็นเหตุให้ไปสู่อบายภูมิและท่าน
ก็พ้นไปจากอบายภูมิแล้ว

2.ส่วนกาย วาจา ละเมิดศีล 5 แต่ใจไม่ทำบาป
ข้อนี้ไม่เป็นฐานะที่จะเกิดขึ้นได้
เพราะขณะละเมิดศีล 5 นั้น
กายที่เคลื่อนอยู่เป็น จิตตชรูปที่เนื่องมาด้วย
อกุศลชวนวิถีที่เกี่ยวเนื่องกัน
หรือแม้แต่วาจามุสาที่เปล่งออกก็เป็น จิตตชรูป
ที่เนื่องมาจากอกุศลชวนวิถีที่เป็นบาป

3.ธรรมที่เป็นกุศล หรืออกุศล ย่อมมีสภาวะปรมัตถ์
ที่แน่นอนไม่ปะปนกัน ไม่ใช่ขึ้นอยู่กับใจคิด ใจอยาก ใจต้องการ
เมื่อมีโยนิโสมนสิการ ย่อมเกิดจิตที่เป็นกุศล
แต่หากมีอโยนิโสมนสิการและไม่มีสติ ย่อมเกิดจิตที่เป็นอกุศล
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
คามินธรรม
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2008
ตอบ: 860
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.

ตอบตอบเมื่อ: 04 ก.ย. 2008, 10:37 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ผมก็ไม่ได้สนใจเรื่องบาป หรือ ไม่บาป นะครับ

สนใจแค่ว่า ครบองค์ปาณาติบาต หรือไม่
แย้งเฉพาะตรงที่คุณกล่าวว่า การฆ่าตัวตาย ถือว่าไม่ครบองค์ปานาติปาต



"๒. ปาณสญฺญิตา รู้ว่าสัตว์นั้นมีชีวิต"
มันก็ชัดเจนอยู่ในตัว เรารู้ว่าตัวเรามีชีวิต


การฆ่าตัวตาย ยังไงก็ครบองค์
เพราะเราตายลงไปแล้ว
ถ้าไม่ตาย ร่อแร่ แล้วหมอช่วยไว้ได้ อันนี้ก็ไม่ครบองค์
เพราะเราไม่ตายด้วยความพยามนั้น


ส่วนเรื่องพระเทวทัตนั้น
ไม่ใช่การล่วงปาณาติบาต เพราะขาดข้อเดียว
คือพระพุทธเจ้าไม่ได้ตายลงด้วยความพยามนั้น

หรือถ้าพระเทวทัต ไม่ได้ตั้งใจฆ่า แค่อยากทำร้ายร่างกาย
แต่บังเอิญหินดันไปตกลงในอวัยวะสำคัญ
แล้วพระพุทธเจ้าตายลงด้วยความพยามนั้น
ก็ถือว่าไม่ครบองค์ปาณาติบาต


เรื่องบาป แค่ไหนอย่างไร เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
อันนี้แค่สนใจว่าอย่างไหนครบองค์ อย่างไหนไม่ครบองค์
 

_________________
ฐิโต อหํ องฺคุลิมาล ตฺว ฺจ ติฏฺฐ
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
พลศักดิ์ วังวิวัฒน์
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 30 มิ.ย. 2008
ตอบ: 542

ตอบตอบเมื่อ: 04 ก.ย. 2008, 12:45 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ชาวมหาวิหาร พิมพ์ว่า:


2.ส่วนกาย วาจา ละเมิดศีล 5 แต่ใจไม่ทำบาป
ข้อนี้ไม่เป็นฐานะที่จะเกิดขึ้นได้
เพราะขณะละเมิดศีล 5 นั้น
กายที่เคลื่อนอยู่เป็น จิตตชรูปที่เนื่องมาด้วย
อกุศลชวนวิถีที่เกี่ยวเนื่องกัน
หรือแม้แต่วาจามุสาที่เปล่งออกก็เป็น จิตตชรูป
ที่เนื่องมาจากอกุศลชวนวิถีที่เป็นบาป




ใจน่ะมันมุสาโกหกอยู่แล้ว แต่เจตนาของใจที่โกหกคือ ทำเพื่ออะไรเท่านั้น

- ถ้าโกหกเพื่อปลอบใจให้เขามีกำลังใจ เจตนาก็เป็นกุศล=บุญ
- ถ้าโกหกเพื่อให้คนทะเลาะวิวาทกัน เจตนาก็เป็นอกุศล=บาป

หลวงพี่เท่งตะโกนโกหกว่า "ตำรวจมา ตำรวจมา" เจตนาเพื่อให้ผู้คนที่รุมกระทืบ
คนอื่นหนีไป จะได้ช่วยคนที่โดนรุมกระทืบ โกหกครั้งนี้เป็นกุศล=บุญ แต่ถ้า
ท่องจำแบบนกแวนกขุนทอง โดยไม่รู้ที่มาของศีล 5 ย่อมต้องบอกว่า "บาป"
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
พลศักดิ์ วังวิวัฒน์
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 30 มิ.ย. 2008
ตอบ: 542

ตอบตอบเมื่อ: 04 ก.ย. 2008, 1:11 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ฌาณ พิมพ์ว่า:
ผมก็ว่าผิดศีลนั้น บาปครับ
เพราะเมื่อก้าวล่วงศีลแล้ว เจตนาย่อมไม่บริสุทธิ์แน่นอนเศร้า

ศีล 5 ประการนี้ ใครละเมิดแล้วบาปไม่เลือกหน้า คนในศาสนาพุทธละเมิดก็บาป คนที่เขาว่าฆ่าสัตว์ไม่เป็นบาปทำลงไปก็เป็นบาป คนที่ขนแกะไปเชือดบูชาพระเจ้าปีละหลาย ๆแสนตัวในบางศาสนาที่เขาว่าทำแล้วได้บุญ แต่เสร็จแล้วมันก็ได้บาป

"สีเลนะ สุคะติง ยันติ (ชนทั้งหลายย่อมไปสู่สุคติ เพราะศีล)

สีเลนะ โภคะสัมปะทา (ความถึงพร้อมด้วยโภคะ เพราะศีล)

สีเลนะ นิพพุติง ยันติ (ชนทั้งหลายดับทุกข์ได้ ก็เพราะศีล)

ตัสมา สัลัง วิโสธเย (เพราะเหตุนั้น สาธุขนพึงชำระศีลให้บริสุทธิฯ)"

สาธุ



1. ผู้ที่ฆ่าแกะไปบูชาพระเจ้า คุณรู้ได้อย่างไรครับว่าบาป ผมและน้องชายซิรู้จริง
เพราะท่องอยู่ในโลกวิญญาณมาหลายสิบปีแล้ว น้องชายของผมอยู่ที่อิหร่าน
เขายืนยันว่า พอคนในศาสนาอิสลามฆ่าแกะไปบูชาพระเจ้า พระเจ้าก็ให้เนื้อแกะนั้น
เป็นอาหารกับวิญญาณของคนที่เกิดเป็นเปรตกิน
เพราะศาสนาอิสลามไม่รู้วิธีทำ
สังฆทาน คนในศาสนาอิสลามเขาแสดงความเคารพบูชาพระเจ้าแบบนั้น นั่นเป็นบุญ

ไหนๆก็พูดเรื่องนี้แล้ว พูดต่ออีกหน่อย

น้องผมเวลาท่องบทสวดมนต์แผ่เมตตาให้สรรพวิญญาณ ปรากฏว่าวิญญาณ
ของคนอิสลามได้รับด้วย เขามาขอบคุณ และบอกว่าบทแผ่เมตตาของชาวพุทธ
ทำให้เขาอิ่มไปนานเลย ไม่เหมือนกับการบูชาด้วยแกะต่อพระเจ้าที่ชาวอิสลามทำ
เขากินแล้ว ต่อไปก็หิวอีก

2. เรื่องอื่นผมขอไม่เถียง เพราะผมก็บอกที่มาของศีล 5 ไปแล้ว คุณจะเชื่อหรือไม่
เป็นสิทธิเสรีภาพของคุณ

ศีลเป็นเรื่องของโลก 95-99%ของคนที่ผิดศีล 5 ทำด้วยจิตอกุศลจึงเป็นบาป
แต่เอาหลักของศีล 5 ไปใช้ในกรณีที่จิตเป็นกุศล เอาเขาไปตกนรก ทำไม่ได้
ไม่เช่นนั้น พระเวสสันดร เจ้าชายสิททัตถะ ป่านนี้คงยังอยู่ในนรกเลย ไม่มีโอกาส
เป็นพระพุทธเจ้าหรอก
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ชาวมหาวิหาร
บัวผลิหน่อ
บัวผลิหน่อ


เข้าร่วม: 04 ก.ย. 2008
ตอบ: 9

ตอบตอบเมื่อ: 04 ก.ย. 2008, 2:53 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

อืมมม

ในเรื่องการมุสาที่สร้างความเสียหายให้แก่ผู้อื่น


ข้อนี้พระฎีกาจารย์ท่านแสดงไว้ดังนี้ครับ




องค์แห่งมุสาวาทมี ๔ อย่าง

๑. อตถวตฺถุ สิ่งของหรือเรื่องราวที่ไม่จริงอย่างหนึ่ง
๒. วิสํวาทนจิตฺตตา มีจิตคิดจะมุสาอย่างหนึ่ง
๓. ปโยโค พยายามมุสาด้วยกาย หรือด้วยวาจาตามความประสงค์
ของตนอย่างหนึ่ง
๔. ตทตฺถวิชานนํ ผู้อื่นมีความเชื่อตามเนื้อความที่มุสานั้น

ในข้อมุสาวาทนี้ แบ่งออกเป็น ๒ ชนิด คือ

๑. สำเร็จเป็นมุสาวาทแต่ไม่ล่วงกรรมบถ

๒. สำเร็จเป็นมุสาวาทด้วยล่วงกรรมบถด้วย

การกล่าวมุสาวาทที่ครบองค์ ๔ แต่ไม่ทำให้ความเสียหายเกิดขึ้นแก่ผู้ที่หลงเชื่อแต่อย่างใด ชนิดนี้เป็นแต่เพียงมุสาวาท แต่ไม่ล่วงกรรมบถ คือไม่นำไปสู่อบาย
การกล่าวมุสาวาทที่ครบองค์ ๔ และทำความเสียหายแก่ผู้ที่หลงเชื่อ ชนิดนี้สำเร็จเป็นมุสาวาทด้วย ย่อมก้าวล่วงกรรมบถด้วย คือสามารถนำไปสู่อบายได้




--------------------------------------------------------------------

สำหรับที่คุณ คามินธรรม สงสัย
ก็เป็นสิ่งที่ดีแล้วนะครับ เพราะคนเราควรพิจราณาให้
รอบคอบในทุกๆเรื่อง

แต่ที่ผมแสดงไว้ว่าองค์ของปาณาติบาตเป็นอย่างไร
ก็เพียงแสดงตามนัยของเถรวาท คือ
ดูหลักฐานจาก พระไตรปิฎก อรรถกถา และฎีกา
และก็นำมาแสดงให้เพื่อนๆได้พิจารณากันครับ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
mes
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 09 มิ.ย. 2007
ตอบ: 643
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.

ตอบตอบเมื่อ: 04 ก.ย. 2008, 9:11 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ชาวมหาวิหาร พิมพ์ว่า:
อย่าว่าแต่พระอรหันต์เลย แม้พระโสดาบันท่านก็ไม่อยู่ในฐานะ
ที่จะล่วงศีล 5 ได้เลยเพราะเป็นเหตุให้ไปสู่อบายภูมิและท่าน
ก็พ้นไปจากอบายภูมิแล้ว


โสดาบันยังล่วงศีลอยู่

Code:
แม้คนขี้เมาก็อาจเป้นพระโสดาบันได้

ปัญหา เมื่อเจ้าสรกานิศากยะสิ้นพระชนม์ พระพุทธเจ้าทรงพยากรณ์ว่า ท่านเป็นพระโสดาบัน พ้นจากอบายภูมิอย่างเด็ดขาด มีอันจะตรัสรู้ในเบื้องหน้า เจ้าศากยะเป็นจำนวนมากประชุมกันแล้วพูดตำหนิว่า เจ้าสรกานิศากยะประพฤติย่อหย่อนในศีลธรรมและชอบดื่มน้ำเมา ถ้าท่านเป็นพระโสดาบันได้ ใคร ๆ ก็เป็นโสดาบันกันทั้งบ้างทั้งเมือง ในเรื่องนี้พระพุทธองค์ทรงชี้แจงอย่างไร ?

พุทธดำรัสตอบ “ ดูก่อนมหาบพิตร อุบาสกผู้ถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ว่าเป็นสรณะตลอดกาลนานจะไปสู่วินิบาตได้อย่างไร ? เมื่อจะพูดให้ถูก ควรพูดถึงเจ้าสรกานิศากยะว่า เจ้าสรกานิศากยะเป็นอุบาสกถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์เป็นสรณะมาเป็นเวลานานแล้ว จะพึงไปสู่วินิบาตได้อย่างไร ?
“ ดูก่อนมหาบพิตร บุคคลบางคนในโลกนี้ แม้ไม่ประกอบด้วยความเลื่อมใส อันไม่หวั่นไหวในพระพุทธเจ้า.... ในพระธรรม...ในพระสงฆ์ ไม่มีปัญญาร่าเริง ไม่เฉียบแหลมและไม่บรรลุถึงวิมุต แต่ว่าเขามีธรรมเหล่านี้ คือ สัทธินทรีย์ วิริยินทรีย์ สตินทรีย์ สมาธินทรีย์ ปัญญินทรีย์ และเขามีศรัทธา มีความรักในพระตถาคตพอประมาณ แม้บุคคลผู้นี้ก็ไม่ไปสู่นรก....ทุคติวินิบาต
“ ดูก่อนมหาบพิตร ถ้าต้นสาละใหญ่เหล่านี้พึงรู้ สุภาษิต และทุพภาสิต
อาตมภาพก็พึงพยากรณ์ต้นสาละใหญ่เหล่านี้ได้ว่า เป็นโสดาบัน จะตรัสรู้ในเบื้องหน้า จะช่วยกล่าวไปไยถึงเข้าสรกานิศากยะ
“ดูก่อนท้าวมหานาม เจ้าสารกานิศากยะสมาทานสิกขาได้ในเวลาสิ้นพระชนม์แล”

สรกานิสูตร ที่ ๑ มหา. สํ. (๑๕๒๘-๑๕๓๖ )
ตบ. ๑๙ : ๔๗๐-๔๗๔ ตท. ๑๙ : ๔๒๖-๔๒๘
ตอ. K.S. ๕ : ๓๒๔-๓๒๖
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวMSN Messenger
ชาวมหาวิหาร
บัวผลิหน่อ
บัวผลิหน่อ


เข้าร่วม: 04 ก.ย. 2008
ตอบ: 9

ตอบตอบเมื่อ: 04 ก.ย. 2008, 9:52 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ในข้อความไม่ได้แสดงว่า

มีการดื่มน้ำเมา"หลังจากเป็นพระโสดาบันบุคคล"นะครับ

ท่านอาจจะเคยมีปกติดื่มน้ำเมามาก่อน
แต่ภายหลังลดละเลิกและเจริญอินทรีย์ ๕
จนเป็นพระโสดาบัน
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
พลศักดิ์ วังวิวัฒน์
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 30 มิ.ย. 2008
ตอบ: 542

ตอบตอบเมื่อ: 04 ก.ย. 2008, 9:59 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

คุณmesและคุณฌานครับ



ด้วยเหตุนี้ บุคคลที่ "เขามีศรัทธา มีความรักในพระตถาคตพอประมาณ แม้บุคคล
ผู้นี้ก็ไม่ไปสู่นรก....ทุคติวินิบาต"


บุคคลในศาสนาอื่น ที่ "เขามีศรัทธา มีความรักในพระพระเจ้าของเขา แม้บุคคล
ผู้นี้ก็ไม่ไปสู่นรก....ทุคติวินิบาต"


เนื่องจาก พระพุทธเจ้า ก็คือ พระเจ้า นั่นเอง

สัจธรรมสูงสุดมีเพียงหนึ่งเท่านั้น คนในศาสนาต่างๆแตกแยกกันไปเอง
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
พลศักดิ์ วังวิวัฒน์
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 30 มิ.ย. 2008
ตอบ: 542

ตอบตอบเมื่อ: 04 ก.ย. 2008, 10:06 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

คุณฌานครับ




ในสรกานิสูตร ที่ ๑ มหา. สํ. (๑๕๒๘-๑๕๓๖ ) พระพุทธเจ้าตรัสว่า

บุคคลที่ "เขามีศรัทธา มีความรักในพระตถาคตพอประมาณ แม้บุคคล
ผู้นี้ก็ไม่ไปสู่นรก....ทุคติวินิบาต"


บุคคลในศาสนาอื่น ที่ "เขามีศรัทธา มีความรักในพระพระเจ้าของเขา แม้บุคคล
ผู้นี้ก็ไม่ไปสู่นรก....ทุคติวินิบาต"


เนื่องจาก พระพุทธเจ้า ก็คือ พระเจ้า นั่นเอง

สัจธรรมสูงสุดมีเพียงหนึ่งเท่านั้น คนในศาสนาต่างๆแตกแยกกันไปเอง
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
อุศิณีย์
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 09 ส.ค. 2007
ตอบ: 25
ที่อยู่ (จังหวัด): นนทบุรี

ตอบตอบเมื่อ: 05 ก.ย. 2008, 9:02 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ศีล แปลว่า ปกติ
ผู้ไม่มีศีล หรือผู้ทุศีล ก็แสดงว่าเขาทำในสิ่งที่คนปกติเขาไม่ทำกัน
คนที่ทำบาปย่อมรู้อยู่แก่ใจตัวอยู่แล้ว
เขานั้นย่อมเดือดร้อนใจ ในสิ่งที่เขาได้ทำไปแล้ว เพราะกลัวทุกข์โทษในภายหลัง
เพราะสิ่งใดที่ทำแล้วรู้สึกไม่ดี ไม่สบายใจ ทำให้ผู้อื่นและเราเดือดร้อน สิ่งนั้นแหละ เรียกว่าบาปโดยแท้
 

_________________
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ทำมั่วไม่เจริญ
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Email
guest
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 09 ก.ค. 2008
ตอบ: 254

ตอบตอบเมื่อ: 05 ก.ย. 2008, 9:54 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ช่วย ๆ กันสกัดกั้นความคิด อ.พลศักดิ์ แกหน่อยครับ

เพราะความคิดของแกค่อนข้างอันตราย ถ้าได้มีการยอมรับกันทั่วไป

ถ้าแกตั้งตัวเป็นเจ้าลัทธิได้ผมว่าต้องมีคนเดือดร้อนแน่
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
พลศักดิ์ วังวิวัฒน์
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 30 มิ.ย. 2008
ตอบ: 542

ตอบตอบเมื่อ: 05 ก.ย. 2008, 12:41 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

guest พิมพ์ว่า:
ช่วย ๆ กันสกัดกั้นความคิด อ.พลศักดิ์ แกหน่อยครับ

เพราะความคิดของแกค่อนข้างอันตราย ถ้าได้มีการยอมรับกันทั่วไป

ถ้าแกตั้งตัวเป็นเจ้าลัทธิได้ผมว่าต้องมีคนเดือดร้อนแน่



สิ่งที่ผมบอกเป็นอันตรายอย่างยิ่งกับศาสนาพุทธที่เป็นสัทธรรมปฏิรูป เป็นของเก๊
ปลอมแปลงคำสอนของพระพุทธเจ้า
แต่เป็นสัทธรรมอันบริสุทธิ์ของพระพุทธเจ้า

นี่เป็นเหตุผลที่ ผมเข้าไปในเว็บต่างๆ ทุกข้อเขียนของผม ไม่มีผู้สามารถหาเหตุผล
โต้แย้งได้สักคน

ถ้าจะปรับระดับธรรมของคุณ ควรอ่านและวิเคราะห์ข้อเขียนของผม
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
mes
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 09 มิ.ย. 2007
ตอบ: 643
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.

ตอบตอบเมื่อ: 05 ก.ย. 2008, 1:39 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ชาวมหาวิหาร พิมพ์ว่า:
ในข้อความไม่ได้แสดงว่า

มีการดื่มน้ำเมา"หลังจากเป็นพระโสดาบันบุคคล"นะครับ

ท่านอาจจะเคยมีปกติดื่มน้ำเมามาก่อน
แต่ภายหลังลดละเลิกและเจริญอินทรีย์ ๕
จนเป็นพระโสดาบัน


ขออนุญาตท่านชาวมหาวิหารครับ

โสดาบันยังมีกามาตัญหาครับ แต่เบาบาง ไม่ถึงกับสิ้น

และก็ไม่มีข้อแสดงว่าท่านไม่ดื่มน้ำเมาเลยเมื่อบรรลุโสดาบันแล้ว

หากท่านชาวมหาวิหารมีหลักฐานที่พบได้โปรดแบ่งปันกันเป็นความรู้

เพราะพระสูตรมีมากมายเหลือเกิน

ยากที่ใครจะอ่านจำได้ทั้งหมด
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวMSN Messenger
guest
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 09 ก.ค. 2008
ตอบ: 254

ตอบตอบเมื่อ: 05 ก.ย. 2008, 2:49 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

พลศักดิ์

ผมอ่านและวิเคราะห์ข้อเขียนของคุณแล้ว

เป็นแนวคิดประเภทจับแพะชนแกะ

เอาคำสอนจากศาสนานั้นมา ศาสนานี้มา
มั่วใส่กันสับสนปนเปไปหมด
คิดเอาฝันเอานึกว่าตัวเองเป็นพระโพธิสัตว์
หลอกลวงชาวบ้านเค้าไปทั่ว

หลอกถึงขนาดว่าถ้ามีศรัทธาต่อพระเจ้า
ฆ่าตัวตายแล้วจะได้พบพระเจ้า

ถ้ามีใครเชื่อคุณซักคนแล้วทำตามคุณบอก
แล้วจะเกิดอะไรขึ้น
คุณรู้ดีอยู่แล้ว

จิตใจของคุณทำลงได้ยังไง
มันใจจืดใจดำขนาดนี้เลยเหรอคนเรา
หลอกให้คนไปตายได้
คุณคิดดูให้ดีนะ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
พลศักดิ์ วังวิวัฒน์
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 30 มิ.ย. 2008
ตอบ: 542

ตอบตอบเมื่อ: 05 ก.ย. 2008, 6:53 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

คุณ"guest"ครับ



1. ผมอ่านและวิเคราะห์ข้อเขียนของคุณแล้ว

เป็นแนวคิดประเภทจับแพะชนแกะ....อย่ามั่วกล่าวหาลอยๆครับ ผมเจอวิธีมารแบบนี้
มาทุกเว็บ ยกสิ่งที่คุณคิดว่าผมจับแพะชนแกะมาวิเคราะห์กันดีกว่าครับ


2. เอาคำสอนจากศาสนานั้นมา ศาสนานี้มา
มั่วใส่กันสับสนปนเปไปหมด......สัจธรรมมีเพียงหนึ่งเดียวครับ แต่คนตีความผิดไป
เลยแบ่งแยกศาสนากันออกไป


3. คิดเอาฝันเอานึกว่าตัวเองเป็นพระโพธิสัตว์
หลอกลวงชาวบ้านเค้าไปทั่ว

หลอกถึงขนาดว่าถ้ามีศรัทธาต่อพระเจ้า
ฆ่าตัวตายแล้วจะได้พบพระเจ้า

ถ้ามีใครเชื่อคุณซักคนแล้วทำตามคุณบอก
แล้วจะเกิดอะไรขึ้น
คุณรู้ดีอยู่แล้ว

........ ถ้าเขาทำด้วยศรัทธาจริง เขาจะได้พบพระเจ้า และอย่างน้อยก็จะไปอยู่ในอาณาจักรสวรรค์

4. จิตใจของคุณทำลงได้ยังไง
มันใจจืดใจดำขนาดนี้เลยเหรอคนเรา
หลอกให้คนไปตายได้
คุณคิดดูให้ดีนะ

.....ผมเห็นจิตผมดี ทำสมถและวิปัสสนาวันละกว่า 2 ชั่วโมง คุณควรหัดดูจิต
ของคุณ จะเหมาะกว่ามาดูจิตของผม
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
guest
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 09 ก.ค. 2008
ตอบ: 254

ตอบตอบเมื่อ: 05 ก.ย. 2008, 8:36 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

คุณ พลศักดิ์

ข้อ ๒. กับ ๓. ที่คุณกล่าวข้างต้นนั่นล่ะจับแพะชนแกะ

มีอย่างที่ไหนคนตีความสัจจะธรรมผิดไปเลยแบ่งแยกศาสนา

สัจจะธรรมเมื่อรู้เมื่อเห็นแล้วไม่จำเป็นต้องตีความครับ
อย่างเช่นธรรมะแต่ละขั้นในพุทธศาสนา
นับตั้งแต่ศีล สมาธิ ปัญญา
ผู้ปฏิบัติจะพึงรู้เองเห็นเอง

เมื่อพระพุทธองค์ทรงตรัสไว้อย่างไร
เมื่อปฏิบัติตนเข้าไป
แล้วจะรู้ผลการปฏิบัติของตนเอง
สิ่งที่รู้สิ่งที่เห็นจากการปฏิบัติ
ก็ไม่ต่างจากที่พระพุทธองค์เคยตรัสไว้
จึงค้านพระพุทธองค์ไม่ได้แม้แต่บทบาทเดียว

เมื่อรู้อย่างเดียวกันเห็นอย่างเดียวกันแล้วจะมาตีความกันทำไม ก็เมื่อเห็นอย่างเดียวกันอยู่จะจะ

คนที่ไม่รู้จริง ไม่เห็นจริง นั่นล่ะถึงต้องมาตีความ
ว่าเห็นจะเป็นอย่างนั้น เห็นจะเป็นอย่างนี้
ด้นเดาเกาหมัดไปเรื่อย
หาความจริงไม่เจอ

เหมือนตัวคุณพลศักดิ์นี่ล่ะ
อ่านปรัชญาศาสนามาหลายศาสนา
เลยมาด้นเดาเกาหมัดว่า
เห็นจะเป็นอย่างนั้น เห็นจะเป็นอย่างนี้

เลยคิดว่าศาสนาเป็นเรื่องที่ต้องตีความ

เมื่อรู้จริงเห็นจริงแล้วจะมาตีความกันทำไมอีก
สิ่งที่ได้รู้ได้เห็นนั่นล่ะคือของจริง
เหมือนคุณเห็นรถก็คือรถนั้นล่ะไม่ต้องตีความ
รุ่นใดรุ่นใดก็เห็นอยู่แล้วจะไปตีความอะไรอีก

มันสะท้อนให้เห็นว่าศาสนาในความคิดของคุณ
มันมาจากความคิดในขั้น "สัญญา" เท่านั้นเอง
ไม่ได้ก้าวสู่ขั้น "ปัญญา" เลยแม้แต่นิด

ลัทธิของคุณมันก็แค่
ลัทธิด้นเดาเกาหมัดเท่านั้นเอง
แถมเกาไม่ถูกที่คันอีกต่างหาก

มันน่าคิดนะ ว่า คุณทำสมถะวิปัสสนาอย่างน้อยวันละ ๒ ชม.
ได้แค่นี้นะหรือ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ ไม่สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง