Home
•
กระดานสนทนา
•
สมาธิ
•
สติปัฏฐาน
•
กฎแห่งกรรม
•
นิทาน
•
หนังสือ
•
บทความ
•
กวีธรรม
•
ข่าวกิจกรรม
•
แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้
ค้นหา
สมัครสมาชิก
รายชื่อสมาชิก
กลุ่มผู้ใช้
ข้อมูลส่วนตัว
เช็คข้อความส่วนตัว
เข้าสู่ระบบ(Log in)
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
ขอทราบความคิดเห็นเรื่องบาปกรรมหน่อยครับ
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
:: ลานธรรมจักร ::
»
กฎแห่งกรรม
ผู้ตั้ง
ข้อความ
tasoz
บัวผลิหน่อ
เข้าร่วม: 24 พ.ค. 2008
ตอบ: 3
ตอบเมื่อ: 24 พ.ค.2008, 12:40 pm
ในชีวิตของผู้คนปกติทั่วไป ทานอาหารทั้งที่เป็นเนื้อสัตว์ พืช ได้เบียดเบียนชีวิตพวกเขาเหล่านั้น แต่ก็มีเสียงจากคนบงกลุ่ม ว่า เค้าเป็นอาหาร เราไม่บาป ดูแล้ว มันเป็นความคิดที่เห็นแก่ตัวไปนิดนึงนะครับ อย่างคนที่ทำงานฆ่าสัตว์ตามโรงฆ่าสัตว์ มีคนประนาม หาว่าเค้าทำบาปทำกรรม แต่คนเหล่านั้นก็ทานเนื้อสัตว์ที่ได้จากโรงฆ่าสัตว์ทั้งสิ้น ..ใครว่า การรับประทานผัก ไม่บาป ผมคนนึงนะครับ ที่ว่าถ้าคิดถึงเรื่องบาป ไม่กินเนื้อสัตว์ แล้วหันมากินผัก ก็บาปไม่แพ้กัน เลือดของผักก็คือยางที่ไหลออกมา ผักก็มีชีวิต ต้องการอาหาร อากาศ น้ำ ปัจจัยต่างๆไม่ได้ต่างไปจากสัตว์เลย แต่ทำไม คนบางคน จึงหลีกเลี้ยงที่จะยอมรับความจริง
ผมเป็นคนชอบเลี้ยงสัตว์นะครับ ก็เลี้ยงหลายอย่างอยู่เหมือนกัน ปลาบางชนิดที่ผมเลี้ยงก็ต้องกินกุ้งฝอย ลูกปลาเป็นอาหาร ก็มีบ่นผมว่า ทำบาปทำกรรม แต่ที่บ้านเค้า ชอบแกงส้มลูกครอก(ลูกปลาช่อนตัวแดงๆ) วิธีทำคือ เอาน้ำใส่หม้อพอประมาณ หั่นผักบุ้งลงไปเป็นท่อนๆ แล้วก็เอาลูกปลาเป็น ล้างน้ำ แล้วใส่ลงไป เอาหม้อไปตั้งไฟ พอน้ำเริ่มร้อน ลูกปลาก็จะเข้าไปอัดแน่น ตายในข้อผักบุ้ง วิธีการกินนี้ ทรมานสัตว์นะครับ จะมาหาว่า คนกิน ทำแบบนี้ไม่บาป ผมว่า มันเป็นเหตุผลที่อุบาทศ์ที่สุดเลย เพื่อนผมเลี้ยงงู เอาหนูให้งูกินก็โดนคนอื่นว่า แต่ทำไม ไม่นึกดูมั่งละครับ ว่างู มันกินหนู ก็เพื่อเป็นอาหารเช่นกัน ไม่ต่างจากคนเลย ในธรรมชาติ งูกินเหยื่อ1ตัว(งูบนบกทั่วไป)สามารถอยู่ได้ประมาณ1อาทิตย์ และถ้างูขนาดใหญ่ กินแกะ1ตัว สามารถอยู่ได้นานถึงกว่า1เดือน หลายคนไม่ทราบอาจจะว่าผมเวอร์นะครับ แต่ยืนยันว่าเป็นเรื่องจริง ในขณะที่คนเรา กินอาหารวันละ3มื้อ แต่ละมื้อแทบจะไม่ขาดเนื้อสัตว์ ข้าวต้มกับปลาแห้งจานเดียว ปลาตัวเล็กๆต้องตายไปกว่า20-50ตัวในแต่ละจาน ละมื้อ ละคน ในการกินของคน เคยได้ยินว่า สมัยพุทธกาล พระพุทธองค์ ทรงตรัสว่า อย่าไปบริโภคเนื้อสัตว์เลย มันเป็นบาป อย่าบริโภคพืชเลย มันเป็นบาป ทุกวันนี้เราก็ไม่ได้บริโภคพืช บริโภคสัตว์ แต่เรา...บริโภคอาหารผมโดนผู้คนหลายต่อหลายคน ถูกตราหน้าว่าเป็นคนบาปหนา ผมก็ไม่เข้าใน ในเมื่อ ปลา งู หลายต่อหลายอย่าง มันกินไปก็เพื่ออยู่ งู กินได้ไม่ได้เคี้ยว กินเหยื่อทั้งตัว คงไม่ได้รับรสชาติอะไรมาก ปลา ก็งับและกลืน ก็คงไม่ได้รับรสชาติเช่นเดียวกัน แต่พวกเขาทำไป เพื่อการอยู่รอด และเป็นตัวแปรสำคัญในการสร้างสมดุลให้ระบบนิเวศน์ของโลกไม่ให้ขาดสมดุล พวกเขาผิดหรือปล่าวครับ ที่กินแบบนี้ แล้วผมอยากทราบว่า พวกคุณ คิดว่า ผมเป็นคนเช่นไร บาปติดตัวมากขนาดไหนผมไม่ใช่เป็นคนโหดเหี้ยม ดูการกินของสัตว์เป็นเรื่องสนุก ผมก็ช่วยสังคมมาเยอะ ออกค่ายอาสา สร้างฝายกั้นน้ำ ทำบุญ ทำทาน ผมไม่ได้โฆษณาให้ตนเองดูดีนะครับ แต่อยากให้ทุกคนเข้าใจ ว่า ผมไม่ได้มีเจตนาโหดเหี้ยมอะไรแบบนั้นเลย ขอืทราบความคิดเห็นของทุกๆคนที่จะกรุณาผมด้วยครับ ขอขอบคุณครับ
Thanitsak
บัวผลิหน่อ
เข้าร่วม: 23 พ.ค. 2008
ตอบ: 2
ที่อยู่ (จังหวัด): Bangkok
ตอบเมื่อ: 26 พ.ค.2008, 9:58 am
ก่อนอื่นผมขอบอกว่า ผมเพิ่งสมัครเป็นสมาชิก เพราะเห็นมีคนโพสต์ไว้ แต่ไม่ค่อยมีคนมาตอบ
เรื่องการรัปประทานอาหารเนื้อสัตว์และพืช ขอตอบได้ดังนี้
1) เรื่องที่คุณ tasoz เข้าใจ เรื่องการกินแกงส้ม หรือการทรมานสัตว์ นี่ก็เข้าใจถูกต้องแล้ว
ให้มองอย่างนี้นะครับ คือ สัตว์และสิ่งมีชีวิตทุกอย่าง ย่อมรักชีวิตของตนเอง หรือนึกอีกอย่างว่าใจเขาใจเรานะครับ
ทีนี้ใครจะทานเนื้อสัตว์ หรือไม่ทานก็เป็นเรื่องของแต่ละบุคคล คือ ถ้าเป็นพระก็ใช้กฎที่ว่า
ไม่ได้ฆ่าเอง และ ไม่ได้มีส่วนรู้เห็นในการฆ่า เพราะพระเป็นผู้เป็นอยู่ง่าย จะไปเลือกทานแต่ผัก จะไม่สะดวกแก่ญาติโยม และไม่สะดวกในการอยู่ในที่ต่าง ๆ ผมว่าหลักนี้ใช้ได้กับฆราวาสเหมือนกัน
จุดประสงค์ คือ ไม่ให้ใจเราชินกับการฆ่าสัตว์ต่าง ๆ ถามว่าทำอย่างนี้แล้วมีกรรมไม่ดีบ้างไหม
ผมคิดว่ามี แต่มีส่วนน้อย เพราะชีวิตเราอยู่ได้ ต้องใช้ชีวิตผู้อื่นเป็นอาหารอยู่เหมือนกัน
2) กรรมต่าง ๆ เช่น สัตว์ใหญ่ สัตว์เล็ก จนถึงพืช มีลักษณะผลกรรมไม่เหมือนกัน
การฆ่าสัตว์ใหญ่ ย่อมได้ผลกรรมากกว่าสัตว์เล็ก - อาจด้วยสัตว์ใหญ่เป็นสัตว์ที่มีวิญญาณที่ใกล้หมดกรรมที่จะเป็นสัตว์แล้ว และในพืชเอง ก็ไม่มีวิญญาณครอบครอง ไม่เคยได้ยินว่า มีใครมาเกิดเป็นพืช แต่ยอมรับว่าพืชเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่ง แม้แต่สัตว์เซลเดียว ในตัวเราก็มีจำนวนมากนับไม่ถ้วน สิ่งเหล่านั้นก็ไม่มีวิญญาณครอง (ถ้ามีคงยุ่งน่าดู)
3) จิตเรานี่เองเป็นสิ่งสำคัญ
ในการทำกรรม ถ้าเราทำกรรมดี ให้เรานึกถึงบ่อย ๆ ตรงข้ามถ้าเราทำความชั่ว ทำแล้วใจเศร้าหมอง ให้เราเพียรละ อย่าไปนึกถึง ใจเราจะพัฒนาขึ้น
เราเลี้ยงปลา ให้ลูกน้ำ ถามว่าบาปไหม ตอบตรง ๆ ก็บาป แต่น้อย แต่ถ้าเรายิ่งไปติดใจด้วยแล้ว นึกถึงเรื่องนี้บ่อย ๆ มันจะทำให้จิตเราเศร้าหมองเปล่า ๆ
เขียนมาอธิบาย คงมีประโยชน์บ้างนะครับ
_________________
เมตตาธรรม ค้ำจุนโลก
มิตรตัวน้อย
บัวใต้ดิน
เข้าร่วม: 12 พ.ค. 2008
ตอบ: 48
ตอบเมื่อ: 02 มิ.ย.2008, 9:51 am
ดูหมวดศีลนะครับ ไม่ว่าศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๑๐ ฯลฯ
ไม่เห็นมีข้อห้าม ไม่ให้กินเนื้อสัตว์ มีแต่ห้ามฆ่าสัตว์
จะผิดศีลก็ต่อเมื่อ
ฆ่าสัตว์
ส่งเสริมให้คนอื่นฆ่าสัตว์
ยินดีเมื่อผู้อื่นฆ่าสัตว์
ในพุทธประวัติ พระเทวทัตข้อพระพุทธเจ้า ๕ ข้อ หนึ่งในนั้นคือ ห้ามกินเนื้อสัตว์
พระองค์ไม่ทรงอนุญาติ พระเทวทัตจึงแยกตัวออกไปเป็นอื่นไม่ขึ้นกับพระพุทธเจ้า
เรื่องนี้ถามกันทุกบ่อย เราจะเป็นลูกศิษย์ใครดีละให้เลือกเอา
อย่าลังเลสงสัยอีก
asdfg
บัวผลิหน่อ
เข้าร่วม: 04 มิ.ย. 2008
ตอบ: 4
ตอบเมื่อ: 14 มิ.ย.2008, 4:21 am
เข้าใจผิดล่ะจ้ะ เวลาเราทานอาหารที่เป็นเนื้อสัตว์โดยเราไม่ได้ฆ่าเองหรือเราไปซื้อมาจากตลาดน่ะจ้ะ เราทานซากสัตว์จ้ะ จิตใจของสัตว์เค้าไม่มาเข้าใจอะไรต่ออะไรแล้วว่าเราจะต้มหรือทอด แต่ถ้าเราเป็นผู้ทำหรือเป็นพ่อค้าในตลาดที่ฆ่าสัตว์เสียเอง สัตว์เหล่านั้นถ้าเป็นสัตว์มีบุญมากหน่อย เช่น สัตว์ 10 จำพวกที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าห้ามพระภิกษุรับและฉัน จะยกตัวอย่างได้แก่ สุนัข มนุษย์ งูบางประเภท ก็อาจเกิดผูกพยาบาทอย่างที่ข่าวเกี่ยวกับเรื่องงูผูกยาบาท อยากให้เข้าใจก่อนว่าความต่างระหว่างการซื้อมาและเป็นผู้ฆ่าเองนั้น คือ เราซื้อซากสัตว์ที่ตายแล้ว ถ้ามีใครมาทำร้ายร่างกายเราโดยการตี ทุบ เราก็ไม่อยากให้เกิด ก็เช่นกันสัตว์เหล่านั้นในทุกๆวัน หาทางกินอาหารเพื่อดำรงชีพ หลีกหนีภัยอันตราย ต้องการที่อยู่ที่เป็นสุข ไม่มีสิ่งใดมารังแกให้เกิดความทุกข์ แล้วก็ตาย มนุษย์ก็แสวงหาความรู้สึก 4 อย่างนี้เช่นกันต่างกันตรงที่มนุษย์มีบุญมากสามารถรู้บาปมีกรรมมีจริง มีโอกาสในการสร้างกุศล แก้ปัญหาได้ ได้เจอธรรมของพระพุทธเจ้า และอื่นๆ ส่วนลำดับกรรมของผิดศีลข้อนี้คือ เกิดโรคและอายุสั้น กรรมส่งเร็วช้าขึ้นกับเจตนาและสัตว์นั้นมีบุญมากแค่ไหน เช่น ฆ่ามนุษย์ผู้มีกุศล เราก็รับกรรมเร็วหน่อย ค่อยๆ มองคนที่เขาฆ่าสัตว์ใหญ่บ่อยๆ เช่น วัว ควาย ก็ได้จ้ะดูว่าชีวิตเค้าเป็นอย่างไร เป็นโรคมั้ย อายุสั้นจริงมั้ย สัตว์ทุกๆ ตัวในโลกต้องตายอยู่แล้วล่ะจ้ะกรรมของสัตว์ตัวนั้นเคยเกิดเป็นมนุษย์ฆ่าสัตว์ด้วยวิธีการต่างๆ ก็ต้องรับกรรมมาเกิดเป็นสัตว์แล้วก็รู้สึกเจ็บปวดเหมือนกับที่ได้เคยทำมาจ้ะ ถึงคุณไม่ได้เป็นผู้ฆ่าเขายังงัยซะสัตว์ตัวนั้นก็ต้องตายในหม้อต้มหรือน้ำร้อนอยู่ดี เพราะเขาเคยจับสัตว์มาทรมานเจ็บปวดในน้ำร้อน นี่คือความโชคดีของชาวไทยพุทธคือ จะไม่ฆ่าสัตว์เพราะเราได้รู้ว่าถ้าทำไปแล้วความรู้สึกเช่นนั้นเราก็ต้องได้รับจ้ะ ไม่มีพระเจ้าองค์ใดมาลิขิตให้ใครเกิดใครตาย เกิดจากเราทำทั้งหมด ทำไปแล้วก็ไม่เป็นไรจ้ะก็ทำบุญแผ่ส่วนกุศลให้ เป็นกำลังใจให้เลิกฆ่าสัตว์จ้ะ ช่วงแรกๆอาจจะฝืนหน่อยก็อดทนจ้ะ สู้ ๆ
บัวหิมะ
บัวเงิน
เข้าร่วม: 26 มิ.ย. 2008
ตอบ: 1273
ตอบเมื่อ: 24 ส.ค. 2008, 3:51 pm
ที่บ้านเค้า ชอบแกงส้มลูกครอก(ลูกปลาช่อนตัวแดงๆ) วิธีทำคือ เอาน้ำใส่หม้อพอประมาณ หั่นผักบุ้งลงไปเป็นท่อนๆ แล้วก็เอาลูกปลาเป็น ล้างน้ำ แล้วใส่ลงไป เอาหม้อไปตั้งไฟ พอน้ำเริ่มร้อน ลูกปลาก็จะเข้าไปอัดแน่น ตายในข้อผักบุ้ง วิธีการกินนี้ ทรมานสัตว์นะครับ จะมาหาว่า คนกิน ทำแบบนี้ไม่บาป ผมว่า มันเป็นเหตุผลที่อุบาทศ์ที่สุดเลย
เคยได้ยินวิธีกินแบบนี้เหมือนกัน รู้สึกว่าบาปจริง ๆ บอกว่าเขาเกิดมาเพื่อเป็นอาหาร (เห็นด้วยที่ว่าเขาก็ชีวิตเราก็ชีวิต ใคร ๆ ก็รักชีวิตตัวเองทั้งนั้น) แล้วใครพิสูจน์ได้ ว่าเขาหรือเธอตัวนั้นเกิดมาเพื่อเป็นอาหาร แล้วเมื่อเขาเกิดมาเพื่อเป็นอาหารท่าน ถือว่าเป็นบุญคุณใหญ่หลวง แล้วทำไมเวลาจะทานต้องทรมานเขาด้วย ถือว่าไม่รู้จักบุญคุณเอาเสียเลย มนุษย์นี่เวลาอยากอะไร ก็หาเหตุผลมาอ้างสารพัด ที่เคยได้อ่านมา มนุษย์เป็นสัตว์กินพืชด้วยซ้ำ เพราะไม่มีเขี้ยว มีฟันกรามใหญ่ ๆ แข็งแรง เหมือนสัตว์กินเนื้อทั้งหลาย แต่เพราะมนุษย์มีมันสมองดี เรียกว่าฉลาดกว่าสัตว์ทั้งหลายว่างั้นเถอะ จึงสามารถหาวิธีฆ่าสัตว์อื่นแล้วนำมาเป็นอาหารได้สารพัด(ใช้เครื่องทุนแรง)
สรุปว่า เป็นบาปทั้งนั้น การฆ่าสัตว์ตัดชีวิต จะบาปมากบาปน้อยอยู่ที่การเจตนาของการกระทำ
_________________
ชีวิตที่เหลือเพื่อธรรมะ
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:
แสดงทั้งหมด
1 วัน
7 วัน
2 สัปดาห์
1 เดือน
3 เดือน
6 เดือน
1 ปี
เรียงจากเก่า-ใหม่
เรียงจากใหม่-เก่า
:: ลานธรรมจักร ::
»
กฎแห่งกรรม
ไปที่:
เลือกกลุ่ม บอร์ด
กลุ่มสนทนา
----------------
สนทนาธรรมทั่วไป
แนะนำตัว
กฎแห่งกรรม
สมาธิ
ฝึกสติ
การสวดมนต์
การรักษาศีล-การบวช
ความรัก-ผูกพัน-พลัดพลาก
กลุ่มข่าวสาร-ติดต่อ
----------------
ข่าวประชาสัมพันธ์
ธรรมทาน
รูปภาพ-ประมวลภาพกิจกรรมต่างๆ
สำหรับนักเรียน นักศึกษา ขอความรู้ทำรายงาน
แจ้งปัญหา
รูปภาพในบอร์ด
กลุ่มสาระธรรม
----------------
หนังสือธรรมะ
บทความธรรมะ
นิทาน-การ์ตูน
กวีธรรม
นานาสาระ
ต้นไม้ในพุทธประวัติ
วิทยุธรรมะ
ศาสนสถานและศาสนพิธี
----------------
สถานที่ปฏิบัติธรรม
วัดและศาสนสถาน
พิธีกรรมทางศาสนา
พุทธศาสนบุคคล
----------------
พระพุทธเจ้า
ประวัติพระอสีติมหาสาวก
ประวัติเอตทัคคะ (ภิกษุณี, อุบาสก, อุบาสิกา)
สมเด็จพระสังฆราชไทย
ประวัติและปฏิปทาของครูบาอาจารย์
ในหลวงกับพระสุปฏิปันโน
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณ
ไม่สามารถ
สร้างหัวข้อใหม่
คุณ
ไม่สามารถ
พิมพ์ตอบ
คุณ
ไม่สามารถ
แก้ไขข้อความของคุณ
คุณ
ไม่สามารถ
ลบข้อความของคุณ
คุณ
ไม่สามารถ
ลงคะแนน
คุณ
สามารถ
แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ
สามารถ
ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้
เลือกบอร์ด •
กระดานสนทนา
•
สมาธิ
•
สติปัฏฐาน
•
กฎแห่งกรรม
•
นิทานธรรมะ
•
หนังสือธรรมะ
•
บทความ
•
กวีธรรม
•
สถานที่ปฏิบัติธรรม
•
ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ
•
วิทยุธรรมะ
•
เสียงธรรม
•
เสียงสวดมนต์
•
ประวัติพระพุทธเจ้า
•
ประวัติมหาสาวก
•
ประวัติเอตทัคคะ
•
ประวัติพระสงฆ์
•
ธรรมทาน
•
แจ้งปัญหา
จัดทำโดย กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ
webmaster@dhammajak.net
Powered by
phpBB
© 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
www.Stats.in.th