Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 การโอนกรรม อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
โอ่
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 07 ธ.ค.2004, 7:22 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ในบทสวดมนต์ "อภิณหังปัจจะเวกฯ" ที่ขึ้นต้นด้วย "ชราธัมโมมหิ ชะรังอะนะติโต" จนถึง

"กัมมัสสะโกมหิ กัมมะทายาโท กัมมะโยนิ กัมมะพันธุ กัมมะปฏิสะระโณ ยังกัมมัง กะริสสามิ กัลยาณังวา ปาปะกังวา ตัสสะทายาโท ภะวิสสามิ"

ซึ่งเป็นข้อความให้ระลึกเรื่องของกรรมว่า "เรามีกรรมเป็นของตน มีกรรมเป็นผู้ให้ผล มีกรรมเป็นแดนเกิด มีกรรมเป็นผู้ติดตาม มีกรรมเป็นที่พึ่งที่อาศัย จักทำกรรมอันใดไว้ เป็นบุญหรือเป็นบาป เราจักเป็นทายาท คือว่าจะต้องได้รับผลของกรรมนั้นสืบไป"

จะเห็นว่าตามหลักแล้วกรรมนั้นเป็นของผู้ใด ก็จักเป็นของผู้นั้น แต่เรื่องของกรรมนั้นเหลือวิสัยในการคิดคำนึง เป็นอจินตะโย หรืออจินตัย

อย่างเรื่องการจองเวร หรือที่เราใช้คำว่าเจ้ากรรมนายเวร จะเห็นว่ากรรมนั้นเป็นบุคลาธิษฐาน ในส่วนที่ไม่เป็นบุคลาธิษฐานก็มี คือกรรมเป็นธรรมาธิษฐาน

ในส่วนของบุคลาธิษฐานนี่แหละคือการพูดถึงเจ้ากรรมนายเวร อย่างเรื่องการฟังสติสัมโพชฌงค์แล้วหายป่วย นี่เป็นเรื่องของบุคลาธิษฐานที่มีเจ้ากรรมนายเวรจำนวนมากอนุโมทนาบุญอโหสิกรรม

การป่วยอย่างมะเร็ง ทุกๆเซลที่เป็นมะเร็ง อาจจะกล่าวว่ามีเจ้ากรรมนายเวร 1 ตน ย่อขนาดอาศัยเซลมะเร็งนั้น แต่โลกเจ้ากรรมนายเวรนั้นมีเป็นสัตว์เป็นบุคคลชัดเจน

เวรานุเวรนี้ไม่รู้รวมตัวกันกี่ชาติต่อกี่ชาติ รรมเหล่านี้จึงมีแรงมีน้ำหนักให้ผลได้ ถ้าคนๆนั้นยังหล่อเลี้ยงด้วยบุญ และกำลังเจ้ากรรมนายเวรรวมกันแล้วไม่มีกำลังพอ กรรมนั้นยังให้ผลไม่ได้อยู่ดี ใช่ว่าเจ้ากรรมนายเวรจะมาทำร้ายใครได้เสมอทุกโอกาส ได้แต่เฝ้าติดตามคอยจ้องหาโอกาสอยู่ก็มี จนบุญอ่อนกำลัง หรือเขารวมกรรมชั่วของคนนั้น จนมีกำลังพลพรรคเป็นเสนาใหญ่ของมัจจุราชได้แล้วจึงเข้ามา

ดังนั้นจึงมีคำว่า "มัจจุราชผู้มีเสนาใหญ่อันใครผัดเพี้ยนมิได้เลย" ให้เป็นบทมรณัสสติไว้

เสนาใหญ่ของมัจจุราชนี้ คือเจ้ากรรมนายเวรที่รวมกันหลายภพชาติ ทำให้ความตายก่อนอายุขัยเกิดขึ้น เรียกวาสิ้นกาลมรณะ ในโลกของมัจจุราชนั้น มีข้อมูลการทำกรรมของคนและรู้กำลังการทำความดีของคน เพราะรู้อดีตในการทำความดีของบุคคลความชั่วของบุคคลมาหลายๆชาติ

นี่เป็นเรื่องการบันทึกกรรมแบบบุคลาธิษฐาน ส่วนการบันทึกกรรมนั้น บันทึกไว้แน่นอนในขณะที่จิตเกิดดับ สืบต่อกันไปตลอดเวลานี้ จะส่งข้อมูลกรรมไปยังจิตดวงต่อๆ ไป อันนี้เป็นสัญญา และเป็นการบันทึกแบบธรรมาธิษฐาน แต่กรรมนั้นเกี่ยวข้องเป็นเครือข่ายระหว่างหมู่สัตว์ ความสัมพันธ์กันทางกรรมถูกบันทึกไว้ในจิตของทุกตัวสัตว์ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งอารมณ์ความรักความชังนั้นลงไปด้วย

การจองเวรก็เป็นไปตามนี้ การเกื้อกูลก็เป็นไปโดยนัยนี้

ในกรณีที่กรรมเป็นบุคลาธิษฐานนี้ แม้บุคคลสัตว์จะมีกรรมเป็นของๆตน แต่การโอนกรรมนั้นสามารถทำได้ในบางส่วนของกรรม กรรมที่มีเจ้ากรรมนายเวรเกี่ยวข้องนั้นสามารถโอนกรรมได้ ด้วยความยินยอมของเจ้ากรรมนายเวร เจ้ากรรมนายเวรนั้นต้องการส่วนบุญและมีธรรมชาติเป็นอย่างนี้ ดังนั้นถ้ามีคนที่ทำบุญขอโอนกรรมในบุคคลที่คนนั้นมีกรรมเกี่ยวข้องกัน

การโอนกรรมที่ไม่มีในตำรา หรือคำสอนของพระศาสดาไว้เลยนี่ก็ยังสามารถจะทำได้ นี่คือเรื่องของกรรมที่เหลือวิสัยที่บุคคลจะคาดเดาได้ จะคิดคำนึงได้

เช่นกรณีพ่อแม่ป่วยหนัก ดังผมได้ยกตัวอย่างไว้ในบางแห่งวาเช่น เป็นโรคมะเร็ง บุตรผู้มีความกตัญญู มีการทำความดี ต้องการทดแทนพระคุณของพ่อแม่ผู้มีบุญคุณอันใหญ่หาสิ่งใดเสมอเหมือนมิได้ ด้วยการอุทิศสละชีวิตของตน เพื่อรับกรรมแทนผู้มีคุณนั้น

การกระทำโอนกรรมโดยขอรับกรรมนั้น จะต้องอธิษฐานตั้งใจ แม้นึกเอาก็ได้ ถ้าใจมีความหนักแน่น คือนึกด้วยความตั้งใจจริง แต่ถ้าทำให้เป็นพิธี เช่นจุดธูปเทียนอธิษฐาน ว่าขอรับกรรมแทนผู้มีคุณ ขอตายแทน นี่เป็นกระทำสัจจะบารมี เป็นปรมัตถบารมี เอาชีวิตเป็นเดิมพัน

ด้วยความตั้งใจแน่วแน่เช่นนี้แล้วอธิษฐานลงไป

การโอนกรรมก็สำเร็จ ไม่ช้าไม่นาน กองทัพเจ้ากรรมนายเวรในเซลมะเร็งนั้นจะออกจากตัวบุคคลหนึ่งไปยังบุคคลหนึ่ง

มะเร็งคนป่วยหนักนั้นจะหายไป ถ้ากรรมของคนป่วยหนักยังเหลืออยู่อีก ก็ป่วยอีก ถ้ากรรมที่ยังเหลือนั้น ไปสนองในชาติหน้า เพราะยังอยู่ไกลที่จะเข้ามาทัน คนนั้นก็จะหายจากโรคในชาตินี้ และไปป่วยในชาติต่อไปอีก(เป็นกรรมของเจ้ากรรมนายเวรในส่วนที่ยังเหลือ)

ส่วนผู้ตั้งใจรับกรรมนั้น แม้มีสุขภาพแข็งแรงจะเริ่มมีอาการสุขภาพไม่ดีอย่างไม่มีสามเหตุ และไม่เกินแปดเดือนจะเริ่มป่วยด้วยอาการอย่างใดอย่างหนึ่ง และต้องเป็นผู้ใช้เวรนั้น ตามที่ตนต้องการช่วยผู้มีคุณ บุญที่ตนทำนั้นไปได้ในกาลข้างหน้า ในปัจจุบันจะรับแต่เวรนั้น เพราะเข้าไปรับเวรของเขาโดยสมัครใจ ดังนั้นคนรับเวรจะต้องประกอบบุญอย่างมหาศาล ไม่งั้นไม่สามารถทนทานต่ออำนาจของเวรกรรมที่ถาโถมมาเปลี่ยนวิถีชีวิตนั้นได้
 
vanicw
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 07 ธ.ค.2004, 9:43 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ขอโทษมากๆ ครับ ที่ให้ความเห็น

ผมไม่ค่อยมีปัญญาในเรื่องเหล่านี้ เพียงแต่คิดว่ากรรมเป็นของคนๆนั้นไม่น่าจะโอนได้ อาจมีผลบ้างจากการอนุโมทนา หรือมีกำลังใจ หรือมีปํญญาเห็นธรรมว่าทุกอย่างเป็นธรรมดา เกิดแก่เจ็บตาย แล้วความทุกข์บรรเทาลงจากใจ

ขอโทษอีกครั้งครับ พอดีได้ฟังทางด้านคริสต์ มาบ้างที่พระเยซูตายเพื่อไถ่บาปให้กับคนทั้งหลายครับ ถ้าโอนได้จะเข้าเค้ามากทีเดียว

ซึ่งผมก็ยังเห็นตามว่าใครทำกรรมใดไว้ ดีหรือชั่ว ย่อมเป็นผู้รับผลกรรมนั้น
 
ju257717
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 07 ธ.ค.2004, 10:33 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

คิดว่า กรรมของใครก็ของคนนั้นนะ ไม่น่าจะโอนกันได้ เว้นแต่ผู้ที่มีกรรมนั้นได้ปฏิบัติกรรมฐานเพื่อแก้กรรม กล่าวคือ ทำบุญจนบาปตามไม่ทันน่ะ ถ้าโอนกันได้ ได้ยินเสมอว่าขอเจ็บแทน ก็ไม่เห็นคนที่บอกจะเจ็บแทนคนที่ตนรักได้เลย หรืออาจต้องประเภทจิตตั้งมั่นจริง ๆ ที่จะรับโอนกรรม นี่ก็เป็นอจินไตย ที่ไม่อาจคาดเดาได้ ถึงอย่างไรก็เชื่อกว่ากรรมใครก็กรรมใครนะ
 
amai
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 24 พ.ค. 2004
ตอบ: 435

ตอบตอบเมื่อ: 07 ธ.ค.2004, 11:15 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สาธุ อือม เรื่องกรรมนี่ เท่าที่ทราบกรรมของใครก็ของคนนั้นนี่ค่ะ
แต่ถ้าอย่างกรณ๊ พ่อแม่ อาจเป็นได้
เพราะ มีกรรมพันธุ กรรมทายาทา

แต่เรื่องรับโรคแทนเคยแต่ได้ยินค่ะ
ไม่เคยเห็นเลย

เคยเห็นจริงๆ หรอค่ะ

ถ้าเป็นงั้นได้ ก็เป็นเรื่องดีอ่ะค่ะ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัวMSN Messenger
โอ่
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 07 ธ.ค.2004, 3:49 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ก็เคารพความเห็นทั้งสามท่าน ท่านเห็นถูกแล้วมิได้เห็นผิดแต่ประการใด กรรมต้องของใครก็ของผู้นั้น

การอ้างสัจจะคือการกล่าวความจริงว่า "พ่อหรือแม่คือผู้มีพระคุณป้อนข้าวป้อนน้ำเลี้ยงดูเรามา เมื่อท่านป่วยลง ด้วยการกล่าวคำสัตย์นี้" (คำสัตย์ที่ว่าพ่อแม่มีบุญคุณ และได้เลี้ยงเรามานั้นเป็นคำจริง)

แล้วตั้งจิตว่ากรรมที่พ่อแม่ป่วยนั้น ด้วยความสัตย์ที่กล่าวแล้วนั้น "เอเตนะสัจจะวัชเชนะ"

เราขอรับกรรมทั้งหมดแทน ขอให้เราได้รับผลกรรมนั้นแม้แต่เป็นความตายก็ขอตายแทน

ด้วยอธิษฐานแค่นี้ นี่ไม่ใช่ความเชื่อหรือข้อถกเถียง แต่เป็นเรื่องที่ทดลองแล้วมีผลแน่นอน

กรรมเป็นของๆ ตนหรือไม่ เมื่ออธิฐานเช่นนี้แล้วจะรู้ผล ในการถ่ายเทกรรมที่มีเจ้ากรรมนายเวรเต็มใจโอนกรรมไปยังบุคคลอื่น ตามคำอธิษฐานว่าเป็นความประสงค์ที่จะรับกรรม

เรื่องนี้เป็นการพิสูจน์ว่ามีเจ้ากรรมนายเวรจริงหรือไม่เท่านั้น

แค่กรรมที่มีเจ้ากรรมนายเวรยินยอมนี่ก็หนักเต็มทีแล้ว ส่วนกรรมอื่นที่ไม่มีเจ้ากรรมนายเวรยินยอมนั้น ย่อมโอนให้กันไม่ได้ แม้มีผู้ประสงค์จะรับกรรมแทนก็ตาม

เหตุที่โอนกรรมได้ในลักษณะนี้ เพราะมีเจ้ากรรมนายเวรมาเกี่ยวข้องกับกรรม

ผมพบเรื่องนี้โดยบังเอิญ เมื่อคิดว่าขอตายแทนบุคคลผู้หนึ่ง ด้วยการนึกเท่านั้น แต่การนึกของผมมีสมาธิ เพราะจิตแน่วนิ่งเป็นปกติ

แล้วจึงพบประสบการณ์เจ้ากรรมนายเวรด้วยตนเอง มีเป็นจำนวนมาก แทบจะพูดว่านั่งหรือนอน หลับหรือลืมตาก็เห็นอันนับไม่ได้ทีเดียว

จึงเขียนเรื่องนี้ให้ไว้เป็นข้อทดลอง มิได้ให้เชื่อถือ สำหรับคนใจกล้า และพร้อมที่จะรับทุกข์แทนบุคคลอื่น
 
สำเร็จ
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 07 ธ.ค.2004, 6:48 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เคยอ่านเรื่อง "สัจจะ" หลายเรื่องเหมือนกัน...
เท่าที่ศึกษามาก็มีเหตุผลประกอบอยู่พอสมควร...

สิ่งที่คุณโอ่ยกเอาสัจจะขึ้นตั้งแล้ว...ขอผลของสัจจะ..ให้บันดาลตามที่ปรารถนา..

เคยมีเรื่องแบบนี้ในหลายแห่งในพระไตรปิฎก....

ถามว่า สัจจะคืออะไร ?

คำตอบสั้นๆ...ตรงๆ ..คือ...สัจจะ คือ ความจริง....

เมื่อมีความจริง...ก็ขออำนาจความจริงได้.....ขอยกตัวอย่างดีกว่า...

เรื่ององคุลิมาลย์...ได้ฆ่าคน 999 คน ขาดอีก 1 ก็จะครบ 1000

คนที่เป็นแม่กลัวลูกจะถูกจับไปฆ่า...ก็รีบมาจะบอก...ถ้าเจอกัน..โดนลูกฆ่าแน่

พระพุทธองค์ได้เข้ามาช่วย...ไม่ให้องคุลิมาลย์ต้องทำมาตุฆาต

เมื่อได้พบพระพุทธเจ้า...ได้ฟังเทศน์ ...จึงขอบวช....

ขณะที่เป็นพระบวชใหม่..ออกบิณฑบาตร..

คนเห็นจำได้...ก็ตกใจกลัว...วิ่งกันเตลิดเปิดเปิง

หญิงท้องแก่คนหนึ่ง...ตกใจมาก...วิ่งหนีสุดชีวิต..ด้วยความกลัวตาย...ไปติดอยู่กับไม้ดิ้นรนสุดชีวิต...ไม่คิดว่าตัวเองกำลังมีท้อง

พระองค์คุลิมาลย์เห็นดังนั้น...ก็คิดช่วย..แต่เป็นพระบวชใหม่..ไม่มีคุณวิเศษอะไร

ก็เลยตั้งสัจจะ....คือยกเอาความจริงขึ้นมากล่าวว่า...

(ขอให้อ่านทุกคำพูดนะครับ-สำคัญมาก)

"ดูก่อนน้องหญิง ตั้งแต่เราบวชเป็นพระแล้ว...เราไม่เคยฆ่าสัตว์อีกเลย
ด้วยความสัจจ์จริงอันนี้...ขอให้ทั้งแม่และลูกจงปลอดภัย"

(เป็นคาถาขึ้นต้นว่า....ยะโตหัง ภคินี อะริยายะชาติยาชาโต.....ฯลฯ..)

ความจริงก็คือ ตั้งแต่บวชแล้ว ไม่เคยฆ่าสัตว์อีกเลย....

อำนาจของความจริงก็ทำให้หญิงคนนั้นคลอดบุตรออกมาทันที่...
ท่านว่าเปรียญเหมือนเทน้ำออกจากถ้วย....ง่ายดายและปลอดภัย

(จึงเป็นคาถาเสกดอกบัวให้หญิงมีท้องนำไปต้มกิน..ให้คลอดบุตรง่าย....มาจนทุกวันนี้)

ทุกเรื่อง..ยกเอาความจริงขึ้นตั้งก่อน...แล้วอธิฐาน...ก็เป็นไปตามแรงอธิฐาน

ขอแสดงอีกตัวอย่าง...

อย่างเรื่องนกคุ่ม...

สมัยที่พระพุทธเจ้าเสวยพระชาติเป็นนกคุ่ม...

ขณะที่ยังเป็นลูกนกอยู่..ได้เกิดไฟไหม้ป่า..ลามมาถึงรัง

พ่อนกแม่นกก็ไม่อยู่กำลังออกไปหากิน...เหลือแต่พระโพธิสัตว์ตัวเดียว...

เหตุการณ์อย่างนี้...ต้องโดนไฟคลอกตายแน่นอน...

ลูกนกคุ่มก็เลยตั้งสัจจะอธิฐาน....ว่า (ขอให้พิจารณษทุกคำว่าจริงหรือไม่)

สันติปักขาอะปัตตะนา....เรามีปีกแต่บินไม่ได้

สันติปาทาอะวันจะนา.....เรามีขาก็เดินไม่ได้

มาตาปิตา จะนิกขันตะ.....เรามีพ่อมีแม่แต่ก็ไม่อยู่

ชาตะเวทะปะติกกะมะ....ไฟเกิดขึ้นเองจงดับไปเอง

ตั้งสัจจะแล้วอธิฐาน...ไฟก็ดับโดยอัศจรรย์

(คาถานี้ก็ใช้เป็นคาถาป้องกันไฟไหม้..จนทุกวันนี้)

จะเห็นว่า...ทั้งสองเรื่อง...เป็นการยกเอาความจริงขึ้นมาตั้ง....แล้วอธิษฐาน...

ถามว่าความจริงอะไรบ้างที่สามารถยกขึ้นมาอ้างได้...

ตอบว่าได้ทุกอย่าง...ขอให้เป็นเรื่องจริง

ปัญหาถามว่าทำไมบางคนอ้างความจริงแล้วไม่เกิดผล...?

ตอบว่า...ความจริงที่อ้าง...เป็นเรื่องไม่จริง หรือจริง ไม่ทั้งหมด

กล่าวคือ จริงไม่บริสุทธิ์นั่นเอง

2 เรื่องที่ผมเล่ามา...จะเห็นว่า...ทุกคำจริงทั้งหมด..ไม่มีคำใดเท็จเลย

อย่างเช่นที่คุณโอ่ ยกเอา...พระคุณพ่อแม่ที่เลี้ยงดูป้อนข้าวป้อนน้ำเรามา...

ฟังดูเผินๆ ก็เหมือนเป็นเรื่องจริงทั้งหมด

แต่พิจารณาทุกถ้อยคำแล้ว...มีข้อบกพร่อง

แค่..ยกว่า...เลี้ยงดูป้อนข้างป้อนน้ำ...นี้ก็ไม่จริงแล้ว...

เพราะป้อนอย่างอื่นด้วย...

มิได้ป้อนแต่ข้าวกับน้ำ...ในการเลี้ยงดู...

เป็นความจริงที่ไม่บริสุทธิ์...เอามาอ้างไม่ได้ผล...

ยังมีอีกหลายเรื่องเช่น สุวรรณสาม....พระมหาชนก...โสเภณีเรียกน้ำให้เต็มแม่น้ำ...ฯลฯ

ผมจึงอยากให้ลองศึกษาเรื่องสัจจะ...ตามที่ยกตัวอย่างไว้...

ผมมิได้แสดงความเห็นเพื่อโต้เถียง...

ผมอยากให้ทราบว่า...ที่ถูกต้อง..คืออะไร..เท่านั้นเอง

คนที่ไม่เข้าใจ..ก็จะไม่ต้องกลับมาตำหนิคุณโอ่ว่า...

แนะนำอะไร...ไม่เห็นได้ผลเลย...

และต้องเข้าใจด้วยว่า...สัจจะไม่ใช่เครื่องมือ..ในการโอนกรรมกันได้

แรงของกรรม..มีอำนาจมากมายเกินกว่าแรงอื่นใดจะต้านได้

แต่อยากทำอะไรในทำนองปราถนาดี....ก็ปรารถนาได้

ส่วนว่าจะสำเร็จแน่นอนหรือไม่นั้น...ไม่ควรกล่าว...

ผลที่จะเกิดขึ้นนั้น...มีเหตุของตนเองอยู่แล้ว...

ขอแสดงแค่นี้ครับ
 
amai
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 24 พ.ค. 2004
ตอบ: 435

ตอบตอบเมื่อ: 08 ธ.ค.2004, 1:01 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สาธุ สาธุ สาธุ ยกมาหลายเรื่องเลย
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัวMSN Messenger
โอ่
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 10 ธ.ค.2004, 4:00 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

คุณสำเร็จครับ ก่อนอื่นต้องขอบคุณผู้ทำเวบที่เปิดลานธรรมจักรให้เราได้ถกกัน ถ้ามีเนื้อที่ก็จะถกกันไปนานๆ

การทำสัจจะอธิษฐาน ผมคิดว่าในชีวิตหนึ่งควรทำครั้งเดียวแค่นั้น ต้องเป็นเรื่องวิกฤติจริงๆ

เรื่องของผม ผมไม่ตั้งใจว่าจะทำสัจจะอธิษฐาน เพราะไม่เคยคิดถึงคิดก็คิดว่าเป็นไปไม่ได้

เมื่อผมเฝ้าดูผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งรายนั้น บุคคลผู้นั้นกำลังเจ็บและร้อง เขาบอกว่าถ้าตายเฉยๆไม่เป็นไร แต่ทนเจ็บนี่น่ากลัวจัง

ผมดูอยู่ และคิดว่าบุคคลผู้นี้ทำกรรมอะไรชั่วบ้าง เท่าที่ผมรู้จักเขาไม่มีเลย ผมเพ่งดูความชั่วของเขา ก็เคยเห็นเขาฆ่ามดบ้าง แมลงสาบบ้างเล้กน้อย แล้วคิดว่าความดีเขาทำอะไร ขณะนั้นจิตผมนิ่งคิด แล้วภาพความดีของเขาก็ปรากฏขึ้นในจิตตามความเป็นจริง เช่นเขาปฏิบัติต่อพ่อแม่ยังไง กับพี่น้องยังไง กับเพื่อนฝูงยังไง กับครอบครัวยังไง ภาพที่เขาสงเคราะห์คนโน้นคนนี้ปรากฏตามความเป็นจริง

และดูเขาว่าเขาปฏิบัติต่อผมยังไง ก็เห็นตามความเป็นจริง ผมหาดูความไม่ดีในทุกส่วนของเขา และหาไม่พบตามความเป็นจริง และเห็นสิ่งที่เขามีบุญคุณต่อผมไม่ขาดระยะ

พึงสังเกตในข้อที่ว่าถ้าผมทำสัจจะบารมี ผมต้องนึกถึงความจริงของผม ความจริงนั้นเป็นความเลวก็ได้ เป็นความดีเล็กน้อยก็ได้ ขอให้เป็นความจริงแท้เท่านั้น

แต่ในกรณีนี้ผมมองแต่ว่าผมไม่เคยนึกเกลียดนึกชังเขาเลยแม้แต่ครั้งเดียว และนึกว่าผมเห็นแต่ความดีที่เขามีอยู่ประจักษ์ชัดแก่ใจ นี่คือสิ่งที่ผมนึกถึงความจริงของผมโดยไม่ตั้งใจเพียงแค่นี้

แล้วความสงสารเกิดขึ้นกับผม ผมจึงตั้งจิตไปด้วยความสงสารว่าขอให้ผมได้รับความทุกข์ทั้งหมดแทนเขา และถ้าเขาตายให้ผมตายแทนเขาแล้วให้เขาหายเถอะ

ผมเชื่อเรื่องกรรม แต่การป่วยเป็นมะเร็งนั้น ผมเชื่อว่าเป็นเรื่องที่ร่างกายได้รับท็อกซิน (ตามแพทย์ทางเลือก) และสิ่งแวดล้อมเป็นพิษตามที่ต่างๆ ร่างกายของเขามีจุดอ่อนจึงทำให้เป็นมะเร็ง

ใครจะนึกว่าเป็นเรื่องกรรมและเป็นเรื่องเจ้ากรรมนายเวร? ผมก็เป็นคนสมัยใหม่ ผมนั่งสมาธิได้จริง เห็นภูติผี และรู้เรื่องบางเรื่องในอดีตได้ก็จริง แต่ผมก็ยังคิดว่าเรื่องมะเร็งนี่ต้องเป็นเรื่องของพิษที่ได้รับจากอาหาร การหายใจ และพิษจากสิ่งแวดล้อมอื่นๆ

ก่อนนั้นผมค้นคว้าเรื่องเตาเผาขยะ และมีเพื่อนทำงานกับกรีนพีซ เราคัดค้านเรื่องเตาเผาขยะในฐานะที่ทำให้สิ่งแวดล้อมเป็นพิษ และเป็นบ่อเกิดของโรคมะเร็ง

ผมไม่ติดใจเรื่องที่ผมตั้งใจว่าจะตายแทนบุคคลอื่นว่าจะมีผลอะไร แต่ความตั้งใจตอนนั้นตายได้จริง บุคคลผู้นี้ผมสามารถตายแทนได้ทุกชาติเลย ไม่ใช่นึกเล่นๆ ในอนาคตก็สามารถจะทำอย่างนี้ได้ นี่เป็นสัจจะและความจริง

การระลึกถึงความเป็นจริงนี่ มิได้ตั้งใจว่าจะทำสัจจะบารมี แต่สิ่งที่ได้ทำมาคิดภายหลังว่าเป็นสัจจะบารมี

ต่อมาผมเห็นนิมิตว่า มีผงสีดำออกมาทางแขนของบุคคลผู้นั้น เหมือนควันออกมาเป็นรูปกรวยอันใหญ่ แผ่กระจายกว้าง ผมนึกทันทีว่าสิ่งนี้เป็นอะไรไม่รู้ แต่มีความประสงค์ร้ายอย่างมาก ส่งจิตออกจากกายไปต้านผงสีดำที่กระจายนั้น เจ้าผงนั้นรวมตัวคลุมจิตผมไว้ทุกด้าน แล้วรวบเข้ามาในร่างกายรู้สึกตัว ผมไม่รู้ว่าสิ่งนี้คืออะไร แต่ในชีวิตไม่เคยเห็นสิ่งน่าพรั่นพรึงเช่นนี้มาก่อน

ต่อมามะเร็งที่ลามสู่ระยะที่สามนั้น ก็หายไปเหลืออยู่นิดเดียวจากการเอ็กซเรย์ปอด ผู้ที่เป็นศาสตราจารย์มีความรู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับโรคมะเร็งที่รามาธิบดี ซึ่งมีอยู่เพียงคนเดียวในประเทศไทย

หมอคนนี้เป็นผู้เชี่ยวชาญที่คนไข้ทั้งประเทศอยากรักษากับเขา แต่คนไข้รายที่ผมเล่าไม่ยอมรักษากับเขา และปฏิเสธการให้คีย์โม หมอท่านมีน้ำใจมาก มาขอร้องว่าคนไข้ก็เบิกได้ไม่เดือดร้อนอะไร และหมอเต็มใจดูแลคนไข้ เพราะหมอทำงานวิจัยด้วย ผมบอกคนไข้ว่าให้หมอดูเอ็กซเรย์อย่างเดียว และขอไม่รับการรักษา

หมอเลยดูฟิล์มให้ทุกเดือน ในเดือนที่ 7 หมอแปลกใจมาก และบอกว่าฟิล์มดีขึ้น และเขียนว่าคนไข้รายนี้ดูแลตัวเองยังไง ถ้าหมอคนต่อไปมาตรวจ ไม่ต้องรักษาอะไร ให้เขาดูแลตัวเองตามที่เคยดูแล

ผมเข้าใจว่าเพราะกินอาหารแบบชีวจิต มะเร็งถึงหายไปได้ แต่ผมเริ่มรู้สึกไม่สบายลงเรื่อยๆ และไปหาหมอ เพื่อนที่เป็นหมอบอกว่าไม่เห็นมีโรคอะไรเลย ตรวจยังไงก็ไม่พบ

ผมงงและคิดว่าเราเป็นโรคอะไรกันแน่ บางวันพอล้มตัวลงนอน มีอะไรสั่นในร่างกาย และมีเหมือนอะไรคุยกัน เงี่ยหูฟังมันก็เงียบไปอีก มันอะไรกันแน่ แต่ผมก็ไปคุยเสียใหญ่ว่าสามารถใช้อาหารรักษามะเร็งได้ ตามวิธีการของผม จนเพื่อนๆ คนที่เป็นมะเร็งยกโขยงกันมาที่บ้านไม่ขาดสาย ผมก็สาธิตเรื่องของอาหาร เรื่องวิธีการดูแลคนป่วย ยังกะผู้ชำนาญการ

แต่ตัวเองเหมือนป่วยลงเรื่อยๆ รักษาตนเองก็ไม่ได้ พยายามทำสมาธิ เพราะครั้งหนึ่งผมเป็นเนื้องอกที่คอแล้วเพ่งหาย สมาธิไม่รวมมันมีอะไรมาขัดอยู่ นึกว่าเพราะเรายุ่งงานไม่ทำมานานก็พยายามทำ จนวันหนึ่งขณะที่เจ็บมีอะไรเต้นอยู่ในอก สมาธิเกิดรวมเบาๆครั้งหนึ่ง อาการในร่างกายหายไป และทุกอย่างหยุดนิ่ง ผมร้องดังหามันมีอะไรอยู่ในร่างกายของเราหรือนี่ มันไม่ใช่โรคนี่หว่า

ผมจึงเพ่งมองดูในร่างกาย เพราะเคยเพ่งดูได้บ้างเมื่อครั้งก่อน ใช้เวลาพากเพียรเพ่งอยู่หลายวัน จึงเห็นสิ่งที่อยู่ในร่างกาย และเห็นมันเคลื่อนไหว เป็นวัตถุสีดำ ต่อมาผมทำสมาธิมากขึ้น แล้วก็เพ่งเห็นวกวิญญาณลักษณะต่างๆ จำนวนมาก ทำอย่างไรก็เอาออกจากร่างกายไม่ได้ และได้เผชิญกับสิ่งที่น่าหวาดกลัวเป็นครั้งแรก ผมได้เห็นวิญญาณประสงค์ร้าย

มันมีอำนาจทำให้เราเหมือนเป็นบ้าเป็นหลัง เป็นเวลาหลายอาทิตย์ที่ผมเป็นทุกข์หนัก และใช้สมาธิแก้ปัญหาไม่ได้ เพราะเห็นชัดขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุดผมเผชิญหน้ากับสิ่งนั้น และแผ่เมตตา ความร้ายกาจนั้นอ่อนลง ความโกรธนั้นอ่อนลงมาจนเป็นมิตร และวิญญาณร้ายนั้นจากไป แต่ตัวอื่นๆ นับไม่สิ้นเข้าคิวกันเข้ามาไม่รู้จบ

บุคคลที่ผมขอตายแทนนั้น มีอาการดีขึ้นราวกับหายจากโรค แข็งแรงสดชื่น และเข้าใจว่าตนเองหายจากโรค ในเวลานั้นผมฝันและมีสมาธิในฝัน ไปยังที่แห่งหนึ่ง ณ ที่นั่น เหมือนสำนักงาน มีคนๆ หนึ่งมีสมุดในมือ กางมาแล้วบอกว่าคนที่ผมขอตายแทนนั้น จะต้องตายในอีกไม่เกินสามปี ผมเถียงว่าเรารักษาตนเองหายแล้ว ให้มีการแก้ไขเรื่องนี้ ให้เขายอมรับว่าเรารักษาโรคมะเร็งหาย

เขาไม่ยอม และผมมีจิตเป็นสมาธิอยู่ จึงใช้กำลังต่อสู้กัน คนที่อยู่ ณ ที่นั่น แยกออกและผลักผมออกมาให้ตื่นจากฝัน

ต่อมาสองปีเศษ บุคคลที่ผมเล่าก้กลับเป็นมะเร็งอีก และเสียชีวิต แต่เขาได้ทำบุญอย่างเต็มที่ในช่วงเวลาเกือบสามปี เมื่อตายแล้วก็เข้าสู่สุคติสวรรค์

วิญญาณที่กำหนดชะตากรรมให้บุคคลนั้นตายไป ได้แสดงนิมิตให้เห็นเหตุการณ์อดีตชาติ และบอกว่าเคยเกิดเป็นใคร

และผมเห็นเจ้ากรรมนายเวรด้วยการหลับตาเพ่งดู และมากระทบร่างกาย เช่นเอาวัตถุมาแทง รู้สึกถึงความเจ็บปวด เมื่ออุทิศส่วนกุศล ถ้าเขามาทำร้ายจนสาสมแล้ว เขาจะอนุโมทนาบุญ อาการเจ็บจะออกไปทางผิวหนังแล้วหายในพริบตาเดียว รายใหม่ก็เข้ามา บางรายมายืนแล้วไม่กล้าเข้า ต้องเชิญเข้ามา ส่งจิตไป

หน้าตามีรูปแบบไม่ซ้ำกัน และอาศัยทุคติภูมิ ร่างกายมีความร้อนเป็นอย่างมาก ผมสามารถเอามือคลำในที่ว่างขณะพวกเขามายืนอยู่ โดยสัมผัสความร้อนที่ร้อนกว่าแสงแดด และรู้ความสั่นสะเทือนนั้น ถ้าเพ่งดูสักพักภาพของพวกเขาจะปรากฏ

นี่เป็นการเห็นเจ้ากรรมนายเวร บางพวกมาบอกและแสดงให้เห็นในฝันว่าชาตินั้นๆ มีสังคมเป็นสภาพอย่างนั้น เราเกิดเป็นอย่างนั้น เคยทำอะไรต่อกันอย่างนั้น แล้วทำให้ตื่น เมื่อตื่นปรากฏว่าเขามารออยู่แล้ว โดยคลำดูด้วยมือ แล้วต้องให้เขาเข้ามาแทงหรือทำร้ายร่างกาย วิธีการของเจ้ากรรมนายเวรมิได้เหมือนกันหมด แต่คล้ายๆกัน

นี่เป็นวิธีการรับกรรมทั้งของเรา ทั้งกรรมที่โอนมาได้ในส่วนนั้น ที่เจ้ากรรมนายเวรยินยอม แต่ผมกับบุคคลที่ผมขอโอนกรรมของเขามานั้น ก็ได้ทำกรรมร่วมกันทั้งดีชั่วในอดีตหลายชาติด้วย

(ผมจะต่ออีกสักหน่อย)
 
โอ่
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 10 ธ.ค.2004, 4:24 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เมื่อเร็วๆ นี้ มีคนเสียเงินเพื่อรักษาโรคมะเร็งถึง 10 ล้านบาท แต่รักษาไม่หาย ไม่สามารถยื้อชีวิเอาไว้ได้

ผมคิดว่าถ้าชาวพุทธมีความเชื่อเรื่องเช่นนี้ ย่อมยื้อชีวิตคนป่วยไว้ได้ และเอาคนป่วยนั้นทำบุญให้เต็มที่ แม้จะตายในภายหลังก็ไม่ต้องเสียดายชีวิต

ในกรณีคนมีเงินอาจซื้อชีวิตได้ เช่นยกตัวอย่างว่ามีคนป่วย และมีลูกหลายคน ก็ให้ลูกตั้งใจโอนกรรมบางส่วนที่โอนได้ สำหรับเจ้ากรรมนายเวรที่พร้อมจะโอนกรรมให้เพื่อเอาบุญหรือรับเอาบุญ

ผมเชื่อว่าพอทำได้ และเห็นผลแน่นอนสำหรับโรคมะเร็ง แต่การที่ลูกจะอธิษฐานนั้น ต้องนึกถึงความจริงของพ่อแม่ แล้วนึกความจริงที่สัมพันธ์กัน แล้วอธิฐานว่าขอรับกรรมสักกี่ส่วน ตั้งใจให้แน่วแน่ย่อมมีผล

แต่สิ่งเหล่านี้มีโทษมากต่อชีวิตปัจจุบัน การคิดจะต้านทานกรรมให้เลิกคิด ต้องทำบุญให้มาก

ถ้าคนมีเงินเป็นสิบล้าน ไม่ต้องไปซื้อคีย์โม ผมแนะนำให้สร้างวัดหรือสำนักสงฆ์แบบง่ายๆ แล้วหาพระมาอยู่ และบวชภิกษุเข้าไปอยู่ในวัดให้มาก เตรียมที่สำหรับภิกษุเรียนปริยัติ และปฏิบัติกรรมฐาน

ควรเอาโครงการปฏิบัติแบบของคุณแม่สิริ กรินชัย หรือจำลองโปรแกรมคล้ายๆ กัน สนับสนุนส่งเสริมให้คนปฏิบัติกรรมฐานให้ตลอดในวัดหรือสำนักสงฆ์ที่สร้างขึ้น

คนป่วยและลูกหลานคนป่วยนั้นต้องถวยทานด้วยมือทุกวัน สวดมนต์และภาวนา กำหนดชั่วโมงปฏิบัติให้ได้ไม่ต่ำกว่าหกชั่วโมงต่อวัน มีการฟังเทศน์และศึกษาพระธรรม

พยายามรักษาอุโบสถศีลไว้ให้ได้มาก ไม่น้อยกว่าวันอุโบสถที่มีอยู่

ปฏิบัติอย่างนี้ อาการป่วยจะต้องชะงักและหยุดไปหลายปี ถ้ากรรมยังมีก็ใช้เขาไป และความกลัวตายจะไม่มีขึ้นในจิตเลย

ผมเชื่อเราชะงักมะเร็งให้สะดุดหยุดอยู่ได้แน่ แต่จะหายขาดหรือไม่เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่บางคนมีฐานะโอกาสในการทำได้มากกว่าบางคน บางคนก็ด้อยโอกาส แต่ผู้ชายสามารถบวชในพระศาสนาได้ แต่คนที่ป่วยเป็นมะเร็งเมื่อรู้ตัวก็ไม่เห็นมีใครบวช และน้อยที่จะเข้าไปปฏิบัติธรรมอย่างจริงจัง
 
สำเร็จ
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 10 ธ.ค.2004, 5:54 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

อ่านเรื่องของคุณโอ่แล้วก็ชอบใจ...ที่เป็นคนมีความกรุณามาก
ก็สมควรครับ..คนเราถ้าช่วยอะไรกันได้ก็ควรช่วยกัน

เรื่องที่แสดงมา..ก็ทำให้คิดว่า..ยังมีเรื่องลี้ลับที่ยากต่อการอธิบายอีกมาก
แต่ในการแสดงความเห็น..คงต้องเอาเรื่องในพระไตรปิฎกมาประกอบบ้าง

การสรุปเรื่องกรรม...ควรหาที่มาให้รอบคอบ...
พลาดไปก็จะทำให้ไปเหมือนกับบางศาสนา...

เคยมีแสดงไว้...
บางคนทำดีตลอดชีวิต..ตายไปตกนรกก็มี
บางคนทำชั่วตลอดชีวิต...ตายไปขึ้นสวรรค์ก็มี

กรรมของแต่ละคน..มีมากแทบท่วมจักวาล...
จะรู้ว่า..กรรมใดจะให้ผล...เป็นเรื่องยาก...ต้องเป็นพระพุทธเจ้าเท่านั้นที่สามารถรู้ได้

เรื่องกรรมนี้เป็นธรรมชาติที่...เป็นไปโดยอัตโนมัติ..
ใครก็ไปจัดการไม่ได้...ท่านเรียกว่า "กรรมนิยาม"
มันต้องเป็นไปของมันเอง...อย่างนั้น...และ..อย่างนั้น

อุปมาเช่นน้ำฝนตกในที่ดอน...ย่อมไหลลงที่ลุ่มเสมอ...
ไม่อยู่ในอำนาจของใคร...
อีกกี่พันชาติ...ก็เป็นอย่างนี้...เป็นอย่างนี้...ไม่เปลี่ยนแปลง

หัวข้อกระทู้พูดถึง...การโอนกรรม...
จึงต้องจับหลักว่า..โอนได้หรือไม่ได้ ?

บางท่านก็มีความเห็นว่า...โอนกันได้..
บางท่านก็มีความเห็นว่าโอนไม่ได้...

ผมก็ขอออกความเห็นบ้าง...ด้วยผู้หนึ่ง...ขอเพียงเล็กน้อยและสั้นๆว่า..

ถ้าคุณโอ่ทำความดีมาตลอด..ไปขอรับกรรมแทนคนอื่น..
ถ้าคุณโอ่ต้องรับกรรมที่ตัวเองไม่ได้ทำ..แล้วเรื่องนี้เป็นไปได้

หลักการ "ทำดีได้ดี ทำชั่วย่อมได้ชั่ว" ย่อมผิดไป
คำสอนของพระพุทธเจ้าก็จะกลายเป็นเท็จ
กฏแห่งกรรมก็ไม่มี...
เลยเข้าทางศาสนาอื่นอย่างเต็มเปา...

ขอให้ระมัดระวังด้วยครับ...การรับกรรมแทนกัน...
มีในศาสนาอื่น....ไม่มีแสดงไว้ในศาสนาพุทธ...

และเป็นหลักใหญ่ในศาสนาบางศาสนาด้วย...
จึงต้องระมัดระวังการแสดงธรรมให้มากครับ..

ผมขอแสดงความเห็นแค่นี้ครับ...ลองฟังท่านอื่นดูบ้าง
 
โอ่
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 10 ธ.ค.2004, 9:28 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ผมอยากจะบอกอดีตชาติให้รู้ คุณส่งอีเมล์มาดูมั้ย คุณจะพิจารณาเรื่องกรรมได้ชัด ในอดีตเขาเป็นพี่น้องกับผม เป็นชื่อที่คนรู้จักทั้งโลก เป็นผู้มีกรรมมาก เพราะไปฆ่าคนแล้วผูกมัดติดกัน ฝังซ่อนไว้
 
สำเร็จ
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 10 ธ.ค.2004, 11:30 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ขอบคุณครับคุณโอ่..ที่จะบอกอดีตชาติให้..
ถึงสิ่งที่คุณบอกจะป็นเรื่องจริง..
ผมเองก็ไม่ทราบอดีตของผมอยู่ดี.....เพราะ

เรื่องที่คุณจะบอก..ยังมีปัญหาว่า...ผมจะเชื่อหรือไม่
จึงหาประโยชน์อะไรไม่ได้..ที่จะทราบ
หาประโยชน์ไม่ได้ที่จะใช้วิธีนี้...

มีแต่จะโต้เถียงไม่สิ้นสุด....
สุดท้ายก็จะไม่รู้ว่าโต้เถียงกันเรื่องอะไร...

ผมบอกว่าผมขอแสดงความเห็นบ้าง..
ผมไม่ได้บอกว่าความเห็นของคุณ...ผิด
คุณจะไม่ปรับความคิดของคุณก็ไม่เห็นเป็นอะไร...

การแสดงความเห็นในบอร์ดมีคนดูมากมาย...
คนเหล่านั้นเลือกที่จะ...เสพความเห็นอะไรก็ได้

ขอขอบคุณที่จะช่วยชี้ทางสว่างให้ผม
ขอเรียนด้วยความเคารพว่า...ผมไม่เห็นประโยชน์อะไร
ผมจึงขอ..ไม่ทำตามที่คุณต้องการครับ
 
โอ่
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 26 ธ.ค.2004, 4:45 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

จริงๆ แล้วผมไม่ได้ต้องการบอกว่าเพื่อเป็นความเชื่อหรือไม่หรอกครับ ที่ได้พูดอย่างนั้นไป เพราะเป็นเรื่องการโอนกรรม เพราะพอบอกถึงถึงแม้คุณจะไม่เชื่อ แต่ก็เอาไปพิจารณาถึงบุคคลที่เกี่ยวพันกับในชาติว่าพฤติกรรมที่เป็นมาอย่างนั้นนั้นการโอนกรรมมันเกี่ยวพันกันมาก หรือว่าคนปรกติธรรมดาจะโอนกรรมกันได้หรือไม่

เพราะมันมีประโยชน์ในการพิจารณาในส่วนนี้เท่านั้น มันเป็นข้อมูลในการที่จะคิดในเรื่องนี้ ไม่ได้ตั้งใจจะบอกสิ่งอื่น เพราะว่าชติในอดีตนั้นไม่ได้เป็นสิ่งจะภูมิใจได้ แต่ว่าเราต้องยอมรับในความจริงของเราที่ได้รับทุกข์อันสาหัสในอดีตชาตินั้นยิ่งกว่าใครๆ และเป็นที่รับรู้ของคนทั้งโลกเท่านั้นเอง
 
บัวหิมะ
บัวเงิน
บัวเงิน


เข้าร่วม: 26 มิ.ย. 2008
ตอบ: 1273

ตอบตอบเมื่อ: 24 ส.ค. 2008, 3:06 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เพิ่งทราบว่า โอนกันได้ด้วย แปลกดีน้อ สาธุ สงสัย
 

_________________
ชีวิตที่เหลือเพื่อธรรมะ
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง