Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 ขอ..เชื่อพระพุทธเจ้าเพียงบางอย่าง.. อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
montasavi
บัวพ้นดิน
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 17 มิ.ย. 2007
ตอบ: 84

ตอบตอบเมื่อ: 24 พ.ย.2007, 8:52 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

Image

พุทธศาสนาในสายตาแม่ชีฝรั่ง

ศาสนาพุทธในสายตาของฉันนั้นไม่ใช่เป็นเพียงแค่ศาสนา แต่ยังเป็นปรัชญาชีวิต เราไม่จำเป็นที่จะต้องเชื่อทุกสิ่งทุกอย่าที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ ชีวิตของเราไม่ได้ขึ้นอยู่กับพระผู้เป็นเจ้าดลบันดาลให้เป็นไป แต่ชีวิตเป็นของเรา เราสามารถที่จะมีชีวิตที่ดีได้ หรือไม่ดีก็ได้อยู่ที่การทำตัวของเราเองเราเท่านั้นที่เป็นที่พึ่งของตัวเรา พระพุทธเจ้าไม่เคยทรงตรัสว่าให้เชื่อ แต่ท่านสอนให้เราหาความจริงด้วยการปฎิบัติเอง พิสูจน์ทดสอบธรรมะที่ท่านตรัสไว้ ด้วยการปฎิบัติให้รู้จริงด้วยตัวเอง คำนี้เองที่ทำให้ฉันสนใจพุทธศาสนา ที่ฉันไม่ต้องทำตัวเหมือนเป็นลูกแกะ ที่เอาแต่เดินตามคนเลี้ยง

ด้วยคำสอนของครูบาอาจารย์เราก็สามารถนำมาเป็นวิถีทางแห่งการปฎิบัติ แต่ทุกคนก็ยังคงต้องปฎิบัติ ด้วยตนเอง ไม่มีใครมาทำแทนให้ได้ เราควรดีใจที่วันนี้ยังมีครูบาอาจารย์ที่พอจะมีความรู้จากประสบการณ์มาถ่ายทอดให้ด้วยตัวเอง สอนในวิถีทางที่ถูกต้องซึ่งสำคัญมาก เราไม่สามารถเข้าใจได้ ถ้าเราฟังธรรมะแต่เพียงอย่างเดียว เราจะได้ความรู้จากการอ่าน แต่ถ้าเราต้องการจะรู้จริงให้ลึกซึ้ง ต้องปฎิบัติด้วยตนเอง เป็นทางเดียวที่จะรู้ได้ บางครั้งมีคนมาถามฉันเกี่ยวกับพระเจ้าว่า พระเจ้ามีจริงหรือไม่ ฉันก็ตอบว่า "พระเจ้ามีจริง แต่ ฉันเชื่อในแนวทางที่พระพุทธเจ้าสอน พระพุทธเจ้ารู้ทุกอย่างในโลกนี้ รู้ทั้งจักรวาล พระองค์ยังคงรู้เรื่อง พระเจ้าด้วย และท่านยังคงรู้ว่าใครสร้างเรา นั่นก็คือตัวเราสร้างตัวเราเอง"

บริจิต สล็อตเทนเบเชอร์
http://www.vimokkha.com/nunbrigittet.htm
http://www.komchadluek.net/column/pra/2004/06/29/02.php

ดูที่มา : http://www.tlcthai.com/club/list_topic.php?club=buddhism&club_id=1278&table_id=1&cate_id=788

วิบากกรรม

มีทุกข์และการดับทุกข์อยู่ที่ใจเรานี้เอง ไม่มีใครมาลงโทษเราเว้นตัวเราเองที่จะได้รับผลแห่งการกระทำของเรา ไม่มีใครให้รางวัลเราโดยที่เราไม่ได้ทำความดีอะไร ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว นั่นคือสิ่งทั้งหมดที่เป็นไป ไม่มีพระเจ้าสร้าง เราสร้างทุกอย่างเอง เราเห็นวิบากกรรมอย่างนี้ เราจะระมัดระวังการกระทำของเรา บาปที่เราทำมันจะย้อนกลับมามีผลกับตัวเราเอง

จากการที่เข้าใจอย่างนี้ ความกลัวในการทำบาป ความละอายต่อบาป จะเกิดขึ้นในใจ ไม่ใช่กลัวว่าพระเจ้าจะลงโทษ เราเข้าใจในบาปที่เราทำไปว่ามันจะมามีผลกับเราอยู่ในใจเรา ตลอดเวลา เมื่อมากๆ ขึ้น ผลมันก็ก่อให้เกิดทุกข์ให้กับเรา และทุกอย่างที่เราทำดีมันก็จะเป็นวิบากกรรมที่ก่อให้เกิดความสุขทุกอย่างอยู่ที่เราเลือก ทุกข์หรือสุขเราเลือกเอง

ความดับทุกข์

สิ่งหนึ่งที่สำคัญในคำสอนของพระพุทธเจ้าคือ ความดับทุกข์ ไม่มีเกิด ไม่มีแก่ ไม่มีเจ็บ ไม่มีตาย มันมีผลทำให้เราไม่ติดสุขไม่ติดทุกข์ มีอุเบกขา ที่เรียกว่านิพพาน

ไม่มีคำสอนในศาสนาอื่นใด สอนทางออก ทางแก้ทุกข์ในเรื่องของการเกิด การแก่ การเจ็บ และการตาย ที่เรียกว่า "สังสารวัฎร" แน่นอนว่าทุกศาสนานั้นดี อยากให้ทุกคนเป็นคนดี เค้าสอนเรื่องศีลจะได้ไม่มีบาป ไม่ไปเกิดในนรก หรือไปเกิดเป็นเปรต เป็นสัตว์เดรัจฉาน สอนให้คนทำดี เกิดมาอีกที่อย่างน้อยก็ขอให้ได้เป็นคน ที่ไหนมีการสอนทางออกจากสังสารวัฎเป็นไม่มี และด้วยพระกรุณาอันยิ่งใหญ่ที่พระพุทธเจ้าท่านทรงสั่งสอนศิษย์ ที่เรียกว่า มรรคองค์แปด ธรรมะที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ไว้ ให้เราดูทุกข์ สมุทัย นิโรจ มรรค และทางดับทุกข์ โดยดับสมุทัย เราสามารถทำได้โดยปฎิบัติตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า และนี่คือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเมื่อ 2500 ปีมาแล้ว จนทุกวันนี้มีลูกศิษย์สำเร็จมรรคผลเป็นล้านคนได้ เราโชคดีที่เรายังมีพระอริยเจ้าคอยสั่งสอน เราจึงไม่ควรจะเสียเวลา มาดับทุกข์ของตัวเราเองเลย และมาสำรวจดูความสงบสุขและการหลุดพ้นกัน

ความกรุณา

บางครั้งคนเรามักจะพูดถึงพระและแม่ชี รวมถึงผู้ปฎิบัติธรรมอื่นๆ ตามแนวทางการปฎิบัติพุทธศาสนาแบบเถรวาทว่า เป็นการปฎิบัติเพื่อตัวเองเท่านั้น พวกเค้าต้องการทางหลุดพ้นจากความทุกข์และสังสารวัฎร โดยไม่เอาใจใส่ต่อผู้อื่น แต่สำหรับฉันไม่ได้คิดเช่นนั้นกับแนวทางการปฎิบัติเพื่อพัฒนาสติปัญญา แต่ถ้าปราศจากความเมตตากรุณาต่อผู้อื่น พวกเค้าเหล่านั้นก็ไม่สามารถจะบรรลุถึงปัญญาได้

ฉันเห็นว่าบางเวลา ฉันก็สามารถทำให้บางคนมีความสุขได้ และฉันก็มีความสุขใจยิ่งกว่า และ ความสุขใจนั้นทำให้การปฎิบัตินั้นง่ายขึ้น ถ้าใจเราไม่มีความสุขก็ยากที่จะปฎิบัติให้ได้ผลดี ดังนั้นการที่ฉันช่วยให้ผู้คนมีความสุขนั้นก็เท่ากับช่วยตัวฉันเองด้วย ถ้าเราพบว่าเรายังมีความความทุกข์อยู่ ซึ่งเป็นธรรมดาของมนุษย์ผู้ที่ยังเวียนว่ายตายเกิด เราก็จะรู้ได้ว่าไม่ใช่แต่เราเท่านั้นที่ยังมีความทุกข์ แต่มนุษย์ทุกคนที่ยังเวียนว่ายตายเกิดอยู่ต่างก็เผชิญกับความทุกข์ทั้งนั้น

การที่ได้พบกับอาจารย์ที่สามารถชี้ทางออกจากทุกข์ให้กับเราได้นั้นนับว่าโชคดีที่สุดแล้ว เราจะสามารถปฏิบัติเพื่อหลุดพ้นจากทุกข์ด้วยตัวของเราเอง หรือ สำหรับฉันแล้วมันไม่เพียงพอ การมีครูบาอาจารย์นั้นสำคัญมาก ถ้าเรายังคงเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในสังสารวัฎร

ดังนั้นจะดูเหมือนว่า เป็นเหตุเป็นผลกันกับที่เราทำกรรมไว้ทุกสิ่งทุกอย่าง แม้ว่าเราจะจำไม่ได้แล้วก็ตามว่า ทำอะไรไปบ้าง กรรมดี กรรมชั่ว ถ้าเราสามารถระลึกได้ว่า คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเรานี้เคยเป็นแม่ของเราเมื่ออดีตชาติใดชาติหนึ่ง และเค้ากำลังเผชิญความทุกข์อยู่ เค้าอาจจะไม่เชื่อว่าทำอย่างไรจะพ้นทุกข์ได้ แต่ทำไมเราจะไม่ช่วยเค้าคนนั้นหรือ นี้เป็นสิ่งที่สำคัญส่วนหนึ่งในการปฎิบัติ เพื่อนนักปฎิบัติธรรมในคอร์สเข้มข้นของฉันบางคน ยังคงไม่ลืมสิ่งต่างๆ บางครั้งที่ปฎิบัติเสร็จแล้วพวกเค้าก็ได้แผ่เมตตาให้กับครูบาอาจารย์ พ่อแม่ บุคคลอันเป็นที่รัก และ สรรพสัตว์ทั้งหลาย และบุคคลที่ต้องการความช่วยเหลือทางด้านจิตใจและจิตวิทยา การให้ความช่วยเหลือกับ บุคคลที่แตกต่างกันก็ต้องใช้ความสามารถที่แตกต่างกันไป และทางใดที่พวกเค้าสามารถจะช่วยเหลือให้กับผู้อื่น มีความสุขได้ ถึงแม้ว่าจะเป็นวิถีทางที่แตกต่างออกไปก็จะทำ สิ่งนี้คือธรรมมะ บางครั้งอาจจะมาก บางครั้งอาจจะน้อย แต่ถ้าปราศจากความเมตตากรุณา ปัญญาก็จะไม่เกิด ฉันเองก็ต้องการที่จะแผ่เมตตาของฉันที่มีให้กับผู้อื่นและสรรพสัตว์ทั้งหลาย ให้บังเกิดความสุขทั้ง ในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต และสิ่งใดก็ตามที่จะพัฒนาการการให้และสติปัญญาอันจะนำไปสู่นิพพาน

บริจิต สล็อตเทนเบเชอร์
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Email
admin
บัวทอง
บัวทอง


เข้าร่วม: 15 ธ.ค. 2004
ตอบ: 1886

ตอบตอบเมื่อ: 24 พ.ย.2007, 9:04 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

Image

พุทธศาสนาในมุมมองของ...แม่ชีฝรั่ง (แม่ชีบริจิต)
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=8911
 

_________________
-- การให้ธรรมเป็นทาน ชนะการให้ทั้งปวง --
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัว
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773

ตอบตอบเมื่อ: 24 พ.ย.2007, 2:50 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

อ้างอิงจาก:
ขอ..เชื่อพระพุทธเจ้าเพียงบางอย่าง


พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ใน กาลามสูตร ว่า

อย่าเพิ่งด่วนสรุปเชื่ออะไรง่ายๆ

ท่านบอกว่า จะเชื่อเมื่อได้ไต่ตรอง และ พิสูจน์แล้ว-พิสูจน์อีก จนแน่ชัด.....


หลวงปู่ ชา สุภัทโท ท่านเคยเล่าไว้ในบทธรรมเทศนาของท่านว่า
ครั้งหนึ่ง พระสารีบุตร ท่านนั่งฟังพระธรรมเทศนาจากพระพุทธองค์อยู่....
หลังเทศน์เสร็จ พระพุทธองค์ทรงถามพระสารีบุตรว่า เชื่อที่พระองค์กล่าวหรือไม่???
พระสารีบุตร ท่านทูลโดยตรงว่า "....ยังไม่ปักใจเชื่อพระเจ้าข้า...."
นอกจาก พระพุทธองค์จะไม่ทรงตำหนิพระสารีบุตรแล้ว ยังสรรเสริญว่าถูกต้องแล้ว ที่ท่านพระสารีบุตรกล่าวเช่นนั้น
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
bad&good
บัวใต้น้ำ
บัวใต้น้ำ


เข้าร่วม: 06 ส.ค. 2007
ตอบ: 115

ตอบตอบเมื่อ: 28 พ.ย.2007, 9:06 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สิ่งที่จะกล่าวต่อไปนี้ ขอให้ถือว่าเป็นความคิดเห็นของข้าพเจ้าทั้งสิ้น
หากต้องทำให้ผู้หนึ่งผู้ใด ไม่สบอารมณ์ ก็ขอให้ อภัย เป็นการล่วงหน้า
.........................................................................................................
ผู้ที่เป็นแพทย์ มีความชำนาญรักษาโรค เฉพาะทาง ด้านนั้นอย่างชำนาญ
เมื่อไปสอน นักเรียนแพทย์ผู้ที่ไม่มีความรู้ทางการแพทย์ เป็นเด็กฝึกหัด

ข้าพเจ้าเชื่อว่า แพทย์ผู้เชี่ยวชาญนั้น สามารถสอนให้นักเรียนแพทย์เหล่านั้น เกิดความรู้ด้านการแพทย์ได้
เว้นแต่นักเรียนแพทย์นั้น ดื้อรั้นมาก ไม่ทำตาม ความรู้บางอย่างนั้นจึงไม่มี สอบไม่ผ่าน และเกิดเป็นปัญหากับนักเรียนแพทย์นั้น ในอนาคต เพราะเมื่อพบปัญหาดังกล่าว ไม่สามารถแก้ปัญหานั้นได้ ด้วยว่า ไม่ใส่ใจ ไม่สนใจ ไม่ยอมรับ
........................................................................................................
พระพุทธเจ้า ก็มีความรู้เฉพาะทางเช่นกัน คือ เชี่ยวชาญในการดับกิเลสให้หมดทุกข์สิ้นเชิง
พระองค์ได้ผ่านการฝึกฝนมาหลายสำนัก
ฝึกฝนด้วยตนเอง เมื่อหมดภูมิความรู้จากอาจารย์หลายสำนักแล้ว
การสังเคราะห์จึงเกิดขึ้นใหม่
การค้นพบ จึงเกิดขึ้นใหม่

นักวิทยาศาสตร์ระดับโลก หลายคน ก็ผ่านสิ่งนั้นมาแล้ว ผ่านการใช้ อิทธิบาท 4 มามาก
ผ่านการใช้ สติปัฏฐาน 4 (จดจ่อทำแต่เรื่องนั้นให้สำเร็จ ให้จงได้) การทำอะไรบ่อย ๆ ทำให้ละเอียดมากขึ้น ชำนาญมากขึ้น จนได้ผลสิ่งนั้น

แต่การฝึกทำแต่เรื่องเพิ่มกิเลส ปัญหาอื่น ย่อมเกิดขึ้นทับซ้อนใหม่ แก้ปัญหาไม่มีวันจบ
ซึ่งต่างจากการพยายามดับกิเลสให้มากที่สุด ปัญหาอื่น จึงไม่ทับซ้อน ไม่ยุ่งเหยิง จึงรู้สึกสงบขึ้น
สบายขึ้น
....................................................................
บท กาลมสูตร ใช้เพื่อเตือนสติ ผู้ที่มีกิเลส อย่าไปพยายามเรียนรู้ลัทธิความเชื่ออื่น ซึ่งเพิ่มกิเลส
ทำให้จิตไม่หลุดพ้นจากกิเลส

แต่นักวิชาการส่วนใหญ่ ก็มักใช้บทกาลสูตร มาผสมโรงกับเรื่องวิชาการความรู้ด้านอื่น ด้านทางโลก หารู้ไม่ว่า วิชาการทางโลกโดยส่วนใหญ่เพิ่มกิเลสทั้งสิ้น การใช้บท กาลมสูตร จึงเป็นคำตอบที่ถูกต้องทุกข้อ สำหรับความรู้อันเกิดจากทางโลก

ข้าพเจ้าเชื่อว่า พุทธศาสตร์เป็นเรื่องที่แสดงไว้ดีแล้ว เป็นเรื่องที่ต้องให้ผู้อื่นเรียนรู้ด้วยตนเอง
เป็นเรื่องที่ผู้อื่นเรียนได้เข้าใจ สามารถทำให้พ้นทุกข์สิ้นเชิงในที่สุด อย่าได้ลังเลสงสัย เชื่อบ้างไม่เชื่อบ้าง

ดังนั้น ความลังเลสงสัยในพุทธศาสตร์ ความที่เกิดสังโยชน์ 10 ต่อพุทธศาสตร์
จึงทำให้มนุษย์ผู้มีกิเลส ไม่พ้นทุกข์(บางเรื่อง)
(ข้าพเจ้าจึงขอย้ำว่า ความลังเลสงสัยในคำสอนของพระพุทธเจ้า นั้นแล คือ สังโยชน์
ไม่ได้รวมถึงความลังเลสงสัยอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับ พุทธธรรม เพราะเรื่องทางโลก มันเป็นเรื่องง่ายจะตอบว่า กิเลสไม่หมด ความสงสัยในการทำดีแบบทางโลก(มีกิเลสเจือ) จึงได้ผลไม่ค่อยดีแบบนี้ ไม่ใช่สิ่งที่เป็นผลดี ตามที่เข้าใจว่า ทำดีย่อมได้ดี ไม่น่าจะเป็น ทำดีกลับได้รับผลชั่วตอบแทน )
ต่างจากมนุษย์ผู้เห็นดี เห็นงาม อย่างยิ่ง ศรัทธาอย่างยิ่ง พระพุทธเจ้าตรัสอย่างไร ก็เชื่อฟังทั้งสิ้น ประดุจเด็กน้อยผู้เชื่อฟังพ่อแม่อันเมตตากรุณายิ่ง เช่นนั้น ครอบครัวจึงอยู่เย็นเป็นสุข
ผู้ศรัทธาอย่างยิ่ง ความยอมรับและเข้าใจความหมาย จึงรับรู้ได้ รวดเร็วอย่างยิ่งเช่นกัน

แต่อย่างไรก็ตาม หนังสือธรรมะ ได้ถูกเขียนขึ้น แต่งเติมขึ้นโดยผู้อื่นบ้าง(เชื่อว่าเช่นนั้น) การใช้โดยใช้วิจารญาณจึงไม่ถึงระดับพุทธปัญญา ตามแบบฉบับพระพุทธเจ้า กิเลสบางตอนอาจเจือปน
การใช้ บท กาลสูตร มาเป็นข้อสังเกต จึงอาจต้องอ้างได้ว่า อย่าเชื่อเพราะสิ่งนั้นเป็นตำรา (ตำราซึ่งบางตอน บางเรื่อง อาจไม่ได้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า ก็ได้)

การแปลภาษาดั่งเดิม มาเป็นภาษาของประเทศ ก็เป็นปัญหาอีกเช่นกัน แปลผิดความหมายเพียงเล็กน้อย ก็ทำให้ พุทธธรรม เพี้ยนได้
แปลโดยใช้ความคิดเห็นส่วนตน เจือเข้าใจ บางทีก็เพี้ยนมากเกินไป

การ ย่อ หรือ ขยายความ ก็ทำให้ผู้อ่าน เพี้ยนได้

ยุคสมัย ผ่านไปหลายร้อยปี คำศัพท์บางคำ โบราณ จนให้ความหมายไม่ได้
คำศัพท์บางคำ สั้น (ซึ่งคนยุคนั้น เข้าใจดีอยู่แล้ว) คนยุคใหม่กลับมีปัญหาการแปลเพราะเกิดสกรรมกริยา ขาดคำกรรม จึงแปลได้ไม่เข้าใจ

เพราะผู้อ่าน ไม่ยึดหลัก ยึดแก่น ยึดการดับกิเลส จะดับอย่างไรให้หมดสิ้น กลับไปพยายามแปลให้ได้ความหมายทุกอักษร เพื่อให้ตนเองหายข้อสงสัย ถ้าไม่คาดเค้นกับภาษามาก กิเลสคงไม่พองออกมามาก
......................................................................
จากคำตอบกระทู้ข้างต้น
ครั้งหนึ่ง พระสารีบุตร ท่านนั่งฟังพระธรรมเทศนาจากพระพุทธองค์อยู่....
หลังเทศน์เสร็จ พระพุทธองค์ทรงถามพระสารีบุตรว่า เชื่อที่พระองค์กล่าวหรือไม่???
พระสารีบุตร ท่านทูลโดยตรงว่า "....ยังไม่ปักใจเชื่อพระเจ้าข้า...."
นอกจาก พระพุทธองค์จะไม่ทรงตำหนิพระสารีบุตรแล้ว ยังสรรเสริญว่าถูกต้องแล้ว ที่ท่านพระสารีบุตรกล่าวเช่นนั้น

ในตอนนั้น ข้าพเจ้ามีความเห็นว่า
1.เชื่อว่า พระพุทธเจ้า คงไม่มุสา เพราะผิดพระวินัย
2.ถ้าพระพุทธเจ้ามีความสามารถสูงสุด ชำนาญเรื่องนั้นสูงสุดแล้ว ผ่านประสบการณ์นั้นแล้ว
เหมือนดั่งเรื่อง แพทย์ ข้างต้น ซึ่งรู้หลักวิธีการรักษาโรคนี้นั้น จะต้องทำอย่างไร
ทราบดีว่า ผู้ป่วยระดับใด ขั้นใด ที่จะรักษาให้อยู่รอดต่อไปได้หรือไม่ อย่างไร
3.มีอยู่หลายเรื่องที่ผู้ไม่มีประสบการณ์ จะเข้าใจว่า เทวดา มาร พรหม ตามบทสวดมนต์ มีอยู่จริงหรือไม่
แม้นบางครั้ง ที่พระพุทธเจ้าเคยทอดพระเนตร(เห็น) กระดูก เหาะเหินบนท้องฟ้า ได้ ก็ไม่ตรัส จนมีพระสงฆ์รูปอื่น ตั้งคำถาม จึงได้กล่าวรับรองว่าพระองค์ก็เคยได้พบเห็นเช่นกัน

การสอนธรรมะของพระองค์ บางครั้งจึงรู้จัก แยกแยะ ความรู้สึกแบบมนุษย์ หลายระดับชั้นได้ ว่าเมื่อใดควรตรัส เมื่อใดยังไม่ควรตรัส เมื่อใดไม่ควรตรัสเลย เดี๋ยวผู้ฟัง คิดจะไปทำกัน
หากพระองค์กล่าวเรื่องที่ผู้อื่นไม่เคยพบพระพุทธเจ้ามาก่อน ผู้ฟังบางคน อาจเข้าใจผิด คิดว่าพระองค์ เป็นโรคทางจิต ก็เป็นได้

การกล่าวกับอนุชา(น้องชาย)ของพระองค์ ข้าพเจ้าเข้าใจว่า ซึ่งพระองค์ตรัสเป็นความจริงทุกประการ(ตามประสบการณ์ที่มี ตามสิ่งที่ระลึกชาติได้) แต่บางเรื่องเป็นสิ่งที่เหนือมนุษย์ เป็นสิ่งที่กล่าวยืนยันไป ว่า จริง ก็ไม่เหมาะ พระองค์จึงได้ตรัสเช่นนั้น เพื่ออย่างน้อย อนุชา ก็คงจะเชื่อ ในเวลต่อไปก็ได้ หากอนุชาของตนได้ผ่านประสบการณ์นั้นบ้าง (เพราะทุกคนไม่จำเป็นต้องผ่านประสบการณ์เหมือนกันทุกรูปแบบ)

ส่วนแม่ชี บริจิต นั้น ข้าพเจ้าเห็นว่า ใฝ่ในธรรม ถือเป็นเรื่องที่ดี
การมีความเชื่อต่อพระพุทธเจ้า บางเรื่อง ก็เป็นเรื่องที่เป็นไปได้
เพราะมนุษย์ทุกคน ไม่สามารถผ่านประสบการณ์ เฉกเช่น พระพุทธเจ้า ได้
ที่จะทำให้เห็น ผีเปรต อสูรกาย มาร เทพ เทวดา พรหม การระลึกชาติที่ผ่านมาแล้ว
การทราบอนาคตว่า จะมีพระพุทธเจ้าองค์ที่ 5 กำเนิดขึ้น (เป็นกรรมของชาวพุทธบางคนที่ฮือฮา อยากได้พบเห็น อยากมีกิเลส อยู่ต่อ วนเกิดต่อไป เพื่ออนาคตข้างหน้าได้เห็น)

ความเห็นว่าท่านแม่ชี จึงเป็นเช่นนั้น

ส่วนการกล่าวเกินเหตุ เกินตรรกะวิทยา ก็กล่าวมากเกินไป ไม่เคยเห็น ไม่เคยผ่านประสบการณ์เช่นนั้น มาก่อน ก็กล่าวว่า
"พระเจ้ามีจริง แต่ ฉันเชื่อในแนวทางที่พระพุทธเจ้าสอน พระพุทธเจ้ารู้ทุกอย่างในโลกนี้ รู้ทั้งจักรวาล พระองค์ยังคงรู้เรื่อง พระเจ้าด้วย และท่านยังคงรู้ว่าใครสร้างเรา นั่นก็คือตัวเราสร้างตัวเราเอง"

ฟังแล้ว ศาสนาอื่น เดือดดาล
อะไรเล่า คือ ประสบการณ์ใดที่ท่านแม่ชี เห็นเป็นเช่นนั้น เชื่อมั่นว่าเป็นเช่นนั้น
การจินตนาการ การรู้สึกว่า การเห็นว่า การดังว่า เช่นนั้น เป็นการยกย่องพระพุทธเจ้า มากเกินไป
การสำคัญในเรื่องการดับกิเลส น้อยกว่า ผู้ครอบคองแห่งจักรวาล น้อยกว่าการยกย่องศาสดา(คือ สำคัญผิดวิธี คือ ได้แต่เลื่อมใสผู้นำทางศาสนา) น้อยกว่าการตายแล้วเกิดใหม่(แน่ ๆ กิเลสคาดหวังเช่นนั้น) ชีวิตมนุษย์คงได้หมกมุ่นอยู่กับวัฎฎสงสาร ตลอดกาล
......................................................
ข้าพเจ้าเคยได้รับคำยกย่องจากผู้อื่น มากเกินไป จนรู้สึกว่า อาย ทนดูทนฟังต่อคำสรรเสริญ เยินยอ ไม่ได้
......................................................
ชีวประวัติของผู้มีชื่อเสียง หลายท่าน ในเวลาที่มีชีวิตอยู่ กลับเป็นเรื่อง น่าเศร้า น่าลำบากใจ ต้องต่อสู้ฟันผ่า ต้องอดทนต่อคำตำหนิ นินทา ไม่เคยเลยที่จะได้รับคำสรรเสริญ
แต่เมื่อตายลง กลับได้เป็นบุคคลสำคัญของโลก
เออ แปลก
ผู้ที่อยู่ร่วมกับประวัติศาสตร์กับเขาเหล่านั้น ย่อมทราบดีว่า บุคคลสำคัญของโลกเป็นอย่างไร แม้นจะถูกยกย่อง แต่เรื่อง เลว ๆ ของเขาเหล่านั้น ก็อาจจะไม่ลืมเลือน และไม่ยอมรับกับ การยกย่องจากโลก
......................................................
เรื่องของ องคุลีมาล ก็กล่าวแต่เรื่องเลวร้ายของท่าน
ไม่ค่อยมีใครสรรเสริญท่านว่า จากผู้ที่มีใจเหี้ยมโหดที่สุด กลับกลายมาเป็นพระอรหันต์ได้ในที่สุด แต่ทุกคนก็ตำหนิแต่เรื่องเลวขององคุลีมาลอยู่เสมอ แม้นแต่พระพุทธเจ้าเอง ก็มีผู้ตำหนิไม่เว้น ไม่ว่าตอนที่พระองค์ยังทรงมีชีวิตอยู่หรือไม่ ก็ตาม
กลับสนใจเรื่องเลวทั้งหลาย ก่อนตรัสรู้ (คือหาแง่ติ ที..................พระพุทธเจ้ายังทำเลย.............)

เรื่องหลังจากตรัสรู้ กลับไม่ค่อยไปศึกษา ว่ามีวิธีอย่างไรจึงดับกิเลสได้
กลับให้นักเรียนท่องจำ พุทธประวัติ ปี พ.ศ. เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ใครบ้างที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธเจ้า สถานที่ที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธเจ้า กลายเป็นวิชาประวัติศาสตร์ไป
.........................................................
นอกเรื่องไปหน่อย

โดยสรุป การเชื่อเพียงบางอย่าง ของพุทธธรรม
เป็นเรื่องของสิทธิของแต่ละบุคคล
การที่จะให้ใครอธิบาย รูปร่างลักษณะ นามธรรมอื่น ปรากฎการณ์อื่น ที่เกิดขึ้นผ่านประสบการณ์ชีวิตของแต่ละคน เป็นเรื่องที่ไม่สามารถอธิบายได้
การที่ผู้เคยพบเห็นกับพระพุทธเจ้า สัมผัสต่อความรู้ ความคิดเห็นของพระพุทธเจ้าในสมัยนั้น
การที่ใครได้สนทนาต่อ เทพ เทวดา พรหม พระเจ้า
ความรู้สึกเลื่อมใสมากน้อย ย่อมต่างกัน

ความรู้สึกที่ท่านทั้งหลายได้พบเห็น ในหลวง ของเรา ก็เป็นแบบนั้น เช่นนั้น อธิบายให้กับ ชาวโลกเข้าใจไม่ได้ เชื่อมั่นและศรัทธาในความดีงาม อย่างไร
แม้นไม่ได้ประสบพบเห็นกับตาตนเอง ตรรกะบางเรื่องกลับไม่มี แต่เห็นชอบด้วย ก็เป็นเรื่องน่ามหัศจรรย์

ความคิดเห็นดี การทำความดี จึงเห็นว่า เป็นสิ่งที่ดี แม้นจะเชื่อพระพุทธเจ้าไม่ครบ 100%
 

_________________
อริยมรรคมีองค์ 8 คือ สูตรสำเร็จแห่งการดับทุกข์
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
วิชชา
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 05 พ.ย. 2007
ตอบ: 31
ที่อยู่ (จังหวัด): เชียงใหม่

ตอบตอบเมื่อ: 03 ธ.ค.2007, 3:32 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ผู้ที่เชื่อพระพุทธเจ้า มีพระรัตนตรัยเป็นสรณะโดยแท้จริง มีปัญญามาก ไม่หลงกระทำกาละ คือ

ไม่ไปสู่อบายภูมิ ดับความเห็นผิดเป็นสมุจเฉท มีศรัทธาไม่คลอนแคลน ไม่กล่าวตู่พระพุทธเจ้า

ไม่ลบหลู่พระพุทธคุณของพระองค์ คือ พุทธสาวกผู้ที่เป็นพระโสดาบันขึ้นไป ครับ


ส่วนผู้ที่เป็นปุถุชนถ้าศึกษาละเอียดดีพอ เกิดปัญญาเข้าใจได้ เกิดความซาบซึ้งในพระธรรมวินัยที่

ทรงแสดงตลอด 45 พรรษา จะไม่กล่าวคำตู่พระพุทธเจ้าครับ นอกจากว่า ยังไม่คลายความเห็น

ผิดว่า มีตัวเรา ทุกอย่างเป็นเพราะตัวเรา ตัวเราทำได้ แล้วก็เกิดการเพียรผิด ในสิ่งผิดที่คิดเอา

เชื่อตามอาจารย์ที่สอนว่าถูก โดยไม่ตรวจทานในพระไตรปิฎกให้รอบคอบ ได้แต่พูดว่า ธรรมะ

ทั้งหลายเป็นอนัตตา ไม่ใช่ของใคร ไม่ได้อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา แต่ "อัตตา" กลับไปทำให้มี

ให้รู้ได้ด้วยความเป็น เรา



ขอแนะนำให้ศึกษาพระธรรม ส่วนละเอียดของพระไตรปิฎก คือ พระอภิธรรม ประกอบ ให้เข้า

ใจถึงความเป็นธรรมะ ความไม่มีสัตว์ บุคคล ตัวตน ครับ ไม่อย่างนั้นก็อาจจะทำให้หลงไปว่า มี

ตัวเราทำได้ มีตัวเราละกิเลสได้ มีตัวเรามีจิต มีตัวเราสงบ มีตัวเราถึงนิพพาน ซึ่งนั่นล้วนเป็น

เรื่องของตัวตน เป็นอัตตาทั้งสิ้น

ความเห็นไหนถูกหรือผิดไม่รู้ ก็ขอเชื่อก่อน โดยไม่ได้ไตร่ตรอง ไม่ได้สอบทานในพระไตรปิฎก

ว่าเป็นแนวความคิดที่ตรงหลักพระธรรมที่ทรงแสดงไว้หรือไม่ สิ่งนี้น่าอันตรายกว่า การติดในรูป

เสียง กลิ่น รส สัมผัส มากมาย เพราะการสั่งสมความเห็นผิดจนดิ่งลงไป ย่อมชักนำให้เกิดใน

อบายภูมิ รวมทั้งไม่ได้ทำให้เกิดปัญญาตัวจริงด้วย เพียงแต่การใช้ชื่อว่า "ปัญญา"เท่านั้น


ขอให้เป็นผู้ละเอียด ไม่เผิน ดีที่สุด การยกข้อความในพระไตรปิฎกมาเพื่อประกอบความเห็นของ

ตนเอง ถ้าไม่รอบคอบย่อมทำให้เข้าใจผิด ถ้ายกมาไม่เต็มพระสูตร ก็อาจจะทำให้เกิดการตีความ

พระพุทธพจน์ผิด และไม่อาจจะเข้าใจถึงพุทธประสงค์ในพระสูตรนั้น ไม่เช่นนั้นก็ได้แต่กล่าวชื่น

ชมพระพุทธเจ้า แต่ไม่รู้ว่าพระพุทธองค์ ทรงมีพระปัญญาคุณ ตรัสรู้ธรรมะที่ทรงประจักษ์ได้

อย่างไร

ธรรมะไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เป็นทุกสิ่งที่มีจริง จะใช้ชื่อหรือไม่ สิ่งนั้นก็มีจริง แต่การจะเข้า

ถึงธรรมะไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างการคิด ต้องเจริญอบรมปัญญขั้นการฟังก่อนครับ


www.dhammahome.com
 

_________________
ไม่มี
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัวตำแหน่ง AIMYahoo MessengerMSN Messenger
jojam
บัวพ้นดิน
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 27 พ.ค. 2004
ตอบ: 62

ตอบตอบเมื่อ: 04 ธ.ค.2007, 2:07 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

มาตอบ ผิด กระทู้ เหมือนเคย ขำๆ ไม่ต้องคิดมาก

คน ตาบอก ก็ ต้องเชื่อ คนตาดี แต่ สิ่งที่ คน ตาดี ต้องระวัง ก็ ต่างจาก สิ่งที่ คนตาบอดต้องระวัง
บันไดทาง คนตาดี ก็ ลงไปได้ โดย ดี แต่ คน ตาบอด ก็ ยังควร เคาะไม้ อยู่ ดี

ปล. ขอ..เชื่อพระพุทธเจ้าเพียงบางอย่าง
คำนี้ ไม่ควร กล่าว ไม่ควรคิด แต่ " ไม่ควรปลงใจ เชื่อใช้ไหม [หากยังไม่แจ้งด้วย ตน] - กาลามาสูตร" ยิ้มเห็นฟัน
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
bad&good
บัวใต้น้ำ
บัวใต้น้ำ


เข้าร่วม: 06 ส.ค. 2007
ตอบ: 115

ตอบตอบเมื่อ: 04 ธ.ค.2007, 10:08 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ดูก่อน ท่านJojam
แม้นทั้งคนตาดีและตาบอด มาถึงจุดหมายปลายทางแล้ว
คนตาดี ก็ไม่ทราบว่า มาถึงแล้ว กลับเดินลง บันได ต่อไป (กิเลสดิ้นรน)
ตนตาบอด ก็เดินมาถึงจุดหมายแล้วเช่นกัน แต่ก็ยังเดินลง บันได ต่อไปอีก เดินตามคนนำทาง (กิเลสดิ้นรน เหมือนกัน)

เพราะจิต ยังลังเลสงสัย ในคำสอนของศาสนาพุทธ จึงยกบท กาลมสูตร เป็นตรวจสอบตนเอง

คนตาดีและตาบอด จึงตกอยู่สภาพเดียวกัน คือ มีกิเลสบังตา บังจิต

ท่านมาถึงพุทธเขตแล้ว จงเชื่อและศรัทธา ทำสิ่งที่ถูกต้องนั้นต่อไป จนถึงสิ้นอายุขัย (ทำให้เข้มข้นมากขึ้น เพื่อประโยชน์การดับกิเลสมากขึ้น)

บทบทกาลสูตร แสดงให้ทราบถึงความรู้ที่ปนเปื้อนในกิเลส(อวิชชา หรือ วิชาความรู้ฝ่ายโลกียะ) แตกต่างจาก วิชา พุทธศาสตร์ (วิชชา หรือ วิชาความรู้ฝ่ายโลกุตตระ ฝ่ายดับกิเลสสิ้นเชิง) เมื่อท่านทราบดีแล้วการดับทุกข์ให้หมดสิ้นเชิงเป็นอย่างไร ท่านอย่าได้ลังเลสงสัยอีกเลยว่า เราลงบันได มาถึงชั้นนั้นแล้วหรือยัง เมื่อพ้นจากสังโยชน์ 10 ข้อต้น ๆ แล้ว ต่อไปในข้อปลาย ๆ ท่านจักต้องหาวิธีเอาชนะมันอย่างไร ต่อไป สิ่งนั้นแลคือ การดับทุกข์สิ้นเชิง เช่นกัน
 

_________________
อริยมรรคมีองค์ 8 คือ สูตรสำเร็จแห่งการดับทุกข์
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
บัวหิมะ
บัวเงิน
บัวเงิน


เข้าร่วม: 26 มิ.ย. 2008
ตอบ: 1273

ตอบตอบเมื่อ: 14 ส.ค. 2008, 11:07 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สุขใด ยิ่งกว่าธรรมะ ไม่มีแล้ว สาธุ พุทโธ
 

_________________
ชีวิตที่เหลือเพื่อธรรมะ
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
คามินธรรม
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2008
ตอบ: 860
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.

ตอบตอบเมื่อ: 16 ส.ค. 2008, 12:51 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เท่าที่สัมผัส ศาสนาพุทธ ไม่ได้มีสภาพบังคับเลยนะคับ
ไม่สอนให้เชื่อเลยสักอย่างเดียว
ดังจะสังเกตุได้จากกาลามะสูตร สอนไม่ใช้เชื่ออะไรเลย สักอย่างเดียว

แต่สอนให้คิด สอนให้ปฏิบัติ
เมื่อแจ้งแก่ใจแล้วว่าจริงดังนั้น
จึงเกิดสิ่งที่เรียกว่า รู้


เรามีแต่คำว่า.......ผู้รู้
ไม่มีคำว่า ........ ผู้เชื่อ


ผมว่าอย่างนั้นนะ
 

_________________
ฐิโต อหํ องฺคุลิมาล ตฺว ฺจ ติฏฺฐ
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
montasavi
บัวพ้นดิน
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 17 มิ.ย. 2007
ตอบ: 84

ตอบตอบเมื่อ: 21 ส.ค. 2008, 10:18 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ครับ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Email
ฌาณ
บัวเงิน
บัวเงิน


เข้าร่วม: 23 ก.ค. 2008
ตอบ: 1145
ที่อยู่ (จังหวัด): หิมพานต์

ตอบตอบเมื่อ: 21 ส.ค. 2008, 10:34 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สู้ สู้ ถ้าเป็นผมนะครับ ขอเชื่อพระพุทธเจ้าทุกอย่างเลยครับ สาธุ
 

_________________
ผมจะพยายามให้ได้ดาวครบ 10 ดวงครับ
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
mes
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 09 มิ.ย. 2007
ตอบ: 643
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.

ตอบตอบเมื่อ: 21 ส.ค. 2008, 2:45 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ความเชื่อคือศรัทธา

ศรัทธามีประโยชน์และโทษ

ประโยชน์คือฉันทะ วิริยะ หากศรัทธานั้นเป็นสัมมาทิฏฐิ

โทษคือ หากมีมากเกินไปทำให้ฟุ้งซ่าน

พระพุทธเจ้าจึงยกย่องปัญญา

มีแต่ปัญญาเท่านั้นที่เข้าสู่วิมุติได้

ฉนั้นความเชื่อจึงมีแค่พอประมาณ

ทุกสิ่งควรพิจารณาด้วยปัญญา

คือ

มนสิการ หรือ โยนิโสมนสิการ แล
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวMSN Messenger
dd
บัวเริ่มพ้นน้ำ
บัวเริ่มพ้นน้ำ


เข้าร่วม: 17 มิ.ย. 2008
ตอบ: 179
ที่อยู่ (จังหวัด): overseas

ตอบตอบเมื่อ: 21 ส.ค. 2008, 5:00 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

อ้างอิงจาก:
(ข้าพเจ้าจึงขอย้ำว่า ความลังเลสงสัยในคำสอนของพระพุทธเจ้า นั้นแล คือ สังโยชน์
ไม่ได้รวมถึงความลังเลสงสัยอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับ พุทธธรรม เพราะเรื่องทางโลก มันเป็นเรื่องง่ายจะตอบว่า กิเลสไม่หมด ความสงสัยในการทำดีแบบทางโลก(มีกิเลสเจือ) จึงได้ผลไม่ค่อยดีแบบนี้ ไม่ใช่สิ่งที่เป็นผลดี ตามที่เข้าใจว่า ทำดีย่อมได้ดี ไม่น่าจะเป็น ทำดีกลับได้รับผลชั่วตอบแทน )
ต่างจากมนุษย์ผู้เห็นดี เห็นงาม อย่างยิ่ง ศรัทธาอย่างยิ่ง พระพุทธเจ้าตรัสอย่างไร ก็เชื่อฟังทั้งสิ้น ประดุจเด็กน้อยผู้เชื่อฟังพ่อแม่อันเมตตากรุณายิ่ง เช่นนั้น ครอบครัวจึงอยู่เย็นเป็นสุข


สาธุ สาธุ สาธุ สู้ สู้ สู้ สู้ สู้ สู้
 

_________________
ศีล ๕ รักษาตนไม่ให้เกิดในอบายภูมิ
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
JARUWAN_G
บัวพ้นดิน
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 15 ส.ค. 2008
ตอบ: 72
ที่อยู่ (จังหวัด): นนทบุรี

ตอบตอบเมื่อ: 21 ส.ค. 2008, 5:20 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ขอเชื่อพระพุทธเจ้าทุกอย่างเช่นกันค่ะ
 

_________________
ทุกอย่างแก้ไขได้ วันนี้ต้องทำให้ดีกว่าเมื่อวาน
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ศุภมณฑา
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 07 ม.ค. 2008
ตอบ: 43
ที่อยู่ (จังหวัด): ระยอง

ตอบตอบเมื่อ: 21 ส.ค. 2008, 6:54 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

พุทธศาสนาในสายตาแม่ชีฝรั่ง

ศาสนาพุทธในสายตาของฉันนั้นไม่ใช่เป็นเพียงแค่ศาสนา แต่ยังเป็นปรัชญาชีวิต เราไม่จำเป็นที่จะต้องเชื่อทุกสิ่งทุกอย่าที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ ชีวิตของเราไม่ได้ขึ้นอยู่กับพระผู้เป็นเจ้าดลบันดาลให้เป็นไป แต่ชีวิตเป็นของเรา เราสามารถที่จะมีชีวิตที่ดีได้ หรือไม่ดีก็ได้อยู่ที่การทำตัวของเราเองเราเท่านั้นที่เป็นที่พึ่งของตัวเรา พระพุทธเจ้าไม่เคยทรงตรัสว่าให้เชื่อ แต่ท่านสอนให้เราหาความจริงด้วยการปฎิบัติเอง พิสูจน์ทดสอบธรรมะที่ท่านตรัสไว้ ด้วยการปฎิบัติให้รู้จริงด้วยตัวเอง คำนี้เองที่ทำให้ฉันสนใจพุทธศาสนา ที่ฉันไม่ต้องทำตัวเหมือนเป็นลูกแกะ ที่เอาแต่เดินตามคนเลี้ยง

ได้อ่านแล้วคิดตาม เป็นบทความที่ดี ได้แนวคิด
ก็ชัดเจนอยู่แล้ว เชื่อแต่อย่างเดียว ไม่เกิดประโยชน์แต่อย่างใด
ปฏิบัติให้รู้จริง เป็นประโยชน์อย่างแน่แท้


ขออนุโมทนาบุญค่ะ สาธุ
 

_________________
ขยัน อดทน ทำดี คิดดี พูดดี จะประสบความสำเร็จที่ดี
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Email
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ ไม่สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง