Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 มาเป็น "พระโสดาบัน" กันเถอะ อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
JARUWAN_G
บัวพ้นดิน
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 15 ส.ค. 2008
ตอบ: 72
ที่อยู่ (จังหวัด): นนทบุรี

ตอบตอบเมื่อ: 15 ส.ค. 2008, 12:40 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

อารมณ์พระโสดาบัน

ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย เวลานี้ท่านทั้งหลายได้สมาทานศีล สมาทานพระกรรมฐานแล้ว ต่อแต่นี้ไปขอได้โปรดฟังคำแนะนำ อารมณ์ของพระโสดาบัน

สำหรับวันนี้จะได้พูดถึงอารมณ์ของท่านที่ทรงความเป็นพระโสดาบัน ท่านทั้งหลายจะได้ทราบว่า คนที่เป็นพระโสดาบันแล้วมีอารมณ์เป็นอย่างไร ส่วนใหญ่คนทั้งหลายมักจะมีความรู้สึกว่า สิ่งทุกอย่างจะต้องตัดหมดนั้นเป็นความรู้สึกผิดของท่านผู้มีความคิดอย่างนั้น

ความจริงการเจริญพระสมณธรรมมีอารมณ์เป็นขั้นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ท่านที่ททรงจิตเป็น คนที่เข้ามาเจริญพระกรรมฐาน หรือสมถภาวนา หรือวิปัสสนาญาณ และเริ่มเข้ามาเจริญแล้ว ทุกขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ หรือ อัปปนาสมาธิ สำหรับอัปปนาสมาธินี้หมายถึงอารมณ์ฌานตั้งแต่ฌาน ที่ ๑ ถึงฌานที่ ๘ อารมณ์ประเภทนี้จะระงับได้เพียงนิวรณ์ ๕ ประการ แต่ก็เป็นการเพียงระงับเท่านั้นไม่ใช่ตัด ถ้ายังมีความประมาทจิตคิดชั่ว ฌานก็สลายตัว เป็นอันว่าผู้ทรงฌานโดยเฉพาะอย่างยิ่งฌานโลกีย์ ยังไม่มีความหมายในการเจริญสมณธรรมในพระพุทธศาสนา ถึงแม้ว่าท่านผู้นั้นจะได้มโนยิทธิก็ดี ได้อภิญญา ๕ ในอภิญญาหกก็ดี ได้ ๒ ในวิชชาสามก็ดี ก็ยังไม่มีความหมายในการตัดอบายภูมิ ท่านที่จะต้องอบายภูมิได้จริงๆ ก็คือตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป

คำว่า "พระโสดาบัน" แปลว่า ผู้เข้าถึงกระแสพระนิพพาน

ฉะนั้น พระโสดาบันก็ยังตัดอะไรไม่ได้หมด เป็นแต่เพียงว่ามีอารมณ์ชนะสังโยชน์ ๓ ประการเบื้องต้น แต่เพียงอย่างหยาบเท่านั้น อารมณ์ชนะสังโยชน์ ๓ ประการเบื้องต้นก็คือ

๑. สักกายทิฏฐิ ที่มีความรู้สึกว่าสภาพร่างกายหรือว่าขันธ์ ๕ เป็นเรา เป็นของเรา เรามีในขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ มีในเรา เฉพาะอย่างยิ่งในด้านสักกายทิฏฐิ พระโสดาบันลดลงมาได้เพียงเล็กน้อย ยังมีความรู้สึกว่าร่างกายเราเป็นเรา เป็นของเราอยู่ แต่ทว่ามีอารมณ์ไม่ประมาท มีความรู้สึกอยู่เสมอว่าเราจะต้องตาย ที่ท่านกล่าวว่าบรรดาพระโสดาบันกับพระสกิทาคามีเป็นผู้ทรงศีลบริสุทธิ์ มีสมาธิเล็กน้อย และก็ปัญญาเล็กน้อย คำว่ามีสมาธิเล็กน้อย คืออารมณ์สมาธิของท่านผู้เจริญฌานสมาบัติ มีอารมณ์ตั้งแต่ปฐมฌานขึ้นไป ยังไม่ถึงฌาน ๔ ก็สามารถจะเป็นพระโสดาบันได้

สำหรับที่ว่ามีปัญญาเล็กน้อย ก็เพราะว่ายังไม่สามารถจะตัดขันธ์ ๕ ได้เด็ดขาดด้วยกำลังของจิต ยังมีความรู้สึกว่าร่างกายเป็นเรา เป็นของเรา แต่ทว่าความรู้สึกของท่านมีความดีอยู่หน่อยหนึ่งว่าเราจะต้องตาย ยังไงๆ ก็ต้องตายแน่ เหมือนกับที่เปสการีมีอารมณ์คิดถึงคำสั่งสอนของสมเด็จพระธรรมสามิสร ที่ทรงตรัสว่า "ชีวิตเป็นของไม่เที่ยง แต่ความตายเป็นของเที่ยง ท่านทั้งหลายจงอย่ามีความประมาทในการสร้างความดี"

นี่ความรู้สึกของพระโสดาบันในด้านสักกายทิฏฐิ มีอยู่จุดนี้เข้าใจไว้ด้วย มีคนพูดกันว่าถ้าเจริญสมถกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐาน จะต้องสามารถระงับทุกขเวทนาได้หมด ไม่เจ็บ ไม่ป่วย ไม่ร้อน ไม่หนาว นี่ไม่ใช่ความจริง ร่างกายยังมีวิญญาณรู้การสัมผัสถึงแม้ว่าพระอรหันต์ก็ดี พระพุทธเจ้าก็ดีก็ยังรู้สึก รู้สึกเจ็บ รู้สึกปวดเหมือนกัน

นี้ว่ากันถึงอารมณ์ของพระโสดาบัน เมื่อจิตเข้าถึงพระโสดาบันแล้ว มีความไม่ประมาทในชีวิต มีความรู้สึกเสมอว่าเราจะต้องแก่ เราต้องตาย แล้วก็ขึ้นชื่อว่าความตายนี้ไม่มีนิมิตเครื่องหมาย ไม่ใช่ว่าจะไปกำหนดอายุการตายว่าต้องตายเท่านั้นเท่านี้ จะต้องตายตั้งแต่ความเป็นเด็ก หรือความเป็นหนุ่มเป็นสาว ความเป็นคนแก่ อาการที่จะตาย อาจจะด้วยโรคภัยไข้เจ็บ อาจจะตายด้วยอุบัติเหตุ หรือตายเช้า ตายสาย ตายบ่าย ตายเที่ยง ตายกลางคืน ตายดึก ตายหัวค่ำก็เอาแน่นอนไม่ได้

ฉะนั้น พระโสดาบันจึงไม่ประมาทในชีวิต คิดว่าถ้าเราจะตายก็เชิญ แต่ว่าเราจะตายอยู่กับความดี อารมณ์ของพระโสดาบันที่จะคัดค้านคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระชินศรีนั้นไม่มี คือว่าเป็นคนไม่สงสัยในคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี้เป็นอันดับที่ ๒ ที่เรียกว่า วิจิกิจฉา พระโสดาบันตัดสังโยชน์ตัวที่ ๒ ได้ คือความสงสัย ที่เรียกว่า วิจิกิจฉา ขึ้นชื่อ ว่าความสงสัยในคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าไม่มีในพระโสดาบัน เกิดขึ้นด้วยกำลังของปัญญา ที่พิจารณาหาความจริงว่า

พระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นปัจจัยให้เกิดความสุข

และอันดับ ๓ สีลัพพตปรามาส พระโสดาบันย่อมทรงศีลบริสุทธิ์ตามฐานะของตัว คำว่าฐานะของตัวก็หมายความว่า ถ้าเป็นฆราวาสก็มีศีล ๕ เป็นปกติ มีศีล ๕ บริสุทธิ์อยู่ตลอดเวลา ไม่มีเจตนาในการทำลายศีล รักษาศีลบริสุทธิ์ ไม่ทำลายศีลด้วยตนเอง ไม่ยุให้บุคคลอื่นทำลายศีล แล้วก็ไม่ยินดีเมื่อบุคคลอื่นทำลายศีลแล้ว เป็นอันว่าพระโสดาบันเป็นผู้มีความทรงอารมณ์อยู่ในศีลเป็นสำคัญ หนักหน่วงในเรื่องของศีล ยอมตัวตายดีกว่าศีลตาย

ที่กล่าวมานี้หมายความว่า สังโยชน์ ๓ ประการนี้ พระโสดาบันปฏิบัติมีจิตเข้าถึงตามนี้ นี่ก็ขอพูดกันไปว่าก่อนที่จะเข้าถึงความเป็นพระโสดาบันจากโลกียะเป็นโลกุตตระ ตอนนี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเรียกว่า "โคตรภูญาณ" ขณะเมื่ออารมณ์จิตของท่านผู้ปฏิบัติเข้าถึงโคตรภูญาณ

คำว่า "โคตรภูญาณ" นี่ก็หมายความว่า จิตของท่านผู้นั้น ยังอยู่ในช่วงระหว่างโลกียะกับโลกุตตระ แต่ทว่าอารมณ์ตอนนี้จะไม่ขังอยู่นาน บางท่านจิตจะทรงอยู่เพียงแค่ชั่วโมงหนึ่ง หรือไม่ถึงชั่วโมง และบางท่านก็อยู่ถึงอาทิตย์สองอาทิตย์ถึงเป็นเดือนก็มี สุดแล้วแต่ความเข้มแข็งของจิต ในช่วงที่จิตเข้าถึงโคตรภูญาณ ท่านกล่าวว่า ในขณะนั้นอารมณ์จิตของนักปฏิบัติ จะมีความรักพระนิพพานอย่างยิ่ง คือมีความรู้สึกอยู่เสมอว่ามนุษยโลกก็ดี เทวดาก็ดี พรหมโลกก็ดี ไม่เป็นแดนแห่งความสุข ถ้าเราเกิดเป็นมนุษย์ มันก็ทุกข์ตลอดเวลา ถ้าเกิดเป็นเทวดาก็พักทุกข์ชั่วคราว หรือพรหมก็เช่นเดียวกัน ถ้าหมดบุญวาสนาบารมีแล้วก็จะต้องจากเทวดา จากพรหมมาเกิดเป็นคนบ้างบางรายก็เกิดเป็นสัตว์นรกเป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉาน เป็นอันว่าเขตทั้ง ๓ จุด ไม่มีความหมายสำหรับใจ จิตใจของท่านที่มีอารมณ์เข้าถึงโคตรภูญาณใจมีความต้องการอย่างเดียวคือ พระนิพพานเป็นปกติ

แต่ทว่าพอจิตพ้นจากโคตรภูญาณไปแล้ว ก้าวเข้าสู่ความเป็นพระโสดาบันเต็มที่ ที่เรียกว่า โสดาปัตติผล ตอนนี้อารมณ์จิตของท่านละเอียดขึ้นมานิดหนึ่ง นอกจากจะรักพระนิพพานเป็นอารมณ์ แล้วก็มีความรู้สึกว่าทุกสิ่งทุกอย่างในโลก มันเป็นของธรรมดา

การนินทาว่าร้ายที่จะปรากฏขึ้นกับบุคคลผู้ใดกล่าวถึงเรา จิตดวงนี้จะมีความรู้สึกว่า ธรรมดาของคนที่เกิดมาในโลกมันเป็นอย่างนี้ ความป่วยไข้ไม่สบายเกิดขึ้น การพลัดพรากจากของรักของชอบใจเกิดขึ้น มีความรู้สึกหนักไปในด้านของธรรมดา แต่ถ้าว่าธรรมดาของโสดาบัน ยังอ่อนกว่าของธรรมดาของพระอรหันต์มาก

ฉะนั้น ท่านที่เข้าถึงความเป็นโสดาบัน จึงยังมีความรักในระหว่างเพศ ยังมีการแต่งงาน ยังมีความอยากรวย ยังมีความโกรธ ยังมีความหลง ทั้งนี้เพราะอะไร เพระว่าท่านกล่าวไว้แล้วว่า พระโสดาบันมีสมาธิเล็กน้อย และก็มีปัญญาเล็กน้อย หากว่าท่านทั้งหลายจะถามว่า ถ้าคนยังมีความรักในเพศ ยังมีการแต่งงาน ยังมีการอยากรวย ยังมีความโกรธ ยังมีความหลงก็ดูเหมือนว่าพระโสดาบันก็คือชาวบ้านธรรมดา

แต่ความจริงไม่ใช่อย่างนั้น ความรักในระหว่างเพศก็ดี ความอยากรวยก็ดี ความโกรธก็ดี ความหลงก็ดี ของพระโสดาบันอยู่ในขอบเขตของศีล เรารักในรูปโฉมโนมพรรณมีการแต่งงานกันได้ระหว่างสามีภรรยา ในตอนนั้นพระโสดาบันจะมีความซื่อสัตย์สุจริตกับสามีและภรรยาของตนเอง ยอมเคารพในสิทธิซึ่งกันและกัน จะไม่นอกใจสามีและภรรยา ขึ้นชื่อว่า กาเมสุมิจฉาจาร จะไม่มีสำหรับพระโสดาบัน จะทำให้ครอบครัวนั้นมีอารมณ์เป็นสุข

และประการที่ ๒ พระโสดาบันยังมีความโกรธ ท่านโกรธจริง พูดเป็นที่ไม่ถูกใจท่านก็โกรธ ทำให้ไม่เป็นที่ถูกใจท่านก็โกรธ แต่ทว่าพระโสดาบันมีแต่อารมณ์โกรธ ไม่ประทุษร้ายให้เขามีการบาดเจ็บ และไม่ฆ่าคนหรือสัตว์ที่ทำให้ตนโกรธให้ถึงแก่ความตาย เป็นอันว่าความโกรธหรือความพยาบาทของท่านอยู่ในขอบเขตของศีล จิตโกรธแต่ว่าไม่ทำร้ายคือแตกต่างจากคนธรรมดาตรงนี้

สำหรับด้านความหลงของพระโสดาบัน ที่ขึ้นชื่อว่าหลงเพราะว่ายังมีความรักในเพศ ยังมีความอยากรวย เมื่อสักครู่นี้ข้ามคำว่าอยากรวยไป การอยากรวยของพระโสดาบัน คือต้องการความรวยในด้านสุจริตธรรมเท่านั้น เรียกว่าการทุจริตคิดร้ายคดโกงบุคคลอื่นใด ไม่มีในอารมณ์จิตของพระโสดาบันประกอบอาชีพด้วยความสุจริต เพราะอาศัยยังรักในความสวยสดงดงาม คือรูปสวย เสียงเพราะ กลิ่นหอม รสอร่อย สัมผัสระหว่างเพศยังมีอยู่ ยังมีความอยากรวย ยังมีความโกรธ ยังมีความหลง เพราะว่ายังคิดว่าทุกสิ่งทุกอย่างในโลก ยังมีของสวยของงาม การถือตัวถือตนแบบนี้ จึงเชื่อว่ายังมีความหลง แต่ความหลงของพระโสดาบันนั้น ไม่สามารถจะนำบุคคลผู้นั้น ในเวลาตายแล้วไปสู่อบายได้

จุดนี้ ขอบรรดาท่านทั้งหลายผู้รับฟัง จงจำไว้ว่า ความจริงอารมณ์ของพระโสดาบันนั้นไม่แตกต่างกับชาวบ้านธรรมดาเท่าไรนัก ชาวบ้านธรรมดา ยังมีความรักในเพศ ยังมีสามีภรรยา แต่ทว่ายังมีการนอกใจสามี นอกใจภรรยา สำหรับพระโสดาบันไม่มี ชาวบ้านอยากรวยก็ยังมีการคบคิดกันคดโกง การโกงมีการยื้อแย่งฉกชิงวิ่งราวรูดทรัพย์ สำหรับพระโสดาบันนี่ ถ้าต้องการรวยก็รวยด้วยการสุจริต หากินด้วยความชอบธรรม ต่างกันตรงนี้

พระโสดาบันยังมีความหลง ตามที่กล่าวมาด้วยอาการที่ผ่านมาแล้ว แต่ทว่าพระโสดาบันก็ไม่ลืมคิดว่า เราจะต้องตาย เมื่อเราตายแล้ว เราจะต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจ ตอนนี้พระโสดาบันไม่เสียใจ ไม่เสียดาย ถือว่าถ้าตายเราจะมีความสุข นี่ขอท่านทั้งหลายจำอาการอารมณ์จิตที่เข้าถึงพระโสดาบันไว้ด้วย

ตอนนี้จะขอพูดอีกนิดหนึ่งถึงอารมณ์ความจริงของพระโสดาบัน ที่เรียกกันว่า ..."องค์ของพระโสดาบัน"

คำว่า "องค์" ก็ได้แก่ อารมณ์จิตที่ทรงไว้อย่างนั้นอย่างแนบแน่นสนิท นั่นก็คือ

๑. พระโสดาบันมีความเคารพในพระพุทธเจ้าอย่างจริงใจ ไม่คลายในความเคารพในพระพุทธเจ้า ไม่ว่าจะมีเหตุใดๆ เกิดขึ้น ใครจะมาจ้างให้รางวัลมากๆ ให้กล่าวว่าพระพุทธเจ้าไม่ใช่พระพุทธเจ้า พระธรรมไม่ใช่พระธรรม พระสงฆ์ไม่ใช่พระสงฆ์ แม้แต่พูดเล่นพระโสดาบันก็ไม่พูด ทั้งนี้เพราะว่าอะไร เพราะว่าท่านมีความเคารพในพระอริยสงฆ์อย่างจริงใจ แต่ทว่าระวังให้ดี ถ้าพระสงฆ์เลว พระโสดาบันไม่ใส่ข้าวให้กิน

ตัวอย่าง ภิกษุโกสัมพี มีความประพฤติชั่ว ตอนนั้นฆราวาสที่เป็นพระอริยเจ้านับหมื่น ไม่ยอมใส่ข้าวให้กิน เพราะถือว่าเป็นโจรปล้นพระพุทธศาสนา เป็นผู้ทำลายความดี ไม่ใช่ว่าเป็นพระอริยเจ้าแล้วละก็ จะเมตตาไปเสียทุกอย่าง ท่านเมตตาแต่คนดีหรือว่าบุคคลผู้ใดมีความประพฤติชั่ว แนะนำแล้วสามารถจะกลับตัวได้ พระโสดาบันก็เมตตา ถ้าเขาชั่วแนะนำแล้วไม่สามารถจะกลับตัวได้ พระโสดาบันก็ทรงอุเบกขา คือเฉยไม่สงเคราะห์ โปรดจำอารมณ์ตอนนี้ไว้ให้ดี

๒. ในประการต่อไป พระโสดาบันมีศีลบริสุทธิ์ ขอพูดย่อให้สั้น เพราะองค์ของพระโสดาบันก็คือ
๑) มีความเคารพในพระพุทธเจ้า
๒) มีความเคารพในพระธรรม
๓) มีความเคารพในพระอริยสงฆ์

นี่จัดเป็นองค์ที่มี ๓ ประการ

และสิ่งที่จะแถมขึ้นมาก็คือรักพระนิพพานเป็นอารมณ์ทำทุกสิ่งทุกอย่างไม่หวังผลตอบแทน ไม่หวังความดีมีชื่อเสียงในชาติปัจจุบัน มีความรู้สึกต้องการอยู่อย่างเดียวว่าเราทำความดีทุกอย่างเพื่อพระนิพพานเท่านั้น อารมณ์จิตตอนนี้ขอบรรดาท่านพุทธบริษัทภิกษุ สามเณรทุกท่านต้องจำไว้ จงอย่าไปคิดว่าพระโสดาบันเลอเลิศไปถึงอารมณ์อรหันต์ โดยมากมักจะคิดว่าอารมณ์ของพระอรหันต์เป็นอารมณ์ของพระโสดาบัน ก็เลยทำกันไม่ถึง นี่เป็นการคิดผิด ความจริงการเป็นพระโสดาบันเป็นง่าย มีอารมณ์ไม่หนักที่หนักจริงๆ ก็คือศีลอย่างเดียว

ต่อนี้ไปขอพูดถึงอาการของพระโสดาบันที่จะพึงได้ พระโสดาบันจัดเป็น ๓ ขั้น คือ
๑. สัตตักขัตตุง สำหรับที่ท่านเป็นพระโสดาบันมีอารมณ์ยังอ่อน จะต้องเกิดและตายในระหว่างเทวดาหรือพรหมกับมนุษย์อีกอย่างละ ๗ ชาติ เป็นมนุษย์ชาติที่ ๗ และเข้าถึงความเป็นอรหัตผล
๒. ถ้ามีอารมณ์เข้มแข็งปานกลาง ที่เรียกกันว่า โกลังโกละ อย่างนี้จะทรงเป็นเทวดาหรือมนุษย์อีกอย่างละ ๓ ชาติครบเป็นมนุษย์ชาติที่ ๓ เป็นพระอรหันต์
๓. สำหรับพระโสดาบันที่มีอารมณ์เข้มแข็งเรียกว่า เอกพิชี นั่นก็จะเกิดเป็นเทวดาอีกครั้งเดียว มาเกิดเป็นมนุษย์แล้วก็เป็นพระอรหันต์

ที่พูดตามนี้หมายความว่า ท่านผู้นั้นเมื่อเป็นพระโสดาบันแล้วเกิดใหม่ไม่ได้พบพระพุทธศาสนา จะต้องฝึกฝนตนเองอยู่เสมอทุกชาติ แต่ว่าความเป็นมิจฉาทิฏฐิในชาติต่อๆ ไป จะไม่มีแก่พระโสดาบัน เพราะว่าพระโสดาบันไม่มีสิทธิที่จะไปเกิดเป็นสัตว์นรก เป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉานจะเกิดได้แค่ช่วงแห่งความเป็นมนุษย์กับเทวดาหรือพรหมสลับกันเท่านั้น

เป็นอันว่าพระโสดาบันนี่ ถ้าท่านทั้งหลายพิจารณาให้ดีแล้ว ก็จะมีความรู้สึกว่าเป็นของไม่ยาก

หากว่าท่านจะถามว่า พระโสดาบันทั้งขั้นสัตตักขัตตุงโกลังโกละ และเอกพิชี มีอารมณ์ต่างกันอย่างไร?

ก็จะขอตอบว่า พระโสดาบันขั้นสัตตักขัตตุง มีจริยาคล้ายชาวบ้านธรรมดามาก ยังมีอารมณ์รุนแรงในความรัก ยังมีอารมณ์รุนแรงในความโลภ ในความโกรธ ในความหลง แต่ทว่าเป็นผู้มั่นคงในศีล ไม่ละเมิด

สำหรับพระโสดาบันขั้นโกลังโกละ ขั้นโกลังโกละนี้มีอารมณ์เยือกเย็นมาก หรือว่ามีความมั่นในคุณพระรัตนตรัยมีศีลมั่นคงมาก ความจริงเรื่องศีลนี่มั่นคงเหมือนกัน แต่ว่าจิตของท่านบอบบางในด้านความรัก ความโลภ ความโกรธ ความหลง ความคำนึงถึงอารมณ์อย่างนี้มีอยู่แต่ก็น้อย ถ้ามีคู่ครองเขาจะโทษว่า กามคุณท่านจะลดหย่อนลงไป ความสนใจในเพศ ความสนใจในความโลภ อารมณ์แห่งความโกรธ อารมณ์ แห่งความหลงมันเบา กระทบไม่ค่อยจะมีความรู้สึก

สำหรับพระโสดาบันขั้นเอกพิชี ในตอนนี้อารมณ์ของท่านผู้นั้น จะมีอารมณ์ธรรมดาอยู่มาก ขอท่านทั้งหลายโปรดอย่าลืมว่า พระอริยเจ้าจะเป็นฆราวาสก็ดี จะเป็นพระก็ดี จะเป็นเณรก็ดี จะเป็นคนมีจิตละเอียด ไม่ขัดคำสั่งผู้บังคับบัญชา และไม่ขัดคำสั่ง ไม่ฝ่าฝืนกฏระเบียบวินัย และกฎหมายอันนี้เป็นอารมณ์ของพระโสดาบัน ที่ท่านทั้งหลายจะพึงทราบ

สำหรับเอกพิชีนี่ ความจริงมีอาการจิตใจใกล้พระสกิทาคามี แต่ทว่าสิ่งที่จะระงับไว้ได้นั้น กดด้วยกำลังของศีล มีความรู้สึกว่าเราจะต้องประคับประคองศีลของเราให้แจ่มใสอยู่เสมอ มองดูความรักระหว่างเพศ หรือว่าความร่ำรวย หรือว่าความโกรธ หรือหลงในระหว่างเพศ หลงในสภาวะต่างๆ เห็นว่าเป็นของไร้สาระ มีอารมณ์เบาในความปรารถนาในสิ่งนั้นๆ แต่ทว่าก็ยังมีความปรารถนาอยู่

เอาละ บรรดาสาวกขององค์สมเด็จพระบรมครู เมื่อพูดมาถึงจุดนี้ วันนี้ก็คงไม่ได้อารมณ์แห่งการปฏิบัติ ในความเป็นพระโสดาบันท่านฟังกันมาแล้วสองคืน ผมเองมีความรู้สึกว่า ท่านทั้งหลายคงจะรู้สึกว่าง่ายสำหรับท่าน แต่ถ้าหากว่าเห็นว่าอารมณ์ของพระโสดาบันยากนี่ ถ้าเป็นพระหรือเป็นเณร ผมไม่ถือว่าพระว่าเณร ผมถือว่าเป็นเถน เถนในที่นี้หมายความว่ามี สระเอ นำหน้า มีถอถุง และนอหนู เขาแปลว่าหัวขโมย คือขโมยเอาเพศของพระอริยเจ้ามาหลอกลวงชาวบ้าน ตามปกติพระกับเณรนี่ต้องทรงศีลบริสุทธิ์อยู่แล้ว

เอาละ พูดไปเวลามันเกินไป ๑ นาที ก็ขอพอไว้แต่เพียงนี้ หวังว่าท่านทั้งหลายคงจะเข้าใจ ต่อแต่นี้ไปขอท่านทั้งหลายตั้งกายให้ตรง ดำรงจิตให้มั่น จะอยู่ในอิริยาบถใดก็ตาม นั่งก็ได้ ยืนก็ได้ เดินก็ได้ นอนก็ได้ตามอัธยาศัยทรงกำลังควบคุมความเป็นพระโสดาบันของท่านไว้ จนกว่าจะถึงเวลาที่ท่านเห็นว่าสมควร สวัสดี


***************************

คัดจากหนังสือ "อริยบุคคล" หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี
 

_________________
ทุกอย่างแก้ไขได้ วันนี้ต้องทำให้ดีกว่าเมื่อวาน
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
mes
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 09 มิ.ย. 2007
ตอบ: 643
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.

ตอบตอบเมื่อ: 15 ส.ค. 2008, 5:02 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

คุณจารุวรรณลองสรุปสั้นๆ ว่า

วิธีปฏิบัติให้ได้เป็นโสดาบันต้องทำอย่างไรบ้าง

เอาเป็นขั้นตอนเลยก็ได้ครับ

ที่นี่มีหลายท่านรอรับบัตรคิวสมัครอยู่ครับ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวMSN Messenger
คามินธรรม
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2008
ตอบ: 860
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.

ตอบตอบเมื่อ: 16 ส.ค. 2008, 11:27 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ลองดู www.wimutti.net สิคับคุณ mes
รักกันจิงนะนี่ ถึง"แนะนำอย่างยิ่ง"


ให้ลองฟัง mp3 ที่หลวงพ่อเทศน์สอนภาคปฏิบัติ

http://www.wimutti.net/pramote/mp.php

ลองฟังแผ่น 1-10 ฟังเล่นๆ ฟังทีละแผ่น ฟังเรื่อยๆ
ไม่กะเกณฆ์อะไร
และยังไม่ต้องสงสัยอะไรมาก ฟังเยอะๆแล้วมันจะประติดประต่อเอง

แล้วจะพบว่า โสดาบัน อยู่แค่เอื้อม จิงๆ

วันก่อนกรัชกายเอาข้อความหนึ่งในลานธรรมมาให้ดู
เด็กๆที่มากับพ่อแม่นี้ ทำเก่งกว่าพ่อแม่อีกนะ
เด็กบางคนเกิดจิตยิ้มแล้ว โดยที่ไม่ต้องนั่งวิปัสนาเลย

แต่ถ้าใครนั่ง ก้ใช้ได้เหมือนกัน หลักการเดียวกัน


วิธีหลวงพ่อปราโมชนี้ ผมลองกับตัวแล้ว
ยืนยันว่าได้ผลดีมากๆ เร็วมากๆ
โดยไม่ต้องปริยัติเลยอะไรมากมายเลย
 

_________________
ฐิโต อหํ องฺคุลิมาล ตฺว ฺจ ติฏฺฐ
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
mes
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 09 มิ.ย. 2007
ตอบ: 643
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.

ตอบตอบเมื่อ: 16 ส.ค. 2008, 4:11 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ผมจะเข้าไปดูครับ คุณคามินธรรม

เห็นชนรุ่นหลังอย่างพวกคุณสนใจธรรมะ ทำให้ผมรู้ลึกมีความหวังมากขึ้น

โลกจะได้หันกลับเข้าสู่คลองธรรมเสียที

หากปล่อยให้ล่วงเลยจนถึงเวลาที่ความทุกข์มาเยือน

แล้วค่อยปฏิบัติธรรม

ท่าน ปอ.ปยุติตกล่าวว่าคงจะเป็นการสำเร็จอย่างยับเยิน


ผมเชื่อการบรรลุธรรม และการปฏิบัติธรรมเช่นที่คุณคามินธรรมเคยกล่าวไว้คือ

การปฏิบัติธรรมตามธรรมชาติ

เป็นสิ่งที่เหมาะสม ถูกต้องที่สุด(ตามความคิดผม)

เพราะธรรมะคือธรรมชาติ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวMSN Messenger
JARUWAN_G
บัวพ้นดิน
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 15 ส.ค. 2008
ตอบ: 72
ที่อยู่ (จังหวัด): นนทบุรี

ตอบตอบเมื่อ: 17 ส.ค. 2008, 5:42 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ถ้าสรุปว่า วิธีปฏิบัติให้ได้เป็นโสดาบันต้องทำอย่างไรบ้าง .......

พระโสดาบัน แปลว่า ผู้เข้าถึงกระแสนิพพาน

ก่อนอื่น ต้องบอกถึงเหตุผลหลัก ๆ ก้อคือ เมื่อเป็นพระโสดาบันขึ้นไปแล้วจะไม่ต้องตกอบายภูมิ ยกเว้นคนที่ทำกรรมชั่วหนัก ๆ คือ อนันตริยกรรม ซึ่งยังงัยก็หนีไม่พ้น

โสดาบัน ก้อ คือชาวบ้านธรรมดา ๆ ที่ไม่ผิดศีล และมีใจที่รักพระนิพพานเป็นอย่างยิ่งค่ะ ทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อพระนิพพานเท่านั้น
ข้อ 1 โสดาบันมีสมาธิเล็กน้อย คืออารมณ์สมาธิของท่านผู้เจริญฌาณสมาบัติ โสดาบันยังมีความรู้สึกว่าร่างกายนี้เป็นของเราอยู่ แต่ทว่ามีอารมณ์ไม่ประมาท และมีความรู้ตัวอยู่เสมอว่าเราจะต้องตาย เห็นการตายและการจากไปเป็นของธรรมดา เมื่อตายจะรู้สึกยินดีและมีความสุขที่เราจะได้ไปพระนิพพาน
"ชีวิตเป็นของไม่เที่ยง แต่ความตายเป็นของเที่ยง ท่านทั้งหลายจงอย่ามีความไม่ประมาทในการสร้างความดี"

ข้อ 2 พระโสดาบันจะไม่สงสัยในคำสอนของพระพูทธเจ้า

ข้อ 3 โสดาบันเป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์ ยอมตัวตายดีกว่าผิดศีล

ทั้ง 3 ขั้นนี้หากอยู่ในขั้นกำลังพยายามปฏิบัติ เรียกว่า โสดาปัตติมรรค
เมื่อจิตพ้นจากโคตรภูญาณไปแล้ว จะก้าวเข้าสู่ความเป็น พระโสดาบันเต็มที่ เรียกว่าโสดาปัตติผล

เมื่อเป็นพระโสดาบันแล้ว จิตจะรักพระนิพพานเป็นอารมณ์ มีความรู้สึกว่าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นเรื่องธรรมดา แต่ว่าพระโสดาบันยังมีความรักระหว่างเพศ ยังมีความอยากรวย ความโกรธ ความหลง ยังมีการแต่งงาน แต่ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นอยู่ในขอบเขตของศีลค่ะ เพราะพระโสดาบันยังคิดว่าทุกสิ่งทุกอย่างในโลก ยังมีของสวยงามอยู่ การถือตนแบบนี้ จึงเชื่อว่ายังมีความหลง แต่ความหลงของพระโสดาบันนั้นไม่สามารถจะนำบุคคลนั้น ในเวลาตายแล้วไปสู่อบายภูมิได้

ขอให้จำไว้ว่า อารมณ์พระโสดาบันไม่เลอเลิศไปถึงอารมณ์ของพระอรหันต์ ความจริงการเป็นพระโสดาบันนั้นเป็นง่าย มีอารมณ์ไม่หนัก ที่หนักจริง ๆ ก้อคือศีลอย่างเดียวค่ะ
-------------------------------------------------------------------
 

_________________
ทุกอย่างแก้ไขได้ วันนี้ต้องทำให้ดีกว่าเมื่อวาน
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
คามินธรรม
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2008
ตอบ: 860
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.

ตอบตอบเมื่อ: 17 ส.ค. 2008, 6:49 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ผมว่าคุณ JARUWAN_G เข้าใจคำว่าโสดาบัน คลาดเคลื่อนอยู่นะครับ

หมายถึงแก่นแท้ของโสดาบัน

การถึงโสดาบัน เป้นเรื่องของจิตล้วนๆ
สิ่งที่ปรากฏภายนอก เป็นเพียง ผลพวงที่สังเกตุได้

แต่การพยามปฏิบัติตัว เยี่ยงโสดาบัน
หรือเอาอย่างโสดาบันทำ มันไม่ใช่การสำเร็จโสดาบัน


แก่นแท้ของคำว่าโสดาบัน หมายถึงสภาวะหนึ่งที่เกิดจากการเจริญจิตภาวนา

การถึงโสดาบันได้ มีทางเดียวเท่านั้น ไม่มีทางอื่น
นั่นคือการเจริญสติปัฏฐาน


การถือศีล ทำทาน ทำบุญ เป็นเพียงตัวช่วยเท่านั้น ไม่ใช่ทางตรง
จะดีมาก ถ้าทางตรงก็ทำ ตัวช่วยก็ทำ
แต่ถ้าจะมุ่งทำแต่ตัวช่วย..มันไม่มีทางสำเร็จโสดาบันได้เลย


หมั่นเจริญจิตภาวนา ศึกษาแบบน้ำครึ่งแก้ว
ศึกษามากๆ กว้างๆ หลายๆ สำนัก ไม่ปิดกันความรู้ตัวเอง
แล้วเดี๋ยวเราจะตกผลึกความเหมือนเอง
เราจะพบหลักที่แท้จริงเอง
 

_________________
ฐิโต อหํ องฺคุลิมาล ตฺว ฺจ ติฏฺฐ
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
JARUWAN_G
บัวพ้นดิน
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 15 ส.ค. 2008
ตอบ: 72
ที่อยู่ (จังหวัด): นนทบุรี

ตอบตอบเมื่อ: 17 ส.ค. 2008, 10:56 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ขอบคุณมากนะคะ คุณคามินธรรม
ที่กรุณาช่วยตอบกระทู้ นับว่าเป็นประโยชน์กับทุกท่านที่ได้อ่าน
หากว่ามีสิ่งใดที่คิดว่าอาจจะไม่ถูกต้องนั้น สามารถแย้งได้ค่ะ ยินดีรับฟังค่ะ

แต่ก่อนอื่นอยากจะขอให้ คุณคามินธรรม และทุก ๆ ท่าน นั้น ได้อ่านบทแรกก่อนนะคะ เรื่องอารมณ์ของพระโสดาบัน
ว่าสิ่งที่เราได้พิมพ์ไปนั้น ไม่ได้มาจากความคิดของเราเองทั้งสิ้น แต่เรานำมาจากการสอนของ หลวงพ่อฤาษีลิงดำ (หลวงพ่อพระราชพรหมยาน)
วัดท่าซุง อุทัยธานี ค่ะ ส่วนบทความที่ 2 เราก็แค่สรุปให้มันสั้นลง แค่นั้นเอง แต่อาจจะสั้นไปจนผู้อ่านเข้าใจคลาดเคลื่อน ต้องขออภัยค่ะ
และเราคิดว่าสิ่งที่หลวงพ่อได้สอนนั้น เป็นสิ่งที่ถูกต้องที่สุดค่ะ

เพราะหลวงพ่อย้ำว่าคนที่เข้ามาเจริญพระกรรมฐาน หรือวิปัสสนาญาณ
จนได้มโนยิทธิก็ดี ได้อภิญญา 5 ใน อภิญญา 6 ก็ดี ได้ 2 ในวิชชาสามก็ดี ก็ยังไม่มีความหมายในการตัดอบายภูมิ
 

_________________
ทุกอย่างแก้ไขได้ วันนี้ต้องทำให้ดีกว่าเมื่อวาน
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
JARUWAN_G
บัวพ้นดิน
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 15 ส.ค. 2008
ตอบ: 72
ที่อยู่ (จังหวัด): นนทบุรี

ตอบตอบเมื่อ: 17 ส.ค. 2008, 11:00 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ที่คุณคามินธรรม บอกว่าโสดาบันเป็นเรื่องของจิตล้วน ๆ นั้น ก็ถูกต้องอีกแหล่ะค่ะ เพราะโสดาบันแปลว่า ผู้เข้าถึงกระแสนิพพาน

ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราทำนั้น เราต้องคิดอยู่เสมอว่า เราทำเพื่อพระนิพพาน
รักนิพพานเป็นอารมณ์ อยากให้คุณคามินธรรมลองศึกษา บทความบทแรกให้เข้าใจก่อนนะคะ ว่าสิ่งที่เราพิมพ์นั้นมิได้มาจากความคิดของเราแม้แต่น้อย แต่เราลอกมาจาก หลวงพ่อค่ะ
 

_________________
ทุกอย่างแก้ไขได้ วันนี้ต้องทำให้ดีกว่าเมื่อวาน
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
JARUWAN_G
บัวพ้นดิน
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 15 ส.ค. 2008
ตอบ: 72
ที่อยู่ (จังหวัด): นนทบุรี

ตอบตอบเมื่อ: 17 ส.ค. 2008, 11:20 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ขอแถมอีกนิดนึงนะคะ

ที่หลวงพ่อบอกว่า "ขอให้จำไว้ว่า อารมณ์พระโสดาบันไม่เลอเลิศไปถึงอารมณ์ของพระอรหันต์ ความจริงการเป็นพระโสดาบันนั้นเป็นง่าย มีอารมณ์ไม่หนัก ที่หนักจริง ๆ ก้อคือศีลอย่างเดียว" เพราะ หลวงพ่อต้องการให้คนธรรมดา อย่างพวกเราปฏิบัติ เพื่อให้ถึง พระโสดาบันได้ง่ายขึ้น
ก็เลยบอกถึงความแตกต่าง ของอารมณ์เป็นขั้น ๆ ไป

แนวทางเพื่อให้บรรลุโสดาบัน ก็คือ โสดาปัตติมรรค
เมื่ออารมณ์เข้าถึงโคตรภูญาณใจมีความต้องการอย่างเดียว คือ พระนิพพาน แต่เมื่อจิตพ้นจากโคตรภูญาณไปแล้ว ก้าวเข้าสู่ความเป็นโสดาบันเต็มที่ เรียกว่า โสดาปัตติผล ซึ่งนอกจากจะรักพระนิพพานเป็นอารมณ์แล้ว ยังมีความรู้สึกว่าทุกสิ่งทุกอย่างในโลก มันเป็นของธรรมดา

นอกจากนี้เมื่อเป็นพระโสดาบันแล้ว ยังมีอาการที่พึงได้เป็น 3 ขั้นด้วย

ลองศึกษาจากบทความแรกดูนะคะ
 

_________________
ทุกอย่างแก้ไขได้ วันนี้ต้องทำให้ดีกว่าเมื่อวาน
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
JARUWAN_G
บัวพ้นดิน
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 15 ส.ค. 2008
ตอบ: 72
ที่อยู่ (จังหวัด): นนทบุรี

ตอบตอบเมื่อ: 17 ส.ค. 2008, 11:33 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ลองศึกษา เรื่องพระโสดาบันในเว็บนี้ดูนะคะ


http://www.palungjit.com/smati/books/index.php?cat=17
 

_________________
ทุกอย่างแก้ไขได้ วันนี้ต้องทำให้ดีกว่าเมื่อวาน
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
คามินธรรม
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2008
ตอบ: 860
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.

ตอบตอบเมื่อ: 17 ส.ค. 2008, 11:49 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สาธุ สาธุ สาธุ
 

_________________
ฐิโต อหํ องฺคุลิมาล ตฺว ฺจ ติฏฺฐ
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
walaiporn
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 02 ก.ค. 2006
ตอบ: 253
ที่อยู่ (จังหวัด): สมุทรปราการ

ตอบตอบเมื่อ: 18 ส.ค. 2008, 9:10 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

คุณคามินค่ะ

" หมายถึงแก่นแท้ของโสดาบัน การถึงโสดาบัน เป็นเรื่องของจิตล้วนๆ
สิ่งที่ปรากฏภายนอก เป็นเพียงผลพวงที่สังเกตุได้
่แก่นแท้ของคำว่าโสดาบัน หมายถึงสภาวะหนึ่งที่เกิดจากการเจริญจิตภาวนา"

-- ตรงนี้คุณคามินกล่าวได้ถูกค่ะ แบบว่าถูกจริงๆตามสภาวะ ไม่ใช่ถูกตามความคิดของดิฉัน

นำมาให้อ่านค่ะ

" จ่อกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เพิกเฉยกับนามธรรมที่เกิด นามธรรมที่ดับ นี้ก็เห็น รูป นามเกิดดับ เรียกว่า อุทัพยญาณ เป็นวิปัสสนาญาณ "

-- จริงๆแล้ว อุทยัพพยญาณมีสองชนิด อย่างอ่อนกับอย่างแก่ จากข้อความด้านบนที่นำมาให้คุณคามินอ่าน เป็นอย่างอ่อนค่ะ เกิดปรีชากำหนดรู้ความเกิดดับแห่งรูป,นาม คิดว่าตัวเองผ่านอุทยัพพยญาณแล้ว เมื่อมาเจอกับวิปัสสนูกิเลส แต่เจ้าตัวอาจจะไม่รู้ เลยหลงยึดมั่นถือมั่น เขาต้องเจริญสติให้มากขึ้น ถึงจะผ่านตรงนี้ไปสู่อุทยัพพยญาณอย่างแก่ได้ มีเยอะค่ะกรณีแบบนี้ แต่ก็เป็นกุศลของเขา แบบว่า พูดให้ฟังเฉยๆค่ะ
ถ้าอุทยัพพยญาณอย่างแก่ จะเกิดในสมาธิเท่านั้นค่ะ ( เกิดเมื่อพละ 5พร้อม ไม่ใช่เรื่องคาดเดาได้ว่าจะเกิดเมื่อไหร่ ) ไม่ใช่เพิกเฉยต่อนามธรรมที่เกิด เขาต้องดูตามความเป็นจริงที่เกิด โดยไม่ต้องไปคิดว่าไอ้โน่นไอ้นี่ ไม่งั้นก็กลายเป็นวิปัสสนึกไปอีก เสร็จกิเลสมันอีก เลยยึดมั่นถือมั่นในสมมติบัญญัติที่เรียกว่า " โสดาบัน " บางคนก็เลยมาข่มขู่คนอื่น กดผู้อื่นว่าต่ำกว่าตน จริงๆแล้วมันเป็นวิบากของแต่ละคนด้วยค่ะ ที่ทำให้เกิดปัญหาตรงนั้นขึ้น ถ้าผ่านอุทยัพพยญาณอย่างแก่จริง ดูง่ายค่ะ สังโยชน์ 2 ข้อแรก เขาจะละได้ ดูง่ายค่ะคนที่ผ่านได้จริงๆ ไม่มีการมาแบ่งเขา แบ่งเรา คนนั้นรู้มาก คนนี้รู้น้อย เชื่อมั่น และไม่สงสัยในพระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า พระสงฆเจ้า

-- ถ้าผ่านอุทยัพพยญาณอย่างแก่ จะประหาณทิฏฐิกิเลส ได้แก่
1. ทิฏฐิกิเลส ได้แก่ สักกายทิฏฐิสังโยชน์ ไม่ต้องมาน้อมเอา คิดเอาเป็นอารมณ์ เพราะเมื่อเข้าใจ รูป นาม สมมติ ( โดยแท้จริงจากจิต ความหมายตรงกับตำราทุกอย่าง แต่กระชับสั้น ) มันจบทันที กิเลสอื่นๆยังมี แต่เบาบางลง
2. วิจิกิจฉากิเลส ได้แก่ วิจิกิจแสงโยชน์ ไม่มาสงสัยในพระรัตนตรัย จะมีความเคารพพระรัตนตรัยอย่างซาบซึ้ง

เจริญในธรรมทุกท่านค่ะ สาธุ
 

_________________
ไม่มีคำว่าทำไม่ได้ หากเราพยายามทำและตั้งใจทำอย่างต่อเนื่อง
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
JARUWAN_G
บัวพ้นดิน
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 15 ส.ค. 2008
ตอบ: 72
ที่อยู่ (จังหวัด): นนทบุรี

ตอบตอบเมื่อ: 18 ส.ค. 2008, 8:40 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ทุกคน มีสิทธิในการออกความคิดเห็นค่ะ แต่ละคนต่างบ้าน ต่างสถานที่ ก็ย่อมจะมีความรู้ที่แตกต่างกันบ้าง เป็นเรื่อง สัจธรรม การที่เราแสดงความคิดเห็นเรื่องธรรมะนั้น เป็นสิ่งที่ดีค่ะ ถ้าการแสดงความคิดเห็นไม่ได้ทำลายพูทธศาสนา

เวลาที่จิตใจจดจ่ออยู่กับธรรมะ เวลาใด เวลานั้นจะสามารถหนีจากอบายภูมิได้

สาธุ สาธุ
 

_________________
ทุกอย่างแก้ไขได้ วันนี้ต้องทำให้ดีกว่าเมื่อวาน
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
JARUWAN_G
บัวพ้นดิน
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 15 ส.ค. 2008
ตอบ: 72
ที่อยู่ (จังหวัด): นนทบุรี

ตอบตอบเมื่อ: 19 ส.ค. 2008, 10:19 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ดิฉัน อาจจะมีความรู้น้อยจริง ๆ ต้องขออภัยท่านผู้อ่านทุกท่าน ค่ะ
 

_________________
ทุกอย่างแก้ไขได้ วันนี้ต้องทำให้ดีกว่าเมื่อวาน
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
สลิลลิสา
บัวผลิหน่อ
บัวผลิหน่อ


เข้าร่วม: 26 ส.ค. 2008
ตอบ: 4

ตอบตอบเมื่อ: 26 ส.ค. 2008, 10:49 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เท่าที่ดิฉันได้ศึกษามาพอสมควร..มรรคเนี่ย มันเห็นได้จากการนั่งสมาธิจริงๆนะคะ แต่ก้อต้องมีผู้รู้จริงๆมาสอน มาชี้แนะ คลำทางเอาเองอาจจะนานหน่อย คำว่าโสดาบัน คือผู้แรกเห็นใช่ไหมคะ

เท่าที่ทราบพระโสดาบันก้อมี3ระดับอีก

เท่าที่เคยคุยกับพระอริยะเจ้า..บางคนแทบไม่มีความแตกต่างจากคนธรรมดาเลยนะคะ เพียงแต่เค้าเข้าใจและละสังโยชน์สามได้แล้ว

หัวข้อน่าสนใจมากๆค่ะ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวMSN Messenger
สลิลลิสา
บัวผลิหน่อ
บัวผลิหน่อ


เข้าร่วม: 26 ส.ค. 2008
ตอบ: 4

ตอบตอบเมื่อ: 26 ส.ค. 2008, 11:00 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

แค่คิดว่า..ขั้นตอนที่เคยได้ยินมามันไม่ซับซ้อนแล้วก้อเข้าใจง่ายกว่านี้อ่ะค่ะ แต่ก้อขอบคุณที่ทุกท่านเจตนาดีนำมาให้อ่านกัน

มีกิเลสทั้งหมด 10 ประการซึ่งถ้าเราประหารได้หมดก้อคือเป็นผู้ไม่มีกิเลส

ไม่มีความแตกต่างระหว่างเค้ากับเรา

การที่อริยะเจ้าขั้นโสดาบันยังตัดได้เพียงสามตัวจึงยังไม่มีอะไรแตกต่างจากคนทั่วไป

นอกจากจะประหารกิเลสมากขึ้นไปเรื่อยๆ จะเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงทางจิตเห็นอาการของจิตของตัวเอง (ระบบการทำงานของจิต) แต่จะไม่มีเจตนาเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย

แต่ถ้าท่านรักษาสมมุติโลกอยู่

ไม่ได้พยายามทำตัวแตกต่างจากคนทั่วไป

ความมีตัวตนจะน้อยลง เพราะไม่ยิดติดว่านี่คือเค้านี่คือเรา

เมื่อเห็นสภาวะนั้นแล้วไม่มีความแตกต่างระหว่างเรากับสิ่งอื่น

เรายังมีตัวตนอยู่ไหมก้อยังดำรงสภาวะนั้นอยู่

แต่ไม่มีใครรู้ไม่มีใครเห็น เป็นของมันอยู่อย่างนั้น

มีใครรู้หรือไม่มีใครรู้มันก้ออยู่อย่างนั้น .. ไม่มีเวลามาเกี่ยวข้อง

เล่าสู่กันฟังค่ะ ^^
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวMSN Messenger
คามินธรรม
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2008
ตอบ: 860
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.

ตอบตอบเมื่อ: 27 ส.ค. 2008, 1:36 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ส่วนตัวผม เลิกคิดไปนานแล้วล่ะคับ
เรื่องว่าอะไรคือนิพพาน อะไรคืออรหันต์ อะไรคือโสดาบัน
เพราะมันไม่มีทางเลย ที่เราจะสามารถพิสุจน์ทราบได้

เพราะลำพังแค่ฟังมา อ่านมา
หรือ คิดจินตนาการ หรือคะเนไปเอง
มันไม่สามารถรู้ได้จริง

แค่การจะรู้ ขนาดที่เรียกว่า "รู้จริง" "รู้แจ้ง"
เราต้องใช้ปัญญาระดับ ภาวนามัยปัญญา
กล่าวคือ "ต้องเจอด้วยตัวเอง จึงจะรู้ได้แบบหมดสงสัย"


เหมือนฝรั่งที่ไม่เคยกินต้มยำ
ต่อให้อ่านหนังสือ ต่อให้ฟังมา ต่อให้คิดไป
ต่อให้คนคิดเป็นถึงศาสตราจารย์มีปริญญาสักสิบกระบุง
มากมายมหาศาลเท่าไหร่
ก็ไม่เท่าได้ ตักต้มยำขึ้นมาชิมสักจิบหนึ่ง
แล้วก็ร้อง "โอ้ เย่ !!! นาว ไอ โน .... วอท ทิส ทอม ยาม"


บางทีเราอาจจะคิดมากไปหน่อย
เรื่องหาคำตอบว่าต้มยำ มีรสชาติอย่างไร

ทั้งที่มันมีวิธีเดียว ในการพิสูจน์ทราบ
คือเราต้องชิม .... ไม่ใช่ฟัง และไม่ใช่คิด


เล่าสู่กันฟังนะจ๊ะ
 

_________________
ฐิโต อหํ องฺคุลิมาล ตฺว ฺจ ติฏฺฐ
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
สลิลลิสา
บัวผลิหน่อ
บัวผลิหน่อ


เข้าร่วม: 26 ส.ค. 2008
ตอบ: 4

ตอบตอบเมื่อ: 27 ส.ค. 2008, 2:56 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ขอให้เจริญในธรรมนะคะ

เรื่องที่เล่านั้นไม่ได้เกิดจากจินตนาการค่ะ

ดิฉันได้เห็นมรรคแล้วแต่ยังละลายสังโยชน์สามไม่หมด

เล่าสู่กันฟังอยากให้ทุกคนปฏิบัติกันให้ได้ ^^

ใครได้ก้ออนุโมทนาบุญด้วยค่ะ

สิ่งนั้นที่นั้นประเสริฐที่สุดแล้ว

ดิฉันโพสน์ที่นี่ไม่ได้มีจุดประสงค์ที่จะเอาชนะหรือแสดงความมีตัวตนอะไร

เพียงแค่อยากจะเล่าวิธีการบรรลุธรรมแบบที่เคยได้ลองผิดลองถูกมา

ถ้าคุณสงสัยในสิ่งที่ดิฉันพูด ยินดีที่จะตอบข้อสงสัยนั้นเป็นกรณีๆไป

เผื่อมีผู้แสวงธรรมมาจะได้เป็นความรู้ไป

ส่วนใหญ่หยิบยกของคนอื่นมากันแต่ปฏิบัติได้แค่ไหน?

เมื่อบรรลุธรรมแล้ว จะเห้นว่ามีหลายทางมากที่สามารถมาถึงได้

ไม่ได้มีแค่ทางเดียว

เราสามารถบรรลุธรรมได้หลายทางนะคะ

ไม่ต้องจินตนาการไปถึงต้มยำกุ้งหรอกค่ะ ต่างประเทศร้านอาหารไทยเยอะแยะ สิ่งที่คุณพูดมานั้นจับใจความได้ว่า ไม่เจอเองก้อไม่รู้ว่ามันคืออะไร ก้อแค่นั้น ^^"

ดิฉันก้อพูดด้วยวาจาสัตย์ว่าเคยได้แล้ว

หากจะช่วยใครให้ได้เห็นทางอันประเสริฐนั้นสักคนก้อจะยินดีอย่างยิ่ง

ถ้าคุณไม่สนใจคุณไม่เข้ามาโพสน์หรอกค่ะ ^^

การพูดนั้นหากไม่ก่อเกิดประโยชน์อันใด จะพูดไปทำไมละคะ?

จริงๆคุณสนใจน่ะดีแล้วนะคะ(สาธุๆ)

ดิฉันคิดว่าคุณทำกุศลทำบุญมาเยอะถึงได้มาสนใจเรื่องนี้แบบนี้

ท่ามกลางกระแสโลกปัจจุบันที่สวนกับกระแสทางธรรม

ได้เจอคุณที่นี่ก้อเหมือนได้เจอเพื่อนร่วมทางเดียวกัน

คำพูดที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ในการแสวงหาธรรม เราจะพูดเพื่อให้จิตผู้อื่นเศร้าหมองไปทำไมคะ

ตัวเรากะตัวเค้าก้อไม่ได้แตกต่างกัน

เมื่อคุณได้สภาวะนั้นแล้ว

คุณจะรู้ว่าสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนให้ทำทานนั้น ไม่ได้สอนให้เอาบุญเยอะๆ

แต่ท่านสอนให้ละการยึดติดว่ามีตัวตน ปล่อยวาง สละความตระหนี่ออกไป
เมื่อความตระหนี่นั้น ลดลง ความมีตัวตนก้อน้อยลง

ไม่มีแบ่งเค้าแบ่งเรา หากยังสละทานไม่ได้ แล้วจะสละกิเลสจากใจได้อย่างไรคะ

ทานนั้นเป็นเพียงทรัพย์ภายนอกไม่ใช่ตัวเราด้วยซ้ำ

ขอให้ธรรมจงมีแก่คุนทั้งหลายที่แสวงหาธรรมนะคะ ^^
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวMSN Messenger
สลิลลิสา
บัวผลิหน่อ
บัวผลิหน่อ


เข้าร่วม: 26 ส.ค. 2008
ตอบ: 4

ตอบตอบเมื่อ: 27 ส.ค. 2008, 3:10 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ทางที่จะบรรลุธรรมนั้น..มีหลายทาง

จากการฟังก้อดี แต่ต้องเป็นอริยะเจ้าชั้นสูงที่สามารถพูดได้อย่างนั้น

เช่น พระพุทธเจ้าที่สามารถเทศน์ให้กษัตริย์องค์นึงบรรลุโสดาบันได้

จากการอ่าน การเขียน การปฏิบัติสมถะ การดูจิต

คอยดูกระบวนการทำงานของจิตจนกระทั่งเห็นหมดแล้ว..แล้วปล่อยวางได้ในที่สุด

ทางพิสูจน์มีเยอะแยะไปค่ะ

พระอริยะเจ้าในประเทศไทยก้อมีเยอะแยะไป เพียงแต่เราเข้าหาไม่ถูกจุด..^^

พยายามเข้านะคะ ขอให้คุณมีความเจริญในธรรมยิ่งๆ ขึ้นไปค่ะ

คุนคามินธรรม อย่าเพิ่งใจร้อนด่วนสรุปอะไรง่ายๆ เลยค่ะ^^

หนทางยังมีอยู่ค่ะ ดิฉันขอเอาใจช่วยให้คุณนะคะ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวMSN Messenger
คามินธรรม
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2008
ตอบ: 860
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.

ตอบตอบเมื่อ: 27 ส.ค. 2008, 10:50 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ถ้าทำอะไรให้เคือง ขออภัยด้วยนะคับ
ผมเพียงอยากเสนอมุมมองเฉยๆน่ะคับ


การลงมือชิมต้มยำกุ้ง ก็คือ เจริญสติปัฎฐาน
เพราะการพิสูจน์ทราบ มีวิธีเดียวจริงๆ
ซึ่งเป็นความรู้ที่ได้จาก ภาวนามัยปัญญา


ส่วน สุตุุมัยปัญญา + จินตมัยปัยญา
เราใช้แค่เบื้องต้น เพื่อทำความรู้จักแผนที่

แต่พอแผนที่ชัดเจนแล้ว ก้ต้องออกเดินทาง (ลงมือปฏิบัติ)

พูดง่ายๆว่า ต่อให้เข้าใจพระไตรปิฏกทะลุปรุโปร่ง แต่ไม่สามารถปฏิบัตให้เกิดปัญญาจากการเจริญจิตภาวนาได้
ก็ไม่มีทางเข้าถึงโสดาบัน

ส่วนเรื่องฟังธรรมแล้วบรรลุ อันนั้นมันไม่ใช่กรณีทั่วไป
แล้วแต่บารมีใครทำมามาก
แต่การเจริญจิตภาวนา นอกจากเป้นทางเอกแล้ว
ยังสามารถทำได้แทบทุกคน
 

_________________
ฐิโต อหํ องฺคุลิมาล ตฺว ฺจ ติฏฺฐ
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ ไม่สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง