Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 แม่-ปรมัตถวิจารณ์เกี่ยวกับพระคุณแม่ : ท่านพุทธทาสภิกขุ อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
กุหลาบสีชา
บัวเงิน
บัวเงิน


เข้าร่วม: 30 เม.ย. 2007
ตอบ: 1466
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.

ตอบตอบเมื่อ: 08 ส.ค. 2008, 4:46 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

Image

แ ม่ : ปรมัตถวิจารณ์เกี่ยวกับพระคุณแม่
ท่านพุทธทาสภิกขุ

ท่านสาธุชนผู้มีความสนใจในธรรมทั้งหลาย

การบรรยายปาฐกถาธรรมในวันนี้
อาตมาจะบรรยายในหัวข้อว่า

"ปรมัตถวิจารณ์เกี่ยวกับพระคุณของแม่"

บางคนอาจจะนึกสงสัยว่า
นี่เป็นการแทรกแซงของการบรรยายเกี่ยวกับ
"อิทัปปัจจยตา" หรืออย่างไร

อาตมารู้สึกว่าไม่เป็นการแทรกแซง
เพราะว่าถ้ารู้จักปฏิบัติเกี่ยวกับแม่ ให้ถูกต้อง
มันก็เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับ กฎของ "อิทัปปัจจยตา" อยู่นั่นเอง
แต่เนื่องจากมีผู้ขอร้องให้พูดเรื่องเกี่ยวกับ แม่
อาตมาก็ต้องยอมรับ เรียกว่าเกรงใจก็ได้
เพราะเรามันทำงานร่วมกัน

และคิดดูอีกทีหนึ่งก็รู้สึกว่า
เราก็เป็นคนมี แม่ แม้จะเป็นเด็กหัวหงอกแล้วก็ยังมี
ใคร ๆ ก็ยังมีแม่ แม่ยังจำเป็นอยู่
แม้แต่เด็กหัวหงอกที่ต้องรับรู้
ขอให้นึกอย่างนี้กันทุกคน

ถ้าเป็นเด็กหัวหงอกแล้วยังสนองคุณของแม่ไม่ได้ก็ดูกระไรอยู่
จึงเป็นสิ่งที่ต้องศึกษาสำหรับเป็นตัวอย่าง
แก่เด็กที่ยังไม่นุ่งผ้าเลยทีเดียว

ทีนี้เราก็ต้องพิจารณากันถึงคำว่า "แม่"
สิ่งแรกที่สุดคือจะต้องพิจารณาก็คือว่า
ทำไมภาษาบาลีซึ้งใข้กันอยู่เป็นหลักนี่มีคำว่า "มาตาปิตา"
คือแม่พ่อ ไม่เหมือนกับภาษาไทยที่พูดว่าพ่อแม่
ทั้งที่ประเทศอินเดียเป็นแม่แบบวัฒนธรรม
ของไทยเราทุกอย่างทุกประการ

ภาษาอินเดียใช้คำว่า "แม่พ่อ"
แต่เราก็ยังมาใช้กลับกันว่า "พ่อแม่"
ข้อนี้ก็เป็นสิ่งที่ควรจะพิจารณาว่า
ทำไมภาษาบาลีโดยเฉพาะจึงใช้คำว่า "แม่พ่อ"


อาตมาเห็นว่า เพราะ "แม่" มาก่อนถึงก่อน
หรือสอนแก่ลูกก่อนแก่ลูกเล็ก ๆ นั้น
ทำให้นึกถึง "แม่" ก่อน "พ่อ"
หรือจะดูอีกทีว่าเด็กทารกเขาจะออกเสียงว่า "แม่"
ได้ง่ายกว่า "พ่อ" คือออกเสียงคำว่า "ม่ะ"
ได้ง่ายกว่า "ป้ะ" ออกเสียง ม.ง่ายกว่าออกเสียงป.
เด็กคงจะพูดคำว่า "แม่" ได้ดีกว่าคำว่า "พ่อ"ก็ได้
และเมื่อดูพฤติการณ์ทั่วไปแล้ว
แม่มาก่อนพ่อ สรุปความแล้วก็อาจจะได้เป็นว่า

พ่อสร้างชีวิต แม่สร้างวิญญาณ
ข้อนี้ขอให้สนใจกันสักหน่อยว่า "แม่" สร้างวิญญาณของลูกได้อย่างไร


เราได้มรดกจากแม่ในเรื่องมรรยาท
หรือการเป็นอยู่มากกว่าพ่อ
จะขอยกตัวอย่างที่แม่ได้ทำหน้าที่ของแม่
ในการสร้างนิสัยอันละเอียดให้แก่ลูก

เช่น ในความเรียบร้อย
แม่กวดขันให้ล้างจานข้าวให้สะอาดให้เรียบร้อย
และเก็บให้เรียบร้อย เสื้อผ้าต้องเรียบร้อย
ปูที่นอนต้องเรียบร้อย ล้างมือล้างเท้าสะอาด

แม่สอนให้ประหยัด
เกิดนิสัยประหยัดแม่บังคับให้ใช้น้ำล้างเท้าอย่างประหยัด
ใช้น้ำอาบอย่างประหยัด ใช้ฟืนอย่างประหยัด
เชือกผูกของ กระดาษห่อของ
เศษกระดาษที่พอจะทำเชื้อไฟได้สักนิดหนึ่งก็ยังต้องประหยัด

แม่สร้างนิสัยอ่อนน้อมถ่อมตน
แม่สอนว่ายอมแพ้นั้นไม่ถือว่าเป็นการเสียเกียรติ
เพราะให้เรื่องมันระงับไป
แต่ก็ไม่ต้องเสียหายอะไรเนื่องจากว่าต้องยอมแพ้
มันเป็นการปลอดภัย
และใคร ๆ ก็รักคนที่ยอมแพ้ไม่ให้เรื่องเกิด

แม่สอนให้เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่
แม่สอนว่าให้ลูกแมวได้กินข้าวก่อน แล้วคนจึงกิน
สัตว์เดรัจฉานเป็นเพื่อนของเรา
คนขอทานเป็นเพื่อนของเรา
คนไร้ญาติขาดมิตรมาตายอยู่ตามท่าน้ำเราก็ต้องเอื้อเฟื้อ
ถ้าเรากินเองมันก็ถ่ายออกหมด
ถ้าเราให้เพื่อนกินมันอยู่ในหัวใจของเขายาวนานนัก

แม่อบรมนิสัยให้รักน้องให้รักเพื่อน
แม่สอนว่าน้องเอาเปรียบพี่ได้
แต่พี่เอาเปรียบน้องไม่ได้
น้องโกงพี่ได้แต่พี่โกงต้องไม่ได้ อย่างนี้เป็นต้น

แม่สอนให้ดูว่าไก่ไม่มีเห็บ
เพราะมันช่วยจิกให้กันและกันลูกไก่เล็ก ๆ
ยังช่วยจิกเห็บให้ลูกไก่ตัวใหญ่
เห็บที่มันอยู่ตามหน้าตามหงอนซึ่งมันจิกเองไม่ได้

แต่ไก่ก็ไม่มีเห็บ
เพราะมันปฎิบัติหน้าที่เพื่อนของกันและกัน
แม้แต่ลิงมันก็หาเหาให้แก่กันและกัน
สุนัขมันก็ยังกัดหมัดให้แก่กันและกัน
ตรงที่ที่มันกัดเองไม่ได้ เราจึงต้องมีเพื่อน

แม่อบรมนิสัยกตัญญูรู้คุณ
ให้เด็กเล็ก ๆ ช่วยทำงานให้แม่บ้าง
ทำอะไรไม่ได้มาก ก็เพียงแต่ช่วยตำน้ำพริกแกง
ให้ได้ยังดีเหยียบขาให้แม่หายเมื่อย
เอาใจใส่แม่เมื่อเจ็บไข้
นี้ปฏิบัติกันมาจนเป็นนิสัย
เคารพคนแก่คนเฒ่าพระเจ้าพระสงฆ์
ประนมมืออยู่ตลอดเวลา

ให้ปลูกฝังคือว่าให้ใช้เวลาว่าง
ปลูกพริก ปลูกมะเขือ ปลูกตะไคร้ ดอกมะลิ ดอกราตรี
แม้แต่สับปะรด กล้วย ก็ยังสอนให้ปลูก
แล้วยังสอน คาถากันขโมย ให้ด้วยว่า

"ถ้านกกินเป็นบุญ ถ้าคนกินเป็นทาน"

อาตมายังจำได้อยู่กระทั่งบัดนี้
ว่าถ้านกกินให้ถือว่าเราเอาบุญ
ถ้าคนมันขโมยเอาไปก็คือว่าให้ทาน
แล้วมันก็จะไม่ถูกขโมยไปจนตลอดชีวิต
มันกลายเป็นให้ทานไปเสียทุกที
ถ้าสัตว์มากินก็เอาบุญ
ก็ไม่ต้องไปฆ่าสัตว์ไม่ต้องไปยิงสัตว์

(มีต่อ)
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัว
กุหลาบสีชา
บัวเงิน
บัวเงิน


เข้าร่วม: 30 เม.ย. 2007
ตอบ: 1466
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.

ตอบตอบเมื่อ: 08 ส.ค. 2008, 4:53 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

แม่อบรมนิสัยห้ามเล่นการพนัน
แม้แต่หมากรุกก็ไม่ได้
เรื่องดนตรี เราชอบต้องแอบเล่น
เรื่องชนไก่จับปลานั้นไม่ต้องพูด
เรื่องเหล้า เรื่องบุหรี่ นี้มันเกลียดเอง แม่ไม่ต้องห้าม

พ่อและอาก็ไม่เคยแตะต้องสิ่งเหล่านี้
เด็ก ๆ เป็นเด็ก เห็นคนสูบกัญชาสูบยาดอง
ด้วยกล้องไม้ไผ่เสียงโคลก ๆ นั่น
รู้สึกว่าเขาเป็นวีรบุรุษ แต่เราก็ไม่กล้าลอง

ทั้งหมดนี้ได้อุปนิสัยมาจากแม่
ที่คอยจ้ำจี้จ้ำไช ว่ากล่าวอยู่เสมอ
นี่ดูเถอะ แม่สร้างอุปนิสัยสร้างดวงใจ
พร้อมๆ กับที่พ่อช่วยสร้างชีวิต
โดยส่วนใหญ่หรือโดยส่วนรวม
แม่อยู่วงใน พ่ออยู่วงนอก


ควรดูต่อไปถึงปัญหาว่าเดี๋ยวนี้
ในบ้านเมืองเรามีปัญหาเด็ก ๆ
ไม่เคารพไม่รัก ไม่เชื่อฟังพ่อแม่
ชวนกันเป็นอันธพาลมากขึ้น
เพราะเขาไม่รู้เรื่องแม่
ปัญหากำลังขยายตัวเพราะเด็กไม่รู้ว่า
"แม่" นั้นคืออะไร

แม่บางคนเสียอีกก็ไม่รู้ว่า
ความเป็นแม่คืออะไร นี้ก็มีอยู่เหมือนกัน
เพราะเด็ก ๆ เหล่านี้ไม่รู้ว่า
การทำให้พ่อแม่ร้อนใจน้ำตาตกในนั้น
เป็นความเลวร้ายอย่างใหญ่หลวง
เขาจึงยังกระทำกันอยู่

ดังนั้นเราจะต้องสอนให้เขารู้ว่า "แม่" คืออะไร

แม่คืออะไร เป็นสิ่งที่ทุกคนควรรู้
และรู้โดยปรมัตถ์ชั้นลึกซึ้ง ด้วยความลึกซึ้ง
โดยปรมัตถ์แล้วเราต้องกล่าวว่า
แม่เป็นผู้สร้างโลก โลกจะดีหรือเลว
ก็เพราะคนในโลกมันดีหรือเลว
คนในโลกมันจะดีหรือเลวก็เพราะว่า
แม่ได้สร้างอุปนิสัยคนเหล่านั้นมาอย่างไร

ถ้าสร้างมาดี คนมันดี โลกนี้มันก็ดี
ถ้าสร้างมาไม่ดีโลกนี้มันก็ไม่ดี
จึงเห็นได้ว่า "แม่"
อยู่ในฐานะเป็นผู้สร้างโลกราวกับว่าเป็นพระเจ้า
แม่เป็นผู้สร้างดวงวิญญาณของลูก


แม่ต้องไม่ไปทำหน้าที่ "พ่อ"
ถ้าทำหน้าที่พ่อ
พ่อก็จะว่างงานแล้วโลกก็จะเลวลง
ไม่มีใครกล่อมเกลาดวงวิญญาณ
บางพวกเขาแก้ตัวว่ารายได้ไม่พอ
แม่ต้องไปช่วยทำงานหารายได้

นั่นมันหลับตาพูด เพราะมันไม่มองดูว่า
มันเป็นการเสียหายมากกว่าได้
ถ้าแม่จะต้องช่วยพ่อทำงาน
ก็ต้องไม่ให้เสียหน้าที่ของแม่
คือทำงานชนิดที่ดูแลลูกไปพลางก็ยังได้
คนบางพวกเขายังเอาลูกสะพายหลังไปด้วย
เพื่อว่าไม่อยู่ห่างจากลูก

(มีต่อ)
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัว
กุหลาบสีชา
บัวเงิน
บัวเงิน


เข้าร่วม: 30 เม.ย. 2007
ตอบ: 1466
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.

ตอบตอบเมื่อ: 08 ส.ค. 2008, 4:56 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

แม่อบรมความเก่งในบ้าน
พ่ออบรมความเก่งนอกบ้าน ในสังคมที่กว้างกว่า

แต่แล้วแม่ก็สร้างอุปนิสัยลูกมากกว่าพ่อ
เราได้รับมรรยาทอุปนิสัยต่างๆ นานา
ติดเนื้อติดตัวมาจนถึงกระทั่งวันนี้
อุปนิสัยประหยัดก็ดี สุภาพก็ดี ขยันขันแข็งก็ดี
มาจากแม่โดยตรง
เรียกว่าเป็นเนื้อเป็นตัวมา
เพราะการอบรมของแม่


เรายอมรับว่า พ่อช่วยให้เรามีอาหารกินให้ปลอดภัย
แต่แม่ก็ยังคงช่วยสร้างดวงวิญญาณของเราอยู่
พ่อรักเราอยู่วงนอก แต่แม่รักเราอยู่กับอก
ถึงกับว่ากินเลือดในอกแม่ กินนมของแม่
เรียกว่ามีการถ่ายพันธุ์ อุปนิสัยมากที่สุด

นักเลงผสมไก่ ผสมปลากัดเขาบอกให้ฟังว่า
การเลือกพันธุ์ผสมนั้นเขาเลือกตัวเมียมากกว่าตัวผู้
เขาจะเลือกพันธุ์ตัวเมียที่ดีที่สุดมาเป็นแม่พันธุ์
พ่อพันธุ์ไม่ค่อยสำคัญนัก
อย่างนี้ก็เป็นสิ่งที่น่าฟัง

ทีนี้ก็จะดูไปถึงการอบรม
อบรมลูกบางคนสอนลูกไม่ให้ไหว้ใคร
เพราะกลัวจะเป็นทาสความคิดความเห็นของใคร
บางคนสอนให้ลูกไหว้ใครจนไม่ต้องดูอะไรเลย
อย่างนี้มันผิดทั้งสองอย่าง

อาตมาคิดว่าเราควรจะสอนลูกให้รู้จักเลือกไหว้ใครเสียดีกว่า
ดีกว่าที่จะไหว้ไปตะพึด
ดีกว่าที่จะไม่ไหว้เสียเลย
ลูกจะรู้จักเลือกไหว้
จะรู้จักผิดชอบชั่วดีในการรู้จักเลือกไหว้
เป็นการดีกว่าที่จะไม่ให้ไหว้ใครเสียเลย

วันแรกของโรงเรียนอนุบาล
เด็ก ๆ ควรจะเรียนกันแต่ว่า "แม่คือใคร" อย่างนี้ดีกว่าเรียนหนังสือ
ไม่ต้องอุตริให้เรียนภาษาต่างประเทศไปตั้งแต่ชั้นอนุบาล
โตแล้วก้ไม่รู้ว่าแม่นี่คืออะไร
แม่มีบุญคุณอย่างไหร่ก็ไม่รู้


แม่ควรอบรมนิสัยจิตใจ ให้ลูกมันมีความรู้สึกสูง
แม่ควรจะพาลูกไปร้านอาหารที่อร่อย ๆ
ของเล่นของแต่งตัวที่มีราคาแพง
แล้วก็บอกลูกว่า "ทั้งหมดนี้เขามีไว้สำหรับทำให้เราโง่"

เด็ก ๆ จะรู้จักคิดไปตั้งแต่เล็ก ๆ ว่า
ทั้งหมดนี้มันมีไว้ สำหรับทำให้เราโง่อย่างไร
ของแต่งตัวสวย ๆ ของกินอร่อย ๆ
ของเล่นตุ๊กตาที่น่ารักอะไรก็ตาม
ทั้งหมดนี้แม่จะบอกว่ามีไว้สำหรับทำให้เราโง่
แล้วลูกมันจะคิดอย่างไร
มีเหตุมีผลอย่างไรก็ค่อยรู้กันเอง

(มีต่อ)
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัว
กุหลาบสีชา
บัวเงิน
บัวเงิน


เข้าร่วม: 30 เม.ย. 2007
ตอบ: 1466
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.

ตอบตอบเมื่อ: 08 ส.ค. 2008, 4:59 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สอนให้ลูกรู้ว่าเราจะต้องทำอย่างไร
เราควรมีอะไร ควรกินอะไร
ควรใช้อะไร ควรบูชาอะไร ควรทนุถนอมอะไร
ถึงจะเป็นการถูกต้องที่สุด

บอกให้ลูกรู้ว่า เรื่องกินก็ดี เรื่องกามก็ดี เรื่องเกียรติก็ดี
มันมีลักษณะเหมือนกับดาบสองคม
ใช้ไปทางหนึ่งก็วินาศ
ใช้ไปทางหนึ่งก็เจริญ


เด็ก ๆ ควรจะรู้ปรมัตถ์เรื่อง "ตัวกู-ของกู"
ดีอย่างไร เสียหายอย่างไร
ทีละเล็กทีละน้อยขึ้นมาตามสมควร
ตามความเหมาะสม


เด็ก ๆ จะต้องรู้จักอดทน เสียสละเพื่อแม่
ให้สมกับความเจ็บปวดที่แม่ได้รับเมื่อคลอดเรามา
ให้เด็ก ๆ เขารู้จักมีอะไร
เพื่อจะได้ทำหน้าที่ถูกต้องเป็นผาสุก
ไม่ใช่เพื่อยึดมั่นถือมั่น

ลูกควรจะรู้ว่าเราเกิดมาเพื่ออะไร
จะปฏิเสธความเกิดมานี้ไม่ได้
เพราะมันเกิดมาแล้ว
มันมีแต่ว่าต่อไปต้องทำอะไร

ทีนี้จะดูถึงข้อที่ว่า
แม่พ่อจะต้องส่งเสริมลูกอย่างไร
คือส่งเสริมสัญชาตญาณอย่างไร
เด็ก ๆ ทารกมีสัญชาตญาณแห่งการรักดี

ดูเถิด พอเราบอกว่า "ดี-ดี"
เขาก็ดีใจ ตบพุงแป๊ะ ๆ แป๊ะ ๆ
เด็ก ๆ ก็ชอบทำงาน ชอบขอมาทำงาน
บอกว่านี่หนูทำเอง นี่หนูทำเอง
ก็ต้องส่งเสริมสัญชาตญาณ
แห่งการชอบทำงานนี้ให้ยิ่งขึ้นไปตลอดชีวิต

เด็ก ๆ จะต้องรู้จักรักผู้อื่น รู้จักสังคมกับผู้อื่น
เราจะต้องช่วยเพื่อน เราจะต้องมีเพื่อน
ถ้าเราไม่ช่วยเพื่อน เราก็อยู่ไม่ได้
แล้วเราก็กลายเป็นคนมีนิสัยที่เลว

เด็ก ๆ ทำงานให้สนุกรู้จักเป็นสุขเมื่อกำลังทำงาน
ที่รู้สึกว่าเป็นการถูกต้อง
เป็นสุขที่แท้จริง ไม่ต้องใช้เงิน
เด็กนี้โตขึ้นก็จะรู้จักแสวงหาความสุขใจโดยไม่ต้องใช้เงิน
ชีวิตกับการงานนั้นต้องสิ่งเดียวกันไปเสียเลย

งานคือเกียรติยศสูงสุดของคน
การทำงานให้สนุกนี้เป็นหลักสำคัญที่สุด
คือการเดินทางถูกต้องตามกฎของ "อิทัปปัจจยตา"
ใครทำงานสนุก คนนั้นเดินตามกฎ "อิทัปปัจจยตา" อย่างยิ่ง

(มีต่อ)
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัว
กุหลาบสีชา
บัวเงิน
บัวเงิน


เข้าร่วม: 30 เม.ย. 2007
ตอบ: 1466
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.

ตอบตอบเมื่อ: 08 ส.ค. 2008, 5:00 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ทีนี้ลูกโตแล้ว
ลูกโตขึ้นมาเป็นหนุ่มเป็นสาวแล้ว
ควรจะชี้ให้เห็นในส่วนที่ลึกขึ้นไป
ในฐานะที่เป็นปรมัตถ์

ให้รู้ว่ากามารมณ์กับการสืบพันธุ์นั้นเป็นคนละเรื่องกัน
กามารมณ์เป็นเรื่องของกิเลส
มีผลคือบ้าลูกเดียว บ้าลูกเดียว
เป็นเรื่องของกามารมณ์
อย่าไปหลงเป็นทาสมัน

แต่เรื่องสิบพันธุ์นั้นเป็นหน้าที่ของมนุษย์
ต้องประพฤติกระทำอย่างถูกต้อง
เดี๋ยวนี้คนหนุ่มสาวเอาเรื่องกามารมณ์ไปปนกับเรื่องการสืบพันธุ์
แล้วปฏิบัติผิด มันก็เสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์
เพราะเกิดมาเป็นทาสของกามารมณ์
ใครเขาจะหลงใหลก็ตามใจเขาเราไม่เอา

ไม่ต้องแต่งงานสมรสเพราะกิเลสตัณหา
แต่ต้องแต่งงาน เพราะความรู้สึกผิดชอบชั่วดี
ว่าเราต้องมีหน้าที่สิบพันธุ์ไว้สืบพันธุ์มนุษย์ไว้
ให้มนุษย์เดินทางไปถึงนิพพานให้จงได้

ช่วงคนนี้ไปไม่ถึง ช่วงคนหน้าก็ไปให้ถึง
การแต่งงานเพื่อแบ่งภาระกัน
ให้มนุษย์ได้ทำหน้าที่ของมนุษย์สมบูรณ์
สะดวก โดยเร็วและโดยง่าย

การแต่งงานเพื่อเป็นคู่คิด
เพื่อช่วยกันให้เกิดความง่ายในการก้าวไปข้างหน้า
เพื่อความสมบูรณ์แห่งความเป็นมนุษย์
แม้จะพูดว่าเป็นเพื่อนเดินทางไปสู่นิพพานก็ไม่ผิด
แต่คนเขาจะหัวเราะเยาะ
นั่นมันคนโง่ ไม่ต้องไปสนใจ

การสมรสการแต่งงานเพื่อช่วยแบ่งเบาภาระ
ความยากความลำบากของความเป็นมนุษย์ให้มันง่ายเข้า
ไม่ใข่เพื่อมาหลงใหลในการกามารมณ์
เหมือนที่เขาทำกันอยู่โดยมาก
เสียสละทุกสิ่งทุกอย่างแพงมาก
เพื่อการสมรสและแต่งงานแต่เพื่อกามารมณ์
ไม่ได้เพื่อการก้าวหน้าไปของความเป็นมนุษย์
สู่จุดหมายปลายทางของความเป็นมนุษย์

ระวังให้ดี การพูดอย่างนี้ มันถูกด่าทุกที
มีผู้เอาไปพูด แต่ก็ยังไม่พ้นจากการถูกด่า
แต่อาตมาก็ยังขอพูดอยู่อย่างนี้


แม่จะสอนให้ลูก ๆ ให้รู้ว่า ชีวิตคืออะไร
การสมรสคืออะไร ใครจะด่าก็ตามใจ
เราจะทนทำไปเพื่อการบูชาคุณของแม่เองนั้นก็ยังได้

(มีต่อ)
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัว
กุหลาบสีชา
บัวเงิน
บัวเงิน


เข้าร่วม: 30 เม.ย. 2007
ตอบ: 1466
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.

ตอบตอบเมื่อ: 08 ส.ค. 2008, 5:04 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

แม่ทั้งหลายล้วนแต่ต้องการให้ลูกรอด
และต้องการให้ลูกไปได้ไกลกว่าพ่อแม่ด้วยกันทั้งนั้น

ทีนี้วันแม่ สรุปความวันนี้เป็น วันแม่
ต้องพูดกันถึงหน้าที่ของแม่
ต้องพูดกันถึง พระคุณแม่ ในแง่ที่เป็นปรมัตถวิจารณ์

คือพินิจพิจารณากันในส่วนลึกของความหมาย
เรียกว่า ปรมัตถวิจารณ์


การพูดอย่างนี้ก็ยังคงอยู่ในชุดของการบรรยาย
เรื่องปรมัตถธรรมกลับมา
เพื่อเป็นรากฐานของศีลธรรม
การปฏิบัติให้ถูกต้องต่อแม่พ่อ
หรือแม่พ่อปฏิบัติถูกต้องต่อลูกนี้
ก็เป็นเรื่องศีลธรรมที่เว้นไม่ได้ ที่จะเป็นที่สุด

เพราะการที่จะปฏิบัติให้ถูกต้องโดยแท้จริงนั้น
ต้องมีความรู้ในส่วนปรมัตถธรรม
คือในส่วนลึกที่สุด ที่มองเห็นยาก

ต้องใช้สติปัญญาพิจารณาว่า

ความเป็นพ่อคืออะไร ความเป็นแม่คืออะไร
ความเป็นลูกคืออะไร
กระทั่งความเป็นหลานเหลนสืบ ๆ ไป คืออะไร

เขาก็จะปฏิบัติได้ถึงความหมายในส่วนลึก
จะได้รับประโยชน์ในส่วนลึก
มิใช่สักว่า เกิดมาแล้วก็หลงใหลในกามารมณ์
อย่างดีก็สืบพันธุ์ในลักษณะเหมือนกับที่สัตว์เดรัจฉานสืบพันธุ์
ไม่มีความม่งหมายอะไรมากไปกว่านั้นนี่

ก็เพราะว่า ไม่รู้ว่าแม่คืออะไร
ไม่รู้ว่าแม่คือผู้สร้างดวงวิญญาณของลูก
ตั้งแต่วันแรกที่ลูกเกิดมา

แม่ทำหน้าที่อย่างหนึ่ง
พ่อทำหน้าที่อย่างหนึ่ง
ถ้าแม่ไปทำหน้าที่ของพ่อ
โลกนี้ก็จะไม่มีแม่แล้วมันจะเป็นอย่างไร
มันจะไม่มีสิ่งผูกพันอันลึกซึ้งในเรื่องความรัก
ในเรื่องความกตัญญู


มันไม่สมกับที่ว่าคำว่า "แม่" นี้
มาก่อนคำว่า "พ่อ" ในภาษาธรรมะ
ภาษาบาลีภาษาศาสนาจะพูดว่า "มาตาปิตา"
ว่า "แม่พ่อ"ไม่ได้พูดว่า "ปิตามาตา"ไม่เคยพบเลย

เพราะ "แม่" มีความสัมพันธ์ในส่วนที่ว่ามาก่อน
ลูกจะเรียก "แม่" ชัดก่อนที่เรียก "พ่อ"
คำว่า "แม่" ออกเสียงง่าย
สำหรับลูกเด็กทารกอย่างนี้เป็นต้น


ขอให้สนใจว่า แม่จะนำหน้าที่
ในการสร้างอุปนิสัยชีวิตวิญญาณในด้านลึกของลูก
เราจึงควรพิจารณากัน
ในลักษณะที่ว่าเป็นปรมัตถวิจารณ์
ปรมัตถธรรมอย่างนี้มาแล้ว
ศีลธรรมก็จะมีรากฐานที่มั่นคงจะก้าวหน้าถูกต้องและลึกซึ้ง
มันเป็นกฎของอิทัปปัจจยตา "อย่างนี้เอง"


(มีต่อ)
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัว
กุหลาบสีชา
บัวเงิน
บัวเงิน


เข้าร่วม: 30 เม.ย. 2007
ตอบ: 1466
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.

ตอบตอบเมื่อ: 08 ส.ค. 2008, 5:09 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ชีวิตทุกก้าวย่าง ต้องเดินตามกฎของอิทัปปัจจยตา
ไม่ว่าจะอยู่เป็นชาวนา
หรือว่าจะบรรลุนิพพาน
มันเป็นกฎที่เฉียบขาดว่า
เราทุกคนจะต้องเดินให้ถูกต้อง
ตามกฎของธรรมชาติอันเฉียบขาด
เหมือนกับพระเป็นเจ้า

แม่ก็มีหน้าที่สร้างโลกเหมือนกับพระเป็นเจ้า
เพราะเกิดมาก็สร้างอุปนิสัยของเด็กทุกคนในโลก
จนโตขึ้นมาแล้วก็จะได้เป็นพลโลกที่ดี
แม่ก็สร้างโลกนี้เหมือนกับที่พระเจ้าสร้างโลก
และก็โดยกฎของพระเจ้าผู้สร้างโลก
คือกฎของอิทัปปัจจยตานั่นเอง

จะเดินตามกฎของอิทัปปัจยตา
ไม่ว่าจะอยู่เป็นชาวนาหรีอว่าจะบรรลุนิพพาน
พูดอย่างนี้ก็หมายความว่า
ให้มันหมดจดสิ้นเชิงถ้าจะอยู่กันในระดับต่ำ
เป็นชาวนาหาเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง
มันก็ต้องเดินตามกฎของอิทัปปัจยตา

แม่ของชาวนาก็ต้องเป็นแม่ที่ถูกต้อง
เป็นแม่ที่เป็นอาจารย์ของลูกที่ดี
เป็นพระพรหมของลูกที่ดี
เป็น "อาหุเนยยบุคคล" ของลูกที่ดี
ไม่มีอะไรดีไปกว่าแม่
ในแง่นี้ของลูกแต่ละคน ๆ
จึงว่าแม้จะอยู่เป็นชาวนา
ก็ต้องเดินตามกฎของอิทัปปัจยตา


ทีนี้ถ้าจะก้าวหน้าหรือจะบรรลุนิพพานอันสูงสุด
ก็ยิ่งต้องเดินตามกฎของอิทัปปัจยตา
ให้ถูกต้องทุกกระเบียดนิ้วเป็นลำดับ ๆ ไป
มันก็จะไม่เหลือวิสัยที่คนเราจะบรรลุนิพพานคือ
มีชีวิตอันเหยือกเย็น ต้องได้ที่นี่และเดี๋ยวนี้

ตายแล้วก็ไม่ต้องสงสัย
เรียกว่ามีชีวิตเยือกเย็นทีนี่และเดี๋ยวนี้
จะได้รับประโยชน์กว่า
ถ้าที่นี่เดี๋ยวนี้ได้รับ ตายแล้วก็ไม่ต้องสงสัย
ไม่ต้องเป็นห่วงต่อเรื่องตายแล้ว

ขอแต่ให้ทำให้ถูกต้องที่นี่และเดี๋ยวนี้
อย่างครบถ้วนสมบูรณ์
จะเป็นการรับประกันตลอดไป

นี่แม่จะต้องปลูกฝังความรู้อันนี้ให้แก่ลูก
ลูกก็จะเดินถูกทาง มันก็เลยพร้อมที่จะเป็นแม่ที่ดี
เป็นพ่อที่ดีสืบต่อๆ กันไปในอนาคต
ทั้งหมดนี้เราเรียกว่า "ปรมัตถวิจารณ์เกี่ยวกับพระคุณของแม่"

ดูพระคุณของแม่ในด้านลึก
แล้วก็จะได้เคารพรักกตัญญู
เชื่อฟังพ่อแม่กันอย่างสูงสุด
เพื่อเตรียมตัวเป็นพ่อแม่ที่ดีสืบไปในเมื่อถึงรอบเวรของตนเข้า

ปรมัตถวิจารณ์ นี้ ขอให้เป็นที่สนใจ
แก่บุคคลทั้งหลายที่เป็นพ่อเป็นแม่
เป็นความรู้ที่ต้องใช้ทั้งแก่เด็กที่กำลังอมมือ
และแก่เด็กที่หัวหงอกแล้ว
อย่าได้มีอะไรผิดพลาดในเรื่องหน้าที่ของแม่
และลูกต่อไปอีกเลย


หวังว่าพ่อแม่และลูกหลายทั้งหลาย
จะมีความรู้เรื่องนี้อย่างเพียงพอ
ปฏิบัติแล้วไม่บกพร่องในหน้าที่ของตน
ตนจะได้ประสบความสุข
ในฐานะที่เป็นมนุษย์อยู่ทุกทิพาราตรีกาลเป็นแน่นอน


ขอให้ความหวังอันนี้จงสำเร็จสมควรปรารถนา
เพราะว่าเรามีความเป็นพุทธบริษัทที่แท้จริง
มีความเชื่อถูกต้องมีความพากเพียรถูกต้อง
มีความกล้าหาญอย่างถูกต้อง
แล้วเป็นอยู่ด้วยความถูกต้องนั้น
เป็นสุขอยู่ทุกทิพาราตรีกาลเทอญ

สาธุ สาธุ สาธุ

(ที่มา : แม่-ปรมัตถวิจารณ์เกี่ยวกับพระคุณแม่ ใน
http://www.buddhadasa.org/html/word/talk/mother.html)
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัว
บัวหิมะ
บัวเงิน
บัวเงิน


เข้าร่วม: 26 มิ.ย. 2008
ตอบ: 1273

ตอบตอบเมื่อ: 10 ส.ค. 2008, 3:51 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สาธุ สาธุการ ท่านพุทธทาส

สาธุ ซาบซึ้งในพระคุณแม่เสมอ สาธุ

อนุโมทนาสาธุ พุทโธ
 

_________________
ชีวิตที่เหลือเพื่อธรรมะ
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง