Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 ทำอย่างไรจึงจะหายกลัวผี ( ๓ วิธี ) อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
สายลม
บัวเงิน
บัวเงิน


เข้าร่วม: 30 พ.ค. 2004
ตอบ: 1245

ตอบตอบเมื่อ: 10 มี.ค.2005, 8:30 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ทำอย่างไรจึงจะหายกลัวผี ( ๓ วิธี )




ใครบ้างที่ไม่เชื่อเรื่องผี ยกมือขึ้น ! ถ้าถามอย่างนี้อาจจะมีคนยกมือกันเยอะแยะ แต่ถ้าถามว่าใคร บ้างที่จะกล้าอาสาไปเดินในป่าช้าคนเดียวตอนดึก ๆ หรืออาสาไปนอนเล่นในห้องดับจิตหรือในโกดังเก็บศพสักคืนหนึ่ง คิดว่าถ้าถามแบบนี้คนที่ยกมือบอกว่าไม่เชื่อเรื่องผีตะกี้นี้คงจะชักมือหดมือลงเป็นแถว ๆ นี้เป็นเพราะสาเหตุใด ตอบได้ง่าย ๆ ก็เป็นเพราะ "กลัวผี " นั่นเอง



ความเชื่อเรื่อง "ผี" เป็นความเชื่อของคนไทยมีมาก่อนที่พุทธศาสนาจะเข้ามาสู่สยามประเทศของเรา เสียอีก เป็นความเชื่อที่สืบทอดกันมานานนับพันปี ความกลัวผีจึงเป็นสิ่งที่ฝังรากลึกลงอยู่ในกมลxxxของคนไทย ยากยิ่ง ที่จะถอดถอนความเชื่อนี้ออกไปได้ แม้เราจะชอบอ้างตัวเองว่าอยู่เสมอ ๆ ว่าเป็นคนที่อยู่ยุควิทยาศาสตร์ ก็ตาม



ความกลัวผีเป็นอันตรายต่อสุขภาพจิต บางคนกลัวมาก ๆ อาจจะถึงกับช็อคตายไปเลยก็ได้ ถ้าจะให้บอกกับตัวเองว่าเราไม่เชื่อเรื่องผี ก็ไม่ไหว เพราะทั้งที่ปากบอกว่าไม่เชื่อ ๆ แต่ใจมันก็ยังหวาดกลัวอยู่ดี เพราะความคิดนี้มันฝังตัวอยู่ในสัญชาติญาณกลัวตายของเรา พูดง่าย ๆ คือ ตราบใดที่ เรายังกลัวตาย ตราบนั้นเราก็ยังคงต้องกลัวผีอยู่นั่นเอง แล้วทีนี้เราจะทำอย่างไรดี



พุทธศาสนาเข้าใจถึงจิตใจของปุถุชนดี ท่านจึงสอนวิธีคิดชนิดที่สามารถไปสลายความกลัวผีให้หมดลงไปได้ คือทำให้ความกลัวผีลดน้อยลงไป หรือ ถึงกับเลิกกลัวผีไปเลยก็ยังได้ โดยไม่ต้องจำเป็นต้อง ไปเลิกเชื่อเรื่องผีแต่อย่างใด ดังจะขอยกวิธีคิด ๓ วิธีมาอธิบาย ดังต่อไปนี้





๑. คิดปรารถนาดีต่อชีวิตทั้งปวง (เมตตา)

วิธีคิดนี้ง่ายมาก คือสร้างความรักความปรารถนาดีเผื่อแผ่ไปให้แก่ ทุก ๆ ชีวิต โดยจินตนาการให้ความรู้สึก "รัก" นี้แผ่ไพศาลไปทั่วฟ้า มหาสมุทร หรือ ถ้าเป็นสมัยใหม่นี้ ก็ต้องแผ่ไปให้ไกลทั่วแกแล็คซี่ ไม่มีขอบเขต ไม่มีประมาณ ความคิด "เมตตา"เช่นนี้ถ้าคิดได้อย่างต่อเนื่องจนเป็นสมาธิ ก็จะมีพลังมหาศาล สามารถที่จะสลายความกลัวให้หมดไป



คนที่มีเมตตามาก ๆ สามารถที่จะสร้างอิทธิพลในทางบวกให้แก่ผี เช่นแบ่งปันความดีงาม ให้ผีสางนางไม้พลอยได้รับส่วนบุญกุศลอีกด้วย นี้แสดงถึงอำนาจของเมตตาที่มีอำนาจเหนือผีนั่นเอง



กล่าวโดยสรุป คนที่มีเจริญเมตตาอยู่ในใจตลอดเวลา จะมีสมาธิดีมาก จนอำนาจภายนอกไม่ สามารถที่จะมาครอบงำหรือหลอกหลอนได้แต่อย่างไร ไปไหนมาไหนสบายใจ ไม่ต้องสะดุ้งกลัว



วิธีคิดสร้างเมตตา (ในกรณีต้องไปอยู่ในสถานที่น่ากลัว) "ขอให้ทุก ๆ ชีวิต ณ ที่แห่งนี้จงมีความสุข ขอให้สัตว์เล็กสัตว์น้อย ณ ที่แห่งนี้จงสุขกายสุขใจ ขอให้ความรักความปรารถนาดีของฉันจงมีแก่ทุกชีวิต ขอให้ความรักของฉันจงเผื่อแผ่ไปทั่วสกลจักรวาล อย่างไม่มีขอบเขตไม่มีประมาณ ขอให้ต้นไม้ใบหญ้า ทุกต้นทุกใบจงมีความสันติสุข ขอให้ความเป็นมิตรของฉันจงมีแก่ทุก ๆ ชีวิต ณ ที่แห่งนี้ ขอให้ท่านสุขกาย สุขใจ มีสุขภาพจิตใจที่แจ่มใส ขอเผื่อแผ่ความดีงามที่ฉันได้ทำไว้ มอบให้แก่ท่านทั้งหลาย ขอให้ชีวิตทีเศร้าหมองทั้งหลายจงสดใสร่าเริง ขอให้ทุกชีวิตจงมีความสุขใจโดยพลันเทอญ ฯลฯ "



วิธีคิดให้เกิดเมตตานี้ สามารถจะปรุงแต่งเป็นความคิดต่าง ๆ นานาได้ตามความปรารถนา เพียงแต่ว่า ให้อยู่ในประเด็นหลักของเมตตา คือ แผ่ความรักปรารถนาดีไปยังสรรพสัตว์อย่างไม่มีขอบเขตไม่มีประมาณ เท่านั้นเอง



อนึ่ง คนที่ชอบฝันร้าย หากรู้จักแผ่เมตตาก่อนนอน ก็จะฝันดี มีความสุขทั้งตอนหลับและตื่น หาก ปฏิบัติได้เป็นประจำก็ดีเยี่ยมเลยครับ



(อ่าน กรณียเมตตสูตร สุตตันต.เล่ม ๑๗ ขุททกนิกาย ข้อ ๑๐ หน้า ๑๑ )





๒. ความเชื่อมั่นเคารพในความดีงาม (ศรัทธา)

วิธีนี้ ชาวพุทธที่มีความศรัทธาอยู่แล้วจะได้เปรียบสักหน่อยนะครับ เพราะความ"ศรัทธา" เป็นพลังความคิดอีกชนิดหนึ่งที่สามารถสลายความกลัวให้หมดลงไปได้เช่นเดียวกัน หากท่านศึกษาในประวัติศาสตร์ของศาสนาต่าง ๆ ท่านจะเห็นว่าคนที่มีความศรัทธาในศาสนามาก ๆ เขาจะไม่กลัวแม้แต่ความตาย ความศรัทธาหรือ ความรู้สึกประทับใจ เชื่อมั่น ซาบซึ้งใจ นี้ในทางพุทธศาสนาถือว่าเป็นสิ่งจำเป็นในขั้นต้นของการปฏิบัติธรรม ศรัทธาทำหน้าที่สร้างพลังขับเคลื่อนไปสู่กระบวนการทางปัญญา คือ ก่อนที่ปัญญาจะวิ่งไปได้ บางทีต้องอาศัย พลังศรัทธาคือความเคารพเชื่อมั่นในความดีงามนี้ทำหน้าที่เป็นตัวสร้างช่องทางนำร่องให้ความคิดเดินไปได้ ไม่อย่างนั้นมันคิดไม่ค่อยจะไปเหมือนกัน



ยกตัวอย่าง ชาวพุทธในสมัยโบราณก่อนที่เขาจะตัดสินใจจะทำอะไร เขาก็ตั้ง นโม..ระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้า อันเป็นสัญลักษณ์ของความดีงาม ความบริสุทธิ์ ความมีปัญญา เพื่อให้จิตใจผ่องใส เมื่อจิตใจดีแล้วเขาก็อาศัยพลังศรัทธานั้นแหละขับเคลื่อนความคิดเชิงเหตุผลต่อไป จนกลายเป็น พลังปัญญาด้วยตัวของมันเอง (ปัญญาพละ) ที่สามารถพึ่งตนเองได้อย่างแท้จริงต่อไป นี้เป็นจุดมุ่ง หมายของศรัทธาในทางพุทธศาสนา



ผลพลอยได้ของ "ศรัทธา" คือ ช่วยทำไม่ให้กลัวผีได้ด้วยครับ อย่างที่บอกแล้วว่า คนที่ศรัทธามาก ๆ นี่ แม้ "ตาย"ยังไม่กลัวเลย แล้วจะไปกลัวผีได้อย่างไร ดังนั้นหากท่านเกิดความกลัวขึ้น ณ ที่ใด ให้สร้างศรัทธา ขึ้นในใจ ความกลัวผีก็จะหายไปในบัดดล



วิธีคิดสร้างศรัทธา (เวลาต้องไปอยู่ในที่น่าหวาดกลัว ) ให้หลับตา นึกมโนภาพว่าเรากำลังกราบพระพุทธองค์อยู่ตรงหน้าที่ประทับ พร้อมทั้งระลึกถึงความบริสุทธิ์ของพระองค์ ที่ห่างไกลจากความโลภ โกรธ หลงทั้งมวล (วิสุทธิคุณ) ระลึกถึงความเมตตาอันไม่มีประมาณของพระพุทธองค์ที่รักมวลมนุษย์ชาติดังมารดารักบุตร (เมตตาคุณ) ระลึกถึงปัญญาอันสว่างไสวของพระพุทธองค์ที่ทรงรู้แจ้งสรรพสิ่งในสกลจักรวาล (ปัญญาคุณ) พร้อม ๆ กับ ภาวนา คำว่า " นะโมตัสสะ ภควะโต อรหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ ไปเรื่อย ๆ ให้นึกวาดภาพว่าตัวเองก้มกราบพระพุทธองค์ พร้อมทั้งระลึกถึงพระคุณทั้งสามประการ อยู่เช่นนี้ตลอดเวลา จิตใจของท่านจะเกิดความร่าเริงแจ่มใส ปีติยินดี ความกลัวต่าง ๆ ไม่สามารถที่จะเข้ามากล้ำกรายจิตใจอย่างแน่ นอน



(อ่าน ธชัคคสูตรที่ ๓ สุตตันต.เล่ม ๗ สังยุตตนิกาย สคาถวรรค ข้อ ๘๖๓ )





๓. คิดใฝ่รู้ใฝ่ศึกษา (ฉันทะ)

อันนี้ใช้พลังปัญญาล้วน ๆ เลย คือความเชื่อมั่นในเหตุผล ในความจริง จิตใฝ่รู้นี้ มีพลังมหาศาล ที่ทำให้เราเกิดความเชื่อมั่นในตนเองจนไม่หวาดหวั่นอะไร คนประเภทนี้ผีหลอกไม่ไหวหรอกครับ เพราะจิตมีกำลังมาก (มีสมาธิ) ดังนั้นคนที่มีความใฝ่รู้จริง ๆ จึงมักจะไม่ค่อยจะเชื่อเรื่องผี และ ไม่กลัวผี คนประเภทนี้ถ้าผีตัวไหนขืนถลำตัวไปหลอกเข้า ผีตัวนั้นคงเป็นต้องโดนวิ่งไล่จับพิสูจน์เป็นแน่ เพราะคนใฝ่รู้เขาจะเข้าไปหาถึงตัวเลย เพื่อจะดูซิว่าผีมันมีสิวกี่เม็ด, เท้าไม่ติดพื้นจริงหรือเปล่า, เสื้อผ้าผีมีเนื้อผ้าเป็นอย่างไร, ผีทำไมต้องพูดช้า ๆ ยานคาง , ทำไมผีถึงชอบทำหน้าเละ ๆ ฯลฯ แล้วผีที่ไหนจะยอมให้พิสูจน์ล่ะครับ คงต้องหนีลูกเดียว เพราะ ผีมันก็ดีแต่เก่งแค่ทำผลุบ ๆ โผล่ ๆ หลอก ๆ หลอน ๆ แต่คนขวัญอ่อนเท่านั้นเอง เจอคนจริงแบบนี้ ผีก็ไม่ไหวเหมือนกันล่ะครับ ..สวัสดี



(อ่าน ความรู้ในแง่มุมต่าง ๆ ของ "ปัญญา" ที่มีอยู่มากมายมหาศาลในพระไตรปิฎก )





........................

บทความธรรมะจาก
http://www.budpage.com



 

_________________
"อย่าลืมตัว อย่าลืมปัจจุบัน อย่าลืมปฏิบัติ"
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัว
รักแม่
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 18 มี.ค.2005, 9:50 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ตอนเด็กๆกลัวผีมาก โตขึ้นมาความกลัวผีลดลงเพราะดูหนังสยองขวัญพวกเอเลียน เจสันศุกร์13 ฯลฯ ดูน่ากลัวว่าภาพผีที่เคยเห็นในละครไทย ยิ่งโตขึ้นไปอีก ผ่านเรื่องที่เฉียดความตายมาหลายครั้ง ฟังธรรมะบ่อย (ซึ่งส่วนใหญ่มักไม่ค่อยพูดเรื่องผี มีแต่เรื่องของนรกภูมิและผู้ประพฤติตนเช่นไรจึงจะรอดพ้นจากอบายภูมิ4 ฟังวิทยุคลื่นเอเอ็ม ไม่เจาะจงรายการ แต่ที่ฟังบ่อยคือพล ม.2) เลยลดความกลัวผีไปได้มาก แม้ในพระสูตร ก็เคยฟังแต่เรื่อง เปรต สัตว์นรก และผู้ที่รับกรรมในอบายภูมิซึ่งล้วนแต่เกิดทุกเวทนาใน สภาพเหล่านั้น แต่ยังเจรจาพูดคุยตามปกติ ไม่มีพวก ผีหลอก แบบในนิยายสยองขวัญที่เคยดู หรือหนังสือการ์ตูนเล่มละบาทที่เคยอ่านตอนเด็กๆ ปัจจุบันไม่กลัวถ้าจะต้องเจอ เพราะสภาพศพที่เน่าเฟะ ก็เคยเห็นมาแล้ว โดยเฉพาะในภิพิธภัณฑ์ นิติเวชของโรงพยาบาลศิริราช มีศพให้ดูเยอะ บางทีมีอวัยวะต่างๆภายในร่างกาย ที่เกิดจากการถูกฆ่าเช่นถูกยิงให้ดู และ ได้อ่านหนังสือกายวิภาคมาก็หลายเล่ม(ชนิดมีภาพประกอบ) ความกลัว(ผีหักคอลดน้อยถอยลงไปมาก แต่ไม่กล้าบอกว่ามันหมดไปแล้วอย่างสิ้นเชิง บางทีก็ขึ้นอยู่กับสถาการณ์ด้วย





ขอรับบทความนี้เป็นธรรมทานด้วยนะครับผมจะเซฟใส่แผ่นเอาไว้อ่าน



ขอให้ผู้แต่งผู้เผยแพร่และทุกๆท่านเจริญในธรรมครับ



 
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง