Home
•
กระดานสนทนา
•
สมาธิ
•
สติปัฏฐาน
•
กฎแห่งกรรม
•
นิทาน
•
หนังสือ
•
บทความ
•
กวีธรรม
•
ข่าวกิจกรรม
•
แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้
ค้นหา
สมัครสมาชิก
รายชื่อสมาชิก
กลุ่มผู้ใช้
ข้อมูลส่วนตัว
เช็คข้อความส่วนตัว
เข้าสู่ระบบ(Log in)
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
ผู้ทรงบรมสุข : ท่านอาจารย์พระมหาบัว ญาณสมฺปนฺโน
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
:: ลานธรรมจักร ::
»
บทความธรรมะ
ผู้ตั้ง
ข้อความ
กุหลาบสีชา
บัวเงิน
เข้าร่วม: 30 เม.ย. 2007
ตอบ: 1466
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.
ตอบเมื่อ: 30 ก.ค.2008, 4:08 pm
ผู้ ท ร ง บ ร ม สุ ข
เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๒ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๓๘
ท่านอาจารย์พระมหาบัว ญาณสมฺปนฺโน
เวลานี้ความชั่วชุกชุมมาก
ประกาศออกทุกแห่งหนตำบลหมู่บ้านไม่เลือกหน้านะ
นี่ละความไม่มีศีลธรรมเป็นอย่างนั้นละดูเอาพี่น้องทั้งหลาย
มีศีลธรรมเท่าน้นต้านทานสิ่งเหล่านี้ไว้พอให้บ้านเมืองซุกหัวอยู่ได้
ถ้าไม่มีศีลธรรมแล้วหมดไปที่ไหนๆ
มีแต่ความเดือดร้อนวุ่นวายทั่วโลกดินแดน
อำนาจของกิเลสมากเวลานี้
ที่อำนาจของกิเลสมากความชั่วระบาดนี้
ก็เพราะความส่งเสริมมันละสำคัญ
การส่งเสริมนี้ไม่ขึ้นอยู่กับเจตนาอย่างเดียวนะ
ขึ้นอยู่กับความรู้เท่าไม่ถึงการณ์
ความเพลิดเพลิน ความทะเยอทะยานวิ่งเต้นไปตามความอยากนั้นแหละ
ไม่ได้มีเจตนาที่จะส่งเสริมความชั่วให้เกิดขึ้นอะไร
มันหากเป็นอยู่ในใจของโลก ของบุคคลแต่ละรายๆ
เพราะความดิ้นรนกระวนกระวายมันอยู่ในใจ
มันผลักดันออกให้ดีดให้ดิ้นให้เพลิดเพลินให้ทะเยอทะยาน
อะไรก็ไม่พอๆ เมื่อเป็นเช่นนั้นควรจะเป็นท่าไหนมันก็เป็นได้
แต่มันเป็นท่าต่ำเท่านั้น ไม่มีท่าสูง
ถ้าอันนี้ผลักดันออกไปแล้วเป็นท่าที่เลวทรามทั้งนั้น
โลกถึงได้เดือดร้อนวุ่นวายมาก ไปที่ไหนยุ่งไปหมด
ถ้าขาดศีลธรรมเป็นอย่างนี้แหละ ให้เห็นโทษของมัน
หาความสงบร่มเย็นไม่ได้ ความขาดศีลธรรมไม่ใช่ของดี
เพียงแต่นักภาวนาวันไหนภาวนาจิตไม่สงบเยือกเย็นดี
วันนั้นเจ้าของจะรู้สึกกระวนกระวาย
รู้ในเจ้าของนะวันนี้จิตเป็นยังไง
แต่ยังดีนะท่านรู้ว่าจิตเป็นยังไงวันนี้มันถึงดีดถึงดิ้นไปตามมัน
นักภาวนาเป็นอย่างนั้น
ถึงได้รู้สาเหตุของมันต้นเหตุเป็นไปจากอะไร
เป็นไปจากหัวใจที่มีกิเลสฝังจมอยู่นั้น
เพราะกิเลสเป็นตัวพิษตัวภัยฝังจมอยู่ภายในจิตใจ
โลกไม่รู้ พระพุทธเจ้าเท่านั้นรู้กับสาวกอรหันต์
ท่านรู้ร้อยเปอร์เซ็นต์นำธรรมเหล่านี้แหละมาสอนโลกให้รู้เรื่องราว
พวกเราจะไปรู้อะไรว่ากิเลสเป็นยังไงกัน ตัณหาเป็นยังไง
มันบีบมันบี้สีไฟจนแหลกจนเหลวหมดก็ไม่รู้ว่าอะไรเป็นภัย
นั้นโง่หรือไม่โง่พวกเรา มันโง่อย่างนั้นแหละ
พระพุทธเจ้ามาประกาศลั่นโลกอยู่ให้รู้เรื่องรู้ราวว่าโทษของมันเป็นยังไง
ก็ยังไม่ยอมรู้เรื่องรู้ราว
ความเสื่อมเสียทางโลกนี้มีมากขึ้นโดยลำดับเวลานี้
คนจำนวนมากเท่าไรก่อเรื่องขึ้นมากเท่านั้น
เพราะต่างคนต่างคนเกิดขึ้นมา
ก็ด้วยอำนาจของความชั่วช้าลามกมันฝังอยู่ภายในจิตใจ
มีกี่รายระบาดออกได้ทั้งนั้นๆ
ถ้าไม่มีศีลธรรมเป็นเครื่องระงับดับกันไว้แล้ว
ยังไงก็เป็นไฟไปตามๆ กันไม่ว่าบ้านนอกในเมือง
หัวใจไม่ได้มีบ้านนอกในเมือง
ความโลภก็ดี ความโกรธก็ดี ราคะตัณหาก็ดีไม่ได้มีบ้านนอกในเมือง
มันมีอยู่ที่หัวใจคน มันดีดมันดิ้นอยู่ตรงนั้น
ต่างคนต่างดีดต่างดิ้นเอาไฟมาเผากันแล้วก็ยกโทษกัน
ไม่ได้เห็นโทษของตัวเองนะนั่นละคนไม่ดูใจเจ้าของเป็นอย่างนั้น
ดูใจก็คือมีธรรมนั้นแหละดูใจ
ดังที่ยกตัวอย่างตะกี้นี้
นักภาวนาท่านจิตใจมีความสงบเยือกเย็น
จิดใจมีความแยบคายวันนี้เป็นอย่างนี้ๆ
แล้ววันต่อไปหรือระยะต่อไปผิดแปลกจากปกติ
ท่านก็ได้ค้นคว้าหาเหตุหาผล
เป็นยังไงจิตวันนี้ดีดดิ้นกับเรื่องอะไร
ท่านค้นหาเหตุหาผลจนได้ ได้แล้วก็ระงับกันลง
นี่ละท่านค้นหาเหตุหาผล
เราไม่ได้ค้นนี่นะ เหตุผลต้นปลายเป็นยังไง
มีแต่พากันดีดกันดิ้น ไปที่ไหนน่าทุเรศนะ
ท่านผู้สงบร่มเย็นดูพวกเรากำลังดิ้นเป็นบ้าอยู่นี้ดูไม่ได้นะ
ถ้าจะดูก็ดูไม่ได้ นอกจากท่านไม่ดูเท่านั้นละ
ผู้สงบร่มเย็นมีในโลกนี้ ผู้บรมสุขมี
ผู้ทรงบรมสุขมี ผู้ทรงมหันตทุกข์มี
พวกมหันตทุกข์นี้มีมากต่อมาก
ผู้ทรงบรมสุขมีน้อยมากทีเดียว
ในเมืองไทยเราจะมีกี่รายไม่รู้บรมสุข
คือทุกข์หมดจากใจไม่มีเหลือเลย
เหลือแต่ความบริสุทธิ์ล้วนๆ นั้นแหละเป็นบรมสุข
ท่านผู้ทรงธรรมประเภทนั้นหายากมากในโลก
เมืองไทยเรานี้เป็นเมืองชาวพุทธที่จะผลิตบรมสุขขึ้นมา
ได้ยังไม่ยอมผลิตขึ้นมา ยังไม่สนใจ
เพราะฉะนั้นจึงมีไม่กี่ราย ยอมรับว่ามี
มีเป็นหย่อมๆ มีเป็นแห่งๆ แต่ก็ไม่ทั่วถึงกับความชั่วละซิ
ความชั่วมีมากต่อมาก ความเดือดร้อนมีมากต่อมากไม่ทันกัน
(มีต่อ)
แก้ไขล่าสุดโดย กุหลาบสีชา เมื่อ 30 ก.ค.2008, 4:29 pm, ทั้งหมด 1 ครั้ง
กุหลาบสีชา
บัวเงิน
เข้าร่วม: 30 เม.ย. 2007
ตอบ: 1466
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.
ตอบเมื่อ: 30 ก.ค.2008, 4:28 pm
เพราะฉะนั้นเรื่องวัดเรื่องวาอบรมศีลธรรมจึงเป็นของจำเป็นมาก
ในบ้านหนึ่งเมืองหนึ่งวัดหนึ่ง
ให้มีพระมีครูบาอาจารย์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ
ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติเป็นศีลเป็นธรรม
แนะนำสั่งสอนประชาชนญาติโยมอบอุ่นไปหมดนั่นแหละ
ไม่มีอะไรที่จะอบอุ่นยิ่งกว่าพระนะ
พระเป็นเรื่องเล็กน้อยเมื่อไรเป็นเรื่องใหญ่โตมาก
ให้ความอบอุ่นทางจิตใจ
ให้เป็นพลังของหน้าที่การงานในทางที่ถูกต้องดีงาม
พระเป็นสำคัญเป็นพลังให้น้ำใจของบุคคลแต่ละคนๆ ที่เข้าไปเกี่ยวข้อง
มีกำลังใจประพฤติหน้าที่การงานด้วยความถูกต้องดีงาม สงบร่มเย็น
บ้านเมือง นี่มีน้อยอย่างว่านั้นซี
เพราะฉะนั้นวัดจึงเป็นคู่เคียง เป็นขวัญบ้านขวัญเมือง
ถ้าไม่มีวัดแล้วไม่เป็นท่าแหละ
วัดก็อย่าให้เป็นวัดสุ่มสี่สุ่มห้า
ให้วัดมีศีลธรรมวัดมีครูอาจารย์
เป็นแบบเป็นฉบับแนะนำสั่งสอนดุด่าว่ากล่าว
คำดุด่าว่ากล่าวของพระไม่ได้เหมือนของฆราวาสนะ
คำดุด่าว่ากล่าวของพระดุไปขนาดไหนก็ตาม
ดุแบบธรรมไม่ใช่ดุแบบกิเลส ต่างกัน
ความเด็ดของพระความดุของพระดุไปด้วยอำนาจของธรรมต่างหาก
ไม่ได้ดุด้วยอำนาจของกิเลสให้เป็นเหตุวุ่นวาย
หรือให้เป็นเหตุฉิบหายวายปวง
ก่อความเดือดร้อนแก่ผู้ได้รับการดุด่าว่ากล่าว ไม่เป็นอย่างนั้น
การดุด่าว่ากล่าวโดยธรรมนี่เป็นคู่เคียงกัน
กับความโหดของกิเลสโหดของธรรมปราบกิเลสมี
ไม่อย่างนั้นแก้กันไม่ตก ต้องมีเด็ดมีเดี่ยว
กิเลสเด็ดธรรมะต้องเด็ด
กิริยาแห่งการแสดงความเด็ดของธรรมะนั้นแหละ
คนทั้งหลายว่าท่านโกรธท่านโมโหโทโส
ล่อให้กิเลสเอารัดเอาเปรียบไปหมดเลยไม่ได้เรื่องได้ราว
ความจริงเป็นวิธีการของธรรมปราบกิเลสต่างหากแต่เราไม่รู้
ให้พากันพยายามนะไม่ได้นะ
โลกนี้จะเป็นไฟไปหมดถ้าต่างคนต่างห่างเหินจากศีลธรรม
แล้วเข้าใกล้ชิดติดพันกับฟืนกับไฟเอาไหม้กันไปเรื่อยๆ
คนมีมากเท่าไรเรื่องยิ่งมีมาก
ความเมตตาสงสารความให้อภัยกันนี้
รู้สึกแทบจะไม่มีเสียแล้วละเวลานี้
มีแต่ใครก็จะเอาดีเอาเด่น
ใครก็ว่าตัวถูกๆ กิเลสไม่ยอมผิดแหละเรื่องของกิเลส
ต้องว่าตัวถูกเสมอ
เพราะฉะนั้นจึงมีแก่ใจที่จะทำชั่วช้าลามกได้อย่างสมใจๆ
ถ้าเป็นธรรมแล้วรู้ผิดรู้ถูก เขาผิดเราถูก เราผิดเขาถูก
ก็ต้องยอมรับกันไปตามเรื่องตามราว
คนเรามีจำนวนมากเท่าไรอยู่ด้วยกันได้นะ
ถ้ายอมรับความผิดถูกชั่วดีของกันและกันแล้ว
ความไม่ยอมรับคือเรื่องกิเลส
เรื่องความชั่วช้าลามกมันฝังอยู่ที่ใจ
ไปที่ไหนหอบแต่อันนี้หาบแต่อันนี้ไป
ระบาดออกไปมีแต่ไฟแตกกระจัดกระจายออกไปเ
ป็นระเบิดนิวเคลียร์นิวตรอนเผาไหม้กันไปเรื่อยๆ
ท่านว่าบรมสุขเราเคยเห็นไหมล่ะ
บรมสุขจะทรงได้แต่ผู้สิ้นกิเลสเท่านั้น
ผู้ไม่สิ้นกิเลสไม่มีทาง ผู้สิ้นกิเลสแล้ว
กิเลสขาดสะบั้นไปจากหัวใจในขณะนั้น
ตั้งแต่ขณะนั้นไปแล้วทรงบรมสุขจนกระทั่งอนันตกาล
ไม่มีคำว่า อนิจฺจํ ทุกขํ อนตฺตา เข้าไปเกี่ยวข้องได้
นั่นละที่ท่านถึงบรมสุขท่านถึงอย่างนั้น
ผู้ทรงบรมสุขก็คือองค์ศาสดาของพวกเรานี้
นำมาสอนพวกเราที่เป็นมหันตทุกข์
บรมสุขคือพระพุทธเจ้าพระอรหันต์ท่าน
ท่านเหล่านี้เป็นผู้ทรงบรมสุขตั้งแต่วันตรัสรู้ธรรมะ
แล้วกิเลสขาดสะบั้นไปนั้นละตัวเหตุที่จะก่อทุกข์คือกิเลส
เมื่อขาดสะบั้นไปแล้วทุกข์ก็ไม่มี ทุกข์ไม่มีในหัวใจท่าน
จะมีแต่เพียงร่างกายเท่านั้นเจ็บไข้
ได้ป่วยปวดหัวตัวร้อนเป็นตามธรรมดาของโลกสมมุตินิยม
ขันธ์ท่านกับขันธ์ของโลกก็มีเหมือนกัน
เจ็บไข้ได้ป่วยเหมือนๆ กัน แต่ไม่เข้าถึงใจท่าน
ใจท่านทรงบรมสุขอยู่ตลอดเวลา
สิ่งเหล่านี้เป็นแต่เพียงผิวเผินข้างนอกเท่านั้น
ต่างกันที่ตรงนั้นผู้ทรงบรมสุข
พวกเรานี่กองทุกข์เต็มอยู่ทั้งร่างกายและจิตใจ เ
ต็มไปหมดทั้งตัวหาความสุขวันหนึ่งๆ ไม่เจอนะ
แต่หาความวุ่นวายเดือดร้อนนั้นมีเต็มหัวใจทุกคนๆ
ไม่ว่าชาติชั้นวรรณะใดไม่เลือกทั้งนั้น
อันนี้ไม่เลือกกิเลสไม่เลือกใคร
กิเลสไม่กลัวใครกลัวแต่ธรรมอย่างเดียว
ถ้าธรรมแล้วกิเลสกลัว
ถ้าใครมีธรรมใครก็ตามไม่เลือกชาติชั้นวรรณะเหมือนกัน
กิเลสกลัวความสงบสุขร่มเย็นก็มี ตัวเองก็เย็นสบาย
ในครอบครัวเหย้าเรือนสังคมต่างๆ ที่คนมีศีลธรรมภายในใจแล้ว
ไปอยู่ที่ไหนสงบร่มเย็นทั้งนั้น
ถ้าเรื่องของกิเลสไปไหนร้อนไปหมดๆ
ให้พากันเสาะแสวงหาศีลธรรมเข้าสู่ใจนะ
ไม่งั้นต้านทานโรคไม่อยู่
โรคนี้ โรคกิเลสตัณหา คลื่นมหาสุมทรทะเลสู้ไม่ได้
คลื่นมหาสมุทรทะเลจะมีอยู่ในน้ำเท่านั้นไม่มีอยู่บนบก
อันนี้มีอยู่ทั้งในน้ำมีอยู่ทั้งบนบก
มีอยู่ทุกแห่งทุกหนเรื่องที่ว่าคลื่นมหาสมุทรทะเลหลวง
คือ กิเลสภายในจิตใจของสัตว์โลกนี้ ให้พากันระมัดระวังให้มาก
ฝึกหัดดัดแปลงถ้าอยากเป็นคนดีมีความสงบเย็นใจ
ให้นำธรรมะของพระพุทธเจ้า
ธรรมะนี้เคยรับรองโลกมานานแสนนานแล้ว
ทำให้ได้รับความร่มเย็นเป็นสุข
ส่วนกิเลสทำความพินาศฉิบหายให้โลกมานานแสนนานเช่นเดียวกัน
เราควรจะเอามาเทียบเคียงกันแล้วพยายามแก้ไขดัดแปลงตนเอง
ทุกข์เพราะรบกับกิเลสต้องทุกข์บ้าง
อยากไปไม่ได้ไปก็เป็นทุกข์
อยากกินไม่ได้กินก็เป็นทุกข์
เพราะสิ่งที่จะกินมันเสียไม่ใช่ของดี กินแล้วเป็นพิษ
ไปเพื่อความเสียหายไม่ดีไม่ให้ไปห้ามอย่างนั้น
ความเคลื่อนไหวไปมาต้องพิจารณาเจ้าของเสียก่อน
ถ้าไม่พิจารณาเอาตามความอยากเลยแล้วก็เสียไปหมดๆ
นี่ละคนเราไม่มีเบรกห้ามล้อลงแต่คลองๆ แล้วจมไปเรื่อยๆ
เกิดขึ้นมา ใครก็มีแต่จมๆ หาความเจริญรุ่งเรืองในบุคคลหนึ่งไม่มี
มีอย่างเหรอมนุษย์เรา พากันตั้งอกตั้งใจนะ
วันคืนปีเดือนล่วงไปอย่างนี้ละ
มีมืดกับแจ้งเท่านี้แหละโลกเราอย่าไปตื่นเกินไป มืดกับแจ้งเท่านี้ละ
พอตะวันตกแล้วก็มืด พอตะวันโผล่ขึ้นมาก็ว่าแจ้งมีเท่านั้นละ
ตั้งกัปตั้งกัลป์มาปีนั้นปีนี้นับกันไปตามมืดแจ้งนี่ไม่เห็นมีอะไร
ความทุกข์ความร้อนอยู่ที่หัวใจคนละซี
ไม่ได้ขึ้นอยู่กับมืดกับแจ้งวันคืนปีเดือน อยู่กับที่หัวใจเรา
ถ้าหัวใจเรามีธรรมระงับดับมันได้เราก็สงบร่มเย็น
ถ้าใจไม่มีธรรมแล้วจมๆ ทั้งนั้นแหละ
พากันตั้งใจฝึกหัดดัดแปลงตนเองซิถ้าอยากเป็นคนดีมีความสุข
วันนี้ก็พูดเพียงเท่านั้นละเหนื่อย พูดทุกวันๆ ต่อไปนี้จะให้พร
(ที่มา :
เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๒ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๓๘)
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089
ตอบเมื่อ: 31 ก.ค.2008, 11:05 am
สาธุ สาธุ สาธุค่ะ...คุณกุหลาบสีชา
ธรรมะสวัดสีค่ะ
บัวหิมะ
บัวเงิน
เข้าร่วม: 26 มิ.ย. 2008
ตอบ: 1273
ตอบเมื่อ: 16 ส.ค. 2008, 4:12 pm
วันคืนปีเดือนล่วงไปอย่างนี้ละ
มีมืดกับแจ้งเท่านี้แหละโลกเราอย่าไปตื่นเกินไป มืดกับแจ้งเท่านี้ละ
พอตะวันตกแล้วก็มืด พอตะวันโผล่ขึ้นมาก็ว่าแจ้งมีเท่านั้นละ
ตั้งกัปตั้งกัลป์มาปีนั้นปีนี้นับกันไปตามมืดแจ้งนี่ไม่เห็นมีอะไร
ความทุกข์ความร้อนอยู่ที่หัวใจคนละซี
ไม่ได้ขึ้นอยู่กับมืดกับแจ้งวันคืนปีเดือน อยู่กับที่หัวใจเรา
ถ้าหัวใจเรามีธรรมระงับดับมันได้เราก็สงบร่มเย็น
ถ้าใจไม่มีธรรมแล้วจมๆ ทั้งนั้นแหละ
พากันตั้งใจฝึกหัดดัดแปลงตนเองซิถ้าอยากเป็นคนดีมีความสุข
อนุโมทนาบุญด้วย เจ้าค่ะ
_________________
ชีวิตที่เหลือเพื่อธรรมะ
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:
แสดงทั้งหมด
1 วัน
7 วัน
2 สัปดาห์
1 เดือน
3 เดือน
6 เดือน
1 ปี
เรียงจากเก่า-ใหม่
เรียงจากใหม่-เก่า
:: ลานธรรมจักร ::
»
บทความธรรมะ
ไปที่:
เลือกกลุ่ม บอร์ด
กลุ่มสนทนา
----------------
สนทนาธรรมทั่วไป
แนะนำตัว
กฎแห่งกรรม
สมาธิ
ฝึกสติ
การสวดมนต์
การรักษาศีล-การบวช
ความรัก-ผูกพัน-พลัดพลาก
กลุ่มข่าวสาร-ติดต่อ
----------------
ข่าวประชาสัมพันธ์
ธรรมทาน
รูปภาพ-ประมวลภาพกิจกรรมต่างๆ
สำหรับนักเรียน นักศึกษา ขอความรู้ทำรายงาน
แจ้งปัญหา
รูปภาพในบอร์ด
กลุ่มสาระธรรม
----------------
หนังสือธรรมะ
บทความธรรมะ
นิทาน-การ์ตูน
กวีธรรม
นานาสาระ
ต้นไม้ในพุทธประวัติ
วิทยุธรรมะ
ศาสนสถานและศาสนพิธี
----------------
สถานที่ปฏิบัติธรรม
วัดและศาสนสถาน
พิธีกรรมทางศาสนา
พุทธศาสนบุคคล
----------------
พระพุทธเจ้า
ประวัติพระอสีติมหาสาวก
ประวัติเอตทัคคะ (ภิกษุณี, อุบาสก, อุบาสิกา)
สมเด็จพระสังฆราชไทย
ประวัติและปฏิปทาของครูบาอาจารย์
ในหลวงกับพระสุปฏิปันโน
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณ
ไม่สามารถ
สร้างหัวข้อใหม่
คุณ
ไม่สามารถ
พิมพ์ตอบ
คุณ
ไม่สามารถ
แก้ไขข้อความของคุณ
คุณ
ไม่สามารถ
ลบข้อความของคุณ
คุณ
ไม่สามารถ
ลงคะแนน
คุณ
สามารถ
แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ
สามารถ
ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้
เลือกบอร์ด •
กระดานสนทนา
•
สมาธิ
•
สติปัฏฐาน
•
กฎแห่งกรรม
•
นิทานธรรมะ
•
หนังสือธรรมะ
•
บทความ
•
กวีธรรม
•
สถานที่ปฏิบัติธรรม
•
ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ
•
วิทยุธรรมะ
•
เสียงธรรม
•
เสียงสวดมนต์
•
ประวัติพระพุทธเจ้า
•
ประวัติมหาสาวก
•
ประวัติเอตทัคคะ
•
ประวัติพระสงฆ์
•
ธรรมทาน
•
แจ้งปัญหา
จัดทำโดย กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ
webmaster@dhammajak.net
Powered by
phpBB
© 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
www.Stats.in.th