ผู้ตั้ง |
ข้อความ |
กรัชกาย
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348
|
ตอบเมื่อ:
29 ก.ค.2008, 9:14 pm |
|
กรรมฐานพูดถึงกันกว้างขวางพอควรในหมู่ชาวพุทธ ซึ่งก็ถูกบ้างผิดบ้าง
ว่ากันไปตามแหล่งหรือข้อมูลที่ตนมีตนได้มา ก็จึงเป็นผลให้การปฏิบัติถูก
บ้างผิดบ้างไปตามเหตุตามผลตามเหตุปัจจัย
หัวข้อนี้ จึงจะลอกหลักกรรมฐานจากหนังสือพุทธธรรม หน้า 850 ซึ่ง
ท่านก็นำมาจากคัมภีร์ศาสนานั่นเองมาลงไว้ ต่อไปนี้ |
|
_________________ สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา |
|
|
|
กรัชกาย
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348
|
ตอบเมื่อ:
29 ก.ค.2008, 9:16 pm |
|
กรรมฐาน-แปลว่า ที่ตั้งแห่งการทำงานของจิต หรือ ที่ให้จิตทำ
งาน
มีความหมายเป็นทางการว่า สิ่งที่ใช้เป็นอารมณ์ในการเจริญภาวนา
หรือ อุปกรณ์ในการฝึกอบรมจิต หรือ อุบายหรือกลวิธีเหนี่ยวนำ
สมาธิ
พูดง่ายๆว่า สิ่งที่เอามาให้จิตกำหนด จิตจะได้มีงานทำเป็นเรื่อง
เป็นราว สงบอยู่ที่ได้ ไม่เที่ยววิ่งเล่นเตลิดหรือเลื่อนลอยฟุ้งซ่านไป
อย่างไร้จุดหมาย
เฉพาะในกรณีนี้ ก็คือสิ่งที่เอามาให้จิตกำหนดเพื่อชักนำให้เกิด
สมาธิ หรืออะไรที่พอจิตกำหนดจับเข้าแล้ว จะชักนำให้แน่วแน่อยู่กับ
มันจนเป็นสมาธิได้เร็วและมั่นคงที่สุด
พูดให้สั้นที่สุดว่า สิ่งที่ใช้ฝึกสติ |
|
_________________ สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา |
|
|
|
กรัชกาย
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348
|
ตอบเมื่อ:
29 ก.ค.2008, 9:20 pm |
|
กรรมฐานเท่าที่พระอรรถกถาจารย์ รวบรวมแสดงไว้ มี 40 อย่างคือ
ก. กสิณ 10 แปลกันว่าวัตถุอันจูงใจ หรือวัตถุสำหรับเพ่งเพื่อจูง
จิตให้เป็นสมาธิ เป็นวิธีใช้วัตถุภายนอกเข้าช่วย โดยวิธีเพ่งเพื่อ
รวมจิตให้เป็นหนึ่ง มี 10 อย่างคือ
ก) ภูตกสิณ- กสิณ คือ มหาภูตรูป 4 คือ
ปฐวี-ดิน
อาโป-น้ำ
เตโช-ไฟ
วาโย-ลม
ข) วรรณกสิณ-กสิณ คือ สี 4 คือ
นีล-เขียว
ปีต-เหลือง
โลหิต-แดง
โอทาต-ขาว
ค) กสิณอื่น ๆ คือ
อาโลก-แสงสว่าง
ปริจฉินนากาส - เรียกสั้นว่า อากาศ (ช่องว่าง) |
|
_________________ สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา |
|
|
|
กรัชกาย
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348
|
ตอบเมื่อ:
29 ก.ค.2008, 9:22 pm |
|
กสิณ 10 ในบาลีเดิมไม่มีอาโลกกสิณ แต่มีวิญญาณกสิณแทนเป็น
ข้อที่ 10 และเลือนอากาศกสิณเข้าเป็นข้อที่ 9 -
( เช่น ที.ปา.11/358/283; ฯลฯ)
กสิณ 10 นี้ จะใช้ของที่อยู่ตามธรรมชาติก็ได้ ตกแต่งจัดทำขึ้น
ให้เหมาะกับการใช้เพ่งโดยเฉพาะก็ได้ แต่โดยมากนิยมวิธีหลัง |
|
_________________ สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา |
|
|
|
กรัชกาย
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348
|
ตอบเมื่อ:
29 ก.ค.2008, 9:24 pm |
|
ข. อสุภะ 10 ได้แก่ พิจารณาซากศพในระยะต่างๆกัน
รวม 10 ระยะ เริ่มแต่ศพที่ขึ้นอึดไปจนถึงศพที่เหลือแต่โครงกระดูก
อุธุมาตกะ ศพขึ้นอืด
วินีลกะ-ศพเป็นสีเขียวคล้ำคละสีต่างๆ
วิปุพพกะ-ศพมีน้ำเหลือไหลเยิ้มตามที่แตกปริ
วิจฉิททกะ-ศพขาดจากกันเป็น 2 ท่อน
วิกขายิตกะ-ศพถูกสัตว์จิกทึ้งกัดกินแล้ว
วิกขิตตกะ-ศพกระจุยกระจายมือเท้าศีรษะหลุดไปอยู่ข้างๆ
หตวิกขิตตกะ-ศพถูกสับเป็นท่อนๆกระจาย
โหติกะ-ศพมีโลหิตอาบ
ปุฬุวกะ-ศพมีหนอนคลาคล่ำ
อัฏฐิกะ-ศพเหลือแต่ร่างกระดูกหรือท่อนกระดูก |
|
_________________ สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา |
|
|
|
กรัชกาย
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348
|
ตอบเมื่อ:
29 ก.ค.2008, 9:27 pm |
|
ในบาลีเดิม จัดเข้าเป็นสัญญาต่างๆ คือ ขุ.ปฏิ.31/213/140 ฯลฯ
ในบาลีฝ่ายพระสูตร กล่าวถึงอย่างมากเพียง 6 ข้อ
(เช่น ที.ป.11/238/238 ฯล) บ้าง 5 ข้อ (รวมอยู่กับพวกอื่น
เช่น สํ.ม.19/646/181 ฯลฯ ) บ้าง
และที่ใกล้เคียงที่สุดคือ เป็นการสรุปเอามาจาก นวสีวถิกาปัพพะใน
สติปัฏฐาน หรือ กายคตาสติ เช่น ที.ม.10/279/330 ฯลฯ |
|
_________________ สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา |
|
|
|
กรัชกาย
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348
|
ตอบเมื่อ:
29 ก.ค.2008, 9:29 pm |
|
ค. อนุสติ 10 คือ อารมณ์ที่ดีงามที่ควรระลึกถึงเนื่องๆ ได้แก่
1. พุทธานุสติ-ระลึกถึงพระพุทธเจ้า และพิจารณาคุณของพระองค์
2. ธัมมานุสติ-ระลึกถึงพระธรรม และพิจารณาคุณของพระธรรม
3. สังฆานุสติ-ระลึกถึงพระสงฆ์ และพิจารณาคุณของพระสงฆ์
4. สีลานุสติ-ระลึกถึงศีล พิจารณาศีลของตนที่ได้ประพฤติบริสุทธิ์
ไม่ด่างพร้อย
5. จาคานุสติ-ระลึกถึงจาคะ ทานที่ตนได้บริจาคแล้ว และพิจารณาเห็น
คุณธรรม คือ ความเผื่อแผ่เสียสละที่มีในตน
6. เทวตานุสติ-ระลึกถึงเทวดา หมายถึงเทวดาที่ตนเคยได้รู้ได้ยินมา
และพิจารณาเห็นคุณธรรมซึ่งทำคนให้เป็นเทวดา ตามที่มีในตน
7. มรณสิต ระลึกถึงความตายอันจะต้องมีถึงตนเป็นธรรมดา พิจารณา
ให้เกิดความไม่ประมาท
8. กายคตาสติ-สติอันไปในกาย หรือระลึกถึงเกี่ยวกับร่างกาย คือ
กำหนดพิจารณากายนี้ ให้เห็นว่าประกอบด้วยส่วนต่างๆ คืออาการ 32
อันไม่สะอาด ไม่งาม น่าเกลียด เป็นทางรู้เท่าทันสภาวะของกายนี้
มิให้หลงใหลมัวเมา
9. อานาปนสติ สติกำหนดลมหายใจเข้า-ออก
10. อุปสมานุติ ระลึกถึงธรรมเป็นที่สงบคือนิพพาน และพิจารณา
คุณของนิพพาน อันเป็นที่หายร้อนดับกิเลสและไร้ทุกข์ |
|
_________________ สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา |
|
|
|
กรัชกาย
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348
|
ตอบเมื่อ:
29 ก.ค.2008, 9:32 pm |
|
ง. อัปปมัญญา 4 คือ ธรรมที่พึงแผ่ออกไปในสัตว์มนุษย์
ทั้งหลาย อย่างมีจิตใจสม่ำเสมอทั่วกัน ไม่มีประมาณ ไม่จำกัด
ขอบเขต โดยมากเรียกกันว่า พรหมวิหาร 4 - (ธรรมเครื่องอยู่อย่าง
ประเสริฐ ธรรมประจำใจที่ประเสริฐบริสุทธิ์ หรือคุณธรรมประจำตัว
ของท่านผู้มีจิตใจกว้างขวางยิ่งใหญ่) คือ
1.เมตตา- ความรัก คือ ปรารถนาดี มีไมตรี อยากให้มนุษย์สัตว์มีสุข
ทั่วหน้า
2. กรุณา-ความสงสาร คือ อยากช่วยเหลือผู้อื่นให้พ้นจากความทุกข์
3. มุทิตา-ความพลอยยินดี คือ พลอยมีใจแช่มชื่นเบิกบาน เมื่อผู้อื่น
อยู่ดีมีสุข และเจริญงอกงามประสบความสำเร็จยิ่งขึ้นไป
4. อุเบกขา-ความีใจเป็นกลาง คือ วางจิตเรียบสงบ สม่ำเสมอ
เที่ยงตรงดุจตราชั่ง มองเห็นมนุษย์สัตว์ทั้งหลายได้รับผลดีร้ายตามเหตุ
ปัจจัยที่ประกอบ ไม่เอนเอียงไปด้วยชอบหรือชัง |
|
_________________ สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา |
|
|
|
กรัชกาย
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348
|
ตอบเมื่อ:
29 ก.ค.2008, 9:35 pm |
|
จ. อาหาเร ปฏิกูลสัญญา - กำหนดหมายความเป็นปฏิกูลในอาหาร***
*** ในพระสูตร มาด้วยกันกับอสุภะ 5 ที่มาในชุดสัญญา 10
เช่น องฺ.เอก.20/224/54
ฉ. จตุธาตุววัฏฐาน- กำหนดพิจารณาธาตุ 4 คือ พิจารณาเห็นร่างกาย
ของตน โดยสักว่าเป็นธาตุ 4 แต่ละอย่างๆ **
**บางทีเรียกสั้นๆว่า ธาตุววัตถานบ้าง ธาตุมนสิการบ้าง
ธาตุกัมมัฏฐานบ้าง
ที่มาในบาลี คือ ที.ม.10/278/329 ฯลฯ (มาในกายานุปัสสนาสติ
ปัฏฐานนั่นเอง) |
|
_________________ สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา |
|
|
|
กรัชกาย
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348
|
ตอบเมื่อ:
29 ก.ค.2008, 9:42 pm |
|
ช. อรูป หรือ อารุปป์ 4 ได้แก่ กำหนดภาวะที่เป็นอรูปธรรม
เป็นอารมณ์ ใช้ได้เฉพาะผู้ที่เพ่งกสิณ 9 อย่างแรก ข้อใด
ข้อหนึ่ง จนได้จตุตถฌานมาแล้ว คือ **
1. อากาสานัญญายตนะ -กำหนดช่องว่างหาที่สุดมิได้-
(ซึ่งเกิดจากการเพิกกสิณออกไป) เป็นอารมณ์
2. วิญญาณัญจายตนะ- กำหนดวิญญาณหาที่สุดมิได้
(คือเลิกกำหนดที่ว่าง เลยไปกำหนดวิญญาณที่แผ่ไปสู่ที่ว่าง
แทน) เป็นอารมณ์
3. อากิญจัญญายตนะ- (เลิกกำหนดวิญญาณเป็นอารมณ์ เลยไป)
กำหนดภาวะไม่มีอะไรเลย เป็นอารมณ์
4. เนวสัญญานาสัญญายตนะ- (เลิกกำหนดแม้แต่ภาวะไม่มีอะไรเลย)
เข้าถึงภาวะมีสัญญาก็ไม่ใช่ ไม่มีสัญญาก็ไม่ใช่ |
|
_________________ สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา |
|
|
|
กรัชกาย
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348
|
ตอบเมื่อ:
29 ก.ค.2008, 9:46 pm |
|
** ที่มาในบาลี เช่น ที.ปา.11/235/235 ฯลฯ เฉพาะ
เนวสัญญานาสัญญายตนะ วิสุทธิมรรคว่ากำหนดอากิญจัญญายตนะ
นั่นเอง เป็นอารมณ์ แต่กำหนดมิใช่เพื่อเข้า แต่เพื่อผ่านเลย
(วิสุทธิ.2/145,151) |
|
_________________ สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา |
|
|
|
กรัชกาย
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348
|
ตอบเมื่อ:
29 ก.ค.2008, 9:50 pm |
|
กรรมฐานทั้งหมดนี้ บางทีท่านจัดเป็น 2 ประเภท คือ***
1. สัพพัตถกกรรมฐาน แปลว่า กรรมฐานที่ใช้ประโยชน์ได้
หรือ ควรต้องใช้ทุกที่ทุกกรณี คือ ทุกคนควรเจริญอยู่เสมอ ได้แก่
เมตตา และมรณสติ
2. ปาริหาริยกรรมฐาน แปลว่า กรรมฐานที่ต้องบริหาร หมายถึง
กรรมฐานที่เหมาะกับจริยาของแต่ละบุคคล ซึ่งเมื่อลงมือปฏิบัติแล้ว
จะต้องคอยเอาใจใส่รักษาอยู่ตลอดเวลาให้เป็นพื้นฐานของการปฏิบัติ
ที่สูงยิ่งขึ้นไป
***วิสุทธิ.1/122; วินย.อ.1/509; ฯลฯ วิสุทธิ. ว่า อาจารย์บาง
พวกจัดอสุภสัญญาเป็นสัพพัตถกกรรมฐานด้วย |
|
_________________ สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา |
|
|
|
กรัชกาย
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348
|
ตอบเมื่อ:
29 ก.ค.2008, 9:55 pm |
|
ท่านว่า กรรมฐาน 40 อย่างนั้น แตกต่างกันโดยความเหมาะสม
แก่ผู้ปฏิบัติ ซึ่งควรเลือกใช้ให้เหมาะกับลักษณะนิสัยความโน้มเอียง
ของแต่ละบุคคล ที่เรียกว่าจริยาต่างๆ
ถ้าเลือกได้ถูกกันเหมาะกัน ก็ปฏิบัติได้ผลดีและรวดเร็ว
ถ้าเลือกผิด อาจทำให้ปฏิบัติได้ล่าช้าหรือไม่สำเร็จผล
จริยา แปลว่า ความประพฤติปกติ หมายถึงพื้นเพของจิต
พื้นนิสัย ลักษณะความประพฤติที่หนักไปทางใดทางหนึ่ง
ตามสภาพจิตที่เป็นปกติของบุคคลนั้นๆ ตัวความประพฤติ หรือ
ลักษณะนิสัยนั้น เรียกว่า จริยา |
|
_________________ สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา |
|
|
|
กรัชกาย
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348
|
ตอบเมื่อ:
29 ก.ค.2008, 10:00 pm |
|
บุคคลผู้มีลักษณะนิสัยและความประพฤติอย่างนั้นๆ เรียกว่า จริต
ตัวอย่างเช่น คนมีราคจริยา เรียกว่า ราคจริต เป็นต้น
จริตประเภทใหญ่ๆ มี 6 คือ **
1. ราคจริต -ผู้มีราคะเป็นความประพฤติปกติ มีลักษณะนิสัยหนัก
ไปทางราคะ ประพฤติหนักไปทางรักสวยรักงาม ละมุนละไม
ควรใช้กรรมฐานคู่ปรับ คือ อสุภะ (และกายคตาสติ)
2. โทสจริต - ผู้มีโทสะเป็นความประพฤติปกติ มีลักษณะนิสัยหนัก
ไปทางโทสะ ประพฤติหนักไปทางใจร้อนหงุดหงิดรุนแรง
กรรมฐาน ที่เหมาะ คือ เมตตา
(รวมถึงพรหมวิหารข้ออื่นๆ และกสิณโดยเฉพาะวรรณกสิณ)
3. โมหจริต-ผู้มีโมหะเป็นความประพฤติปกติ มีลักษณะนิสัยหนัก
ไปทางโมหะ ประพฤติหนักไปทางเขลา เหงาซึม เงื่องงง งมงาย
ใครว่าอย่างไรก็คอยเห็นคล้อยตามไป พึงแก้ด้วยมีการเรียน ไต่ถาม
ฟังธรรม สนทนาธรรมตามกาล หรืออยู่กับครู
(กรรมฐานที่เกื้อกูลคือ อานาปานสติ) |
|
_________________ สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา
แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 23 ส.ค. 2013, 7:59 pm, ทั้งหมด 1 ครั้ง |
|
|
|
กรัชกาย
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348
|
ตอบเมื่อ:
29 ก.ค.2008, 10:04 pm |
|
4. สัทธาจริต-ผู้มีศรัทธาเป็นความประพฤติปกติ มีลักษณะนิสัยมาก
ด้วยศรัทธา ประพฤติหนักไปทางมีจิตใจซาบซึ้ง ชื่นบาน น้อมใจ
เลื่อมใสโดยง่าย พึงชักนำไปในสิ่งที่ควรแก่ความเลื่อมใส และความเชื่อ
ที่มีเหตุผล เช่น ระลึกถึงคุณพระรัตนตรัย และศีลของตน
(กรรมฐานอนุสติ 6 ข้อแรกได้ทั้งหมด)
5. พุทธจริต หรือ ญาณจริต -ผู้มีความรู้เป็นความประพฤติปกติ
มีลักษณะนิสัยความประพฤติหนักไปทางใช้ความคิดพิจารณา และมอง
ไปตามความจริง พึงส่งเสริมด้วยแนะนำให้ใช้ความคิดพิจารณา
สภาวธรรมและสิ่งดีงามที่ให้เจริญปัญญา เช่น พิจารณาไตรลักษณ์
(กรรมฐานที่เหมาะ คือ มรณสติ อุปสมานุสติ จตุธาตุววัฏฐาน
อาหาเร ปฏิกูลสัญญา)
6. วิตกจริต -ผู้มีวิตกเป็นความประพฤติปกติ มีลักษณะนิสัยความ
ประพฤติหนักไปทางชอบครุ่นคิดวกวน นึกคิดจับจดฟุ้งซ่าน พึงแก้ด้วย
สิ่งที่สะกดอารมณ์ เช่น เจริญอานาปานสติ (หรือ เพ่งกสิณเป็นต้น) |
|
_________________ สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา |
|
|
|
กรัชกาย
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348
|
ตอบเมื่อ:
29 ก.ค.2008, 10:09 pm |
|
**ที่มาในบาลีเดิม ขุ.ม.29/7272435; 889/555 ฯลฯ ความจริงลำดับ
ในบาลีเดิมเป็น ราคจริต โทสจริต โมหจริต วิตกจริต สัทธาจริต
และญาณจริต
และพึงทราบว่าข้อความในวงเล็บเป็นของเพิ่มเติมตามแนวอรรถกถา
รายละเอียดเพิ่มเติมจากนี้ ดู วิสุทธิ.1/127-139 |
|
_________________ สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา |
|
|
|
กรัชกาย
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348
|
ตอบเมื่อ:
29 ก.ค.2008, 10:10 pm |
|
หมายเหตุ- ท่านว่า กสิณวงเล็กเหมาะแก้วิตกจริต กสิณใหญ่
ไม่จำกัดเหมาะแก่โมหจริต
อนึ่ง ท่านเตือนว่า เรื่องกรรมฐานที่เหมาะกับจริตต่างๆนั้น
อย่าถึงกับถือตายตัวทีเดียวว่าเป็นอย่างที่ได้แสดงไว้ พูดอย่างกว้างๆ
แล้วกรรมฐานทุกอย่าง ก็เป็นประโยชน์ช่วยข่มอกุศล และเกื้อกูล
หนุนกุศลธรรมได้ทั้งนั้น (วิสุทธิ. 1/145) |
|
_________________ สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา |
|
|
|
กรัชกาย
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348
|
ตอบเมื่อ:
29 ก.ค.2008, 10:21 pm |
|
อาการแสดงออกต่างๆกันในทางความประพฤติของจริตเหล่านี้ เช่น
เมื่อพบเห็นสิ่งของสักอย่าง ถ้ามีอะไรเป็นส่วนดีน่าชมอยู่บ้าง
ใจของคนราคจริตจะไปจับอยู่ที่ส่วนนั้น ติดใจ
เล็งแลอยู่ได้นานๆ ส่วนอื่นที่เสียๆ ไม่ได้ใส่ใจ
ส่วนคนโทสจริต แม้ของนั้นจะมีส่วนดีอยู่
หลายอย่าง แต่ถ้ามีส่วนเสียหรือข้อบกพร่องอยู่สักหน่อย ใจของเขา
จะกระทบเข้ากับส่วนที่เสียนั้นก่อน ไม่ทันได้พิจารณาเห็นส่วนดี
ก็จะไปเสียเลย
คนพุทธิจริตคล้ายคนโทสจริตอยู่บ้าง ที่ไม่ค่อยติด
ใจอะไร แต่ต่างกันที่ว่าคนโทสจริต มองหาส่วนเสียหรือมองให้เสียทั้งที่
ไม่เป็นอย่างนั้นจริง และผละไปอย่างหงุดหงิดขัดใจ ส่วนคนพุทธิจริต
มองหาส่วนเสียข้อบกพร่องที่เป็นจริงและเพียงแต่ไม่ติดใจผ่านไป
ส่วนคนโมหจริต มองเห็นแล้วจับจุดอะไรไม่ชัด
ออกจะเฉยๆ ถ้าใครว่าดี ก็พลอยเห็นดีว่าตามเขาไป ถ้าเขาว่า
ไม่ดี ก็พลอยเห็นไม่ดีคล้อยตามเขาไป
ฝ่ายคนวิตกจริต คิดจับจด นึกถึงจุดดีตรงนี้บ้าง
ส่วนไม่ ดีตรงนั้นบ้าง วุ่นไปวุ่นมา ชั่งไม่เสร็จ ตัดสินใจไม่ตก จะเอา
หรือไม่เอา
ส่วนคนศรัทธาจริต มีลักษณะคล้ายคนราคจริตอยู่
บ้าง คือ มักมองเห็นส่วนที่ดี แต่ต่างที่ว่าคนศรัทธาจริต
เห็นแล้วก็ชื่นชมซาบซึ้งใจเรื่อยๆไป ไม่ติดอ้อยอิ่งอย่างพวกราคจริต |
|
_________________ สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา |
|
|
|
กรัชกาย
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348
|
ตอบเมื่อ:
29 ก.ค.2008, 10:28 pm |
|
อย่างไรก็ตาม คนมักมีจริตผสม เช่น ราคะผสมวิตก โทสะผสมพุทธิ
เป็นต้น ในการปฏิบัติบำเพ็ญสมาธิ นอกจากเลือกกรรมฐานให้เหมาะ
กับจริตแล้ว แม้แต่สถานที่อยู่อาศัย บรรยากาศ หนทาง ของใช้
อาหาร เป็นต้น ท่านก็ยังแนะให้เลือกสิ่งที่เป็นสัปปายะ คือ เกื้อกูล
เหมาะกันด้วย |
|
_________________ สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา |
|
|
|
ปกรณัม
บัวพ้นดิน
เข้าร่วม: 12 ก.ค. 2008
ตอบ: 52
ที่อยู่ (จังหวัด): ขอนแก่น
|
ตอบเมื่อ:
03 ส.ค. 2008, 10:39 am |
|
ขอบคุณครับ |
|
_________________ คนที่ไม่ทำงานไม่สมควรจะมีชีวิตอยู่! |
|
|
|
|