Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 นิทานเรือนธรรม เรื่องพระนันทะ อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
ห้องหนังสือเรือนธรรม
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 17 พ.ค.2005, 11:07 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เรียบเรียง จากหนังสือ ทางแห่งความดี เล่ม 1
โดยอาจารย์วศิน อินทสระ


มีเรื่องเล่าไว้ในพระไตรปิฏกดังนี้ว่า....

พระนันทะเป็นพระญาติของพระพุทธเจ้า เมื่อตอนที่เข้าพิธีสมรสกับนางชนบทกัลยาณี ได้ทูลเชิญพระพุทธเจ้าเสด็จมาเสวยในงานด้วย เมื่อเสวยเสร็จแล้วจะเสด็จกลับนิโครธาราม พระพุทธเจ้าประทานบาตรให้นันทะ และไม่ทรงรับคืน ทำให้นันทะต้องเสด็จตามจนถึงพระอาราม

ในระหว่างนั้น เพื่อนเจ้าสาวได้บอกเจ้าสาวว่า พระศาสดาพานันทะไปเสียแล้ว นางเสียใจ วิ่งมาขอให้นันทะรีบกลับ คำขอร้องนั้นอยู่ในใจของนันทะ แต่เกรงพระทัยพระศาสดา จึงต้องอุ้มบาตรตามไปเรื่อยๆ

เมื่อถึงนิโครธารามพระศาสดาตรัสถามว่า บวชได้หรือไม่ นันทะก็ไม่กล้าปฏิเสธทูลว่าบวชก็ได้ จึงบวช

เมื่อบวชแล้วก็ไม่เป็นอันบำเพ็ญสมณกิจอะไร ใจคิดถึงแต่นางชนบทกัลยาณีเจ้าสาว

พระศาสดาเสด็จกลับกรุงราชคฤห์ ทรงสำราญพระอิริยาบถอยู่ระยะหนึ่งแล้ว รับอาราธนาของอนาถปิณฑิกเศรษฐีเสด็จไปยังกรุงสาวัตถี ประทับอยู่ ณ เชตวนาราม

ในการเสด็จครั้งนี้ พระนันทะตามเสด็จด้วย ขณะเมื่ออยู่เชตวนารามนั่นเอง พระนันทะกระสันอยากสึก จึงบอกแก่ภิกษุทั้งหลายว่า ไม่ยินดีประพฤติพรหมจรรย์ ขอลาสึก

พระศาสดาทรงทราบ จึงตรัสถามสาเหตุ พระนันทะทูลว่า

“ข้าแต่พระองค์ เมื่อข้าพระองค์ออกจากเรือนบวชนั้น นางชนบทกัลยาณี คู่แต่งงานของข้าพระองค์ มีอาการโศกอย่างลึกซึ้ง ได้ขอร้องว่าให้รีบกลับ ข้าพระองค์หวนระลึกคำนั้นอยู่ ไม่ยินดีประพฤติพรหมจรรย์ใคร่สึก พระเจ้าข้า”

ตำนานเล่าว่า พระศาสดาสดับคำนั้นแล้ว ทรงจับแขนพระนันทะไปสู่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ด้วยกำลังฤทธิ์ ในระหว่างทางพบนางลิงลุ่นตัวหนึ่งนั่งจับเจ่าอยู่บนปลายตอไม้ที่ไฟไหม้ นางลิงนั้นหูจมูกและหางขาด พระศาสดาทรงให้พระนันทะพบกับนางเทพอัปสร 500 ผู้มาสู่ที่บำรุงของท้าวสักกะเทวราช

“นันทะ เธอเห็นอย่างไร นางชนบทกัลยาณีกับนางเทพอัปสรเหล่านี้ใครสวยกว่า”

“เทียบกันไม่ได้เลย พระเจ้าข้า”พระนันทะตอบ

“นางเทพอัปสรสวยกว่ามาก ถ้าจะเทียบแล้ว นางชนบทกัลยาณีเป็นเสมือนนางลิงลุ่นที่พบในระหว่างทาง เทพอัปสรเหล่านี้สวยจริงๆพระเจ้าข้า”

“เธออยากได้ไหม นันทะ”

“ข้าพระองค์ต้องการพระเจ้าข้า”

“ถ้าอย่างนั้น เธอจงประพฤติพรหมจรรย์ จงยินดีบำเพ็ญสมณธรรม เราจะเป็นประกันให้เธอ ได้นางเทพอัปสรเหล่านี้”

“ข้าพระองค์ หากพระองค์ทรงเป็นประกัน ข้าพระองค์ก็จะยินดีประพฤติพรมจรรยาต่อไป เพื่อให้ได้นางเทพอัปสรเหล่านี้”

เมื่อภิกษุทั้งหลายทราบว่า พระนันทะประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อให้ได้นางอัปสรก็พูดกันต่อๆไป ใครพบท่านก็ถาม บ้างก็ยิ้มเยาะ และมีอาการส่อให้เห็นว่ามิได้นิยมชมชอบในพระนันทะ บ้างก็ว่าพระนันทะเป็นพระรับจ้าง บ้างก็ว่าพระนันทะเป็นผู้อันพระผู้มีพระภาคทรงเป็นประกันไว้ พระนันทะ ประพฤติพรหมจรรย์เพียงเพื่อให้ได้นางอัปสร หาใช่เพื่อความสมหลุดพ้นอันแท้จริงไม่

ด้วยประการฉะนี้ พระนันทะจึงละอายอยู่ จึงปลีกตนอยู่ลำพัง เป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร มิได้อาลัยในชีวิต ไม่นานนักก็สามารถบรรลุเป็นพระอรหันต์

ในคืนที่บรรลุเป็นพระอรหันต์ เทวดาองค์หนึ่งมายังวัดเชตวัน กราบทูลความเป็นพระอรหันต์ของพระนันทะแก่พระศาสดา แต่พระผู้มีพระภาคทรงทราบด้วยญาณของพระองค์แล้ว

รุ่งเช้าพระนันทะเข้าเฝ้าพระศาสดา ทูลว่า

“ข้าแต่พระองค์ ข้อที่พระองค์ทรงเป็นประกันข้าพระองค์เพื่อให้ได้นางอัปสร 500 นั้น บัดนี้พระองค์ได้หลุดพ้นจากภาวะผู้ประกันนั้นแล้ว”

พระศาสดาตรัสว่า

“นันทะ เรารู้แล้ว และเมื่อคืนนี้เทวดาองค์หนึ่ง ก็มาบอกเราว่าเธอได้หลุดพ้นจากอาสวะทั้งปวงแล้ว นันทะเมื่อของเธอพ้นแล้วเพราะความไม่ยึดมั่น เราก็พ้นจากภาวะผู้ประกัน”

พระศาสดาทรงอุทานด้วยความชื่นชมยินดีว่า

“เปือกตมคือกาม หนามก็คือกาม อันผู้ใดย่ำยีได้แล้ว ข้ามได้แล้ว ผู้นั้นถึงความสิ้นโมหะ ย่อมไม่หวั่นไหวในสุขและทุกข์”

วันหนึ่งภิกษุถามพระนันทะว่า ยังอยากสึกอยู่หรือไม่พระนันทะตอบว่า ความอาลัยในเพศคฤหัสถ์ไม่มีอีกแล้ว

ภิกษุทั้งหลายเข้าใจว่าพระนันทะพูดไม่จริง พากันไปทูลพระศาสดา พระองค์ตรัสว่า

“จริงของนันทะ เมื่อก่อนนี้ จิตของนันทะเหมือนเรือนที่มุงไม่ดี ฝนคือราคะรั่วรดได้ แต่บัดนี้ จิตของนันทะเหมือนเรือนที่มุงดีแล้ว นันทะบรรลุอรหัตผลแล้ว”

ต่อมาภิกษุทั้งหลายสนทนากันว่าพระพุทธเจ้าทรงเป็นอัจฉริยบุคคล สามารถหาอุบายให้พระนันทะบรรลุอรหัตผลได้ พระศาสดาตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย ไม่เพียงแต่ในบัดนี้เท่านั้น แม้ในกาลก่อน นันทะก็ถูกล่อด้วยมาตุคามแล้วเหมือนกัน”

ภิกษุทั้งหลาย ทูลขอให้เล่าเรื่องนั้น ทรงเล่าอดีตนิทานมาว่า

ในอดีตกาล พ่อค้าคนหนึ่งในเมืองพาราณสี บรรทุกสินค้าบนหลังลาไปขายที่เมืองตักกสิลา เมื่อไปถึงที่แล้วได้ปล่อยลาให้เที่ยวหากิน จนกว่าตนจะขายของหมด

ลาไปพบนางลาตัวหนึ่งเข้า จึงเข้าไปหา

“ท่านมาจากไหน”นางลาถาม

“มาจากพาราณสี”ลาตัวผู้ตอบ

“มาทำไม”

“บรรทุกของมาขาย”

“ของมากไหม”

“มาก”

“ของมากอย่างนั้น ท่านเดินทางได้กี่โยชน์จึงหยุดทีหนึ่ง”

“เดิน 7 โยชน์ หยุดทีหนึ่ง”

“เมื่อท่านพัก มีนางลาช่วยนวดเท้า ช่วยประคบประหงมบ้างหรือ”

“ไม่มีเลย”

“น่าสงสาร” นางเปรย “พ่อค้าใจดำ”

จริงอยู่ การนวดเท้า เป็นต้น ย่อมไม่มีในหมู่สัตว์เดรัจฉาน แต่นางลาถามเพื่อพาดพิงถึงกามสังโยค อาการถามอย่างนั้นประกอบกับกิริยาท่าทางของนางลา ทำให้ลาผู้กระสันขึ้นมีจิตปฏิพัทธ์ในนางลา

พ่อค้าขายของเสร็จกลับมา แต่ลาไม่ยอมไปด้วยเสียแล้ว เขาจึงขู่ว่าจะเอาปฏักยาว 16 นิ้วแทง ลาก็ไม่กลัว บอกว่าถ้าทำอย่างนั้นจะทิ้งของให้หมด

พ่อค้าประหลาดใจ ว่าไฉนลาจึงพูดคำที่ไม่เคยพูดอย่างนี้ กิริยาก็กระด้างกระเดื่องไม่สุภาพเหมือนก่อน จึงเหลียวดูไปรอบๆ เห็นนางลา จึงรู้ได้ด้วยความฉลาดว่า “เจ้านี่รักผู้หญิงเสียแล้ว”

จึงว่า “มาเถิด ไปด้วยกัน เมื่อถึงที่แล้ว เราจักนำนางลาอันมีกายงาม หน้าเหมือนสังข์มาให้เจ้า”

จะได้ฟังดังนั้นมีใจยินดี บอกว่า ถ้ากระนั้นจะเดินให้เร็วขึ้นอีกเท่าตัว

เมื่อไปได้ 2-3 วัน ลาก็ถามถึงเรื่องนางลาที่พ่อค้าสัญญาจะให้ พ่อค้าจึงกล่าวว่า “เราจักไม่ทำลายถ้อยคำของเรา เราจะนำภรรยามาให้เจ้า แต่จะให้อาหารเพียงพอแก่เจ้าเพียงผู้เดียว ภรรยาของเจ้าและลูกของเจ้าที่จะเกิดตามมา เราไม่รับรู้ด้วย เจ้าต้องหาเลี้ยงเขา”

เมื่อพ่อค้าพูดอย่างนี้ ลาก็คอตก หมดหวัง

พระศาสดาตรัสว่า

“ภิกษุทั้งหลาย ลาในครั้งนั้น คือ นันทะ นางลาคือนางชนบทกัลยาณี ส่วนพ่อค้าคือตัวเราเอง นันทะได้เคยถูกล่อด้วยมาตุคามมาแล้ว”

ยิ้มเห็นฟัน
 
suvitjak
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 26 พ.ค. 2008
ตอบ: 457
ที่อยู่ (จังหวัด): khonkaen

ตอบตอบเมื่อ: 23 ก.ค.2008, 1:45 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สาธุ ขอบคุณมากครับ ซึ้ง
 

_________________
ซื่อกินไม่หมดคดกินไม่นาน
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง