Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 ทางสายกลาง อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
นิรทุกข์
บัวพ้นดิน
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 30 พ.ย. 2004
ตอบ: 54

ตอบตอบเมื่อ: 09 ก.พ.2005, 9:47 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ปัจจุบันคำนี้มักจะถูกกล่าวอ้างกันทางด้านวิชาการบ่อยครั้ง ในทางปฏิบัติกลับพบเห็นน้อยมากไม่ว่าในแวดวงใด สังคมเล็ก สังคมใหญ่ ล้วนนำมาใช้แต่คำพูด น้อยนักที่จะปฏิบัติเพื่อให้เห็นผลที่แท้จริงว่า เมื่อปฏิบัติงานหรือดำรงชีวิตโดยยึดหลักทางสายกลางอย่างแท้จริงได้อะไรบ้างกับชีวิต
 

_________________
คนธรรมดา ไม่มีอะไรพิเศษหรือวิเศษกว่าปุถุชนทั่วไป ยังมี รัก โลภ โกรธ หลง เป็นปกติ แต่อาจจะเบาบางไปบ้างตามอายุขัยและประสบการณ์ น่าห่วงวัยรุ่นจนถึงคนรุ่นอายุไม่เกิน35ในปัจจุบันยังเข้าใจหลายๆสิ่งผิดไปจากความจริงมาก
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ppj
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 09 ก.พ.2005, 3:21 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน





ผู้ที่ยืนเขย่งบนปลายเท้าเพียงเพื่อจะให้สูงกว่าผู้อื่น ย่อมยืนอยู่ไม่ได้นาน
 
webmaster
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 04 มิ.ย. 2004
ตอบ: 769

ตอบตอบเมื่อ: 09 ก.พ.2005, 4:30 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เรียนคุณนิรทุกข์ ขอคุยเรื่องการตั้งกระทู้ของคุณหน่อยนะครับ



ผมได้เห็นคุณตั้งกระทู้ครั้งเดียวเป็น 10 กระทู้มาสามครั้งแล้ว

ผมก็ขออนุโมทนาสาธุด้วยกับความตั้งใจดีของคุณที่อยากจะได้มีการสนทนาพูดคุยทำความเข้าใจหลักธรรมทางต่าง ๆ แต่การตั้งกระทู้ที่เดียวเป็น 10 กระทู้นี้จะไปดันกระทู้ด้านข้างตกไปหน้าที่สอง ซึ่งส่วนใหญ่คนที่เข้ามาจะให้ความสนใจกับกระทู้ที่มีอยู่หน้าแรกเป็นหลัก



อีกอย่างข้อหัวและเนื้อหาที่คุณตั้งมานั้นบ้างกระทู้ก็น่าสนใจ แต่บ้างกระทู้ก็เหมือนกับว่าตั้งขึ้นมาลอย แบบคิดอะไรออกก็ตั้งไปตามนั้น ซึ่งกระทู้ทำนองไม่ค่อยมีประโยชน์ หรือมีประโยชน์น้อยมาก ยิ่งคุณตั้งกระทู้ทำนองขึ้นก็จะไปดันกระทู้ที่มีเนื้อหาดีมีประโยชน์อื่นที่อยู่ด้านข้าง



ผมขอเสนอว่าให้คุณพิจารณากลั่นกลองเนื้อหา และจุดประสงค์ของกระทู้เสียก่อน แล้วค่อยตั้งนะครับ



 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
นิรทุกข์
บัวพ้นดิน
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 30 พ.ย. 2004
ตอบ: 54

ตอบตอบเมื่อ: 09 ก.พ.2005, 7:28 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน



Administrator





เมล็ดบัว







* :

Post : 89

สมาชิกลำดับที่ : 28

เรียนคุณนิรทุกข์ ขอคุยเรื่องการตั้งกระทู้ของคุณหน่อยนะครับ



ผมได้เห็นคุณตั้งกระทู้ครั้งเดียวเป็น 10 กระทู้มาสามครั้งแล้ว

ผมก็ขออนุโมทนาสาธุด้วยกับความตั้งใจดีของคุณที่อยากจะได้มีการสนทนาพูดคุยทำความเข้าใจหลักธรรมทางต่าง ๆ แต่การตั้งกระทู้ที่เดียวเป็น 10 กระทู้นี้จะไปดันกระทู้ด้านข้างตกไปหน้าที่สอง ซึ่งส่วนใหญ่คนที่เข้ามาจะให้ความสนใจกับกระทู้ที่มีอยู่หน้าแรกเป็นหลัก



อีกอย่างข้อหัวและเนื้อหาที่คุณตั้งมานั้นบ้างกระทู้ก็น่าสนใจ แต่บ้างกระทู้ก็เหมือนกับว่าตั้งขึ้นมาลอย แบบคิดอะไรออกก็ตั้งไปตามนั้น ซึ่งกระทู้ทำนองไม่ค่อยมีประโยชน์ หรือมีประโยชน์น้อยมาก ยิ่งคุณตั้งกระทู้ทำนองขึ้นก็จะไปดันกระทู้ที่มีเนื้อหาดีมีประโยชน์อื่นที่อยู่ด้านข้าง



ผมขอเสนอว่าให้คุณพิจารณากลั่นกลองเนื้อหา และจุดประสงค์ของกระทู้เสียก่อน แล้วค่อยตั้งนะครับ



ผมถามหน่อยว่าสิ่งที่คุณบอกว่ากระทู้นั้นดีกระทู้นี้มีเนื้อหาสาระ ใครตัดสิน สิ่งที่ผมตั้งไปผมเข้ามาอ่านทุกครั้งไม่ได้ตั้งส่งเดช แต่ถ้าคุณคิดว่าไม่ชอบก็ถอนการเป็นสมาชิกของผมไปเลยก็ได้ เพราะคุณทำได้อยู่แล้วนี่ แต่ขอบอกว่าประเด็นในเรื่องธรรมะใครก็กะเกณฑ์กำหนดไม่ได้ว่าข้อนั้นน่าสนใจ ข้อนี้ไม่น่าสนใจ การที่ผมตั้งกระทู้ครั้งเดียว 10 กระทู้เพราะบังเอิญว่าผมทะลึ่งเข้ามาอ่านเพราะมีเวลาพอดีที่จะทำได้ แต่ไม่ใช่การเข้ามาก่อกวนแน่นอนเมื่ออ้างว่ารู้ซึ้งถึงธรรมะอย่ามองคนอื่นอย่างอคติ



 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
โอ่
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 09 ก.พ.2005, 9:24 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เรื่องนี้ถ้ามีปัญหาก็อาจจะวางกฎเกณฑ์บางอย่างได้ เพราะยังไงผู้เข้ามาก็ต้องเคารพปฏิบัติตามกฎเกณฑ์อยู่ดี เมื่อปัญหาไม่มีก็สามารถยกเลิกกฎเกณฑ์นั้นได้



ในกรณีที่เห็นว่ากระทู้นั้นสมควรที่จะไว้หน้า 1 เพื่อเป็นประโยชน์ในเนื้อหาของระดับผู้ที่เข้ามาชม ก็อาจจะทำได้โดยดุลพินิจ คิดว่าไม่มีใครว่าอะไรกระมัง
 
webmaster
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 04 มิ.ย. 2004
ตอบ: 769

ตอบตอบเมื่อ: 09 ก.พ.2005, 10:43 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ผมเพียงชี้แจ้ง และเสนอความคิดเห็นในการตั้งกระทู้เท่าทัน ไม่ได้อำนาจอะไรมาบังคับสักหน่อย



ที่นี่ผมให้เกียรติ และใจดีกับทุกคน ไม่ว่าจะเป็นสมาชิก หรือไม่เป็น ผมไม่เคยให้ความสำคัญว่าเป็นสมาชิกหรือไม่เป็น เป็นหรือไม่เป็นสมาชิกมีสิทธิเท่าเทียมกันในการแสดงความคิดเห็น และตั้งกระทู้ เพราะทุกท่านที่เข้ามาในที่นี้ก็เพื่อธรรมะ ผมจึงไม่กีดกันความต้องการของคนที่เข้ามา ฉะนั้นจึงขอให้คุณนิรทุกข์จงทราบว่าผมไม่มีอคติอันใดกับคุณหรอก เพียงชี้แจ้งและเสนอความคิดเห็นเรื่องการตั้งกระทู้ของคุณเท่านั้น แต่ถ้าคุณเห็นว่าดีงาม หรือเหมาะสมแล้ว ผมก็อนุโมทนาด้วย



 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
มาดู
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 10 ก.พ.2005, 9:49 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

.... ..... .... .... .... .... ... ...



... ...



..... .....
 
นิรทุกข์
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 11 ก.พ.2005, 2:12 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ประชาธิปไตย?????????????????????????????????
 
เกียรติ
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 11 ก.พ.2005, 5:09 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ผมก็ว่า ตั้งกระทู้ต่อหนึ่งท่านนั้น วันละ 2-3 กระทู้ก็พอ ก็ดีเหมือนกันครับ เพราะตามไปแสดงความคิดเห็นไม่ค่อยจะทันถ้าหากมีกระทู้เยอะมากๆ อีกทั้งคนอื่นๆ อีกหลายคน จะได้มีเวลาพิจารณาให้ลึกซึ้ง อาจจะแสดงความคิดเห็นออกมาได้ดีกว่าตอนรีบๆ แสดงความคิดเห็นนะครับ



ผมไม่ได้เป็นสมาชิกนะครับ จึงไม่ได้เข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แต่กำลังเข้ากลางครับ
 
pj
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 02 พ.ค.2005, 12:18 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

 
charoem
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 07 เม.ย. 2008
ตอบ: 31

ตอบตอบเมื่อ: 09 พ.ค.2008, 11:13 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

พระพุทธโอวาทของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น ท่านทรงเตือนให้เราละความชั่ว ประ พฤติความดี เมื่อละความชั่ว ประพฤติความดีแล้ว ที่สุดก็ทรงสอนให้ละสิ่งทั้งสองนี้ไปเสียด้วย ฉะนั้น วันนี้จึงจะขอให้คติในเรื่องทางสายกลางคือให้ละให้ได้ หรือหลีกให้พ้นจากสิ่งทั้งสองนั้น ทั้งดี ทั้งชั่ว ทั้งบุญ ทั้งบาปที่ เป็นสุข เป็นทุกข์ทั้งหลายเหล่านี้แหละ

จุดมุ่งหมายของธรรม
ความดีใจ ความเสียใจ มันก็เกิดจากพ่อแม่เดียวกันคือตัณหา ความลุ่มหลงนั่นเอง ฉะนั้น บางทีเมื่อมีสุขแล้วใจก็ยังไม่สบาย ไม่สงบ ทั้งที่ได้สิ่งที่พอใจแล้ว เช่น ได้ลาภยศสรรเสริญได้มาแล้ว ก็ดีใจก็จริง แต่มันก็ยังไม่สงบจริงๆ เพราะยังมีความเคลือบแคลงใจว่า มันจะสูญเสียไป กลัวมันจะหายไป ความกลัวนี่แหละเป็นต้นเหตุให้มันไม่สงบ บางทีมันเกิดสูญเสียไปจริงๆก็ยิ่งเป็นทุกข์มาก นี่หมายความว่า ถึงจะสุขก็จริง แต่ก็มีทุกข์ดองอยู่ในนั้นด้วยแต่เราก็ไม่รู้จักเหมือนกันกับว่าเราจับงู ถึงแม้ว่าเราจับหางมันก็จริง ถ้าจับไม่วาง มันก็หันกลับมากัดได้

ฉะนั้น เมื่อสมเด็จพระบรมศาสดาท่านตรัสรู้แล้วท่านประกาศศาสนานั้น เบื้องแรก ท่านยกทางทั้งสองขึ้นมาว่าเลยคือกามสุขัลลิกานุโยโคและอัตตกิลมถานุโยโค ทางทั้งสองอย่างนี้ เป็นทางที่ลุ่มหลง เป็นทางที่พวกเสพกามหลงติดอยู่ ซึ่งย่อมไม่ได้รับความสงบระงับ เป็นหนทางที่วนเวียนอยู่ในวัฏฏสงสาร

สมเด็จพระบรมศาสดา ท่านทรงเห็นสัตว์ทั้งหลายติดอยู่ในทางทั้งสอง ไม่เห็นทางสายกลางของธรรมะ ท่านจึงทรงยกทางทั้งสองขึ้นมาแสดงให้เห็นโทษในทางทั้งสองนั้น ถึงเช่นนั้นพวกเราทั้งหลายก็ยังพากันติดพากันปรารถอยู่ร่ำไป ฉะนั้นพระพุทธองค์จึงตรัสว่า ทางทั้งสองอย่างนั้นเป็นทางที่ลุ่มหลง ไม่ใช่ทางของสมณะ คือไม่ใช่ทางที่สงบระงับ

อัตตกิลมถานุโยโคและกามสุขัลลิกานุโยโคก็คือ ทางตึงและทางหย่อนนั่นเอง ถ้าเราน้อมเข้ามาพิจารณาให้เห็นในปัจจุบัน ทางตึงก็คือความโกรธ อันเป็นทางเศร้าหมอง ท่านเรียกอัตตกิลมถานุโยโค เดินไปแล้วก็เป็นทุกข์ลำบาก

กามสุขัลลิกานุโยโคก็คือ ความดีใจ ความพอใจ ความดีใจนี้ก็เป็นทางไม่สงบ ทางทุกข์ก็เป็นทางไม่สงบ เราจะเห็นได้ว่าสมเด็จพระบรมศาสดาท่านว่า เมื่อได้เห็นความสุขแล้วให้พิจารณาความสุขนั้น ท่านไม่ให้ ติดอยู่ในความสุข คือ ท่านให้วางทั้งสุขและทุกข์ การวางทั้งสองได้นี้เป็นสัมมาปฏิปทา ท่านเรียกว่าเป็นทางสายกลาง

ทางสายกลาง
คำว่า "ทางสายกลาง" ไม่ได้หมายถึงในด้านกาย และวาจาของเรา แต่หมายถึงในด้านจิตใจ เมื่อถูกอารมณ์มากระทบ ถ้าอารมณ์ที่ไม่ถูกใจมากระทบกระทั่ง ก็ทำให้วุ่นวาย ถ้าจิตวุ่นวายหวั่นไหวเช่นนี้ ก็ไม่ใช่หนทาง เมื่ออารมณ์ที่ดีใจเกิดขึ้นมาแล้วก็ดีอกดีใจ ติดแน่นอยู่ในกามสุขัลลิกานุโยโค อันนี้ก็ไม่ใช่หนทาง

มนุษย์เราทั้งหลายไม่ต้องการทุกข์ ต้องการแต่สุขความจริงสุขนั้น ก็คือทุกข์อย่างละเอียดนั่นเอง ส่วนทุกข์ก็คือทุกข์อย่างหยาบ พูดอย่างง่ายๆสุขและทุกข์นี้ก็เปรียบเสมือนงูตัวหนึ่ง ทางหัวมันเป็นทุกข์ ทางหางมันเป็นสุข เพราะถ้าลูบทางหัวมันมีพิษ ทางปากมันมีพิษ ไปใกล้ทางหัวมัน มันก็กัดเอา ไปจับหางมันก็เหมือนเป็นสุข แต่ถ้าจับไม่วาง มันก็หันกลับมากัดได้เหมือนกัน เพราะทั้งหัวงูและหางงูมันก็อยู่ในงูตัวเดียวกัน

ความดีใจ ความเสียใจ มันก็เกิดจากพ่อแม่เดียวกันคือตัณหา ความลุ่มหลงนั่นเอง ฉะนั้น บางทีเมื่อมีสุขแล้วใจก็ยังไม่สบาย ไม่สงบ ทั้งที่ได้สิ่งที่พอใจแล้ว เช่น ได้ลาภยศสรรเสริญได้มาแล้ว ก็ดีใจก็จริง แต่มันก็ยังไม่สงบจริงๆ เพราะยังมีความเคลือบแคลงใจว่า มันจะสูญเสียไป กลัวมันจะหายไป ความกลัวนี่แหละเป็นต้นเหตุให้มันไม่สงบ บางทีมันเกิดสูญเสียไปจริงๆก็ยิ่งเป็นทุกข์มาก นี่หมายความว่า ถึงจะสุขก็จริง แต่ก็มีทุกข์ดองอยู่ในนั้นด้วย แต่เราก็ไม่รู้จักเหมือนกันกับว่าเราจับงู ถึงแม้ว่าเราจับหางมันก็จริง ถ้าจับไม่วาง มันก็หันกลับมากัดได้

ฉะนั้น หัวงูก็ดี หางงูก็ดี บาปก็ดี บุญก็ดี อันนี้ในวงวัฏฏะ หมุนเวียนเปลี่ยนแปลง ดังนั้นความสุข ความทุกข์ความดี ความชั่ว ก็ไม่ใช่หนทาง

มรรค : หนทางสู่ความสงบระงับ
ศีล สมาธิ ปัญญานั้น ถ้าหากพูดกันตามลักษณะตามความเป็นจริงแล้ว ก็ยังไม่ใช่แก่นศาสนาหรือตัวศาสนา แต่เป็นหนทางนำไปสู่ตัวศาสนา ฉะนั้นท่านจึงเรียกว่า ศีล สมาธิปัญญา ทั้งสามอย่างนี้ว่า "มรรค" อันแปลว่า "หนทาง" ตัวศาสนาคือ "ความสงบระงับอันเกิดจากความรู้เท่าในความเป็นจริง...ในธรรมชาติของความเป็นจริงที่เกิดอยู่เป็นอยู่ ซึ่งถ้าได้นำมาพิจารณาดูอย่างละเอียดแล้ว ก็จะเห็นว่าความสงบนั้นไม่ใช่ทั้งความสุขและความทุกข์ ฉะนั้น สุขและทุกข์จึงไม่ใช่เป็นของจริง

พระพุทธองค์ทรงสอนให้รู้ตัวเอง ให้เห็นตนเอง ให้พิจารณาตัวเอง เพื่อให้เห็นจิตของตนเอง ความจริง "จิตเดิม"ของมนุษย์นั้น เป็นธรรมชาติที่ไม่หวั่นไหว เป็นธรรมชาติที่ทรงอยู่แน่นอน อยู่อย่างนั้น แต่ที่มีความดีใจ เสียใจ หรือความทุกข์ความสุขเกิดขึ้นนั้น เพราะขณะนั้นมันไปหลงอยู่ในอารมณ์ จึงเป็นเหตุให้เคลื่อนไหวไปมา แล้วก็เกิดความยึดมั่นถือมั่นขึ้นในสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น

สมเด็จพระบรมศาสดาท่านตรัสสอนไว้แล้วทุกอย่าง ในเรื่องการประพฤติปฏิบัติ แต่พวกเราทั้งหลาย ยังไม่ได้ปฏิบัติกันหรือไม่ก็ปฏิบัติแต่ปากเท่านั้น หลักของพระพุทธศาสนานั้น ไม่ใช่การจะมาพูดกันเฉยๆหรือด้วยการเดา หรือการคิดเอาเอง หลักของพระพุทธศาสนาที่แท้จริงคือ ความรู้เท่าความจริง ตามความเป็นจริงนั่นเอง ถ้ารู้เท่าตามความเป็นจริงนี้แล้วการสอนก็ไม่จำเป็น แต่ถ้าไม่รู้ถึงความเป็นจริงอันนี้ แม้จะฟังคำสอนเท่าใดก็เหมือนกับไม่ได้ฟัง

พระพุทธองค์ตรัสว่า พระองค์เป็นเพียงผู้บอกทางเท่านั้น แต่ไม่สามารถจะทำแทนหรือปฏิบัติแทนได้ เพราะธรรมชาติทั้งหลาย หรือความจริงอันนี้เป็นสิ่งที่จะต้องพิจารณาเอง ปฏิบัติเอง คำสอนต่างๆเป็นเพียงแนวทาง หรืออุปมาอุปไมย เพื่อนำให้เข้าถึงความรู้ตามความเป็นจริง ถ้าไม่รู้เท่าตามความเป็นจริงเราก็จะเป็นทุกข์ เหมือนดังตัวอย่างว่า เรามักใช้คำว่า "สังขาร" เมื่อเราพูดถึงร่างกาย แต่ความจริงนั้น เราหารู้จัก "ความเป็นจริง" ของสังขารนี้ไม่ แล้วเราก็ยึดมั่นถือมั่นอยู่กับ "สังขาร"นี้ ทั้งนี้เพราะเราไม่รู้ความจริงเกี่ยวกับสังขารหรือร่างกายของเรานี้ เราจึงเป็นทุกข์ หรือความทุกข์จึงเกิดขึ้น

จะยกตัวอย่างให้เห็นสักอย่างหนึ่ง สมมุติว่าเราเดินไปทำงาน ระหว่างทางก็มีบุรุษผู้หนึ่งคอยต่อว่าเราอยู่เป็นประจำ ตอนเช้าก็ด่า ตอนเย็นก็ด่า เมื่อได้ยินคำด่าเช่นนี้ จิตใจก็หวั่นไหว ไม่สบายใจ โกรธ น้อยใจ เศร้าหมอง บุรุษผู้นั้นก็เพียรด่าเช้าด่าเย็นอยู่เช่นนั้นทุกวัน ได้ยินคำด่าเมื่อใด ก็โกรธเมื่อนั้น กลับถึงบ้านแล้วก็ยังโกรธอยู่ ที่โกรธที่หวั่นไหวเช่นนี้ก็เพราะความไม่รู้จักนั่นเอง

วันหนึ่ง เพื่อนบ้านก็มาบอกว่า "ลุงคนที่มาด่าลุงทุกเช้าทุกเย็นนั้นนะ เป็นคนบ้า เป็นบ้ามาหลายปีแล้ว มันด่าคนทุกคนแหละ ชาวบ้านเขาไม่ถือมันหรอก เพราะมันเป็นบ้า" พอรู้อย่างนี้แล้ว ใจของเราก็คลายความโกรธทันที ความโกรธความขุ่นมัวที่เก็บไว้หลายวันแล้วนั้น ก็คลายหายไป เพราะอะไร? ก็เพราะได้รู้ความจริงแล้ว แต่ก่อนนั้นไม่รู้ เข้าใจว่าเป็นคนดี คนปกติ ฉะนั้นพอได้ยินว่าเป็นคนบ้า จิตก็เปลี่ยนเป็นสบาย ทีนี้มันอยากจะด่าก็ให้ด่าไป ไม่โกรธ ไม่เป็นทุกข์เพราะรู้เสียแล้วว่าเป็นคนบ้า นี่..ที่จิตใจสบายก็เพราะรู้เท่าทันความจริงนั่นเอง เมื่อมันรู้เอง มันก็วางของมันเอง ถ้ายังไม่รู้มันก็ยึดมั่นถือมั่นอยู่นั่นเอง อีกเหมือนกัน แต่พอรู้ความเป็นจริง จิตใจก็สบายนี่แหละคือความรู้เท่าตามความเป็นจริง คือรู้ว่าคนนั้นเป็นบ้า

คนผู้รู้ธรรมก็เหมือนกันพอรู้จริงความโลภ ความโกรธความหลงก็หายไป เพราะรู้เท่าทันความเป็นจริง

รู้เท่าทันสิ่งทั้งปวงต้องเดินทางสายกลาง
พระพุทธองค์ทรงสอนว่า สังขารร่างกายของเรานี้ไม่ใช่เราไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล มันเป็นเพียงสังขาร ทรงบอกอย่างชัดๆเช่นนี้ เราก็ยังไม่ยอมมัน ยังขืนไปแย่งยื้ออยู่นั่นแหละ ถ้าหากว่ามันพูดได้ มันก็คงจะบอกว่า "เจ้าอย่ามาเป็นเจ้าของฉันนะ" ความจริงมันก็บอกอยู่แล้วทุกขณะ แต่เราเองไม่รู้เพราะมันเป็นภาษาธรรม

อย่างสกลร่างกายนี้ ตาก็ดี จมูกก็ดี หูก็ดี ลิ้นก็ดี กายก็ดี ทั้งหลายเหล่านี้แหละ ก็แล้วแต่มันจะเปลี่ยนไป แปรไป ไม่เห็นมันขออนุญาตเราสักที เช่นเมื่อปวดหัว ปวดท้องหรืออย่างใดอย่างหนึ่งเป็นต้น มันไม่เคยขออนุญาตจากเราเลย เวลามันจะเป็น มันก็เป็นของมันเลย เป็นไปตามสภาวะของมัน อันนี้ก็แสดงว่ามันไม่ยอมให้เราเป็นเจ้าของของมัน

สมเด็จพระบรมศาสดาจึงทรงสอนว่า "สุญโญ สัพโพ..มันเป็นของว่าง มันไม่ได้เป็นของผู้ใด" เราทั้งหลายไม่เข้าใจธรรมะในสภาวะอันนี้ ไม่เข้าใจในสังขารอันนี้ จึงคิดว่า "ของเราของเขา" เกิดอุปาทานขึ้นมา เมื่อเกิดอุปาทานก็เข้าไปยึดภพ เกิดภพ เกิดชาติ ชรา พยาธิ มรณะต่อไป มันเป็นทุกข์เช่นนี้ ที่ท่านเรียก "อิทัปปัจจยตา" นั่นแหละ อวิชชาเกิดสังขาร สังขารเกิดวิญญาณ วิญญาณเกิดนามรูป..เป็นเช่นนี้นั่นแหละ

อันนี้มันล้วนแต่เป็นในขณะของจิต ถ้าเกิดอารมณ์ไม่ถูกใจขึ้นมา ก็ไม่รู้จักหรือไม่รู้เท่าทัน เพราะอยู่ในอวิชชามันก็เป็นทุกข์ขึ้นมาเลย ความเป็นจริงขณะของจิตอันนี้มันติดกันอยู่ทีเดียว มันเร็วมาก แต่เราเองรู้ไม่เท่าทัน เปรียบเหมือนว่าเรากำลังอยู่บนยอดไม้แล้วตก "ปุ๊บ" ลงมาที่พื้นดิน จึงรู้สึกตัวว่าตกต้นไม้ แต่ความจริงนั้น ก่อนที่จะตกถึงพื้นดินเราก็ตกผ่านทุกก้านทุกกิ่งของต้นไม้นั่นแหละ แต่ไม่สามารถนับได้ว่านาทีใดถึงกิ่งไหน วินาทีใดถึงกิ่งไหน เพราะมันเร็วมาก แต่พอตูมเดียวก็ถึงพื้นดินเลย แล้วก็เป็นทุกข์เลย อิทัปปัจจยตามันเป็นเช่นนั้น

ถ้าเราแยกเป็นปริยัติ อวิชชาเกิดสังขาร สังขารเกิด วิญญาณ วิญญาณเกิดนามรูป ว่ากันไปเป็นตอนๆตามความจริงนั้น พออารมณ์เกิดความไม่พอใจ ความทุกข์ก็เกิดขึ้นมาเลยอาการที่มันเกิดทุกข์ขึ้นนั้น มันผ่านไปจากอวิชชา สังขาร..ผ่านไปพริบเดียว ถึงโน้น..โศกะ ปริเทวะ คือทุกข์เลย

ฉะนั้น สมเด็จพระบรมศาสดาจึงให้ตามดูจิตของเราทั้งหลายให้รู้ตามความเป็นจริงของมัน และในความเป็นจริงเหล่านี้ท่านให้เข้าใจว่ามันเป็นแต่เพียงสังขารเท่านั้น และสังขารนี้แหละมันเกิดมาจากเหตุจากปัจจัยทั้งหลายที่มันเป็นมา ที่เรามาเรียกหรือสมมุติเอาอีกทีหนึ่ง ที่เรียกว่า มนุษย์ สัตว์ เช่นเดียวกับชื่อของเรา มันก็สมมุติเหมือนกัน เราไม่ได้มีชื่อมาแต่กำเนิด ต่อเมื่อเกิดขึ้นแล้ว จึงเอาชื่อไปใส่ คือตั้งชื่อว่าอย่างนั้น อย่างนี้ อันนี้เรียกว่าสมมุติ ตั้งชื่อกันเพื่ออะไร ก็เพื่อให้มันเรียกกันง่าย สะดวกแก่การใช้ภาษาเรียกขานพูดจากัน การปริยัติก็เหมือนกัน ที่แยกออกก็เพื่อสะดวกแก่การศึกษาเล่าเรียน

สิ่งทั้งหลายนี้แหละเรียกว่า สังขาร มันเป็นสังขารเกี่ยวกับสภาวะอันนี้ที่เกิดมาจากเหตุจากปัจจัย สมเด็จพระบรม-ศาสดาจึงตรัสว่า สังขารทั้งหลายเหล่านี้เป็นของไม่แน่นอน มันเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา พวกเราทั้งหลาย เข้าใจสิ่งเหล่านี้ไม่ชัดเจน จึงทำความเห็นในเรื่องนี้ไม่ตรง ไม่แน่ อันเป็นความเห็นผิดที่เรียกว่า มิจฉาทิฐิ ความเห็นผิดอันนี้ก็คือ การยึดเอาสังขารเป็นเรา ยึดเอาเราเป็นสังขาร เอาเราเป็นสุข เอาสุขเป็นเราเอาเราเป็นทุกข์ เอาทุกข์เป็นเรา ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะเราไม่รู้เท่าตามความเป็นจริงนั่นเอง

ถ้าเรารู้เท่าตามความเป็นจริง เราก็จะรู้ว่าเราไม่สามารถควบคุมสังขารเหล่านี้ ให้เป็นไปตามอำนาจของเรา เพราะธรรมชาติเหล่านี้ มันจะต้องเป็นไปตามเรื่องของมัน เราจะบังคับให้ตรงนี้เป็นอย่างนั้น ตรงนั้นเป็นอย่างนี้ตามอำนาจของเรา ย่อมจะเป็นไปไม่ได้ เปรียบง่ายๆก็อย่างว่า เราไปนั่งอยู่ที่กลางถนนซึ่งมีรถวิ่งไปมาอยู่ขวักไขว่ แล้วเราจะไปโกรธรถที่วิ่ง หรือจะไปห้ามรถที่กำลังวิ่งอยู่ว่า "อย่าขับรถมาทางนี้" เราก็ห้ามไม่ได้ เพราะถนนนี้เป็นถนนหลวง ดังนั้น เราควรทำอย่างไร ทางที่ดีก็คือ เราต้องออกไปให้พ้นถนน ไปให้พ้นทางที่รถวิ่ง แต่ที่จะห้ามรถไม่ให้วิ่งนั้น ทำไม่ได้เพราะมันเป็นหนทางของเรา

เรื่องของสังขาร ก็เป็นเช่นนั้นเหมือนกัน มันไม่มีอะไรแน่นอน เดี๋ยวสุข เดี๋ยวทุกข์ เดี๋ยวดีใจ เดี๋ยวเสียใจ เดี๋ยวก็เกิดอารมณ์ที่ชอบบ้าง ไม่ชอบบ้าง มากระทบกระทั่ง สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เราเรียกว่ามันมากวน เวลานั่งภาวนาอยู่ก็ว่า เสียงมากวนเรา อันที่จริงนั้น เราไม่เข้าใจว่า เสียงมากวนเราหรือเราไปกวนเสียงกันแน่ ถ้าเรายึดว่าเสียงมากวนเรา มันก็เกิดความทุกข์ขึ้นมา

ถ้าเราพิจารณาดูให้ดีก็จะรู้ได้ว่า เราไปกวนเสียงต่างหากเสียงมันก็ดังอยู่แต่ของมัน มันไม่ได้มีความรู้สึกรำคาญอะไรเลยเราต่างหากที่รำคาญ พวกเราไปกวนมัน ความจริงนั้นเสียงก็เป็นเสียง เราก็เป็นเรา ถ้าเข้าใจเสียได้เช่นนี้ มันก็ไม่มีอะไร เราก็สบาย มีเสียงขึ้นมาก็รู้ว่าเสียงมันดังแต่ของมัน เราไม่ได้ยึดหมายมันเข้า เราก็ไม่เกิดทุกข์ นี่เรียกว่าเรารู้เท่าตามความเป็นจริง เราเห็นทั้งสองอย่าง เมื่อเห็นทั้งสองอย่าง คือทั้งสุขและทุกข์ตามความเป็นจริง ใจก็สงบสบาย

การที่จะเห็นได้ทั้งสองอย่างนี้ เราจะต้องยืนอยู่ตรงกลางหรืออยู่ระหว่างหลาง นี่เป็นสัมมาปฏิปทาของจิต นี้คือการทำความเห็นให้ตรง ให้ถูกต้อง

สังขารของเรานี้ เมื่อมันเกิดขึ้นมาแล้ว มันก็ต้องมีแก่มีเจ็บ มีตาย ทั้งหลายเหล่านี้มันเป็นไปตามทางของมัน ถ้าเราจะไปกั้นทาง ไปห้ามทาง หรือไปเอาจริงเอาจังกับสิ่งที่ไม่จริงไม่จังอย่างนั้นอยู่เรื่อยไป โดยเข้าใจว่า มันเป็นตัวตนของเรา เราก็จะมีแต่ความทุกข์ ฉะนั้นสมเด็จพระบรมศาสดาท่านจึงทรงสอนให้พิจารณา ไม่ว่าจะเป็นพระหรือเณร หรือฆราวาสให้พิจารณาแล้วทำความเห็นให้ถูกต้อง เมื่อมีความเห็นถูกต้องแล้วก็สงบสบาย

การปฏิบัติธรรมนั้นไม่ว่านักพรต นักบวช หรือฆราวาสก็มีโอกาสที่จะปฏิบัติธรรม พิจารณาธรรมได้เท่ากัน และธรรมที่พิจารณานั้น ก็เป็นธรรมอันเดียวกันนั่นเอง พิจารณาให้ไปสู่ความสงบระงับอันเดียวกัน ด้วยวิถีของมรรคอันเดียวกัน ฉะนั้นท่านจึงว่า จะเป็นฆราวาสก็ตาม บรรพชิตก็ตาม มีสิทธิที่จะประพฤติปฏิบัติธรรม จนได้รู้ได้เห็นตามความเป็นจริงเหมือนกัน เมื่อเรารู้สภาวะสังขารตามความเป็นจริงอย่างนี้แล้ว เราก็วางเสีย และเมื่อรู้เท่าอย่างนี้แล้ว ภพก็เกิดไม่ได้เพราะอะไรจึงเกิดไม่ได้? เพราะมันไม่มีทางจะเกิด เพราะเรารู้เท่าตามความเป็นจริงเสียแล้ว

ฉะนั้นให้เข้าใจว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่เรามีอยู่ เป็นอยู่นั้นมันเป็นสักแต่ว่า "อาศัย" เท่านั้น ถ้ารู้ได้เช่นนี้ ท่านว่ารู้เท่าตามสังขารทีนี้แม้จะมีอะไรอยู่ ก็เหมือนไม่มี ได้ก็เหมือนเสีย เสียก็เหมือนได้ สมเด็จพระบรมศาสดาท่านทรงสอนให้รู้อย่างนี้ เพราะนี่คือความสงบ สงบจากควาามสุข สงบจากความทุกข์ สงบจากความดีใจ เสียใจ ได้มาก็ไม่ดีใจ เสียไปก็ไม่เสียใจ มันเป็นเรื่องที่ทั้งไม่เกิดและไม่ตาย เรื่องเกิดเรื่องตายนี้ ไม่ได้หมายถึงอวัยวะร่างกายอันนี้ แต่หมายถึงอารมณ์ความรู้สึกที่มันไม่มีแล้ว หมดแล้ว

ฉะนั้นสมเด็จพระบรมศาสดาท่านจึงทรงบอกว่า ภพสิ้นแล้ว พรหมจรรย์จบแล้ว ไม่มีภพอื่นชาติอื่นอีกแล้ว ท่านรู้อย่างนั้นแล้ว ท่านก็รู้สิ่งที่มันไม่เกิด ไม่ตาย ที่มีอยู่ในปัจจุบันนี้เอง นี่คือโอวาทที่สมเด็จพระบรมศาสดาท่านทรงกำชับสาวกมากที่สุดว่า ให้พยายามเข้าให้ถึงอันนี้ ที่เป็นสัมมาปฏิปทา ถ้าไม่ปฏิบัติให้ถึงทางสายกลาง ไม่ตรงเข้าไปถึงทางสายกลางให้ได้แล้ว ก็จะไม่มีวันพ้นทุกข์
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ ไม่สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง