Home
•
กระดานสนทนา
•
สมาธิ
•
สติปัฏฐาน
•
กฎแห่งกรรม
•
นิทาน
•
หนังสือ
•
บทความ
•
กวีธรรม
•
ข่าวกิจกรรม
•
แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้
ค้นหา
สมัครสมาชิก
รายชื่อสมาชิก
กลุ่มผู้ใช้
ข้อมูลส่วนตัว
เช็คข้อความส่วนตัว
เข้าสู่ระบบ(Log in)
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
กรรมของคนตาบอด
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
:: ลานธรรมจักร ::
»
กฎแห่งกรรม
ผู้ตั้ง
ข้อความ
ต้นข้าว**
ผู้เยี่ยมชม
ตอบเมื่อ: 14 ต.ค.2006, 4:43 pm
กรรมของคนตาบอด
พระพุทธองค์ทรงตรัสว่ามนุษย์และสัตว์เกิดมาเป็นพี่น้องกัน ร่างกายที่ตายไปแล้วเหลือแต่วิญญาณ ก็จะไปใช้กรรมใช้เวรในชาติใหม่ เวียนว่ายตายเกิด ชาติแล้วชาติเล่า แล้วแต่วิบากกรรม ที่กระทำเอาไว้
คนเราเกิดมาถูกคำพิพากษาประหารชีวิตตั้งแต่วันแรกที่เกิด เจ้าเกิดมาแล้วเจ้าก็ต้องตายแต่ยังไม่ถึงวันตายก็เพราะรอวันประหารชีวิตนั่นเอง ต่อเมื่อพญามัจจุราชสั่งให้ประหารเมื่อใด ก็จะถูกประหารเมื่อนั้น ในขณะที่เรายังมีชีวิตอยู่จึงอย่าได้ประมาท จงทำความดีไว้ให้มากๆ จะได้เป็นที่พึ่งในชาตินี้และชาติต่อๆ ไป
เรื่องที่ข้าพเจ้าจะนำมาเล่าต่อไปนี้ เป็นเรื่องของคนที่ทำกรรมชั่วเอาไว้ กรรมจึงตามมาสนองทำให้ตาบอดทั้งสองข้าง ได้รับความทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส จึงขอนำมาเล่าสู่ท่านผู้อ่านฟัง เรื่องมีอยู่ว่า
ลุงคำ อายุประมาณ ๕๐ ปี ได้อาศัยอยู่กับลูกหลาน ส่วนภรรยานั้นได้ตายจากแกไปนานหลายปีแล้ว แกมีชีวิตอยู่อย่างน่าสงสาร เพราะลูกหลานและญาติพี่น้องไม่ค่อยดูแลเอาใจใส่ การกินก็อดๆ อยากๆ เสื้อผ้าก็นุ่งแต่เก่าๆ และขาดวิ่น แกมีร่างกายที่ผอมโซ ทุกวันจะเห็นนั่งอยู่บนแคร่ไม้ไผ่ใต้ร่มเงาต้นมะม่วงหน้าบ้าน มีเจ้าสุนัขสีหมอกตัวหนึ่งนั่งเป็นเพื่อยอยู่ขางๆ ข้าพเจ้าเคยมีโอกาสได้ไปเยี่ยนมแก ๒-๓ ครั้งแล้ว
วันหนึ่ง ข้าพเจ้าได้เข้าไปในเมือง จึงซื้อผลไม้ต่างๆ มีกล้วยสุก ส้มเขียวหวาน ขนม ฯลฯ ไปฝากลุงคำ และบอกให้แกรู้ พร้อมกับเอาถุงผลไม้วางใส่มือแก แกดีใจมาก และพูดกับข้าพเจ้าว่า "๓-๔ ปีแล้วไม่เคยได้กินของดีๆ เหล่านี้เลย" พร้อมกับยกมือไหว้และกล่าวขอบคุณ
ข้าพเจ้านั่งอยู่พักหนึ่ง ก็ได้ถามถึงเรื่องราวที่แกตาบอดว่าเป็นเพราะสาเหตุอะไร
แกนั่งคิดอยู่สักครู่ก็พูดขึ้นว่า "ผมตาบอดมานานแล้ว เพราะบาปกรรมที่เคยกระทำเอาไว้มาตามสนองให้ต้องตาบอดทั้งสองข้าง"
ข้าพเจ้าได้ถามต่อไปว่า "กรรมอะไรที่คุณลุงได้ทำเอาไว้หรือ"
แกพูดว่า ในสมัยที่ผมยังเป็นเด็ก อายุได้ ๕-๖ ปี ผมเป็นเด็กซุกซนมาก พ่อแม่ให้นำควายไปเลี้ยงที่ทุ่งนา ในฤดูฝนจะย่างเข้ามา ฝนเริ่มตกลงมาทำให้พืชพันธุ์เจริญงอกงามขึ้น มองดูเขียวชอุ่มไปทั่วทุ่งนา มีตั๊กแตนบินลงมาหากิน ผมได้วิ่งไล่จับเอาตักแตน พอได้มาแล้วก็เอามือบีบตาทั้งสองข้างให้ตาของมันทะลุแตก แล้วโดยขึ้นไปบนท้องฟ้า มองดูคล้ายๆ กับเขาจุดบั้งไฟตะไล มันจะหมุนวนเป็นวงกลมไปรื่อยๆ ผมกับเพื่อนหัวเราะชอบใจ ไล่จับเอาตั๊กแตนตัวแล้วตัวเล่า แล้วก็เอามือบีบตาทั้งสองของมันให้ทะลุแล้วโยนขึ้นไปบนท้องฟ้า มันได้แต่บินวนไปวนมาเป็นวงกลม เพราะมองไม่เห็นอะไร ตอนนั้นไม่ได้นึกถึงบาปกรรมเลย ได้กระทำอยู่อย่างนี้บ่อยๆ ในคราวไปเลี้ยงควายที่ทุ่งนาเป็นเวลา ๒-๓ ปี ถ้าให้นับดูตัวตั๊กแตนที่ผมกระทำไปนั้นด้วยนึกแต่ความสนุกอย่างเดียว เกือบ ๖๐-๗๐ ตัวคงจะได้
ต่อมาอีกครั้งหนึ่ง อายุราว ๑๕-๑๖ ปี ผมเคยแกล้งคนตาบอด ในครั้งนั้นหมู่บ้านของผมได้จัดงานประจำปีขึ้น ๓ วัน ๓ คืน มีมหรสพมาฉลองด้วย มีผู้คนมาเที่ยวงานมากมายในคราวนั้นมีชายตาบอดคนหนึ่งมาเที่ยวในงานกับเพื่อนซึ่งเป็นคนบ้านอื่น ชายตาบอดคนนั้นให้เพื่อนจูงมา พอเห็นเขาเดินผ่านมา ผมนึกสนุกขึ้นมา จึงเข้าไปจูงเอาชายตาบอดคนนั้นจากเพื่อนของเขา จากนั้นผมก็จูงมือเขาเดินไปเรื่อยๆ เมื่อจูงไปสักพักก็มองห็นกองขี้ควายกองใหญ่กองหนึ่งอยู่ที่ถนน ด้วยความซุกซน พอจูงเข้าไปใกล้กองขี้ควายคิดว่าชายคนนั้นจะตาบอดจริงหรือไม่ จึงแกล้งจูงมือแกกลับทันที
ในขณะที่ผมจูงมือเขากลับนั้นเท้าของเขาทั้สองก็เหยียบกองขี้ความกองใหญ่อย่างจัง ผมและเพื่อนๆ ได้พากันหัวเราะชอบใจชายตาบอดคนนั้นบ่นพึมพำในใจของเขาคงคิดว่าผมแกล้งเขาให้ไปเหยียบกองขี้ควาย เขาคงจะนึกโกรธและสาปแช่งผมในใจ พอผมทำแล้วก็ไม่ได้คิดอะไรมาก คิดแต่เพียงว่าเป็นความสนุกสนานเท่านั้น ไม่เคยคิดสักนิดเลยว่ามันจะเป็นบาปกรรมเพราะความคึกคะนองซุกซนไปเท่านั้น
ต่อมาผมก็ได้แต่งงานกับผู้หญิงคนหนึ่งในหมู่บ้านเดียวกันและยึดอาชีพทำนาตามพ่อแม่ที่เคยทำมาทุกๆ ปี สิ้นจากฤดูทำนา ผมก็ไปหารับจ้างทำงานทั่วไป ครั้งหนึ่งผมได้เคยไปฟังเทศน์ที่วัด พระท่านเทศน์ว่า กงกรรมกงเกวียน คือกรรมที่ผมได้ก่อเอาไว้ บัดนี้มันกลับตามหมุนมาสนองสู่ชีวิตผมเข้าจนได้
วันหนึ่งหลังจากที่ผมกลับจากทำงานเป็นช่างไม้และก่อสร้างบ้าน ในเย็นวันนั้นพอกลับถึงบ้านผมรู้สึกปวดเมื่อยตามรางกาย คิดว่าคงทำงานหนัก ร่างกายพักผ่อนไม่เพียงพอ จึงไปหาหมอเพื่อฉีดยาบำรุงให้ ผมได้ไปฉีดยากับหมอที่คลีนิก พอกลับมาบ้านตอนเย็นรู้สึกสบายขึ้นนิดหน่อย แต่พอตื่นเชาขี้นมารู้สึกว่าตาของผมด้านซ้ายมองไม่ค่อยจะเห็น มันพร่าๆ มัวๆ จึงได้ไปหาซื้อยามากินและหยอดตาเอง แต่ก็ไม่หาย เป็นอยู่ได้ ๕ วัน ผมจึงให้ลูกสาวพาไปหาหมอที่โรงพยาบาล หมอได้ตรวจดูและได้ฉีดยาให้รู้สึกว่าดีขึ้นนิดๆ
เช้าวันนั้น ขณะที่ผมเดินก้าวขาจะไปขึ้นรถโดยสาร หัวเข่าของผมได้ไปกระแทกเข้ากับตัวถังรถอย่างแรง เพียงเท่านั้นตาของผมที่เหลืออยู่ด้านขวาก็มืดสนิทลงไป ทำให้โลกนี้ทั้งโลกที่เคยสว่างต้องกลับมืดเข้าไปอีก ผมได้ให้ลูกสาวพาไปหาหมอที่โรงพยาบาลจังหวัดอุบลฯ
หลังจากที่คุณหมอได้ตรวจดูแล้วก็บอกว่า "เซลล์ตาของคุณอักเสบมาก หมอช่วยอะไรไม่ได้แล้ว เพียงแต่บรรเทาความเจ็บปวดไปเท่านั้น"
ใจผมหายแวบไปเลย นึกแต่ว่าเราตาบอดแล้วหรือนี่
ตั้งแต่นั้นมาผมก็ไม่ละความพยายาม ให้ลูกสาวพาไปหา หมอดูทางใน กับหมอธรรมหมอผี หมอได้นั่งดูทางในแล้วบอกว่า "ช่วยอะไรไม่ได้แล้ว เพราะโรคที่ตาคุณเป็นในครั้งนี้ เกิดจาก โรคกรรม คุณลุงลองนึกทบทวนดูซิว่าในอดีตที่ผ่านมาได้เคยทำกรรมเกี่ยวกับตาของคนและสัตว์บ้างไหม"
ผมได้ตอบหมอดูทางในไปว่า "เมื่อครั้งตอนเป็นเด็กได้เคย บีบตาตั๊กแตน จนมันตาบอดหลายตัวและกระทำเช่นนี้อยู่ ๒-๓ ปี และได้แกล้ง คนตาบอด ให้เขาเดินไปเหยียบกองขี้ควายแล้วก็หัวเราะชอบใจ สนุกสนานเฮฮา"
หมอดูทางในเลยสรุปให้ฟังว่า "กรรมอันใดก็ตาม จะเป็นกรรมดีหรือกรรมชั่วที่เราได้กระทำเอาไว้ กรรมนั้นจะตามสนองเราไม่เร็วก็ช้า จะได้รับผลของกรรมนั้นแน่นอน ดังคุณลุงได้รับผลวิบากกรรมอยู่ในขณะนี้"
พอผมรู้สาเหตุแห่งกรรม ผมรู้สึกเสียใจมาก เพราะกระทำไปโดยไม่สำนึกถึงความผิด-ถูก ชั่ว-ดี ตาของผมถึงได้บอดทั้งสองข้าง ผมขอชดใช้กรรมที่ผมก่อขึ้น และจะจดจำเอาไว้ชั่วชีวิต
นี่แหละคือผลวิบากกรรมนำมาสนอง กฎแห่งกรรม ให้ผลสุข หรือทุกข์เมื่อถึงเวลาของมันเสมอกรรมดี กรรมชั่ว เราเป็นคนสร้างขึ้นเอง ก็ต้องรับผลของกรรมนั้นเอง
คัดลอกจาก หนังสือโลกทิพย์...เดือนตุลาคม 2549
http://www.agalico.com/
ไลลารินทร์
บัวพ้นดิน
เข้าร่วม: 14 ก.ค. 2006
ตอบ: 64
ตอบเมื่อ: 16 มี.ค.2007, 3:17 pm
_________________
เชื่อ ศรัทธา และเคารพพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ด้วยหัวใจอย่างไม่มีข้อกังขาใดๆ
ไม้อ่อน
บัวพ้นดิน
เข้าร่วม: 09 เม.ย. 2007
ตอบ: 62
ตอบเมื่อ: 26 เม.ย.2007, 6:27 pm
อนุโมทนา แต่ก็คุ้นๆ เหมือนเคยอ่านอย่างไรไม่ทราบ
_________________
yo
ผู้เยี่ยมชม
ตอบเมื่อ: 01 พ.ค.2007, 8:24 am
อนุโมทนา แต่ก็คุ้นๆ เหมือนเคยอ่านอย่างไรไม่ทราบ sa too
yo yo
ผู้เยี่ยมชม
ตอบเมื่อ: 01 พ.ค.2007, 8:30 am
อนุโมทนา แต่ก็คุ้นๆ เหมือนเคยอ่านอย่างไรไม่ทราบ sa too
suvitjak
บัวบาน
เข้าร่วม: 26 พ.ค. 2008
ตอบ: 457
ที่อยู่ (จังหวัด): khonkaen
ตอบเมื่อ: 29 พ.ค.2008, 4:40 pm
หมั่นสร้างความดีให้มากๆ ดีกว่าทำชั่วนะครับ
_________________
ซื่อกินไม่หมดคดกินไม่นาน
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:
แสดงทั้งหมด
1 วัน
7 วัน
2 สัปดาห์
1 เดือน
3 เดือน
6 เดือน
1 ปี
เรียงจากเก่า-ใหม่
เรียงจากใหม่-เก่า
:: ลานธรรมจักร ::
»
กฎแห่งกรรม
ไปที่:
เลือกกลุ่ม บอร์ด
กลุ่มสนทนา
----------------
สนทนาธรรมทั่วไป
แนะนำตัว
กฎแห่งกรรม
สมาธิ
ฝึกสติ
การสวดมนต์
การรักษาศีล-การบวช
ความรัก-ผูกพัน-พลัดพลาก
กลุ่มข่าวสาร-ติดต่อ
----------------
ข่าวประชาสัมพันธ์
ธรรมทาน
รูปภาพ-ประมวลภาพกิจกรรมต่างๆ
สำหรับนักเรียน นักศึกษา ขอความรู้ทำรายงาน
แจ้งปัญหา
รูปภาพในบอร์ด
กลุ่มสาระธรรม
----------------
หนังสือธรรมะ
บทความธรรมะ
นิทาน-การ์ตูน
กวีธรรม
นานาสาระ
ต้นไม้ในพุทธประวัติ
วิทยุธรรมะ
ศาสนสถานและศาสนพิธี
----------------
สถานที่ปฏิบัติธรรม
วัดและศาสนสถาน
พิธีกรรมทางศาสนา
พุทธศาสนบุคคล
----------------
พระพุทธเจ้า
ประวัติพระอสีติมหาสาวก
ประวัติเอตทัคคะ (ภิกษุณี, อุบาสก, อุบาสิกา)
สมเด็จพระสังฆราชไทย
ประวัติและปฏิปทาของครูบาอาจารย์
ในหลวงกับพระสุปฏิปันโน
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณ
ไม่สามารถ
สร้างหัวข้อใหม่
คุณ
ไม่สามารถ
พิมพ์ตอบ
คุณ
ไม่สามารถ
แก้ไขข้อความของคุณ
คุณ
ไม่สามารถ
ลบข้อความของคุณ
คุณ
ไม่สามารถ
ลงคะแนน
คุณ
สามารถ
แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ
สามารถ
ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้
เลือกบอร์ด •
กระดานสนทนา
•
สมาธิ
•
สติปัฏฐาน
•
กฎแห่งกรรม
•
นิทานธรรมะ
•
หนังสือธรรมะ
•
บทความ
•
กวีธรรม
•
สถานที่ปฏิบัติธรรม
•
ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ
•
วิทยุธรรมะ
•
เสียงธรรม
•
เสียงสวดมนต์
•
ประวัติพระพุทธเจ้า
•
ประวัติมหาสาวก
•
ประวัติเอตทัคคะ
•
ประวัติพระสงฆ์
•
ธรรมทาน
•
แจ้งปัญหา
จัดทำโดย กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ
webmaster@dhammajak.net
Powered by
phpBB
© 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
www.Stats.in.th