Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 โรคยอดฮิตของคนรุ่นใหม่ โรคมะเร็งลำไส้ โรคท้องผูก อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
muntana
บัวใต้น้ำ
บัวใต้น้ำ


เข้าร่วม: 10 ม.ค. 2008
ตอบ: 108
ที่อยู่ (จังหวัด): bangkok , Thailand

ตอบตอบเมื่อ: 22 พ.ค.2008, 8:40 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน



new2_crc170405b.gif


.jpg


โรคมะเร็งลำไส้ โรคท้องผูก โรคความดันโลหิตสูง

โรคหลอดเลือดหัวใจตีบตัน โรคอ้วน โรคริดสีดวง

ทวาร ฯลฯ




ปรับขนาดตัวอักษร:

เชื่อหรือไม่ว่า ถ้าเรารับประทานอาหารที่มีเส้นใย (F1ber) เพียงพอในแต่ละมื้อ เราจะหลีกเลี่ยงโรคที่กำลังคุกคามคนในสังคมสมัยใหม่ได้อย่างง่ายดาย เช่น โรคมะเร็งลำไส้ โรคท้องผูก โรคความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดหัวใจตีบตัน โรคอ้วน โรคริดสีดวงทวาร ฯลฯ
ข้อมูลนี้จากหนังสือ

The save Your Life Diet

ที่แปลโดย

ดร. อภิชาติ พงษ์ศรีหดุลชัย และ

นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ


ข้อมูลต่อไปนี้จะทำให้เราเห็นคุณค่าของอาหารที่มีกากหรือมีเส้นใย มาก


...มีการค้นคว้าวิจัยของนักวิทยาศาสตร์อังกฤษกลุ่มหนึ่งที่ได้พยายามเสาะแสวงหาวิธีการกำจัดโรคร้ายต่าง ๆ ที่ได้กล่าวชื่อมาข้างต้นให้หมดไปจากโลก ซึ่งได้ค้นพบว่า สังคมที่ปราศจากโรคร้ายเหล่านี้เป็นสังคมของชาวอัฟริกันชนบท (วิจัยในปี ค.ศ. 1 975) นักค้นคว้ากลุ่มก็ได้ศึกษาเปรียบเทียบการปรุงอาหาร การรับประทานอาหาร ตลอดจนการขับถ่ายที่แตกต่างกันของชาวชนบทอัฟริกัน และชาวอังกฤษไว้ดังนี้

ชาวชนบทอัฟริกัน ชาวอังกฤษ
อาหารที่รับประทาน อาหารที่มีกากหรือเส้นใยมาก ซึ่งประกอบด้วยธัญพืช ถั่ว งา ผัก ผลไม้สด จากธรรมชาติ อาหารที่มีกากหรือเส้นใยน้อย (น้อยกว่าคนอัฟริกัน 3-5 เท่า)ซึ่งส่วนใหญ่เน้นอาหารหลักด้วยเนื้อสัตว์ อาหารกระป๋อง ในชีวิตประจำวัน
ระยะเวลาในการย่อยอาหารนับจากเวลาที่กินอาหารไปจนถ่ายหมด ใช้เวลาประมาณ 24 ชม. ใช้เวลาประมาณ 3 วันหรือ บางรายต้องใช้
เวลาถึง 2 สัปดาห์
การขับถ่าย จะมีการขับถ่ายทุกวันอุจจาระประมาณ ครึ่งกิโลกรัมมี ลักษณะจับกันเป็นก้อนไม่ค่อยมีกลิ่นมาก จะมีการขับถ่ายไม่สม่ำเสมอ จะมีอุจจาระไม่เกิน 100 กรัม มีลักษณะเป็นก้อนแข็งมีกลิ่นเหม็นมาก



การค้นพบนี้ได้สร้างความพิศวงงงงวยให้กับคณะแพทย์ที่ทำการวิจัย โดยเฉพาะในเรื่องของการขับถ่ายของเสีย ที่ชาวอัฟริกันชนบทขับถ่ายอุจจาระมีปริมาณมากกว่าคนอังกฤษโดยเฉลี่ยถึง 4 เท่า


แต่มีกลิ่นเหม็นน้อยกว่ามากอีกด้วย เมื่อกล่าวถึงเรื่องการขับถ่ายของเสีย เช่น อุจจาระหรือปัสสาวะ คนทั่ว ๆ ไป มักจะไม่ค่อยกล้าพูดถึง เพราะเห็นเป็นเรื่องน่าอับอาย แต่สำหรับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญแล้ว สี กลิ่น และ ลักษณะของอุจจาระหรือปัสสาวะ เป็นแหล่งข้อมูลที่สามารถบอกได้ถึงความสมบูรณ์แข็งแรงของร่างกายของคนเราได้เป็นอย่างดี ข้อมูลที่ได้จากการขับถ่ายของชาวอัฟริกันชนบทให้ผลสอดคล้องกับความรู้ทางการแพทย์เบื้องต้น ซึ่งพบว่าชาวอัฟริกันชนบทมีการขับถ่ายได้อย่างเป็นธรรมชาติ คือ ง่ายดาย รวดเร็ว สม่ำเสมอ และมีกลิ่นไม่ค่อยเหม็น มีปริมาณมาก มีร่างกายที่แข็งแรง สมบูรณ์ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บที่คุกคามคนในสังคมสมัยใหม่ ดังที่คณะวิจัยคณะนี้พบว่า


1. โรคหลอดเลือดหัวใจตีบตัน ซึ่งเป็นต้นเหตุของโรคหัวใจวาย

และทำให้คนอเมริกันเสียชีวิตประมาณ 1 ใน 3 ของการเสียชีวิตทั้งหมด

จะไม่พบในชนบทอัฟริกาเลย


2. โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่และไส้ตรง ซึ่งเป็นโรคที่คร่าชีวิตคน

อเมริกันอันดับหนึ่งในบรรดาของโรคมะเร็งทั้งหลาย จะพบน้อยมาก

ในชนบทอัฟริกา


3. โรคไส้ติ่งอักเสบ ซึ่งเป็นโรคสามัญที่คนอเมริกันต้องเข้าห้อง

ผ่าตัดฉุกเฉินกันเป็นจำนวนมาก แต่เกือบจะไม่พบเลยสำหรับชาวอัฟริกา


4. โรคริดสีดวงทวาร ซึ่งเป็นโรคที่ก่อให้เกิดความรำคาญและ

เจ็บปวดกับอารยชนอยู่เสมอ แต่เป็นโรคที่เกือบจะไม่พบเลยในกลุ่ม

ที่กินอาหารพื้นเมืองอัฟริกา


5. โรคผนังลำไส้โป่ง ซึ่งประมาณครึ่งหนึ่งของคนอเมริกันประสบอยู่

แต่เกือบจะไม่พบในชาวอัฟริกาเลย


6. โรคหลอดเลือดดำขอด ประมาณร้อยละ 1 0 ของคนอเมริกัน

เป็นโรคนี้ สำหรับคนอัฟริกาถ้าใครเป็นโรคนี้ถือว่าเป็นเรื่องแปลกประหลาด มาก


7. โรคหลอดเลือดดำอุดตันและอักเสบ ซึ่งเป็นสาเหตุของการเจ็บ

ป่วยอีกหลายชนิดของคนอเมริกัน และบางครั้งอาจถึงกับเสียชีวิตได้เพราะ

หลอดเลือดอุดตันที่ปอด สำหรับคนอัฟริกันแล้วจะเป็นโรคนี้น้อยมาก


8. โรคอ้วน ซึ่งทำให้คนที่เป็นขาดความกระฉับกระเฉงจนถึงไร้

ความสามารถ หรือดูแล้วไม่สมส่วน ประมาณครึ่งหนึ่งของคนอเมริกันจะ

มีปัญหาในเรื่องนี้ไม่มากก็น้อย ซึ่งคนอัฟริกันที่กินอาหารพื้นเมืองจะไม่

ปรากฏว่ามีใครอ้วนเกินขนาดเลย


สิ่งที่กล่าวมาทั้งหมดดูแล้วไม่น่าเชื่อเลยว่า อาหารการกินเพียงอย่างเดียวจะเป็นต้นเหตุของการเกิดหรือไม่เกิดโรคภัยไข้เจ็บที่ร้ายแรงได้นานาชนิด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อาหารของชาวอัฟริกันพึ้นเมืองที่มีข้อแตกต่างจากอาหารของคนในสังคมทันสมัยเพียงแต่บริโภคอาหารที่มีกากหรือมีเส้นใย (Fiber) มากกว่าคนในสังคมทันสมัย 3-5เท่าตัวเท่านั้น คณะแพทย์กลุ่มนี้ยังได้สงสัยต่อไปว่าอาจจะเป็นเพราะกรรมพันธุ์ หรือเป็นเพราะยีนของคนอัฟริกันจะมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดแฝงอยู่ซึ่งสามารถสร้างภูมิคุ้มกันโรคเหล่านั้นได้ แต่จากการศึกษาต่อมาจากเอกสารการแพทย์ทั่วโลกเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้พบว่า


- คนอัฟริกันที่เปลี่ยนไปกินอาหารแบบตะวันตก (ยุโรป/อเมริกา) ซึ่งเป็นอาหารที่มีกากน้อย ในที่สุดจะปรากฏว่าเป็นโรคเช่นเดียวกับชาวตะวันตก จะเริ่มเป็นโรคไส้ติ่งอักเสบก่อนตามด้วยโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ โรคหัวใจ โรคผนังลำไส้โป่ง รวมทั้งโรคอื่นๆ อีกหลายชนิด


- คนอัฟริกันที่ย้ายถิ่นฐานไปอยู่ที่อเมริกา และเปลี่ยนไปกินอาหารแบบอเมริกันจะค่อย ๆเกิดโรคเหล่านี้ในกลุ่มชนอัฟริกันมากขึ้นๆ นอกจากคนอัฟริกันแล้ว คนญี่ปุ่นก็เช่นกัน คนญี่ปุ่นที่กินอาหารพื้นเมืองญี่ปุ่น แทบจะไม่ปรากฏว่าใครเป็นโรคอันตรายเหล่านี้เช่นเดียวกับคนอัฟริกัน ในทางตรงกันข้ามคนญี่ปุ่นที่อพยพไปอยู่ฮาวายและเปลี่ยนไปกินอาหารแบบตะวันตก ซึ่งมีกากน้อยมาก จะมีคนเริ่มเป็นโรคหัวใจ โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ และโรคอื่น ๆ เป็นจำนวนมากขึ้น (ในรอบ 1 0- 20 ปีนี้ คนไทยได้เปลี่ยนแปลงการทานอาหารไปทานแบบชาวตะวันตกมากขึ้น อัตราคนเป็นโรคมะเร็งและโรคหัวใจมากขึ้นจนน่าใจหาย) ผลสรุปของคณะแพทย์ที่ทำวิจัยกลุ่มนี้ก็คือ นิสัยการบริโภคอาหารที่มีกากหรือเส้นใย (F1ber) มากในแต่ละวัน จะทำให้คนเรามีร่างกายแข็งแรง สมบูรณ์ และหลีกเลี่ยงโรคภัยไข้เจ็บที่ร้ายแรงได้นานาชนิด


อาหารที่มีกากหรือเส้นใย (Fiber) มาก คืออะไร ? อาหารที่มีเส้นใยมากนี้ คือ อาหารที่ร่างกายไม่สามารถจะย่อยได้หมดส่วนที่เหลือจะถูกขับถ่ายออกเป็นอุจจาระ (นี่คือสาเหตุที่อุจจาระของชาวอัฟริกันมีมากกว่าคนสมัยใหม่ 3-5 เท่าตัว) และโดยปกติแล้วอาหารพวกนี้มักจะดูไม่น่ารับประทาน เพราะทานลำบาก และติดฟันได้ง่าย (เช่น การรับประทานข้าวโพดปิ้งหรือต้ม) อาหารที่มีกากมาก ได้แก่รำข้าว ส่วนนอก ๆ ของผลไม้และผักต่าง ๆ ซึ่งการย่อยอาหารที่มีกากมากนี้ร่างกายจะทำได้รวดเร็วและสะอาดกว่าอาหารที่มีกากน้อย เส้นใยหรือไฟเบอร์มีอยู่มากในอาหารจำพวกธัญพืช ผักและผลไม้สด คุณสมบัติของเส้นใยที่มีในพืชเหล่านี้ คือ ไม่สามารถย่อยสลายในร่างกายของคนเรา แต่จะทำหน้าที่บางประการที่เป็นประโยชน์ต่อระบบทางเดินอาหารและการขับถ่าย อาหารที่มีเส้นใยมากจึงมีผลโดยตรงกับระบบการย่อย และกระบวนการเผาผลาญอาหาร (เมตตาโบลิซึม) ของร่างกาย ประโยชน์ของอาหารที่มีเส้นใยมากจึงมีมากมายดังนี้ ป้องกันโรคในระบบทางเดินอาหารและลดโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งของลำไส้


อาหารที่มีเส้นใยมากจะมีคุณสมบัติคล้ายเป็นยาถ่ายหรือยาระบายที่วิเศษที่สุด ดังเช่น เปลือกที่ห่อหุ้มเมล็ดข้าว หรือที่เราเรียกกันทั่วไปว่า รำข้าว จะช่วยทำให้ระบบขับถ่ายของร่างกายเป็นปกติ เส้นใยจากรำข้าวเมื่อท่านเข้าไปแล้วจะไม่ย่อยสลายในร่างกาย แต่จะกลายเป็นกากอาหารที่มีความอ่อนนุ่มและเคลื่อนตัวได้อย่างรวดเร็วเข้าสู่ระบบทางเดินอาหาร และขับถ่ายออกจากร่างกายทางทวารอย่างง่ายดาย ทำให้ท้องไม่ผูก หรือถ่ายลำบาก ช่วยป้องกันการเป็นริดสีดวงทวาร ลำไส้อักเสบ ไส้ติ่งอักเสบ ฯลฯ อาการคลื่นไส้ จุกแน่น อาหารไมย่อย ท้องอืด เรื่องมีแก๊สในท้องมาก ปวดท้องรุนแรง ท้องผูกหรือท้องเสียอยู่เสมอ จึงมักจะพบในหมู่คนที่รับประทานอาหารที่มีเส้นใยน้อย อาการผิดปกติของระบบการย่อยอาหารของร่างกายเหล่านี้ ถ้าปล่อยไว้นาน ๆ ก็จะทำให้เกิดเป็นมะเร็งลำไส้ได้ ถ้าเราบริโภคอาหารที่มีเส้นใยมากพอ เส้นใยเหล่านี้จะทำหน้าที่ดูดกลืน ชำระล้างสารพิษและสารก่อมะเร็งต่าง ๆ ที่มีอยู่ในระบบทางเดินอาหาร และสารพิษเหล่านี้จะถูกขับถ่ายออกมาพร้อมอุจจาระอย่างรวดเร็วและหมดจด เส้นใยในอาหารจึงทำหน้าที่เสมือนไม้กวาดที่คอยทำความสะอาดให้กับทางเดินอาหารของเรานั่นเอง


ป้องกันการเป็นโรคหัวใจ


จากสถิติทางการแพทย์รายงานว่า คนในสังคมสมัยใหม่ที่หันมาบริโภคอาหารที่มีเส้นใยน้อย เช่น อเมริกา อังกฤษ รวมทั้งคนในประเทศไทยของเราด้วย ที่ประชากรหันมาทานเนื้อสัตว์เป็นอาหารจานหลัก จะเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจวาย จากสถิติทาง
การแพทย์ของสหรัฐอเมริกาพบว่า ชายที่มีอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป 1ใน 2 คนจะเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจวายก่อนถึงวัย 65 ปี แต่โรคนี้แทบจะไม่พบในชนบทอัฟริกันที่มีนิสัยบริโภคอาหารจานหลักที่มีเส้นใยมากเลย


สาเหตุพื้นฐานของการเป็นโรคหัวใจก็คือ การมีปริมาณไขมันคอเลสเตอรอลในเส้นเลือดสูง และไขมันนี้จะไปสะสมจนอุดตันในหลอดเลือดใหญ่ที่ไปเลี้ยงหัวใจ เมื่อเลือดไม่สามารถส่งผ่านไปเลี้ยงหัวใจได้ก็ทำให้เกิดอาการหัวใจวายขึ้น เหตุผลสำคัญที่โรคนี้แทบจะไม่พบเลยในชุมชนที่บริโภคอาหารที่มีกากหรือเส้นใยมากก็เนื่องจาก อาหารที่มีเส้นใยมาก มักจะเป็นอาหารที่มีคอเลสเตอรอลต่ำหรือไม่มีเลย เช่น ธัญพืช พืชผัก ผลไม้ ถั่ว ฯลฯ นักโภชนาการเป็นจำนวนมากจึงให้ความเห็นว่า อาหารที่มีเส้นใยสูงตามธรรมชาติเป็นเสมือนยารักษาโรคหัวใจที่ดีที่สุดสำหรับคนเราป้องกันโรคอ้วน


ถ้าเราเป็นคนหนึ่งที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก การบริโภคอาหารที่มีเส้นใยมากจะช่วยควบคุมน้ำหนักตัวของเราได้ง่ายขึ้น เหตุผลก็คือ เส้นใยในอาหารเหล่านี้มีคุณสมบัติที่อุ้มน้ำได้สูง ทำให้เรารู้สึกอิ่มเร็วและอิ่มได้นาน วิธีพิสูจน์ง่าย ๆ ก็คือ ทดลองทานข้าวกล้อง (ข้าวกล้องเป็นอาหารที่มีเส้นใยมาก ในข้าวกล้อง 1 จาน มีเส้นใยประมาณ 1.6 กรัม) 1 จาน เปรียบเทียบกับข้าวสวยที่ขัดสีจนขาว 2จาน (ข้าวสวย 1 จาน มีเส้นใยประมาณ 0.4 กรัม) จะรู้สึกว่าอิ่มได้นานพอ ๆ กัน ทั้ง ๆ ที่จำนวนแคลอรี่ในข้าวกล้องมีน้อยกว่าครึ่งหนึ่ง โรคอ้วนจึงแทบจะหาไม่ได้เลยในกลุ่มคนที่ทานอาหารมังสวิรัติ


ประเภทที่กินแต่ธัญพืช ผลไม้ ผัก และถั่ว (ไม่ทานนม ผลิตภัณฑ์จากนมและไข่) และที่แปลกไปกว่านั้นก็คือ คนชนบทอัฟริกันและเอเชียที่บริโภคอาหารที่มีกากมาก (คล้าย ๆ กับพวกมังสวิรัต) ที่มี แคลอรี่สูงถึง 3,000 แคลอรี่ต่อวัน กลับไม่พบคนที่มีน้ำหนักเกินหรืออ้วนเลย เหตุผลที่อธิบายในเรื่องนี้ง่าย ๆ ก็คือ การที่คนเราทานอาหารที่มีกากมากในปริมาณมากแต่ไม่อ้วนก็เพราะร่างกายก็ขับถ่ายอาหารที่มีกากมากนี้ออกมาในปริมาณมากด้วยเช่นกัน


เราควรทานเส้นใยเท่าใดในแต่ละวัน ?


คณะวิจัยกลุ่มนี้ได้พบว่า โดยเฉลี่ยแล้วชาวอัฟริกันพื้นเมืองจะทานเส้นใยที่มีอยู่ในอาหารประมาณ 28 กรัมต่อวัน ในขณะที่คนสมัยใหม่ทั้งในอังกฤษและอเมริกาทานเส้นใยที่มีอยู่ในอาหารประมาณ 7 กรัมต่อวันเท่านั้น นักธรรมชาติบำบัดในปัจจุบันมีความเห็นว่า คนเราควรทานเส้นใยที่มีอยู่ในอาหารประมาณ 25-30 กรัมต่อวัน เพื่อสุขภาพและความแข็งแรงของร่างกายของเรา ควรหันมาทานพืชผัก ผลไม้สด ธัญพืช ถั่วงา ข้าวกล้อง ลดหรือเว้น อาหารจำพวกเนื้อสัตว์ เพื่อสุขภาพที่ดีกว่า และเป็นการหลีกเลี่ยงจาก โรคร้ายต่าง ๆ ดังที่กล่าวข้างต้น


อาหารอะไรที่มีเส้นใยน้อยมาก ?


อาหารที่มีเส้นใยน้อยหรือไม่มีเลยได้แก่อาหารหลักของคนสมัยใหม่แทบทุกชนิด เช่น เนื้อสัตว์ทุกชนิด ไข่ นม อาหารที่ถูกขจัดเส้นใยหรือกากออกไปจนเกือบหมด เช่น ข้าวขาว ขนมปังขาว แป้งขาว น้ำตาลทรายขาว ดังนั้น การบริโภคอาหารจากเนื้อสัตว์รวมกับอาหารที่มีรสหวานต่าง ๆ ที่ทำขึ้นจากน้ำตาลและแป้งที่ถูกขจัดสีเส้นใยออกไปจนเกือบหมดแล้ว เช่น เค้ก โดนัท พาย แพน เค้ก ช็อกโกแลต ขนมกรอบ ๆ คุ้กกี้ แยม น้ำอัดลม ไอศกรีม ฯลฯ ในปริมาณที่มาก ๆ ในแต่ละวันจะสามารถทำให้คนเราเป็นโรคภัยไข้เจ็บที่ร้ายแรงต่าง ๆ ได้นานาชนิด


สุดยอดของธัญพืชและอาหารเส้นใย


ใครจะคิดบ้างว่าข้าวเป็นสุดยอดของอาหารธัญพืชที่มีเส้นใยมาก มีนักโภชนาการเป็นจำนวนมากลงความเห็นสอดคล้องกันว่า สุดยอดของอาหารคืออาหารธรรมชาติ และสุดยอดในบรรดาอาหาร


ธรรมชาติ ก็คือ ข้าว และสุดยอดของข้าว คือ ข้าวกล้อง กลุ่มที่รับประทานอาหารแบบมังสวิรัต หรือแบบแมคโครไบโอติกส์ หรือแบบหยินหยาง หรือแบบโยคะ ฯลฯ ต่างก็มีพื้นฐานความเชื่อในการ


เลือกอาหารที่แตกต่างกันออกไป แต่ที่ทุกกลุ่มยอมรับว่าเป็นเลิศเหมือน ๆ กัน คือ ข้าวกล้อง ในแง่วิทยาการแผนเก่าของจีน ข้าวเป็นพืชชนิดเดียวที่ประกอบด้วยหยังและหยินอย่างได้สัดส่วนสมดุลย์ที่สุดเหมาะสำหรับคนในทุกภูมิอากาศและภูมิประเทศ ซึ่งจะเห็นได้ว่าข้าวสามารถปลูกขึ้นได้ง่ายในแทบทุกหนทุกแห่ง เราคงเคยได้ยินว่ามีคนบางคนแพ้อาหารบางชนิด แต่เราคงแทบจะไม่ค่อยเคยได้ยินว่ามีคนแพ้ข้าว ข้าวจึงเป็นสุดยอดของอาหารสำหรับคนทุกชนชาดิ สำหรับวิทยาการแผนใหม่มองว่าข้าวเป็นธัญพืซที่อุดมไปด้วยสารอาหารนานาชนิดที่ร่างกายต้องการ เช่น วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินบีรวม ธาตุเหล็ก ฟอสฟอรัส แคลเซียม ทองแดง ไขมัน โปรตีน คาร์โบไฮเดรด เส้นใย ฯลฯ แต่น่าเสียดายที่ เทคโนโลยีสมัยใหม่ในการผลิตข้าวได้ทำการขูดสารอาหาร วิตามิน เส้นใย และ แร่ธาตุต่าง ๆ ออกไปจากข้าวที่คนส่วนใหญ่รับประทานจนแทบมีคุณค่าไม่แตกต่างไปจากแป้งขาวล้วน ๆ ข้าวกล้อง (ข้าวที่ถูกขจัดสีเพียงครั้งเดียว โดยเอาส่วนของแกลบออกไปเท่านั้น มักมีสีน้ำตาลซึ่งจะยังคงมีจมูกข้าว (embryo) และเยื่อหุ้มเมล็ดข้าว (รำ) ซึ่งเป็นแหล่งรวมสารอาหารที่มีประโยชน์สูง)จึงมีคุณค่าทางอาหารแตกต่างจากข้าวขาว (ข้าวที่เกิดจากการขัดสีหลาย ๆ ครั้ง จนมีสีขาว จมูกข้าวและรำถูกขัดสีหลุดออกไปหมด)ที่คนทั่วไปรับประทานอย่างชนิดที่เทียบกันไม่ได้เลย



**********************************************************************


--------------------------------------------------------------------------------






--------------------------------------------------------------------------------






--------------------------------------------------------------------------------






--------------------------------------------------------------------------------






--------------------------------------------------------------------------------



 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวMSN Messenger
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง