Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 อกรรมกิริยา-สยัมภู-อู่หวุย : ท่านเขมานันทะ(อ.โกวิท เอนกชัย) อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
กุหลาบสีชา
บัวเงิน
บัวเงิน


เข้าร่วม: 30 เม.ย. 2007
ตอบ: 1466
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.

ตอบตอบเมื่อ: 22 เม.ย.2008, 6:38 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

Image

อกรรมกิริยา-สยัมภู-อู่หวุย
ท่านเขมานันทะ (อาจารย์โกวิท เอนกชัย)

เมื่อกายของเราตื่น จิตของเราตื่น
เกิดอาการสัมผัสทุกสิ่งทุกอย่างว่า

ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ใช่สิ่งที่อยู่ในห้วงจินตภาพ
ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นเป็นสิ่งที่สัมผัสได้โดยตรง
เช่น เมฆ ท้องฟ้า ต้นไม้

เมื่อจิตสำนึกของมนุษย์ตื่นขึ้น เขาก็สัมผัสความจริงของ
ทุกสิ่งทุกอย่างด้วยจิตใจอันใหญ่กว้าง
ความคิดแคบๆ หรือจิตเล็กๆ
ภายใต้ความคิด "ตัวของฉัน" "ของข้าพเจ้า" แตกสลาย

เมื่อจิตสำนึกเล็กๆแตกสลายก็กลายเป็นจิตสากล
จิตซึ่งกว้างใหญ่ไพศาล
ความคิดความอ่านไม่ได้ถูกจำกัดอยู่ภายใต้แวดวง
ของชาติ ศาสนา ที่จำกัดอีกแล้ว

จิตสำนึกที่แผ่ออกไปไม่มีของเขตนั้นเอง
เป็นรากฐานดั้งเดิมซึ่งได้กลายเป็นสภาพใหม่
จิตสำนึกเล็กๆ ยังอยู่เพียงเป็นร่องรอยของความจำ

ในการปฏิบัติเพื่อการตื่นทั้งกายและจิตนั้น
จำเป็นต้องเร้าความรู้สึกตัวให้มากเพื่อให้มันตื่น
ไม่ใช่การสะกดให้มันนิ่ง


การสะกดตัวเองให้นิ่งจะส่งผลไปอีกทางหนึ่ง
อาจจะรู้เห็นบางสิ่งบางเรื่อง ไม่ใช่ทุกสิ่ง
รู้จักบางสิ่งเช่นความสงบ ความมักน้อยสันโดษ

รู้จักศีลที่เกิดจากการควบคุมบังคับตนเอง
แต่ไม่รู้จักศีลที่เกิดจากการปล่อยไม่ต้องมัวควบคุม
อาจจะรู้กฎเกณฑ์ที่ตัวเองบังคับควบคุม

แต่จะไม่รู้จักการอยู่เหนือกฎเกณฑ์
มีกฎเกณฑ์โดยไม่ต้องรักษากฎเกณฑ์


การเจริญสติในเบื้องต้นนั้นย่อม หมายถึง

ความรู้ตัวในการกระทำกายกรรม คือการเคลื่อนไหวทางกาย
คำพูดคือวจีกรรมและมโนกรรม คืออาการคิด
ซึ่งเป็นการกระทำ ทางจิตใจ

เมื่อเจริญสติเราตื่นตาตื่นใจ
เฝ้าดูการเคลื่อนไหวของกาย คำพูด ความคิดของเรา
ถ้าเรารู้เท่าทันคิดนึกเรื่องใดๆ ก็ไม่ต้องไปสนใจ

แต่เราเห็นอาการคิดซึ่งเป็นอาการหนึ่ง
การสัมผัสทุกสิ่งทุกอย่างหรือการรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง
มันเกิดจากธาตุรู้ซึ่งเป็นหนึ่ง
ซึ่งเป็นสภาพอันเดียวภายในตัวมนุษย์เอง

เมื่อเร้าความรู้สึกตัวให้ปรากฏเด่นชัดแล้ว
ชีวิตจิตใจจะเป็นเหมือนเรด้ามีประสิทธิภาพสูง
สามารถจับการเคลื่อนไหวของทุกสิ่งตามที่เป็นจริง

การสัมผัสอาการได้ตามที่เป็นจริงนั้น
มีความสำคัญมากทีเดียว


เพราะว่าความคิดก็สิ้นสุดลง
เมื่อความคิดสิ้นสุดลงด้วยพลังของสติที่พัฒนาเป็นสมาธิที่เป็นเอง
นิสัยเก่าก็ถูกตัดขาด และมีการเรียบเรียงระเบียบของมันใหม่

Image

ความคิดมีอยู่ ๒ ลักษณะ

ลักษณะแรกเราเรียกว่าความคิด
อันหลังคือ อาการคิด


ตามธรรมดาถ้าเราเฝ้าดูความคิด
เราก็จะคิดว่าเรากำลังดูความคิด
เราคิดเรื่องหนึ่งเรื่องใด แล้วเราก็ไปดูความคิดเข้า
เราก็เลยคิดว่าเรากำลังดูความคิด
ดังนั้นจึงเกิดความคิดซ้อนความคิด

ดังนี้ไม่ใช่การเจริญสติ
เรียกว่าเป็นผู้ใช้ความคิดขบคิด


ผลก็คือการได้เป็นนักคิด ดังนี้ไม่ใช่การเห็นความคิด
แต่เป็นการรู้คิด มีความคิดเห็นอย่างนั้นอย่างนี้


เมื่อรู้ว่ามีความคิดอยู่ในจิตใจ
นั่นยังไม่เป็นการเจริญวิปัสสนาที่บริสุทธิ์

ส่วนการเฝ้าดูนั้นเห็นเพียงอาการเท่านั้น
เพียงรู้สึกมันคิดวูบวาบไปแล้วไม่ได้สนใจ
มันคิดดี คิดถูกนั้นไม่สำคัญอะไร
เพราะว่าเมื่อเห็นอาการของมันมันจะตกไปทันที
คลื่นระลอกใหม่ของอาการคิดก็จะปรากฏขึ้น


ผู้เจริญสติเช่นนี้
จะเข้าใจซึ้งถึงความหมายของปัญญาอันเหนือคิด
และจะพัฒนาไปเป็นญาณ


เห็นความคิดนั้นไม่เห็นอะไรเลย
เห็นเพียงอาการเท่านั้น


เมื่อสติตระหนักรู้ว่องไว
สัมผัสการเต้นของหัวใจ
เสียงที่เข้ามาทางหู
เปลือกตาที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่

เมื่อเราเดินจงกรมอยู่
เราจะเห็นตัวเอง สัมผัสตัวเอง
เห็นลมหายใจคืออิริยาบถย่อยๆ ซึ่งเป็นไปในอาการใหญ่ๆ
คือการก้าวย่าง ซ้อนกันอยู่

(มีต่อ)
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัว
กุหลาบสีชา
บัวเงิน
บัวเงิน


เข้าร่วม: 30 เม.ย. 2007
ตอบ: 1466
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.

ตอบตอบเมื่อ: 22 เม.ย.2008, 6:44 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

Image

ครั้งก่อนผมได้กล่าวว่าสาระสำคัญ
ของการปฏิบัติการเจริญสติภาวนานั้น
คือการไม่เป็นไปในอำนาจของความคิดนึก
แล้วยกอุปมาว่าเหมือนกับเราไม่เป็นไปตามอำนาจแห่งรถยนต์

ถ้าเราขับรถยนต์ คอยประคองพวงมาลัย
ประคองส่วนต่างๆ ของเครื่องจักร
ที่จะทำให้รถยนต์แล่นไปตามต้องการ
ในการขับรถยนต์จุดยากเย็นที่สุด
คือเรามัวไปบังคับส่วนใดส่วนหนึ่งอยู่

ถ้าหากว่าเราจะเริ่มขับรถยนต์
ก่อนหน้านั้นเราขับรถยนต์ไม่เป็น
เราไม่อยากมีรถยนต์

แม้เรานั่งรถยนต์ของเพื่อนหลายสิบครั้ง หลายร้อยครั้ง
แต่เราก็ขับไม่เป็น
ถ้าเราไม่สังเกตนี้แสดงว่าเราไม่มีปัญหากับรถยนต์

รถจะเครื่องเสีย ชำรุด เราไม่มีปัญหาเลย
เพราะเราไม่ใช่เจ้าของรถยนต์
เราไม่ต้องการเป็นเจ้าของด้วยจิตสำนึก

ผู้ขับรถยนต์ไม่เป็นและไม่ต้องการจะขับรถยนต์
จะไม่มีปัญหากับรถยนต์


ซึ่งเปรียบกับคนทั่วไปไม่สนใจธรรมะ
แล้วไม่ต้องการปฏิบัติด้วย
เขาก็ไม่มีปัญหา เพราะเมื่อเขามีปัญหา เขาก็ไม่รู้ไม่ชี้


แต่ปัญหาก็อยู่ที่นั่นเหมือนคนขับรถยนต์ไม่เป็น
เขาจึงไม่เป็นจนวินาทีสุดท้าย


พอจะขับรถยนต์ขึ้นมา
ซื้อรถมาแล้วก็ลงมือศึกษามัน
จึงเริ่มมีปัญหากับรถยนต์
เราจะควบคุมมันบังคับมันให้
เป็นไปตามที่เราต้องการ
เราเริ่มศึกษาแต่ละกรณี

เราเริ่มศึกษาพวงมาลัยคลัตช์ เกียร์
ต้องไปเกี่ยวข้องต่อสู้กับมัน
ที่จะควบคุมดูแลให้จงได้
ไม่ช้าไม่นานเราสามารถควบคุมดูแล
ให้รถยนต์ทำงานสอดคล้องกลมกลืน

ในที่สุดเราก็เป็นคนหนึ่งที่ขับรถยนต์ได้
เมื่อเราขับรถยนต์เป็นแล้ว
จิตสำนึกเราก็สิ้นปัญหาเกี่ยวกับการขับรถยนต์
เช่นเดียวกับคนขับรถยนต์ไม่เป็น

แต่คนขับรถยนต์ไม่เป็น
ไม่มีประสบการณ์เลยในการต่อสู้เพื่อขับเป็น
แต่เมื่อเราขับเป็นแล้วเราก็ไม่มีอะไร มันเหมือนกัน

จุดยากเย็นที่สุดในการขับรถยนต์เป็น
คือเราใส่ใจสิ่งหนึ่งสิ่งใดโดยเฉพาะมากเกินไป
เช่น เรากุมพวงมาลัยแน่นด้วยความหวาดกลัว
เราก็ลืมดูไฟท้ายไฟหน้า
ลืมดูกระจก ลืมส่วนอื่น
จุดนี้เองเป็นจุดที่ยากที่สุด

Image

ความใส่ใจในจุดใดจุดหนึ่ง
ไม่มีการประคับประคองทุกๆ ส่วนไว้
ซึ่งอันนี้คือจุดที่คลี่คลายและกลมกลืน


การขี่จักรยานหรือสามล้อ
ถ้าเราควบคุมมากเกินไป
การทำเช่นนั้นทำให้เกิดอุปสรรค ฉันใดก็ฉันนั้น

ในการเจริญสติจุดที่แก้ไขยากที่สุด
คือจุดที่เราเพ่งที่จุดหนึ่งจุดใดนั้นเอง


ดังนั้นนักภาวนาทั้งหลายมักมีคำถามว่า

ผมจะเอาจิตไปไว้ที่ตรงไหน


การขับรถยนต์เป็นนั้นมันต้องใช้เวลา

คนกล้าหาญหน่อยก็เป็นเร็ว
บางคนหัดเช้าเย็นก็ขับได้
บางคนเป็นเดือนกว่าจะขับได้
บางคนอาจจะเป็นปีเพราะความกลัว
กว่าจะเปลี่ยนความใส่ใจที่ละจุดในการกุมพวงมาลัย
หรือเหยียบคลัตช์เป็นการประคองดูรวมๆ
แตะๆ ต้องๆ มันเท่านั้นไม่ใช่ยึดถือ


ต้องใช้เวลาช่วงหนึ่งสำหรับศิลปะแห่งการปล่อยวางนี้

แต่ว่าในการเจริญภาวนา
ไม่เหมือนกับการขับรถยนต์เสียทีเดียว
เพราะในตัวมนุษย์เรามีภาวะซึ่งเป็นเองอยู่แล้ว


ผู้ที่ขับรถยนต์เป็น
ถ้าเราไปถามเขาๆ จะว่าไม่เห็นมีเรื่องอะไร เรื่องง่ายๆ
เป็นแล้วมันจะเป็นไปเอง แทบจะบอกให้เป็นทฤษฎีไม่ได้
ขึ้นนั่งในรถยนต์แล้วมันเป็นไปเอง

ผมเคยนั่งคุยกับเพื่อนในรถ
เขาขับรถเขาฟังผมพูดไปด้วย ทั้งตอบโต้ปัญหา
ต่างๆ เป็นชั่วโมง สังเกตว่าเขาทำได้ดีทั้ง ๒ อย่าง

เขาเข้าใจปัญหา เขาขับรถยนต์ได้อย่างดีด้วย
นั้นแสดงว่าเขาเข้าถึงความชำนาญอันนั้นแล้ว
แต่ความชำนาญมีเรื่องต้องระมัดระวังว่า
เป็นความชำนาญซึ่งทำลายความรู้สึกสดๆ ใหม่ๆ ไปหรือเปล่า

ส่วนในร่างกายชีวิตจิตใจของเรา
มีสภาวะซึ่งเป็นเองอยู่แล้ว

ดังนั้นถ้าใครทำถูกเรื่องเข้า
สภาพเป็นเองจะปรากฏขึ้นอย่างฉับพลันฉันใด


(มีต่อ)
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัว
กุหลาบสีชา
บัวเงิน
บัวเงิน


เข้าร่วม: 30 เม.ย. 2007
ตอบ: 1466
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.

ตอบตอบเมื่อ: 22 เม.ย.2008, 6:52 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

Image

ดังนั้นช่วงปฏิบัติแต่ละคนไม่เหมือนกัน

บางคนปฏิบัติช่วงสั้นได้ผล
บางคนปฏิบัติเป็น ๑๐ ปีๆ
ก็ยังไม่ปรากฏผลที่น่าพอใจ
เพราะอุปนิสัยชอบยึดถือนั้นเอง
ชอบยึดถืออันหนึ่งอันใด
อันนั้นก็จะเป็นอุปสรรค แท้ที่จริง


โลกทั้งหมด จักรวาลทั้งหมด ชีวิต สังคมล้วนแต่เคลื่อนไหว
เปลี่ยนแปลงอยู่ธรรมชาติทั้งหมดเป็นไปเอง

โดยหลักธรรมของพุทธศาสนาเรา
ไม่มีหลักคิดของเรื่องพระผู้สร้างผู้ควบคุมและผู้ทำลาย
ถือว่าธรรมชาตินั้นเป็นเอง

เด็กๆ ตั้งแต่นอนแบเบาะกินข้าว
กินน้ำ กินนม กินขนม ก็เติบโตขึ้นมาเอง
หรืออายุขัยของเราก็เคลื่อนไหวขึ้นมาเปลี่ยนแปลงไปจนมาเท่านี้

สภาพเป็นเองนี้ภาษาบาลีสันสกฤตเรียก สยัมภู หรือ สยาม
ซึ่งเป็นชื่อของประเทศเรา
ความเป็นเอง หมายถึงอิสรภาพ
เหมือนคนขับรถยนต์เป็นและเป็นเอง เป็นไปเอง
แสดงว่าเขามีอิสรภาพแล้ว


ในการเจริญสติภาวนานั้น
เป้าหมายที่สำคัญที่สุด


คือการเข้าถึงสภาพเป็นเอง
ได้แลเห็นและซึมซาบในสภาวะนั้น
แล้วการภาวนาก็บรรลุผลสำเร็จคือสภาพเป็นเอง


Image

เช่นเห็นตาที่กะพริบเอง
ความคิดที่คิดขึ้นมาเอง
การเคลื่อนไหว แม้แต่ถ้อยคำก็เป็นไปเอง
ทุกสิ่งทุกอย่างเมื่อเห็นตัวมันเอง

ช่วงชีวิตไม่ใช่ความทุกข์ทรมานอีกต่อไป
ดังนั้นจึงเรียกเป็นสุขได้
สุขที่เกิดจากการหมดสิ้นการแสวงหา
เมื่อเห็นความเป็นเองแล้ว


เมื่อเราปฏิบัติการเคลื่อนไหว
ถ้าเราได้สอดใส่เจตนาเพ่งเล็ง
แรงกล้าอยู่หรือพยายามที่จะกำหนด
นั้นคือจุดอ่อนของเรา
เป็นจุดซึ่งแก้ยากที่สุด

ดังนั้นคนทั่วไปชอบที่จะสะกดจิตตัวเองอยู่เรื่อยๆ
เมื่อเราเคลื่อนมือก็ไปกำหนดมันเข้า
อย่างนี้เท่ากับไปขัดแย้งกับความเป็นเอง
ควรปฏิบัติเล่นๆ

ทำเหมือนไม่ได้ทำอะไรแต่ขอให้ทำ
ทำในความหมายไม่กระทำ
เป็นการกระทำกรรมที่ไร้เจตนา


หากทำกรรมผลก็ตามมา
กรรมนั้นตัดสินโดยเจตนา
เจตนาให้สงบมันก็กลายเป็นความสงบ
ติดอยู่แค่ความสงบนั้น

การเจริญสติแบบที่แนะนำอยู่นี้
ให้ปฏิบัติเฉยๆ สุขก็ไม่เอาทุกข์ก็ไม่เอา
ไม่ต้องไปสนใจ จะปรากฏเป็นสุขก็ได้ ทุกข์ก็ได้


ให้เหลือแต่การเคลื่อนไหวล้วนๆ ความรู้สึกล้วนๆ
บนฐานของการเคลื่อนไหว


ทำอย่างนี้มันจะเข้าสู่ความเป็นเองอย่างรวดเร็ว
แท้ที่จริงการละกิเลสต่างๆ นั้น มันละของมันเอง
โดยจิตใจสิ้นปรารถนามันสภาพเป็นเองนั้น
ปรากฏขึ้นแทนที่ มันก็ละของมันเอง

นิสัยใหม่คือความขยัน ความซื่อตรง
สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นเอง
เมื่อเราเร้าความรู้สึกตัว
เห็นตัวเองเดินไปเดินมา หายใจเข้าหายใจออก
แต่ไม่ได้เห็นอันหนึ่งอันใดโดยเพ่งเล็งจำเพาะ
เห็นรอบ เห็นกว้างๆ

(มีต่อ)
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัว
กุหลาบสีชา
บัวเงิน
บัวเงิน


เข้าร่วม: 30 เม.ย. 2007
ตอบ: 1466
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.

ตอบตอบเมื่อ: 22 เม.ย.2008, 6:57 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

Image

ในการปฏิบัติชนิดรวมศูนย์ทุกชนิด
จะเป็นอุปสรรคในการเห็นความเป็นเอง

เช่น การกระทำให้สงบแบบสมถะ
กำหนดเอาลมหายใจเข้าออก
หรือเพ่งต่อนิมิตอันหนึ่งอันใด
สิ่งเหล่านั้นเป็นอุปสรรคต่อความเป็นเองทั้งสิ้น

ถ้าเราไปทำให้มันสงบโดยเจตนา
พอเกิดสงบ มันหวังอยู่แล้ว
อยากได้อยู่แล้วก็ตะครุบทันที

การปฏิบัติเช่นนั้นชื่อว่ายังพัวพันกับกรรม
ไม่พ้นกรรมไปได้ นั่นเป็นการปฏิบัติสมถะ

ปฏิบัติเช่นนี้จะไม่รู้จักศีลที่แท้จริง
ศีล สมาธิ ปัญญาซึ่งเป็นเอง
ซึ่งมีอยู่แล้วในตัวชีวิต
ผู้เจริญสมถะจะไม่รู้จัก

ผู้เจริญสมถะแม้จะได้ความสงบ
แต่ในความสงบเช่นนั้นไม่มีอิสรภาพเลย
มีแต่ความสงบด้วยอำนาจการกดข่มกิเลสอาสวะไว้
เหมือนนักโทษอยู่ในคุก


ต่อมาผู้คุมให้ย้ายไปอยู่อีกคุกหนึ่ง
ซึ่งลูกกรงคุกทำด้วยทองคำ
แต่เขาก็ยังคงเป็นนักโทษไม่ค้นพบอิสรภาพ

การเจริญสมถะนั่งหลับตาสะกดจิตตัวเองนี้
เป็นการปฏิบัติตามรอยอุททกะ-อาฬารดาบส
ซึ่งไม่ใช่วิธีของพระพุทธเจ้า

พระพุทธเจ้าได้ออกจากสำนักดาบส
ทั้งสองนั้นด้วยเห็นว่าผลของการกระทำยังอาพาธได้แล้ว
จะเรียกความสงบว่ามรรคผล นิพพานได้อย่างไร

ในการเจริญสมถะและวิปัสสนานั้นมีรากฐานที่ต่างกัน

โดยทั่วไปแล้วเราเข้าใจว่าเจริญสมถะจนสามารถระงับนิวรณ์ได้
ต่อจากนั้นยกจิตขึ้นสู่วิปัสสนา
คือพิจารณาสิ่งทั้งปวงโดยเฉพาะขันธ์ ๕
ตามนัยนะแห่งพระไตรลักษณ์
ความไม่เที่ยงเป็นทุกข์เป็นอนัตตา

ทางทฤษฏีเราเรียนเช่นนี้
แต่ในภาคปฏิบัติไม่เป็นเช่นนั้น
บุคคลเจริญสมถะแล้วยากจะเข้าสู่วิปัสสนา


คือการเจริญวิปัสสนานั้นเราตั้งต้นที่สติไม่ใช่ความสงบ
จะสงบก็ได้ไม่สงบก็ได้ขอให้รู้ตัว
คิดดีก็ได้คิดร้ายก็ได้ กายเคลื่อนไหวอย่างไร
ก็รู้ด้วยอาการอย่างนั้น นั่งอยู่ก็รู้ อาการนั่งโดย
ไม่ต้องพูดซ้ำว่ากำลังนั่งอยู่


การพูดซ้ำกำหนดหนอ
เป็นการกระทำที่ล้อหลอกความจริง
เดินอยู่ก็รู้อิริยาบถที่เคลื่อนไหว นั่ง นอน เคลื่อนมือ

เมื่อคิดนึกไปให้รู้ให้เห็น ให้รู้ให้เห็นทันท่วงที
ชนิดสัมผัสได้พอคิดวูบไปก็รู้ตัวเดี๋ยวนั้น
การรู้การเห็นเช่นนี้เรียกว่าเจริญสติ


โดยทั่วไปเรามักจะรู้กันแล้วว่าจิตใจมีการตรึกนึกมีความคิด
เรารู้แบบคิดซ้อนคิดอย่างนี้ยังไม่เห็น

Image

ถ้าเห็นความคิดแล้ว
กระแสสืบต่อความคิดจะขาดสะบั้นลง
และไม่มีคำพูดแม้แต่คำเดียวที่ปรากฏขึ้นในจิต


แต่ความคิดก็ยังคงเป็นความคิด
เรานั่งอยู่เราหิวเราคิดขึ้นมาว่าจะไปหาอาหารมาใส่ท้อง
ความคิดเช่นนี้ไม่มีปัญหา เพราะสัมพันธ์กับความเป็นจริง

แต่ความคิดปรุงแต่งที่เป็นปัญหา
คือเราคิดโดยไม่รู้ตัว

ส่วนความคิดที่เราเห็นแล้ว แสดงว่าเราควบคุมไว้ได้แล้ว
เราอยู่เหนือมันแล้ว เช่นเดียวกับเราหมุนพวงมาลัยรถ
รถก็หมุนไปตามที่เราคาดหวัง
แสดงว่าเรามีอิสระในการกระทำนั้น
ให้มันรู้ตัว ตื่นตาตื่นใจจะสงบก็ได้ไม่สงบก็ได้

ถ้าเราไปตั้งเป้าจะให้สงบเมื่อใด เราจะพลาดทันที

เราต้องเข้าใจว่าเราต้องเร้าความรู้สึกตัว
สงบก็ได้ไม่สงบก็ได้ ให้รู้ให้เห็นให้สัมผัสมันได้


(มีต่อ)
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัว
กุหลาบสีชา
บัวเงิน
บัวเงิน


เข้าร่วม: 30 เม.ย. 2007
ตอบ: 1466
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.

ตอบตอบเมื่อ: 22 เม.ย.2008, 7:03 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

Image

ทุกคนอาจจะยังเข้าใจผิดต่อธรรมชาติธรรมดาของทะเล
เช่น เข้าใจว่าทะเลแท้ต้องไม่มีคลื่นเลย นี้เข้าใจผิดมาก
ไม่มีทะเลไหนในโลกนี้ที่ราบเรียบเป็นหน้ากลองตลอดเวลาได้

แต่ทะเลที่บ้าคลั่งครืนโครมนั้นก็ไม่ใช่สิ่งถาวร
สภาพปกติของทะเลคือการมีคลื่นลมบ้าง ไม่มีบ้าง
คลื่นใหญ่บ้างเล็กบ้าง

สภาพปกติของชีวิตจิตใจก็เหมือนกัน
ต้องมีความคิดนึกผ่านเข้ามา


ถ้าเราคิดว่าสภาพปกติคือการนั่งไม่คิดอะไรเลย
นั่นเป็นการเข้าใจผิด
ดังนั้นให้รู้สึกตัว ดูเข้าไปในใจตัวเอง

อย่าเข้าไปในความคิด
อย่ามุ่งที่จะหยุดยั้งความคิด
เมื่อเผลอเข้าไปในความคิด
แล้วก็กลับมารู้สึกตัวอีก
อย่ามุ่งจะหยุดความคิด


ความคิดนั้นเป็นพลังทำให้เกิดสมาธิ
คือเมื่อเรารู้ตัวก็เป็นการทวนกระแสความคิด
ก่อเกิดพลังสมาธิขึ้นตามธรรมชาติ กลับมารู้สึกตัว
ทำอยู่อย่างนี้เรียกเจริญสติภาวนา
เพื่อการรู้แจ้งรู้จริงต่อตัวเองและสิ่งที่เกี่ยวกับตัวเอง

ทำเช่นนี้สังเกตเช่นนี้มากเข้า นานเข้า
ความรู้สึกตัวก็นำหน้า
ความคิดก็ถอยร่นมาอยู่ข้างหลัง


เมื่อความคิดเข้ามาก็รู้สึกตัว ตื่นตัว
กล้าท้าทายความคิดทุกรูปแบบ
ไม่หวั่นไหวไปกับความคิด
เพราะความรู้สึกมีกำลังเหนือกว่า
จากความรู้สึกอันนั้นเราจะเรียนรู้ชีวิตและที่สุดของมัน

ชีวิตคือการรู้สึกตัว ไม่รู้สึกตัวก็ไม่มีชีวิต

พระพุทธเจ้าตรัสว่าผู้ประมาท ชื่อว่าตายแล้ว
ผู้ที่ประมาทคือผู้ที่เข้าไปในความคิดเรื่อยๆโดยไม่รู้สึกตัว
ชื่อว่าเดินห่างจากชีวิตแท้ออกไปทุกที

เมื่อเจริญสติ ถ้าเราทำตามปัจฉิมโอวาทครั้งสุดท้ายของพระพุทธเจ้า
อันเปรียบเหมือนมรดกสำคัญ
ซึ่งทรงตรัสเป็นครั้งสุดท้ายด้วยความห่วงใยผู้คน
ผ่านทางภิกษุที่รายล้อมท่านอยู่

Image

ในวาระสุดท้ายคือ

เธอทั้งหลายจงอย่าประมาท

คำพูดสั้นๆ นี้มีความหมายใหญ่หลวงนัก

ผู้ที่จับแก่นความหมายนี้ได้ก็กล่าวได้ว่า
ได้รับมรดกของพระพุทธเจ้า

แสดงว่ารู้ตัวรู้สึกตัว
ไม่เป็นไปตามอำนาจแห่งความนึกคิด
จนอยู่เหนือความคิดนั้น


เราเดินจงกรม ยกมือ เราอย่าไปสนใจการยกครั้งต่อไป
แต่ขอให้เคลื่อนไหวไว้
รูปแบบของการเคลื่อนไหวทำไว้ให้มาก
แต่อย่าไปสนใจมัน

บัดนี้บนฐานของความรู้สึกตัว
ดูเข้าไปในจิตใจของตัวเอง
อย่าเป็นไปตามอำนาจความคิด
เมื่อความคิดเกิดขึ้น เราก็จะลืมตัว

สติที่เราเรียกกลับมาคือความรู้สึกตัว
เราก็หลุดออกจากความคิด
เดี๋ยวเราก็เผลอตัวเข้าไปในความคิดอีก
นี้คือการต่อสู้ของเรา

รู้ตัวบ้าง ลืมตัวบ้าง นี้เป็นการปฏิบัติที่เป็นธรรมชาติ

ถ้านั่งนิ่งรู้ตัวตลอดเวลาอาจเกิดอาการผิดเพี้ยนได้
เพราะในเบื้องต้นของการเจริญสติคือรู้ตัว
แต่เมื่อมันพัฒนาไปไกล มันจะถึงจุดที่ลืมตัว

การที่เราลืมตัวอย่างรู้ตัวเป็นเป้าหมายของเรา
เพราะมันจะเข้าสู่ความเป็นเอง


(มีต่อ)
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัว
กุหลาบสีชา
บัวเงิน
บัวเงิน


เข้าร่วม: 30 เม.ย. 2007
ตอบ: 1466
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.

ตอบตอบเมื่อ: 22 เม.ย.2008, 7:08 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

Image

การที่เรารู้ตัวนี้เป็นปัญหาซ้อนอยู่ในตัวด้วย
เพราะรู้ตัวเข้าแล้วเราก็เริ่มทุกข์
ก่อนหน้าจะมาปฏิบัติเราไม่ทุกข์ เราสนุก
เรามีอะไรกลัดกลุ้ม เราก็ไปเที่ยวหรือคุยกับเพื่อน
เราก็สบาย เราไม่รู้จักความทุกข์

แต่ถ้าเรารู้ตัวมากๆ
เราจะเป็นทุกข์ ทุกข์ที่ต้องรู้ตัว ทุกข์ในตัวเอง
จากความทุกข์หากเรามีสติมันจะแปรเปลี่ยนเป็นสมาธิ
จากทุกข์ มันจะเคี่ยวจนคลี่คลายออกเป็นการรู้ตัว
แบบไม่กำหนดเลย

รู้ตัวแบบไม่รู้ตัว
ไม่รู้ตัวแบบรู้ตัว
ขึ้นเหนือกฏเกณฑ์แห่งการปฏิบัติ
เป็นการปฏิบัติชนิดเหนือการปฏิบัติ
ไม่ปฏิบัติแต่ปฏิบัติอยู่


ดังนั้นปฏิบัติให้มากจึงจะเข้าใจเหนือการปฏิบัติ

เหมือนขับรถยนต์มากๆ
วันหนึ่งจะรู้สึกว่าเหมือนไม่ได้ทำอะไร
ปราชญ์จีนโบราณเรียกสภาวะนี้ว่า อู่หวุย
หรือเรียกเป็นภาษาบาลีว่าอกรรมกิริยา

ทำแต่ไม่ได้ทำอะไร
ไม่ถอย ไม่สู้ ไม่อยู่ ไม่หนี...นั้นคือเป็นเอง


การปฏิบัติธรรมเบื้องต้น
เจริญสติบนฐานของการเคลื่อนไหวให้รู้ตัว
เมื่อรู้ตัวแล้วทุกข์ ทุกข์ที่เกิดจากการรู้ตัวนี้คืออริยสัจจ์
ไฟทุกข์จะโทรมลง สันติภาพอยู่ที่นั่น
เบื้องหลังความทุกข์นั่นเอง

คนทั่วไปทุกข์ด้วยอำนาจของกิเลส
แต่นักภาวนาทุกข์เพราะไม่ได้บรรลุภูมิธรรมที่เหนือกว่า
แต่ก็ทุกข์เหมือนกัน


จิตเกี่ยวข้องกับความทุกข์เพียงรู้เฉยๆ
แต่สาเหตุความทุกข์นั้นต้องขุดรากกำจัดมัน


เช่นเดียวกับเราต้มน้ำให้เดือด
บอกเด็กผู้ไม่รู้อะไรไปทำน้ำอย่าให้เดือด
เด็กคนนั้นเอามือไปตบน้ำให้สงบมือก็พองไหม้
เจ็บปวดและไม่สำเร็จด้วย

เด็กที่รู้เดียงสาเขาจะไปเอาฟืนออก
ในที่สุดน้ำก็เย็นเอง

เพราะว่าธรรมชาติของความชุ่มเย็นนั้นเป็นเนื้อหาดั้งเดิม
เป็นสาระดั้งเดิมของน้ำ ฉันใดก็ฉันนั้น

Image

สาระชีวิตก็คือความสงบ
ตัวเรานี้เป็นตัวสงบ
ความสงบสิงสู่อยู่ทั่วสรรพางค์กาย
ในชีวิตนี้คือความเงียบสงัด
นี้คือสาระแก่นสารของชีวิต


แต่มาถูกไฟอวิชชา ความโง่ ความลืมตัว
มาแผดเผาเข้า กลายเป็นชีวิตที่เดือดพล่าน
ทุกข์ทรมานทุรนทุราย

ซึ่งไม่มีใครปฏิเสธได้ว่าไม่เป็นทุกข์
จะคิดจะทำอะไรสักนิดก็กังวลขึ้นมา
คิดจะเดินทาง คิดจะแต่งงานหย่าร้าง
แทบจะกล่าวได้ว่าคิดจะทำอะไรเท่านั้น
ความกังวลก็ตามมา

ในที่สุดความวิตกกังวลก็ครองเรือนใจ
นั้นเหมือนเชื้อโรคร้าย
หรือเหมือนปลวกกัดกินบ้านเรือนจนพังทลายลง


สาธุ สาธุ สาธุ

(ที่มา : “อกรรมกิริยา-สยัมภู-อู่หวุย” ในช่วงชีวิต-ช่วงภาวนา โดย เขมานันทะ :
พิมพ์ครั้งแรก โดย ธรรมสภา, พ.ศ. ๒๕๓๖, หน้า ๘๕-๙๕)



Image
[ท่านเขมานันทะ (อาจารย์โกวิท เอนกชัย)]

สาธุ สาธุ สาธุ

[หมายเหตุ : หนังสือช่วงชีวิต-ช่วงภาวนา เป็นการรวบรวมจากรายการภาวนา
“ด้วยรักและตระหนักรู้”, ธรรมภา จัดพิมพ์. พิมพ์ครั้งแรก, พ.ศ. ๒๕๓๖
ซึ่งจัดโดยชมรมพุทธฯ มหาวิทยาลัยมหิดล และมหาวิทยาลัยเชียงใหม่
ช่วงระหว่างวันที่ ๑๐-๒๕ มีนาคม ๒๕๓๒ ณ อาศรมนวชีวัน อ.สทิงพระ จ.สงขลา]


ดอกไม้ รวมคำสอน “ท่านเขมานันทะ (อาจารย์โกวิท เอนกชัย)”
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=72&t=44291
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัว
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง