Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 อยากถามค่ะว่าทำไมคนเราถึงมีปัญญาญาน อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
WRP
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 30 ธ.ค. 2007
ตอบ: 15

ตอบตอบเมื่อ: 19 เม.ย.2008, 8:58 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ที่ทราบมาก็คือเมื่อนั่งสมาธิจนนิ่งสงบแล้วสามารถเกิดปัญญาญาน ความรู้ขึ้นมาตอบคำถามต่างๆ ได้ ปัญญาญานนั้นทำไมทุกคนถึงมีค่ะ แถมพระพุทธเจ้าก็ทรงตรัสรู้โดยใช้ปัญญานนี้

ที่คิดไว้มีสองอย่างค่ะ อย่างแรกที่แต่ละคนมีเพราะเกิดมาแล้วนับชาติไม่ถ้วน จึงสั่งสมความรู้นั้น มา เมื่อเกิดความสงบก็จะระลึก จำขึ้นมาได้ อย่างที่สองเพราะว่าสรรพสิ่งก็เป็นเพียงสรรพสิ่ง ทุกสิ่งเป็นสิ่งสมมุติ ทุกสิ่งเป็นสิ่งว่างไม่มีอยู่จริง เมื่อเกิดความสงบก็จะรู้จะเห็นได้เองตามนั้นค่ะ

แต่ก็ไม่แน่ใจทั้งสองอย่าง อาจเป็นอย่างอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกันเลย แต่อยากทราบค่ะ ใครทราบแล้วก็บอก แนะนำมาเถิดค่ะ

***********************************************************************************
ขอบคุณสำหรับธรรมทาน จากทุกท่านค่ะ แต่ก็มีข้อสงสัย และเรื่องที่จะบอกเพิ่มเติม

สิ่งที่ฉันสงสัยนั้น เนื่องมาจากเคยฟังท่านอาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา มีแนะนำให้ฟังว่าเมื่อเรานั่งสมาธิจนนิ่งดีแล้ว ก็จะปรากฏความรู้ที่ชาตินี้เราไม่เคยรู้มาก่อน ที่จำได้ ท่านบอกว่า ก่อนการที่ท่านจะคิดวิธีให้ยานอวกาศลงจอดที่ดาวอังคารได้นั้น ท่านบอกกับองค์การนาซ่าว่าท่านสามารถทำได้ ทั้งที่ตอนนั้นยังไม่มีวิธีหรือความคิดอะไรที่จะสามารถประดิษฐ์ยานนั้นได้เลย แล้วหลังจากนาซ่าตกลงให้ท่านทำ ท่านจึงได้ไปนั่งสมาธิในที่สงบอยู่หลายวัน (ไม่แน่ใจว่ากี่วันแต่ไม่น่าจะเกินสัปดาห์ค่ะ) แล้วเมื่อใจสงบจู่ๆ ความคิดให้การสร้างยานนั้นก็ผุดขึ้นมาเป็นแผนผัง ที่สามารถเข้าใจได้ แล้วท่านก็ประดิษฐ์ไปตามนั้นจนสำเร็จ นั้นนี้แล้วท่านก็บอกต่อว่าเราเองทุกคนก็สามารถทำได้เหมือนกันนะ ให้ฝึกสมาธิกัน ตอนนั้นก็มีนักศึกษาหลายคนไม่เชื่อและถามกลับไปว่านั่งเฉยๆ จะมีความรู้ผุดขึ้นมาโดยที่เราไม่ศึกษาได้อย่างไร ท่านตอบบางอย่างค่ะ แต่จำไม่ค่อยได้แล้ว เพราะตอนนั้นรู้สึกคำตอบนั้นมันไม่ค่อยตรงกับใจเรา และกำลังคิดถึงเรื่องอื่น อยู่พรางๆ เลยลืมไปจนได้

ดังนั้นก็เลยตั้งกระทู้นี้ขึ้นมาถามค่ะ ว่าทำไมคนเราถึงมีความรู้ที่ผุดขึ้นมาโดยไม่ได้ศึกษานี้ได้
ไม่ได้อยากทราบวิธีทำให้เราเกิดความรู้ค่ะ เพียงแต่อยากทราบว่าทำไมมันถึงมี

อ้างอิงจาก:
คุณ ratchadapa
ฉันอ่านแล้วก็เข้าใจที่คุณตอบค่ะ แต่ว่าก็ยังมีข้อสงสัย เรามีจิตประภัสสรจริงอันนี้ก็คิดอย่างนั้นค่ะ แต่แล้วทำไมจิตประภัสสรถึงหยั่งรู้เรื่องต่างๆ ได้ หรือคุณ ratchadapa คิดว่าจิตประภัสสร ก็เป็นจิตประภัสสรมีความสามารถอย่างนั้นเป็นปกติ ถ้าอย่างนั้นคำตอบของคุณคือมันเป็นธรรมชาติสร้างมาให้เรา เพียงแต่เราไม่สามารถรู้ได้เพราะมีอวิชชา ข้อนิ้ก็คล้ายกับคำตอบที่สองที่ชั้นคิด และบอกไปข้างต้นแล้วเหมือนกันค่ะ


อ้างอิงจาก:
คุณ RARM
อ่านแล้วก็งงๆ ค่ะ ว่าจะตอบคำถามเรารึเปล่าเนี่ย อาจเป็นเพราะฉันยังอธิบายคำถามได้ไม่ละเอียดพอค่ะ ถ้างั้นลองอ่านที่เขียนเพิ่มดูนะค่ะ แต่เท่าที่อ่านก็คิดว่าคุณจะตอบว่า เป็นปัญญาที่ไม่ใช่ทางธรรมเกิดจากการฝึกฝน และ ปัญญาทางธรรมเกิดจากการพิจารณาขันธ์ เองอย่างนั้นหรือเปล่าค่ะ


อ้างอิงจาก:
คุณ รุ่งลลิดา สกุลงาม
อันนี้เดี๋ยวจะไปหามาลองฟังดูค่ะ ขอบคุณค่ะ


อ้างอิงจาก:
คุณ กรัชกาย
ตอบไปไกลมากเลยค่ะ แต่ก็รู้สึกคำตอบยังไม่ตรงที่อยากถามเท่าไหร่อะค่ะ แต่ก็ได้ความรู้ใหม่ๆ เพิ่ม บางทีอาจจะเพราะคำตอบมีรายละเอียดไปเรื่อยๆ เยอะเกินไปจนไม่รู้ว่าจะสรุปว่าตรงไหนเป็นคำตอบค่ะ แต่เท่าที่อ่านจากคำตอบอันแรกคุณ กรัชกาย ก็น่าจะตอบมาประมาณว่าปัญญาเกิดจากการฝึกฝน ยินดีที่ได้สนทนาธรรมด้วยค่ะ
 


แก้ไขล่าสุดโดย WRP เมื่อ 20 เม.ย.2008, 11:33 am, ทั้งหมด 1 ครั้ง
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ratchadapa
บัวพ้นดิน
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 05 ม.ค. 2008
ตอบ: 84
ที่อยู่ (จังหวัด): กรุงเทพมหานคร

ตอบตอบเมื่อ: 19 เม.ย.2008, 12:01 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ปัญญาญานนั้นทำไมทุกคนถึงมีค่ะ ยิ้ม

ตอบแบบคิดเอาเองนะคะว่า เพราะจิตเดิมนั้นประภัสสร แต่เศร้าหมองด้วยกิเลสที่จรมา

ฉะนั้น เมื่อมีสมาธิเป็นบาทฐานอบรมปัญญาให้แก่รอบแล้ว จะมองเห็นความจริง บรรเทาขจัดปัดเป่ากิเลสอาสวะที่ห่อหุ้นจิตเดิมออกไป จนกลับประภัสสรอีกครั้ง ทุกคนจึงมีคุณสมบัติเดิมที่ดีอยู่ประจำแล้ว แต่ต้องพัฒนาปัญญาให้เกิดญาณ รู้ตามที่เป็นจริง ปรบมือ
 

_________________
พวกเธอจงยินดีในความไม่ประมาท
จงระมัดระวังจิตของตน
จงถอนตนออกจากหล่มกิเลส
เหมือนพญาช้างติดหล่ม
พยายามช่วยตัวเอง
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
RARM
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 28 ก.ค. 2007
ตอบ: 417

ตอบตอบเมื่อ: 19 เม.ย.2008, 1:53 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ตอบแบบคิดเอาเองด้วยคนครับ

ทุกคนมีปัญญา ปัญญาหมายถึงความรอบรู้

แต่ปัญญาญาณ จะเกิดทุกคนก็หาไม่ ต้องเกิดาจากผู้ที่เคยปฏิบัติ ศีล สมาธิ ปัญญา มาอย่างสม่ำเสมอ

เป็นประจำ ปัญญาที่แท้จริงนั้น ไม่ได้หมายเอาความรู้ที่เรารู้กันอยู่ทุกวันนี้ ปัญญาที่เรารู้นั้นเป็นแค่สัญญา (ความจำได้หมายรู้)ปัญญา เท่านั้น ใช้ได้เฉพาะทางโลกๆ

ถ้าทางธรรม หมายเอา การที่จิตเห็นพระไตรลักษณญาณ เห็นการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปของทุกสรรพสิ่ง ต่างหาก หรือเรียกสั้นๆ ว่า เห็นการเกิดดับ ซึ่งเป็นญาณที่แท้จริงในการการที่จะก้าวเข้าไปสู่พระนิพพาน เป็นตรุณแห่งวิปัสสนาญาณ อันนี้จึงจะเป็นปัญญาญาณที่แท้จริง ต่างหาก เกิดได้กับทุกคนเหมือนกันแต่ต้องปฏิบัติอย่างยิ่งยวดใน ศีล สมาธิ ปัญญา และการมามองเห็นพระไตรลักษณะทุกขณะจิตจึงจะเกิดปัญญาญาณที่แท้จริง

ส่วนใหญ่ที่เราเข้าใจกัน ว่าเป็นปัญญาญาณนั้น ก็จะมาจากสัญญาล้วนทั้งนั้น เกิดจากการอ่าน การได้ฟัง การสนทนา ในธรรมนั้นแล้วจำได้ เข้าใจเองหรือท่านอธิบายแล้วเราพอเข้าใจ ไม่ใช่ลักษณะที่จิตเราเข้าไปเห็นญาณนั้นด้วยตัวเองครับ

สาธุ
ป.ล.
ไม่รู้คำตอนจะตรงหรือเปล่า แต่ตอบตามที่ได้ปฏิบัติมาครับ เกี่ยวกับการเจริญญาณ..
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
รุ่งลลิดา สกุลงาม
บัวพ้นดิน
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 21 ก.ค. 2007
ตอบ: 53
ที่อยู่ (จังหวัด): 75/8 ม.3 ม.จามจุรี 2 ต.ท่ามะกา อ.ท่ามะกา จ.กาญจนบุรี 71120

ตอบตอบเมื่อ: 19 เม.ย.2008, 3:50 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ถ้าท่านมีโอกาสได้ฟังพระธรรมเทศนาของท่านเจ้าคุณโชดก ญาณสิทธิ<พระธรรมธีรราชมหามุนี>อดีตพระอาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิปัสสนาธุระ ท่านได้เทศนาไว้แบบพิสดาร ทั้งอรรถกถาฏีกาอย่างวิจิตพิศดารนัก ประดุจท่านได้ฟังธรรมของพระพุทธองค์จากพระไตรปิฏก สาธุ สาธุ สาธุ
 

_________________
มีสติไว้
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง EmailMSN Messenger
กรัชกาย
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348

ตอบตอบเมื่อ: 19 เม.ย.2008, 4:40 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

อ้างอิงจาก:

ที่ทราบมาก็คือเมื่อนั่งสมาธิจนนิ่งสงบแล้วสามารถเกิดปัญญาญาณความรู้ขึ้นมาตอบคำถามต่างๆ ได้ ปัญญาญาณนั้นทำไมทุกคนถึงมีค่ะ แถมพระพุทธเจ้าก็ทรงตรัสรู้โดยใช้ปัญญาญาณนี้

WRP 19 เม.ย.2008, 8:58 am


-ญาณ เป็นอีกชื่อหนึ่งของปัญญาครับ
จะยกชื่อของปัญญาให้ดูเป็นตัวอย่าง เช่น ปริญญา ญาณ วิชชา อัญญา อภิญญา พุทธิ โพธิ สัมโพธิ ฯลฯ

-ปัญญา- เป็นตัวความรู้ในสังขารขันธ์ เป็นสิ่งที่จะต้องทำให้เกิดให้มีขึ้น
ต้องฝึกปรือ ทำให้เจริญเพิ่มพูนขึ้นไปโดยลำดับ
ปัญญาจึงมีหลายขั้นหลายระดับ และมีชื่อเรียกต่างๆ ตามขั้นของความเจริญบ้าง
ตามทางเกิดของปัญญานั้นบ้าง ตามลักษณะเฉพาะของปัญญาชนิดนั้นบ้าง

ดูลิงค์พัฒนาปัญญาแต่ละขั้นๆจนถึงระดับญาณ ครับ

http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=15529
 

_________________
สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
กรัชกาย
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348

ตอบตอบเมื่อ: 19 เม.ย.2008, 4:47 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ดังกล่าวแล้วว่า ปัญญา เป็นตัวความรู้ในสังขารขันธ์ เป็นสิ่งที่จะต้องฝึกปรือ
ทำให้เจริญเพิ่มพูนขึ้นไปโดยลำดับ

การที่ปัญญาจะเจริญถึงขั้นญาณได้ ต้องอาศัยธรรมอื่นอีก เป็นต้นว่า สัญญา ทิฏฐิ

จะนำเส้นทางการพัฒนาปัญญา (ภายในตัวบุคคล) ให้พิจารณาย่อๆ พอเห็นเค้า ดังนี้

1. สัญญา-ความกำหนดได้ หมายรู้ ได้แก่ ความรู้ที่เกิดจากการกำหนดหมาย หรือจำได้หมายรู้ ซึ่งบันทึกไว้เป็นแบบสำหรับเทียบเคียงและเป็นวัตถุดิบของการรู้และการคิดต่อๆไป

-สัญญา มี 2 ได้แก่ ปปัญญจสัญญา หรือ สัญญาเจือกิเลส และ กุศลสัญญา
หรือ วิชชาภาคิยสัญญา (สัญญาที่ช่วยให้เกิดวิชชา)

2. ทิฏฐิ- ความเห็น ความเข้าใจ -ก็จากแหล่งข้อมูลที่สัญญาบันทึกเก็บไว้นั่นแหละ
ข้อมูลถูกต้องก็เป็นสัมมาทิฏฐิ บันทึกข้อมูลไว้ผิดก็เข้าใจผิด เป็นมิจฉาทิฏฐิไป

3. ญาณ - ความรู้ ความหยั่งรู้ เป็นไวพจน์คำหนึ่งของปัญญา
แต่มักใช้ในความหมายที่จำเพาะกว่า คือ เป็นปัญญาที่ทำงานออกผลมาเป็นเรื่องๆ เช่น
-กัมมัสสกตาญาณ ความหยั่งรู้ภาวะที่สัตว์มีกรรมเป็นของของตน
-อตีตังสญาณ -ปรีชาหยั่งรู้ส่วนอดีต
-สัจจานุโลมิกญาณ -ความหยั่งรู้สอดคล้องกับสัจจะ
-ฐานาฐานญาณ-ปรีชาหยั่งรู้การณ์ที่เป็นไปได้และเป็นไปไม่ได้
-นานาธิมุตติญาณ-ปรีชาหยั่งรู้อัธยาศัยแนวโน้มความเชื่อความสนใจของสัตว์ทั้งหลายที่ต่างๆ กันเป็นต้น

-กล่าวได้ว่า ญาณ คือ ความรู้บริสุทธิ์ที่ผุดโพลงสว่างแจ้งขึ้น มองเห็นตามสภาวะ
ของสิ่งนั้น หรือเรื่องนั้นๆ

แม้ว่าญาณจะมีหลายระดับบางทีเป็นความรู้ผิด
บางทีเป็นความรู้บางส่วน ไม่สมบูรณ์ แต่ก็เรียกได้ว่าเป็นความรู้บริสุทธิ์ หรือความรู้ล้วนๆ เพราะยังไม่มีความรู้สึกของตัวตน หรือความยึดถือเป็นของตนเข้าไปจับ
บางครั้งญาณเกิดขึ้นโดยอาศัยคิดเหตุผล แต่ญาณนั้นเป็นอิสระจากความคิดเหตุผล
คือไม่ต้องขึ้นต่อความคิดเหตุผล แต่ออกไปสัมพันธ์กับตัวสภาวะที่เป็นอยู่จริง
 

_________________
สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
กรัชกาย
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348

ตอบตอบเมื่อ: 19 เม.ย.2008, 4:50 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

พิจารณาอกุศลธรรมฝ่ายตรงข้ามสักตัวหนึ่ง อาจเห็นเส้นทางพัฒนาปัญญาชัดขึ้น

-โมหะ คือ ความหลง ความไม่รู้ เป็นไวพจน์ของคำว่า อวิชชา
หมายถึงความไม่รู้ตามเป็นจริง ไม่รู้ตรงตามสภาวะ เป็นภาวะตรงข้ามกับ ปัญญา
โดยเฉพาะปัญญาที่เรียกชื่อเฉพาะว่า วิชชา
พูดอย่างสามัญว่า โมหะ หรือ อวิชชา คือ ความไม่รู้นี้ เป็นภาวะพื้นเดิมของคนซึ่งจะต้อง
กำจัดให้หมดไปด้วย วิชชา คือ ความรู้ หรือ ด้วยการฝึกอบรมเจริญปัญญา


พอสรุปได้ว่า เมื่อโยคีบุคคลปฏิบัติกรรมฐานตามแนวสติปัฏฐาน โดยใช้กาย -ใจ
ซึ่งเป็นธรรมชาตินี้ เป็นที่ฝึกอบรมปัญญา ปฏิบัติให้สอดคล้องกับมัน
สุดท้ายก็เข้าสู่เส้นทางแห่งญาณ ตามลิงค์ข้างบนครับ ซึ้ง
 

_________________
สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
กรัชกาย
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348

ตอบตอบเมื่อ: 19 เม.ย.2008, 6:31 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

หลักของพุทธศาสนามีว่า

สัจธรรมเป็นกฎธรรมชาติหรือหลักความจริงที่มีอยู่โดยธรรมดา
พระพุทธเจ้า หรือศาสดามีฐานะเป็นผู้ค้นพบหลักความจริงนั้น แล้วนำมาเปิดเผยแก่ผู้อื่น
การได้รับผลจากการปฏิบัติ เป็นเรื่องของความเป็นไปอันเที่ยงธรรมตามเหตุปัจจัย
ในธรรมชาติ ศาสดามิใช่ผู้บันดาล

เมื่อเป็นเช่นนี้ ทุกคนจึงจำเป็นต้องเพียรพยายามสร้างผลสำเร็จด้วยเรี่ยวแรงของตน
ไม่ควรคิดหวังและอ้อนวอนขอผลที่ต้องการโดยไม่กระทำ

พุทธศาสนาจึงมีหลักว่า
“ตุมฺเหหิ กิจฺจํ อาตปฺปํ อกฺขาตาโร ตถาคตา- ความเพียร ท่านทั้งหลายต้องทำเอง
ตถาคตทั้งหลาย เป็นแต่ผู้บอก (ทาง)ให้”


ที่โพสต์ข้อความนี้ เพื่อยืนยันว่าการเข้าถึงสัจธรรมที่ถูกต้องไม่ใช่ด้วยการอ้อนวอน แต่เข้าถึงด้วยทำกรรมฐานที่ถูกต้อง
ที่เน้นเช่นนี้เพราะพบการบรรลุธรรมแบบผีบอกมาจากบอร์ดหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่คำสอน
ของพระพุทธเจ้าแน่นอน
 

_________________
สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
กรัชกาย
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348

ตอบตอบเมื่อ: 19 เม.ย.2008, 6:47 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน


ตัดมาให้ดูเป็นตัวอย่างเท่านี้ครับ =>


ดำริมั่นที่จะออกจากกาม ได้จาริกเพื่อเจริญวิมุติญาณเข้าสู่โลกกุตระสภาวะมาโดยลำดับ
จนกระทั่งลุถึง ถ้ำอรหันต์ เขาสมโภชน์ ลพบุรี ท่านได้ปฏิบัติธรรมกรรมฐานเป็นอุกฤษฏ์
จนบังเกิดความตึงเครียดในทุกส่วนของประสาท ก็ยังไม่สำเร็จผลดังหวัง ทำให้รู้สึกท้อแท้ ท่านจึงน้อมจิตอธิษฐานว่า หากคุณพระพุทธเจ้ามีจริง ขอทรงมาโปรดให้ท่านมีดวงตา
เห็นธรรมด้วยเถิด
ในครั้งนี้เอง ก็มีปรากฏการณ์บังเกิดขึ้นกับหลวงพ่อ ท่านได้พบพระวิสุทธิสัมมาสัมพุทธเทพ และได้รับคำแนะนำในการปฏิบัติกรรมฐาน
อาศัยบุญบารมีเก่าที่หลวงพ่อคงเคยเป็นหลวงพ่อร่วง ผู้รจนาคัมภีร์ไตรภูมิกถาไว้สั่งสอน
ปวงชนมาก่อน
พระพุทธองค์จึงทรงประทานธรรมะเปิดโลกให้ เมื่อหลวงพ่อใช้กำลังสติปัญญาเข้าพิจารณาภูมิอันเป็นอาสวะแห่งวัฏฏะแล้ว เกิดความเบื่อหน่ายคลายกำหนัด จิตใจมุ่งเข้าสู่ความบริสุทธิ์ สำเร็จวิสุทธิญาณในวันนั้นเอง
 

_________________
สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
WRP
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 30 ธ.ค. 2007
ตอบ: 15

ตอบตอบเมื่อ: 19 เม.ย.2008, 11:28 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ขอยกไปไว้ ข้างบนต่อจากที่ถามนะค่ะ
 


แก้ไขล่าสุดโดย WRP เมื่อ 20 เม.ย.2008, 11:32 am, ทั้งหมด 1 ครั้ง
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
กรัชกาย
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348

ตอบตอบเมื่อ: 20 เม.ย.2008, 9:05 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

อ้อ...หมายถึงปัญญาญาณ (เฉพาะ) ท่านอาจอง ชุมสาย ฯ ยิ้ม หรอครับ
คนที่ฟังท่านเล่า เคยมีใครไปสอบถามข้อเท็จจริงจากอีกฝ่าย (องค์การนาซ่า) มั้ยครับ หรือ ฟังเขาเล่าอยู่ข้างเดียว

ปัญญาญาณ (ที่คุณว่า) ลักษณะนี้ เท่าที่ศึกษาจากคัมภีร์พระศาสนา ยังไม่พบที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้เลยครับ รวมถึงสาวกด้วย หรือว่ากรัชกายยังอ่านไม่พบ ซึ้ง
 

_________________
สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
WRP
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 30 ธ.ค. 2007
ตอบ: 15

ตอบตอบเมื่อ: 20 เม.ย.2008, 10:04 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

อ้างอิงจาก:
อ้อ...หมายถึงปัญญาญาณ (เฉพาะ) ท่านอาจอง ชุมสาย ฯ หรอครับ
คนที่ฟังท่านเล่า เคยมีใครไปสอบถามข้อเท็จจริงจากอีกฝ่าย (องค์การนาซ่า) มั้ยครับ หรือ ฟังเขาเล่าอยู่ข้างเดียว


อันนี้ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ แต่ฉันก็มีความคิดว่าเป็นปัญญาญาณ ที่ใช้เหมือนกับวิธีที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้เหมือนกัน พระพุทธเจ้าไม่ได้ตรัสรู้เฉพาะในเรื่องทางธรรมเท่านั้นแต่ว่ารู้ทุกอย่างเลย ซึ่งอาจารย์อาจอง รู้เพียงบางส่วนนั้นและแล้วนำมาใช้ประโยชน์ค่ะ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
Buddha
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2007
ตอบ: 415

ตอบตอบเมื่อ: 20 เม.ย.2008, 10:22 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

WRP พิมพ์ว่า:
ที่ทราบมาก็คือเมื่อนั่งสมาธิจนนิ่งสงบแล้วสามารถเกิดปัญญาญาน ความรู้ขึ้นมาตอบคำถามต่างๆ ได้ ปัญญาญานนั้นทำไมทุกคนถึงมีค่ะ แถมพระพุทธเจ้าก็ทรงตรัสรู้โดยใช้ปัญญานนี้

ที่คิดไว้มีสองอย่างค่ะ อย่างแรกที่แต่ละคนมีเพราะเกิดมาแล้วนับชาติไม่ถ้วน จึงสั่งสมความรู้นั้น มา เมื่อเกิดความสงบก็จะระลึก จำขึ้นมาได้ อย่างที่สองเพราะว่าสรรพสิ่งก็เป็นเพียงสรรพสิ่ง ทุกสิ่งเป็นสิ่งสมมุติ ทุกสิ่งเป็นสิ่งว่างไม่มีอยู่จริง เมื่อเกิดความสงบก็จะรู้จะเห็นได้เองตามนั้นค่ะ

แต่ก็ไม่แน่ใจทั้งสองอย่าง อาจเป็นอย่างอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกันเลย แต่อยากทราบค่ะ ใครทราบแล้วก็บอก แนะนำมาเถิดค่ะ


ตอบ....
ต้องแยกคำถามไว้สองชนิดคือ
ปัญญา กับ ญาณ

ปัญญา เกิดจาก ความรู้ ความเข้าใจ และประสบการณ์ ทำให้เกิด ความรู้ ความเข้าใจในวิธีการ หรือเทคนิค ในการคิด ในการแก้ไขปัญหา หรือการทำงาน

ญาณ เป็น ความรู้ อันต่อจากปัญญา แต่ เป็นความรู้ ความเข้าใจ หรือเทคนิค ในการขจัดอาสวะ หรือขจัดกิเลส ขจัดความคิด อารมณ์ และความรู้สึก ในตัวเรา

อย่างไรก็ตาม ปัญญา และญาณ ล้วน ต้องมีปัจจัยประกอบ เช่น กรรมพันธุ์ การได้รับการขัดเกลาทางสังคม ความรู้ทางด้านศาสนา และความรู้ทางด้านวิชาการต่างๆ รวมไปถึง ความรู้ในด้านอาชีพต่างๆ ฯลฯ
ซึ่ง ความรู้ความเข้าใจในด้านต่างๆนั้น จะช่วยทำให้เกิด ญาณ ทำให้เกิดปัญญาควบคู่กันไป
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
กรัชกาย
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348

ตอบตอบเมื่อ: 20 เม.ย.2008, 5:51 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ข้อความที่กรัชกายโพสต์ เมื่อ: 19 เม.ย.2008, 6:47 pm
อ่าน พบจากบอร์ดธรรมแห่งหนึ่ง ว่าว่าเขาบรรลุธรรมแบบนั้น ไม่เกี่ยวกับกระทู้ถามคุณโดยตรงครับ แต่เกี่ยวกับที่กรัชกายอธิบายข้างบน จึงนำมาให้ดูเฉยๆ
 

_________________
สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
กรัชกาย
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348

ตอบตอบเมื่อ: 20 เม.ย.2008, 5:54 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

อ้างอิงจาก:
แต่ฉันก็มีความคิดว่าเป็นปัญญาญาณ ที่ใช้เหมือนกับวิธีที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้เหมือนกัน
พระพุทธเจ้าไม่ได้ตรัสรู้เฉพาะในเรื่องทางธรรมเท่านั้น แต่ว่ารู้ทุกอย่างเลย
ซึ่งอาจารย์อาจอง รู้เพียงบางส่วนนั้นและแล้วนำมาใช้ประโยชน์ค่ะ

WRP 20 เม.ย.2008, 10:04 am


เพิ่งอ่านพบว่ามีญาณเกิดแก่พระพุทธเจ้าคืนวันตรัสรู้ 3 ญาณ คือ

1) ปุพเพนิวาสานุสติญาณ -ญาณที่ให้ระลึกถึงขันธ์อันเคยอาศัยอยู่ในก่อนได้ (ระลึกชาติได้)
2) จุตูปปาตญาณ- ญาณกำหนดรู้จุติและอุบัติแห่งสัตว์ทั้งหลายที่เป็นไปตามกรรม
3) อาสวักขยญาณ-ญาณที่ทำให้สิ้นอาสวะ (= ตรัสรู้)

ไม่ทราบว่าคล้ายกับที่ อ. อาจอง นำไปใช้มั้ย
 

_________________
สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
กรัชกาย
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348

ตอบตอบเมื่อ: 20 เม.ย.2008, 5:57 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

(ตัดมาเท่าที่กล่าวถึงนะครับ ลองพิจารณาคุณสมบัติของสมาธิด้วย ครับ)

1) “เรานั้น ครั้นเมื่อจิตเป็นสมาธิ บริสุทธิ์ ผ่องใส ไม่มีฝ้ามัว ปราศจากอุปกิเลส

เป็นของนุ่มนวล ควรแก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหวอย่างนี้แล้ว ก็น้อมจิตไปเพื่อ

ปุพเพนิวาสานุสติญาณ

(วิชชาที่ 1 นี้แล เราบรรลุแล้วในปฐมยามแห่งราตรี อวิชชาถูกกำจัดแล้ว วิชชาเกิดขึ้นแล้ว

ความมืดถูกกำจัดแล้ว แสงสว่างเกิดขึ้นแล้ว...)
 

_________________
สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
กรัชกาย
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348

ตอบตอบเมื่อ: 20 เม.ย.2008, 6:00 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

2) “เรานั้น ครั้นเมื่อจิตเป็นสมาธิ บริสุทธิ์ ผ่องใส ไม่มีฝ้ามัว ปราศจากอุปกิเลส

เป็นของนุ่มนวล ควรแก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหวอย่างนี้แล้ว ก็น้อมจิตไปเพื่อ

จุตูปปาตญาณ


(วิชชาที่ 2 นี้แล เราบรรลุแล้วในมัชฌิมยามแห่งราตรี อวิชชาถูกกำจัดแล้ว วิชชาเกิดขึ้น

แล้ว ความมืดถูกกำจัดแล้ว แสงสว่างเกิดขึ้นแล้ว...)
 

_________________
สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
กรัชกาย
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348

ตอบตอบเมื่อ: 20 เม.ย.2008, 6:01 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

3) “เรานั้น ครั้นเมื่อจิตเป็นสมาธิ บริสุทธิ์ ผ่องใส ไม่มีฝ้ามัว ปราศจากอุปกิเลส

เป็นของนุ่มนวล ควรแก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหวอย่างนี้แล้ว ก็น้อมจิตไปเพื่อ

อาสวักขยญาณ เรานั้น รู้ชัดตามเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัย

นี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา เรานั้น เมื่อรู้อยู่เห็นอยู่อย่างนี้ จิตก็หลุดพ้นแล้ว

แม้จากกามาสวะ แม้จากภวาสวะ แม้จากอวิชชาสวะ เมื่อจิตหลุดพ้นแล้วก็มีญาณว่า

หลุดพ้นแล้ว เรารู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำได้ทำแล้ว

กิจอื่นอีกเพื่อความเป็นอย่างนี้ไม่มี

(วิชชาที่ 3 นี้แล เราบรรลุแล้วในในปัจฉิมยามแห่งราตรี อวิชชาถูกกำจัดแล้ว วิชชาเกิดขึ้น

แล้ว ความมืดถูกกำจัดแล้ว แสงสว่างเกิดขึ้นแล้ว...)”

(ม.มู.12/427-9/458 ฯลฯ)
 

_________________
สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ratchadapa
บัวพ้นดิน
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 05 ม.ค. 2008
ตอบ: 84
ที่อยู่ (จังหวัด): กรุงเทพมหานคร

ตอบตอบเมื่อ: 20 เม.ย.2008, 10:13 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ขออภัยที่ขัดจังหวะนะคะ ดูท่าทางเรากำลังช่วยกันขบคิดเรื่อง "พุทธวิสัย"
ซึ่งเป็นหนึ่งในอจินไตยกันหรือเปล่าคะเนี่ย
ต่างคนต่างยังไม่บรรลุมรรคผล ตอนนี้ใช้ Verb to เดา ไปก่อนละค่ะ

เคยอ่านที่อาจารย์สนองวรอุไรท่านพูดถึงเรื่องทำนองนี้เหมือนกันว่า
พระพุทธเจ้าท่านมีปัญญาญาณรู้รอบจริง แต่เรื่องที่ท่านสนใจและสั่งสอนคือเรื่องที่เนื่องกับการสิ้นไปของกิเลสอาสวะทั้งสิ้น
เรื่องอื่นที่ไม่เกี่ยวไม่จำเป็นต้องไปรู้ (ถึงท่านรู้ท่านก็ไม่บอกเรา)
และเรื่องอะไรต่างๆอย่างสร้างยานอวกาศอะไรเนี่ย อยู่ๆท่านคงจะไม่ทำแน่

สำหรับ ดร.อาจอง ชุมสาย ท่านเป็นนักวิทยาศาสตร์ ท่านย่อมมีสัญญา
มีความรู้ในเรื่องสร้างยานอะไรมาบ้างแล้ว มีหลักวิชา ทฤษฎีที่สั่งสมมาพอควร
เพียงแต่ท่านยังนึกไม่ออกในตอนแรก ต่อเมื่อทำสมาธิแน่วแน่ ก็สามารถเรียกสัญญา ความรู้ต่างๆ มาแก้ไขปัญหาได้

ถ้าเข้าสมาธิแล้ววาดผังยานอวกาศได้ ท่าทางพระอาจารย์ต่างๆที่เก่งๆด้านสมาธิ คงจะสอนเราสร้างยานกันทั่วแน่ (ขำขำ ยิ้มเห็นฟัน นะคะ)
 

_________________
พวกเธอจงยินดีในความไม่ประมาท
จงระมัดระวังจิตของตน
จงถอนตนออกจากหล่มกิเลส
เหมือนพญาช้างติดหล่ม
พยายามช่วยตัวเอง
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
กุหลาบสีชา
บัวเงิน
บัวเงิน


เข้าร่วม: 30 เม.ย. 2007
ตอบ: 1466
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.

ตอบตอบเมื่อ: 20 เม.ย.2008, 11:48 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

กรณีของ ดร. อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา นั้น เข้าใจว่า

เป็นการใช้ ปัญญาญาณ ในระดับหนึ่งจากการเจริญสมาธิ
ไปกระตุ้นและเพิ่มพูน สหชาติปัญญา
และสัญญาเก่าที่มีอยู่เดิมให้พัฒนาขึ้น

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเรื่อง “ปัญญา” ได้จากกระทู้นี้ค่ะ : สาธุ ยิ้มเห็นฟัน

อธิบายเรื่องปัญญา และปัญญาสูงสุด

http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=15627
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัว
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ ไม่สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง