Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 ...อดีตชาติ...(ท. เลียงพิบูลย์) อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 17 เม.ย.2008, 5:34 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เรื่อง อดีตชาติ
โดย ท. เลียงพิบูลย์

หนังสือกฎแห่งกรรม เล่ม 1


ที่สมาคมแห่งหนึ่ง หลังจากประชุมกันตามธรรมดาทุกวันพฤหัสบดีก่อนเที่ยงเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ยังมีเวลาหันมาถกกันถึงเรื่องกฎของความจริงเรื่องกรรมในยุคปัจจุบัน ก็มีผู้สนใจและเชื่อกันมาก แต่หลายท่านยังข้องใจในเรื่อง “กรรมอดีตชาติ” หรือกรรมเก่าชาติก่อนติดตามมาสนองในชาตินี้

เพราะบางท่านในชาติปัจจุบันก็ประพฤติตัวดี ไม่น่าจะรับเคราะห์กรรมหนักเลย จึงมีข้อสงสัยว่าจะพูดอย่างกำปั้นทุบดิน เมื่อมีอะไรเกิดขึ้นหาสาเหตุไม่ได้ ก็มักจะเหมาให้เป็นกรรมของอดีตชาติ จึงย่อมมีทั้งสองฝ่ายคือฝ่ายหนึ่งเชื่อว่า “กรรมในอดีตชาติจริง” แต่อีกฝ่ายยังสงสัยเชื่อไม่สนิทนัก บางท่านก็ไม่เชื่อเลย จึงมีการถกกันขึ้นในหมู่ผู้ที่ได้เคยอ่านหนังสือในชุด “กฎแห่งกรรม”

เมื่อเพื่อนที่เป็นฝ่ายเชื่อเรื่องกรรมในอดีตชาติมีจริง ทั้งเป็นเลขานุการณ์ของสมาคมนั้น มาเล่าให้ฟังแล้ว ผู้เขียนกับเพื่อนว่าเป็นธรรมดาของมนุษย์ปุถุชน ย่อมจะมีความเห็นแตกต่างกัน การที่ถกกันเพื่อหาความจริงและเหตุผลในเรื่องนี้ ก็เป็นนิมิตที่ดีเพราะเป็นทางที่จะนำไปพิจารณาเห็นแจ่มแจ้งในอนาคต วันหนึ่งข้างหน้าก็คงจะคลี่คลายข้อสงสัยให้ชัดแจ้งอย่างกับขาวกับดำ เมื่อนั้นคงจะปัดข้อสงสัยต่างๆ หมดไปเอง

แต่ก็เหมือนกับอภินิหาร เผอิญต่อมาผู้เขียนก็ได้เขียนจดหมาย พร้อมทั้งบันทึกข้อความเกี่ยวแก่กรรมในอดีตชาติ ซึ่งมีหลักฐานเหตุการณ์พอจะเชื่อได้ไม่มีข้อสงสัย หากท่านได้อ่านและพิจารณาดูให้ถ้วนถี่ ก็คงจะคลี่คลายความสงสัยลงได้บ้าง เพราะเรื่องได้เกิดขึ้นแล้ว และได้ผ่านไปไม่นานวัน ยังมีผู้รู้เห็นเป็นพยานมีหลักฐานอีกมาก นับว่าเหตุบังเอิญหรืออภินิหาร ผู้เขียนได้รับเรื่องนี้มาได้ทันเวลาหลังจากได้ทราบว่า มีคนส่วนมากที่ถกกันถึงกรรมในอดีตชาติมีจริงหรือไม่

ในบันทึกที่ท่านเจ้าของเรื่องส่งมาได้เล่าว่า ข้าพเจ้า (หมายถึงผู้บันทึก) มีเพื่อนนายทหาร ผู้นิยมการล่าสัตว์เป็นกีฬา ที่ทำให้สนุกสนานเพลิดเพลิน ตื่นเต้นผจญภัยตามอารมณ์ชอบเป็นชีวิตจิตใจ ข้าพเจ้าอยากจะห้ามปราม ชี้ให้เห็นบาปบุญคุณโทษในเรื่องกรรม แต่คิดว่าน้ำหนักคำพูดคำเตือนและเหตุผลยังไม่พอยังเบา เพื่อนก็คงไม่เชื่อแน่ จึงหาโอกาสให้เพื่อนได้พบพระอาจารย์ที่มีคุณธรรมสูง เพื่อจะได้อบรมสั่งสอน ให้เกิดเห็นผิดชอบเกิดบุญบาป มีศีลธรรมมีความประพฤติปฏิบัติอยู่ในขอบเขตของศีลต่อไป สมกับเป็นผู้ถือพุทธศาสนาเป็นหลักปฏิบัติ

หากมนุษย์เราไม่เข้าข้างตัว ได้พิจารณาถึงผลตามหลักธรรมชาติแล้ว ข้าพเจ้าก็คิดว่าคงจะรู้ว่าสัตว์ทุกชนิดที่เกิดมาในโลก นับแต่มนุษย์เป็นสัตว์ที่สูงสุดตลอดจนสัตว์เลื้อยคลาน ต่างมีสัญชาตญาณประจำอยู่ด้วยกันทุกรูปนามสิ่งนั้นคือ “ความกลัว” เราจะเห็นได้ว่าสัตว์ที่เราเลี้ยงอยู่ในบ้าน เพียงเราจะหยิบไม้ขึ้นมาทำท่าจะตีเท่านั้น จะเป็นแมวหรือหมาซึ่งมีความไวต่อความรู้สึก ก็จะทำให้มันตกใจวิ่งเผ่นหนีตามสัญชาตญาณแห่งความกลัว ยิ่งสัตว์ป่ามีความตื่นกลัวอยู่แล้ว เพราะมันเคยพบแต่มนุษย์คอยล่าทำลายมัน

ผิดกับพระภิกษุบางรูปท่านได้แผ่เมตตาธรรมให้มันจึงทำให้มันเข้าหาพระ เพราะสัญชาตญาณรู้ว่าไม่มีภัยอันตรายใดๆ เมื่ออยู่ใกล้พระนี่ก็เห็นได้ว่า สัตว์ทุกชนิดย่อมมีความหวาดกลัวภัยเป็นเจ้าเรือนอยู่แล้ว แต่มันก็สามารถรู้ว่าใครมีเมตตาธรรมแก่มัน หากเรานักล่าสัตว์จะพิจารณาดู ก็จะเคยเห็นแก่ตารู้แก่ใจว่า ขณะที่บุกเข้ายิงสัตว์ป่า เสียงปืนทำให้มันแตกฝูงวิ่งหนีกระเจิง เพราะความหวาดกลัว ตัวลูกพลัดกับตัวแม่ ตัวผู้ผลัดตัวเมีย วิ่งหนีตาลีตาลานจนสุดชีวิต ขอเพียงให้ชีวิตได้รอดตายเท่านั้น และบางตัวถูกยิงจนตายก็ตายไป ที่ไม่ตายก็วิ่งหนีต่อไป บางตัวยังไม่ตายเพียงแต่ถูกยิงบาดเจ็บ จะวิ่งโซซัดโซเซไปหาที่หลบภัยในพุ่มไม้ที่ลับตา ออกมาหากินไม่ได้ แข้งขาถูกลูกปืนบาดเจ็บพิการ ได้รับความลำบากทนทุกข์ทรมานจนกว่าจะหายหรือตายไป

หากเราอยากเป็นนักล่าสัตว์ป่า ก็ควรจะพิจารณาดูตัวเองก่อน แล้วตั้งปัญหาถามตัวเองว่า เราทำเช่นนี้ผิดหรือถูก เราสร้างบุญหรือก่อบาป เมื่อคิดยังไม่ตกก็ย้อนไปคิดว่า เอาความรู้สึกทางจิตใจของเราไปสวมวิญญาณของสัตว์ที่เราตามล่านั้น สมมุติว่าสัตว์นั้นกลับเป็นคนตามล่าเรา หาความสนุกสนานตามอารมณ์เหมือนเราหยิกเนื้อคนอื่นข้างเดียว เขาเจ็บเราไม่เจ็บลองให้เขาหยิกเนื้อเราดูบ้าง แล้วเราจะมีความรู้สึกอย่างไร อย่าลืมว่าเราก็ถือศาสนาพุทธ แต่เราอยู่ในขอบเขตของศีลธรรมหรือเปล่า เราได้ปฏิบัติอะไรผิดศีลธรรมข้อใดบ้าง อย่าปล่อยอารมณ์สร้างกรรมไม่มีขอบเขต อย่างหลงใหลสร้างบาปว่าเป็นกีฬาของมนุษย์

ให้ความเป็นธรรมอย่ารังแกเบียดเบียนสัตว์ มันก็อาศัยอยู่ในป่าที่มีขอบเขตก็มีความสุขแก่ตัว บุกทำลายมันจนจะสูญพันธุ์อยู่แล้ว ถ้าเราได้เอาหลักศีลธรรมมาคิดพิจารณาดูให้ถี่ถ้วนแล้ว เราก็จะเกิดความสมเพชเวทนาสงสาร คงยิงไม่ลงปล่อยให้มีชีวิตอยู่ตามป่าตามดงตามธรรมชาติ อย่าไปรบกวนเบียดเบียน ให้มันอยู่ด้วยความสงบในป่าต่อไป เราก็สบายใจเมื่อมีอายุก็ไม่ต้องกลัวว่ากรรมจะตามสนอง เพราะไม่ได้สร้างกรรมไว้วัยหนุ่ม

ได้บันทึกไว้ว่า คืนนั้นเป็นต้นเดือนวันที่ ๒ เมษายน พ.ศ. ๒๕๑๒ ข้าพเจ้าพร้อมด้วยนายทหารอดีตเป็นนักนิยมไพรชอบล่าสัตว์ ถือว่าเป็นกีฬาของลูกผู้ชาย อีกท่านหนึ่งเป็นนายทหารแม่นปืน ได้รับเหรียญทองและเหรียญเงินเท่าที่รู้ไม่ต่ำกว่า ๖ อัน เราต่างก็ถกกันถึงเรื่องการล่าสัตว์ หรือคนฆ่าสัตว์ว่าเป็นคนสร้างบาปสร้างกรรมหรือไม่ ตกลงคืนนั้นเราจึงพากันขึ้นรถพร้อมทั้งคนขับออกจากที่พัก คืนนั้นเป็นคืนแรม ๑ ค่ำ ดวงจันทร์ยังไม่รู้สึกเว้าแหว่ง กำลังทอแสงสว่างเต็มดวง เพราะเป็นเดือน ๕ ข้างไทย แม้อากาศจะอบอ้าวบ้างในเวลากลางวัน แต่เวลากลางคืนก็เย็นพอสบาย

เมื่อเดือนหงายแจ่มกระจ่างสว่างทั่วท้องฟ้า พื้นแผ่นดินมีภูเขาและดงไม้เป็นทิวทัศน์ใต้แสงเดือนเต็มดวง ย่อมเป็นอาหารทางตาและทางจิตใจสำหรับผู้มีความรู้สึกเป็นปกติ สำหรับนักล่าสัตว์ก็ยิ่งนึกไกลออกไปถึงกลางดงกลางป่า นึกถึงพวกสัตว์หรืออย่างน้อยก็นึกถึงพวกกระต่ายป่าออกมาเล่นแสงจันทร์ จะได้ซ้อมมืออย่างเพลิดเพลินสนุกสนานตามอารมณ์ แล้วแต่ความรู้สึกนึกคิดแต่ละบุคคล ส่วนพวกที่เป็นโสด เวลาเช่นนี้ก็มักจะฝันถึงความรักอันแสนหวานกับคนรักภายใต้แสงเดือน อันมีแต่ความสดชื่น เวลาและสิ่งแวดล้อมทั้งภูเขาลำเนาไม้ภายใต้แสงสว่าง ย่อมจะฝันถึงความสุขด้วยกัน ไม่ว่าหญิงชายทุกรุ่นทุกวัย ผู้สูงอายุก็มักจะคิดถึงความหลังที่สดชื่นครั้งหนึ่งในชีวิตใต้แสงเดือน

การที่ข้าพเจ้าพร้อมทั้งคนขับและเพื่อนๆ มุ่งหน้าออกจากที่พักเมืองชลบุรี มิได้มุ่งหมายเข้าไปในกลางดงกลางป่า เพื่อล่ากระต่ายที่ออกมาเล่นแสงเดือน เพราะข้าพเจ้าเป็นผู้ไม่ชอบสร้างบาป เบียดเบียนสัตว์ หรือมุ่งหน้าจะไปเที่ยวบ้านสาวคนรักเพราะแสงเดือนทำให้เกิดอารมณ์สดชื่น เราขับรถออกจากค่ายที่พักมุ่งหน้าไปทางสิงห์บุรีทันที มุ่งหวังจะพาเพื่อนทั้งสองตรงไปนมัสการท่านพระครูภาวนาวิสุทธิ์ (หลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม) เจ้าอาวาสสำนักวิปัสสนา วัดอัมพวัน อำเภอพรหมบุรี จังหวัดสิงห์บุรี

คืนนั้นนับว่าพวกเราโชคดี เพราะได้พบท่านพระครูอยู่ตามลำพัง ปกติธรรมดาแล้วน้อยนักจะได้มีโอกาสเช่นนี้ เพราะท่านมีแขกมาหาเสมอเป็นประจำ หาเวลาว่างยาก เมื่อเราพากันเข้าไปกราบนมัสการแล้ว ก็ได้มีโอกาสสนทนาที่ชั้นล่างกุฏิของหอประชุม พระประสิทธิ์ได้บริการน้ำร้อนน้ำชาตามเคยทุกครั้งที่ข้าพเจ้ามาถึง


สาธุ สาธุ สาธุ
 


แก้ไขล่าสุดโดย ลูกโป่ง เมื่อ 17 เม.ย.2008, 6:04 pm, ทั้งหมด 2 ครั้ง
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 17 เม.ย.2008, 5:39 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

พวกเราได้สนทนากับท่านตามควรแล้ว ก็เริ่มถามเรื่อง “ผลของกรรม” ท่านพระครูก็ได้กรุณาอธิบายและยกตัวอย่างมีเหตุผลและตัวอย่างที่มีมาแล้ว ทำให้บางคนนึกถึงเมื่อครั้งวัยรุ่นคะนองมือ ดูภูมิใจเมื่อได้ลองฝีมือทางยิงปืน อ่อนทางศีลธรรม แก่ในการสร้างบาปสร้างกรรม

ในเวลานั้นเราไม่เคยคิดถึงเรื่องบาปบุญคุณโทษ ดูเหมือนจะไม่เคยคิดถึงเรื่องศีลธรรม เมื่อเพื่อนชักชวนไปไหนก็ไปตามอารมณ์ เห็นว่าสนุกดี ความเวทนาสงสารไม่เคยคิดอยู่ในความรู้สึก แม้เจ้าสัตว์เคราะห์ร้ายเมื่อถูกลูกปืนยังไม่ตายลงทันที มันยังตะเกียกตะกายวิ่งหนีหัวซุกหัวซุน วิ่งหนีจนสุดกำลังเพื่อเอาชีวิตรอด เนื้อตัวสั่นเทาด้วยความกลัว เรากลับเห็นเป็นของสนุกสนานจิตใจชื่นบาน

มาถึงปัจจุบันนี้ เมื่อได้ฟังหลักธรรมพูดถึงกรรมของท่านพระครูแล้ว ก็ทำให้คิดถึงเวลานั้นก็เศร้าสลดใจ เราไม่นึกว่าจะเป็นคนเหี้ยมโหดดุร้ายเบียดเบียนสัตว์ถึงเพียงนี้ เพราะเราลืมตัว เมื่อเพื่อนนักแม่นปืนได้ถามท่านพระครูว่า “การฆ่าสัตว์เป็นกีฬาที่มนุษย์นิยมไพรชอบล่านั้น จะมีบาปหรือไม่เพราะบางลัทธิเขาบอกว่า การฆ่าสัตว์ให้ตายเพื่อนำมาปรุงอาหารนั้น เขาถือว่าได้อนุเคราะห์ช่วยให้สัตว์ไปเกิดเป็นคน”

ท่านพระครูท่านก็ตอบว่า “ทางพุทธศาสนานั้นผิดศีลข้อแรก เพราะพวกสัตว์อยู่ในป่าหากินตามสภาพของเขา เราก็ควรอยู่ส่วนเรา แต่นี่เรากลับแบกปืนเข้าป่าไปเที่ยวรุกรานรังควานเขา เบียดเบียนฆ่าสัตว์ให้ตาย แล้วเราก็คิดปลอบตัวเอง เรารู้ได้อย่างไรว่าสัตว์ที่เราฆ่าจะต้องเกิดมาเป็นคน เข้าใจไปคนเดียวเพราะสัตว์มันพูดไม่ได้ มนุษย์พูดได้จึงพูดข้างเดียวตามใจชอบ เช่นเมื่อหลายปี บริเวณรอบๆ วัดเกิดน้ำท่วมในป่าละเมาะ พวกกระต่ายป่าต่างก็แตกตื่นหนีน้ำหาที่พึ่งเพื่อให้ชีวิตรอดตาย ที่สุดพวกกระต่ายเหล่านั้นก็หนีน้ำมาพึ่งอาศัยในวัด เพราะเป็นที่ดอนน้ำท่วมไม่ถึง

แม้จะรู้ว่าอยู่ใกล้มนุษย์ใจโหดย่อมเป็นภัยอันตราย แต่พวกกระต่ายก็ไม่มีทางเลือกจะหนีไปหลบซ่อนในที่ปลอดภัยกว่านี้ ก็ต้องตัดสินใจเข้าหาวัดเป็นที่พึ่ง แม้จะรู้ว่าเมื่อพบมนุษย์ใจชั่วเข้าจะต้องตาย แต่ก็ต้องเสี่ยงเพราะดีกว่าจมน้ำตาย ถ้ามนุษย์เราได้ใช้ความคิดกันสักหน่อย ก็จะเห็นใจสัตว์ มีความสงสารเวทนาและแผ่เมตตาธรรมให้สัตว์เหล่านั้น เพราะที่อยู่อาศัยก็ไม่มีต้องตะเกียกตะกายเพื่อเอาชีวิตรอดมาพึ่งวัด

กระต่ายบางตัวก็หลบหนีเข้าไปซ่อนตัวอยู่ในโบสถ์ อาตมาพิจารณาดูแล้วก็สงสาร คิดว่าสัตว์ที่กลัวตายเหมือนกับมนุษย์หนีร้อนมาพึ่งเย็น จึงได้บอกประกาศให้ญาติโยมแถวใกล้ๆ วัดนั้นว่า

ขออย่าได้ทำอันตรายกระต่ายเลย เพราะเท่าที่เขาเสี่ยงภัยเข้ามาอยู่ใกล้คนนี้ ก็กลัวมากอยู่แล้ว ตามปกติกระต่ายก็ตื่นกลัวมนุษย์อยู่แล้ว อย่าได้ไปทำลายเขาเลย เรามาช่วยกันป้องกันให้เขารอดพ้นภัยอันตรายจากน้ำท่วม ก็เป็นกุศลที่เราช่วยชีวิตสัตว์ให้พ้นทุกข์ เพราะเขาไม่มีทางหนีไปไหนอีกแล้ว

ต่อมาชาวบ้านอยู่ข้างวัดคนหนึ่งไม่สนใจไยดีกับคำขอร้อง ได้ถือโอกาสแอบไปล่าเอาไปกินเป็นอาหาร อาตมารู้ก็เศร้าใจ เพราะคิดว่าใครที่ทำกระต่ายพวกที่หนีร้อนมาพึ่งเย็นนั้น ต้องรับกรรมหนักกว่าธรรมดามาก ผิดกับพวกที่ไปเที่ยวบุกยิงในป่า เพราะพวกกระต่ายยังมีทางหลบหนีได้ แต่บัดนี้ไม่มีทางหลบหนีไปไหนได้เพราะจนตรอก และในเวลาต่อมาคนที่กินกระต่ายที่อาศัยวัดหนีภัยน้ำท่วม อยู่ได้ไม่นานก็มีอาการป่วยผิดปกติ แล้วก็ตายลงอย่างทรมาน เพราะกรรมสนอง นี่ก็เห็นจะเป็นเพราะสร้างกรรมหนักไม่เชื่อฟังอาตมา สิ่งที่หนีไม่พ้นก็คือต้องได้ใช้หนี้กรรม”


เพื่อนผู้เป็นนักล่าได้ฟังก็รู้สึกไม่สบายใจเพราะได้ยิงสัตว์มามาก ไม่เคยสนใจคิดถึงเรื่องบุญบาปมาก่อน หาความสนุกสนานตามอารมณ์ของคนหนุ่ม จึงถามท่านพระครูว่า

“ท่านอาจารย์ครับขอรับคือว่าผมเคยยิงสัตว์ป่ามาก่อน แต่ไม่เคยคิดถึงกรรมเวรที่จะติดตามสนอง บัดนี้รู้สึกว่าการที่ทำไปเพราะความคะนองของตน เมื่ออยู่ในวัยขาดศีลธรรม เมื่อมารู้สึกผิดชอบนี้แล้ว มีทางใดบ้างที่จะลบล้างบาปที่เราได้ทำมาแล้วเมื่อครั้งอดีต”

ท่านพระครูได้ฟังก็บอกว่า “บุญกับบาปลบล้างกันไม่ได้ บุญก็อยู่ส่วนบุญเปรียบเหมือนน้ำกับน้ำมัน เท่าที่เรารู้สึกตัวว่าทำบาปสร้างกรรมชั่ว เมื่อคิดได้รู้บุญบาปก็เป็นนิมิตที่ดี ต่อไปก็จะกลับใจสร้างแต่กรรมดี เป็นผู้ที่ควรยกย่องนับถือ ดีกว่าบุคคลบางคนที่เห็นผิดเป็นชอบ เมื่อรู้สึกตัวว่าทำผิด แต่ก็ไม่ละเว้นการทำบาปทำกรรมมาแล้วก็ทำมันต่อไป แทนที่จะสำนึกตัวได้จะกลับตัวกลับใจสร้างกุศลสร้างกรรมดีทดแทนที่หลงผิดมาก่อน ถ้ากลับชั่วเป็นดีได้พระท่านยกย่องสรรเสริญ หากเราสร้างกรรมดีสร้างบุญกุศลให้มาก แม้บุญกุศลจะไม่สามารถลบล้างกรรมได้ก็ดี หากกรรมชั่วกรรมบาปมีน้อยก็ยังติดตามไม่ทัน เพราะกุศลบารมีมากกว่ามาก

เมื่อเราสร้างกุศลเป็นบารมีมากขึ้นเราก็แผ่ส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร สร้างบุญกุศลครั้งใดก็อุทิศทุกครั้งไป หากกรรมชั่วเรามีน้อยไม่มากก็จะจางไป เพราะส่วนกุศลที่เราอุทิศเพื่อชดใช้หนี้กรรมไปในตัวแล้ว แต่เมื่อเราสร้างกรรมดีมากขึ้น กรรมชั่วถึงไม่จางก็ค่อยห่างออกไปยังตามไม่ทัน หากหยุดสร้างกุศล และหันมาสร้างกรรมชั่วสร้างบาปต่อไป กรรมชั่วก็จะเข้าใกล้ชิดติดตามมาทันสนองเร็วขึ้น หากยิ่งเป็นกรรมหนักแล้วก็ยากที่จะหลบหนีพ้นไปได้ แม้จะได้พยายามสร้างกรรมดีเพียงใด แต่กรรมบาปนั้นหนักเกินกว่ากรรมดีที่กำลังปฏิบัติในชาตินี้ ก็ต้องได้รับกรรมหนักชาติที่ตามมาสนองไปก่อนกว่าจะหมดเวร ส่วนกรรมดีก็คงจะสนองภายหลังหรือชาติหน้าเมื่อใช้หนี้กุศลกรรมหมดแล้ว”

เช่นเรื่องที่เกิดขึ้นมาแล้วเมื่อปี ๒๕๐๔ ซึ่งเป็นเรื่องที่ผู้ได้รับเคราะห์กรรมในเวลานั้น เป็นผู้เลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนา มีจิตใจเป็นกุศลได้ร่วมงานทำบุญช่วยเหลือกิจการของวัดกับอาตมามาหลายปี และได้สนใจศึกษาทางวิปัสสนากรรมฐานกับอาตมา บุคคลผู้นี้มีนามว่า ชลอ เกิดสุวรรณ เพราะในอดีตเคยรับราชการเป็นทหารเสนารักษ์ เป็นคนใจดีมีความเมตตาเผื่อแผ่ช่วยชาวบ้าน เมื่อเจ็บไข้ได้ป่วยก็มิได้รังเกียจเป็นที่รักใคร่ ชาวบ้านพากันเรียกว่า “หมอชลอ” ท่านผู้นี้เดิมอยู่บ้านศาลาลอย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา

ต่อมาได้แต่งงานอยู่กินกับนางสาวทองใบ ซึ่งมีหลักฐานบ้านเรือนอยู่ในหมู่บ้านข้างวัด หมอชลอได้มาวัดศึกษานั่งสมาธิบริกรรมเป็นประจำ จนสามารถทำจิตให้สงบเป็นสมาธิเข้าขั้นใช้ได้ วันหนึ่งหมอชลอได้เล่าให้อาตมาฟังว่า เมื่อขณะที่หมอชลอนั่งทำสมาธิ ก็เกิดนิมิตปรากฎเป็นภาพในอดีตชาติให้เห็นอย่างชัดเจน เหมือนชีวิตเพิ่งผ่านไปไม่นานนัก ภาพนั้นแสดงให้เห็นชีวิตชาติก่อน เมื่อครั้งหมอชลอมีอายุ ๑๖ – ๑๗ ขวบ และมีพี่ชายอยู่ผู้หนึ่ง ส่วนบิดามารดาเป็นชาวรามัญ มีภูมิลำเนาอยู่ในจังหวัดราชบุรี อาชีพขายโอ่ง โดยนำโอ่งบรรทุกเรือขึ้นล่องไปขายตามลำน้ำ

ครั้งนั้นมีเพื่อนของพี่ชายได้มาชักชวนให้หมอชลอเข้าพวกไปปล้นในหมู่บ้าน “ม่องร่าย“ ใกล้น้ำตกเอราวัณ เขตจังหวัดกาญจนบุรี ชีวิตของคนรุ่น เมื่อถูกชักจูงไปทางชั่วก็เห็นเป็นของสนุกตื่นเต้น ขาดสติยับยั้ง จึงตกลงร่วมไปปล้นกับเขา ถึงเวลานัดก็ไปกับพี่ชายพร้อมด้วยอาวุธปืน เมื่อถึงบ้านหลังหนึ่งปลายหมู่บ้าน อยู่โดดเดี่ยวก็จู่โจมเข้าไปไม่ทันให้เจ้าของบ้านรู้ตัว เมื่อชายเจ้าของบ้านตกใจ เห็นการบุกเข้ามาในบ้านก็นึกรู้ว่าเป็นพวกปล้นไม่ทันจะต่อสู้ พี่ชายหมอชลอก็เอาปืนยิงชายเจ้าทรัพย์ล้มฟุบลง

เพื่อนของพี่ชายทำหน้าที่ออกคำสั่งให้หมอชลอฆ่าหญิงเมียเจ้าของบ้าน ซึ่งกำลังนอนอยู่บนกระดานไฟเพิ่งจะออกลูกใหม่ๆ เพราะหญิงคนนั้นตกใจ ร้องเรียกให้คนมาช่วยจนเสียงหลง หมอชลอก็ได้ฆ่าผู้หญิงคนนั้นตาย และโยนเด็กที่คลอดใหม่ๆ ลงไปในกองไฟทั้งเบาะ เผาทั้งเป็น ซึ่งหมอชลอทำได้อย่างใจแข็ง ดุร้าย ขาดความเมตตา กล้าต่อการทำบาป ไม่คิดสงสารสังเวช จิตใจเหี้ยมโหดไม่สะทกสะท้านตื่นเต้น (การฆ่าทั้งแม่และลูก)

กลับเห็นเป็นของธรรมดา ได้ทำตามคำสั่งของหัวหน้าซึ่งเป็นเพื่อนของพี่ชาย ด้วยความเต็มใจองอาจ และทั้งอยากแสดงถึงความกล้าให้เห็นว่าเป็นคนเก่งตามนิสัยคนหนุ่ม ที่ไม่รู้บุญบาป ส่วนเพื่อนของพี่ชาย ก็เก็บทรัพย์สินเงินทองเท่าที่ค้นได้เสร็จ แล้วก็จุดไฟเผาบ้านให้ไหม้หมดทั้งหลัง แล้วต่างก็พากันรีบหลบหนีเพราะเกรงพวกชาวบ้านจะพากันมาช่วย เมื่อกลับมาถึงบ้าน ก็ช่วยกันปิดเรื่องไม่ให้พ่อแม่รู้


สาธุ สาธุ สาธุ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 17 เม.ย.2008, 5:43 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ครั้นต่อมา หมอชลอกับพ่อแม่ก็ล่องเรือ นำโอ่งบรรทุกไปขายตามที่เคยปฏิบัติมาแล้ว หมอชลอกำลังถ่อเรือขายโอ่ง แล้วก็หน้ามืดตกน้ำลงไปถึงแก่ความตาย นี่เป็นกรรมในอดีตชาติ ซึ่งได้เกิดนิมิตขึ้นมาให้เห็นในขณะนั่งกรรมฐาน หมอชลอได้เล่าให้อาตมาฟังอย่างถี่ถ้วน

อาตมาพิเคราะห์ดูแล้วก็รู้ว่าอดีตกรรมนั้นมาก และคงตามสนองในอนาคต แม้ในชาติปัจจุบันนี้จะปฏิบัติธรรมเพียงไรก็หนีกรรมในอดีตชาติไม่พ้น อาตมาก็ให้ลืมเรื่องที่นิมิตเสีย อย่านำมาคิดเป็นอารมณ์ ลืมภาพที่ได้เห็นนั้นเสียแล้วทำจิตใจให้ปกติ เสร็จแล้วนั่งทำสมาธิปฏิบัติกรรมฐานใหญ่ อย่านึกถึงภาพในอดีตอีกต่อไป

แม้หมอชลอจะได้พยายามนั่งใหม่ แต่ภาพนิมิตก็เกิดซ้ำๆ กันหลายครั้ง เมื่อหมอชลอเล่าและถาม อาตมาก็ได้แต่ปลอบโยนให้พยายามลืมเสีย อย่าได้นึกถึงอีก แล้วพยายามทำบุญกรวดน้ำให้พวกเจ้ากรรมนายเวร ข้อสำคัญให้พยายามสร้างบุญ แผ่อุทิศส่วนกุศลให้มากขึ้น

เรื่องนี้อาตมาได้บันทึกไว้เมื่อวันที่ ๘ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๙๘ เพื่อตรวจสอบเหตุการณ์ข้างหน้าว่า จะมีอะไรเกิดขึ้นกับหมอชลอ แต่คงจะยังไม่ทันทำอะไร เพราะบังเอิญนายเจริญ เกิดสุวรรณ ซึ่งเป็นพี่ชายของหมอมีภูมิลำเนาอยู่ที่จังหวัดอยุธยาได้เดินทางมาหา และได้ชักชวนให้หมอชลอร่วมทุนไปค้าไม้ไผ่ที่เมืองกาญจนบุรี เวลานั้นไม้ไผ่กำลังเป็นสินค้าที่ขายส่งออกต่างประเทศมาก ผู้ค้าไม้ไผ่มีกำไรดีมีผู้ร่ำรวยไปตามกัน เพราะลงทุนน้อยได้กำไรมาก หมอชลอมองเห็นทางที่จะรวยเหมือนผู้อื่นอยากเป็นเศรษฐีอย่างมนุษย์ปุถุชนธรรมดาทั่วไป มองเห็นแต่ทางได้เงินอยู่ข้างหน้าอย่างตื่นเต้นสนใจมาก

หมอชลอได้มาหาอาตมาเพื่อปรึกษาขอความเห็นในเรื่องจะไปค้าไม้ไผ่ เพื่อสะดวกไม่ต้องห่วงหน้าห่วงหลังที่ต้องขึ้นๆ ลงๆ เป็นภาระทำให้เสียเวลาทำมาหากิน อาตมาถามถึงตำบลที่จะไปตั้งครอบครัว หมอชลอบอกว่า พี่ชายจะให้ไปอยู่ตำบลม่องร่าย เมืองกาญจนบุรี เมื่ออาตมาได้ยินก็เศร้าไม่สบายใจได้พิจารณาเห็นว่า หากจะยับยั้งขัดขวางห้ามหมอชลอคงจะไม่สำเร็จเพราะจิตใจของหมอชลอตื่นเต้น มองเห็นความเป็นเศรษฐีอยู่ข้างหน้า หายใจเป็นไม้ไผ่อยู่แล้วเหมือนน้ำกำลังไหลเชี่ยวจัด ไม่มีอะไรจะขัดขวางยับยั้งไว้ได้ แม้จะเกรงใจอาตมาอยู่บ้าง แต่ก็ยากที่จะสำเร็จได้ เห็นจะเป็นอกุศลกรรมจึงเกิดโลภ

อาตมาจะเตือนถึงเรื่องอดีตชาติที่เห็นทางนิมิตก็ไม่ได้ เพราะอาตมาสอนให้ลืมเรื่องอดีตชาติที่เคยมองเห็นในนิมิต อย่าได้นึกถึงต่อไป ขอให้เพียงสร้างบุญกุศลให้มากๆ เท่านั้น เมื่อพิจารณาดูแล้ว จึงเพียงแต่แนะนำว่า การไปครั้งแรกยังไม่ควรนำครอบครัวไป เพราะเรายังไม่รู้ไม่เห็นความเป็นอยู่ทางโน้นจะเป็นอย่างไร ควรจะไปคนเดียวก่อน เมื่อได้ไปเห็นและได้ประโยชน์เพียงพอแล้วก็หาที่ทางไว้ก่อน เพื่ออพยพไปก็จะไม่เกิดยุ่งยาก หากไปเห็นการค้าไม้ไผ่ไม่เกิดผลดีตามที่เข้าใจ ก็จะกลับมาอยู่อำเภอพรหมอย่างเดิม ก็จะได้ไม่ต้องลำบาก หมอชลอก็ตกลงตามที่อาตมาให้ความเห็น

จากนั้นหมอชลอก็ได้เดินทางพร้อมกับพี่ชายไปทำการค้าไม้ไผ่ ที่เมืองกาญจนบุรี อาตมาก็อดที่จะเป็นห่วงหมอชลอไม่ได้ คอยฟังข่าวอยู่เสมอว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น แต่ก็ยังไม่มีข่าวอะไรคืบหน้า หลังจากหมอชลอออกจากบ้านที่อำเภอพรหมบุรี เวลาผ่านไปได้หนึ่งปี หมอชลอก็กลับมาเยี่ยมบ้านครอบครัวและได้มาเยี่ยมที่วัด อาตมาได้ถามถึงกิจการค้าไม้ไผ่ หมอชลอได้เล่าถึงเรื่องการค้าไม้ไผ่ได้ผลประโยชน์กำไรดีมาก เพียงปีเดียวก็เห็นหน้าเห็นหลัง ได้จับจองที่ดินอยู่ในป่าลึก ได้ปลูกกระต๊อบอยู่กับพี่ชายในพื้นที่จับจองบ้านม่องร่าย ตำบลท่ากระดาน แถวถิ่นน้ำตกเอราวัณ กิ่งอำเภอศรีสวัสดิ์ เขตกาญจนบุรี

มาคราวนี้ตั้งใจจะรับครอบครัวไปอยู่รวมกันจะได้ไม่ต้องเป็นห่วง เพราะต้องนำไม้ไผ่ล่องแพไปตามลำน้ำแคว ไปขายส่งที่เมืองกาญจนบุรี ทั้งปลูกบ้านไว้สำหรับครอบครัวแล้ว กว้างขวางสบาย อาตมารับฟังด้วยความสงบ และพูดให้กำลังใจว่า หากไปหากินได้รับความเจริญก้าวหน้า อาตมาก็ยินดีด้วย แต่ใจนั้นรู้สึกสังหรณ์ชอบกล ก็ได้แต่เตือนให้ระวังเคราะห์กรรม อย่าทิ้งทางพระหนักจะเป็นเบา และได้ชี้เหตุผลตามกฎแห่งกรรมให้ฟัง แต่รู้สึกหมอชลอเปลี่ยนแปลงไปมาก ได้พูดว่าเมื่อถึงคราวแล้วอยู่ไหนก็ต้องตาย ทุกคนหนีไม่พ้นความตาย แต่ก็ดีใจที่สร้างกุศลไว้มากแล้ว อาตมารู้ว่าไม่สามารถยับยั้งกลับมาสู่ปกติเดิมได้ เห็นจะเป็นเพราะกรรมเวรนำไป

เมื่อได้สนทนาพอสมควรแล้ว หมอชลอได้อำลาจากไป และได้อพยพครอบครัวพร้อมด้วยหลาน ๒ คน คือ นางอุไร และนางเชวง เชื้อศรีแก้ว ซึ่งขอติดตามไปประกอบอาชีพที่เมืองกาญจนบุรีด้วย ทั้งหมอชลอกำลังตื่นเต้น มองเห็นความมั่งมีล่วงหน้าในอนาคต อาตมาก็ได้แต่เตือนว่าอย่าทิ้งทางพระเท่านั้น

เวลาได้ผ่านไปประมาณ ๔ ปี ก็ยังไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น อาตมาสนใจในครอบครัวนี้มาก เพราะเหตุการณ์ในอดีตชาติเมื่อเวลาทำสมาธินั่งวิปัสสนานั้น เป็นกรรมที่หนักมากยังมองไม่เห็นทางที่จะแบ่งเบาลงไปได้ นอกจากปฏิบัติทางธรรมแล้วอุทิศส่วนกุศลไปให้เจ้ากรรมนายเวร เพื่อขออโหสิกรรมคงเบาลงได้บ้าง แต่ทราบว่าที่ไปอยู่เมืองกาญจน์นั้น หมอชลอไม่มีเวลานั่งกรรมฐานทำบุญสร้างกุศล มัวแต่คิดถึงการงานหาเงิน อาตมาก็เศร้าใจเพียงแต่คอยฟังข่าว

จากนั้นต่อมาอาตมาก็ได้รับข่าวร้ายแรงเกิดขึ้นแก่ครอบครัวนี้ เป็นเรื่องที่เศร้าสลดใจมาก ข่าวนี้จากญาติภรรยาของหมอชลอซึ่งไปมาหาสู่มาเล่าให้อาตมาฟัง และกรรมหนักในอดีตชาติของหมอชลอตามทันมาสนองแล้ว

เรื่องมีว่า วันนั้นหมอชลอได้เดินทางมีธุระเข้าไปในเมืองกาญจนบุรีพร้อมด้วยบุตรและภรรยา ทางบ้านเหลือแต่พี่ชายคนเดียวเมื่อกลับมาถึงบ้านก็ได้ทราบข่าวว่าทางบ้านถูกปล้น ส่วนพี่ชายก็ถูกพวกปล้นยิงสิ้นใจตายคาบันไดบ้าน แล้วพวกปล้นก็กวาดทรัพย์สินเงินทองไปหมด เมื่อหมอชลอพร้อมด้วยบุตรภรรยาทราบข่าวกลับมาถึงบ้าน เห็นเหตุการณ์ร้ายแรงก็ตกใจสิ้นสติแทบจะเป็นลม หมอชลอรีบเดินทางไปแจ้งกับเจ้าหน้าที่ให้ทราบ และให้มาชันสูตรศพพี่ชายตามกบิลเมือง แต่เจ้าหน้าที่มาล่าช้าปล่อยให้ศพขึ้นอืดแล้ว

ต่อมามีชายลึกลับมาบอกหมอชลอแกมขู่ ให้รีบอพยพครอบครัวออกจากตำบลนี้ ไปอยู่เสียให้ไกลโดยเร็วที่สุด มิฉะนั้นก็จะต้องตายอย่างพี่ชาย หมอชลอไม่ชอบให้คนมาขู่ มีความหยิ่งในศักดิ์ศรีของลูกผู้ชาย ธรรมดาคนเราส่วนมากไม่ชอบให้ใครมาขู่ยิ่งเอาอำนาจมืดความชั่วเข้ามาข่มขู่แล้ว แม้จะรู้ว่าสู้ไม่ได้ ความโกรธ ความแค้น ความเจ็บใจ ความพยาบาท ทำให้ขาดสติเกิดความประมาท ไม่ได้คิดหน้าคิดหลัง ยิ่งพี่ชายถูกข่มเหงฆ่าฟันกันซึ่งๆ หน้าแล้ว ก็คิดว่าต้องมายิงกันพักหนึ่งจนกว่าจะรู้ว่าใครจะเป็นศพไป

ฉะนั้น ความโกรธแค้นเจ็บใจเป็นพลัง ทำให้หมอชลอไม่ยอมหนีไม่กลัวคำขู่ ทั้งไม่ยอมไปจากถิ่นที่ได้ทำประโยชน์เป็นเงินทองขึ้นมาแล้ว ทั้งคอยระวังตัวไม่ประมาท ซ้อมยิงปืนให้แม่นยำอยู่เสมอ ทั้งปืนสั้นและปืนยาวและตลอดเวลาอยู่ในบ้านปืนไม่ยอมห่างตัว ขึ้นลำกล้องอยู่เสมอเมื่อฉุกเฉินฉวยใช้ยิงได้ทันที เตรียมพร้อมเพื่อต่อสู้เต็มที่อย่างลูกผู้ชาย เมื่อเข้าที่คับขันก็ได้สตินึกถึงคำเตือนของท่านพระครูขึ้นมาได้ จึงสั่งหลานไว้ว่าหากตนได้ประสบชะตากรรม สิ้นบุญไปแล้ว ก็ขอให้ช่วยกันดูแลบ้านช่องต่อไปด้วย

หลังจากพี่ชายถูกยิงตาย เมื่อผู้ร้ายเข้าปล้นผ่านไปเพียง ๑๕ วัน วันนั้นเป็นเวลากลางวัน เสียงเรือหางยาวมาจอดอยู่ที่ท่าน้ำ แล้วตะโกนเรียกชื่อหมอชลอที่ท่าน้ำ ทางฝ่ายนางทองใบภรรยาหมอชลอได้ลงจากเรือนไปที่ท่าน้ำ ที่เรือหางยาวจอดอยู่ เห็นคนในเรือประมาณ ๑๕ คน แต่งเครื่องแบบสีกากีมีปืนพร้อมคล้ายตำรวจ ร้องตะโกนถามนางทองใบว่า หมอชลออยู่ไหม มีเรื่องจะขอพบด่วนให้ลงมาที่ท่าน้ำ นางทองใบรีบขึ้นบนเรือนบอกหมอว่า เจ้าหน้าที่ขอพบด่วน หมอชลอนึกว่าเป็นเจ้าหน้าที่มาสอบสวนเรื่องที่พี่ชายถูกพวกปล้นฆ่าตายเกิดความประมาท เดินลงกระไดไปที่ท่าน้ำ


สาธุ สาธุ สาธุ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 17 เม.ย.2008, 5:48 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ส่วนภรรยาก็ยืนมองอยู่บนตลิ่งสูงชัน เพียงเห็นเขายืนพูดกัน แต่ก็ไม่ได้ยินว่าเขาพูดกันเรื่องอะไรเพราะอยู่ไกล ครู่หนึ่งก็เห็นหมอชลอหันหลังก้าวเดินกลับขึ้นบ้าน ทันใดนั้นคนหนึ่งที่อยู่ในเรือใกล้หมอชลอ ก็ยกปืนขึ้นจ่อยิงท้ายทอย หมอชลอไม่ทันรู้ตัวจึงไม่ได้ระวัง พอสิ้นเสียงปืนก็ล้มกลิ้งตกน้ำขาดใจตายทันที ภรรยาเห็นเหตุการณ์เกิดขึ้นก็ตกใจสิ้นสติเป็นลม ส่วนพวกคนร้ายที่ปลอมเป็นตำรวจนั้น หลังจากยิงหมอชลอตกน้ำแล้ว เมื่อแน่ใจว่าตายแล้วก็เร่งเครื่องเรือหางยาวหลบหนีไป เหตุเกิดขึ้น เมื่อวันที่ ๔ กันยายน พ.ศ. ๒๕๐๔

ส่วนนางทองใบภรรยาหมอพอฟื้นได้สติก็ร้องไห้โฮคล้ายคนบ้า วิ่งไปที่ท่าน้ำลงไปประคองสามีที่รัก เมื่อรู้ว่าสามีสุดที่รักหมดลมไปก่อนแล้ว ไม่มีโอกาสได้สั่งเสียบุตรภรรยา ก็กอดศพผัวรักร่ำไห้สะอึกสะอื้น แทบจะขาดใจตายตามสามี ครั้นจะอุ้มศพสามีขึ้นจากน้ำก็อุ้มไม่ไหว พวกคนงานก็ยังอยู่ในป่า เหลือแต่ลูกก็ยังช่วยเหลืออะไรไม่ได้ จำเป็นต้องหาเชือกมาผูกศพไว้กับเสาสะพานท่าน้ำ เพราะเกรงว่าเมื่อน้ำขึ้นศพจะลอยไปไกล หรือจมห่างออกออกไปจากท่าน้ำจะลำบาก รีบไปแจ้งความให้ทางบ้านเมืองรีบมาชันสูตรศพตามระเบียบ

นางทองใบนั้นครั้นสามีที่รักได้สิ้นบุญไปแล้ว ทั้งต้องสูญเสียพี่ชายของสามี ทั้งตัวก็เป็นหญิง ทำอะไรไม่ถูกมีแต่ความหวาดกลัวและเศร้าโศกเสียใจอย่างหนัก ยิ่งคิดก็ยิ่งใจหาย เพราะสามีต้องมาตายลงสดๆ ร้อนๆ ตัวก็มีแต่ความว้าเหว่ยังไม่เคยประสบกรรมหนักเช่นนี้มาก่อนในชีวิต จึงไม่สามารถจะอยู่ในดงป่าตามลำพังหลานๆ ต่อไปได้ จึงตัดสินใจนำศพสามีพร้อมด้วยพี่ชายจัดการเผาอย่างตามมีตามเกิด ให้เสร็จสิ้นไปโดยเร็วในเขตที่กลางลานบ้าน มีเจ้าหน้าที่มารับรู้ ในการเผาครั้งนี้ด้วย

เมื่อเสร็จแล้วก็จัดแจงเก็บกระดูกห่อผ้าขาวไว้ แล้วมิได้รออยู่ช้ารีบเก็บข้าวของเท่าที่มีอยู่ พอจะนำติดตัวไปได้ ก็พาลูกๆ ลงแพแล้วก็รีบล่องแพไปตามลำน้ำแควเพื่อกลับภูมิลำเนาเดิม แต่เคราะห์กรรมมิได้สิ้นสุดลงเพียงเท่านั้น ได้ติดตามสนองครอบครัวของหมอชลอต่อไป

การล่องแพนั้น เป็นการเสี่ยงอันตรายมาก หากไม่ชำนาญร่องน้ำแล้วอาจชนหินเกาะแก่งใต้น้ำ ทำให้แพแตกได้ แพที่นางทองใบภรรยาของหมอชลอล่องมาก็เช่นกัน คนถ่อแพคงไม่ชำนาญจึงเกิดไปกระทบโขดหินใต้น้ำจนแพแตก พวกเด็กๆ ต้องลอยคออยู่ในน้ำ แต่เคราะห์ดีที่ได้มีชาวบ้านช่วยกันไว้ทัน จึงไม่มีใครเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิต เพราะพาเข้าฝั่งได้

เคราะห์กรรมมิได้หยุดยั้งได้ติดตามซ้ำเติมบุตรภรรยาหมอชลอ กว่าจะกลับมาถึงภูมิลำเนาเดิมที่บ้านบางสำโรง อำเภอพรหมบุรี จังหวัดสิงห์บุรี ก็ได้รับความลำบากยากแค้นแสนสาหัส เลือดตาแทบกระเด็นเป็นเรื่องเศร้าสลดใจเท่าที่เคยได้ยินมา

เมื่อมาถึงบ้านบางสำโรงแล้ว พวกญาติพี่น้องก็พากันมาเยี่ยมแสดงความเสียใจในการตายของหมอชลอ และความทุกข์ยากลำบากของนางทองใบและลูกๆ ในการเดินทางต้องผจญชีวิต แม่ๆ ลูกๆ พวกพี่น้องได้พร้อมใจกันกำหนดวันจัดการทำบุญกระดูกเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้หมอชลอกับพี่ชาย เจ้าภาพได้มานิมนต์ให้อาตมาไปร่วมในงานนี้ แต่บังเอิญรับนิมนต์ที่อื่นไว้ก่อนจึงไม่ได้ไปในวันงาน แต่อาตมาก็ได้ไปเทศน์ก่อนงานสองวัน เพื่อให้ญาติโยมทั้งหลายได้ทราบถึงกรรมในอดีตชาตินั้นมีจริง สามารถจะกลับมาสนองในชาตินี้ได้ ไม่มีปัญหาข้อความใดๆ สงสัยอีก

หลังจากวันที่อาตมาไปเทศน์ก่อนวันงานนั้น ได้มีญาติพี่น้องเพื่อนฝูงผู้ที่คุ้นเคยได้พากันไปเยี่ยม และซักถามถึงสาเหตุการตายของหมอชลอ ทำให้นางทองใบระลึกถึงสามีคู่ชีวิตต้องมาตายอย่างน่าอเนจอนาถใจ ก็เริ่มเสียใจร้องไห้สะอึกสะอื้นปิ่มว่าชีวิตจะจากร่างตามสามีไป

ผู้ที่ได้ยินได้ฟังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับหมอชลอจนที่สุดก็ต้องตายอย่างน่าสงสาร ที่ประสบโชคร้ายเช่นนี้ต่างก็พลอยเศร้าโศกสลดใจไปด้วย และต่างก็เห็นใจนางทองใบที่รักสามีอย่างสุดซึ้ง เล่าไปร้องไห้ไปท่ามกลางหมู่ญาติพี่น้องมิตรสหายผู้คุ้นเคย ซึ่งบางคนก็ไม่สามารถจะกลั้นน้ำตาได้ก็พลอยร้องไห้ไปด้วย ความเศร้าเสียใจหนักจนทำให้นางทองใบสลบแน่นิ่งไป
หมู่ญาติต้องช่วยกันแก้ไขให้รู้ตัวขึ้นมาแล้ว นางทองใบก็มิได้สร่างความเศร้าโศก ยิ่งนึกยิ่งเสียใจร้องไห้รำพันถึงความดีของหมอชลอผู้สามีมิได้หยุด มิได้ระงับความทุกข์ไว้เพราะขาดสติได้ปล่อยตามอารมณ์ และในที่สุดก็เป็นลมสิ้นสติไปอีกเพราะเสียใจมากเกินไป แน่นิ่งไปในท่ามกลางล้อมรอบด้วยญาติพี่น้องเพื่อนฝูง ต่างพากันตกตะลึงช่วยกันแก้ไขอีกครั้งหนึ่ง แต่ไม่มีใครสามารถที่จะช่วยอะไรได้ เพราะนางทองใบได้สิ้นใจลงเพราะหัวใจวายเมื่อวันที่ ๘ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๐๔ ต้องทิ้งให้หลานผจญชีวิตอยู่ในโลกต่อไป

หลังจากนั้นไม่นานก็ได้ข่าวว่า ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจมิได้นิ่งนอนใจ ท่านผู้กำกับ พันตำรวจเอกยงยุทธ เกษรมาลา ได้นำกำลังตำรวจหลายหน่วย ติดตามเพื่อจับกุมพวกโจรผู้ร้ายที่ทำการอุกอาจ เที่ยวปล้นทำลายชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนชาวบ้านผลกรรมตามสนอง ตำรวจได้ล้อมไว้ เสือไม่ยอมมอบตัว และได้ยิงต่อสู้เจ้าหน้าที่

ที่สุด เสือสวัสดิ์ อุดม และเสือปี ปิยะพันธ์ ซึ่งเป็นหัวหน้าโจรและรองหัวหน้าโจรเป็นผู้เข้าปล้นและฆ่าพี่ชายหมอชลอ และต่อมาก็ยิงหมอชลออย่างใจเย็น ก็ถูกกระสุนปืนของตำรวจตายตามกรรมที่ได้ก่อไว้ ส่วนสมุนโจรก็ยอมเข้ามอบตัวและถูกจับรวม ๓๘ คน เมื่อเจ้าหน้าที่ไต่สวนแล้วก็ฟ้องลงโทษทางโรงศาลต่อไป

นี่อาตมาก็คิดว่าเป็นตัวอย่างที่มีผู้สร้างบาปอย่างอนันตกรรมไว้ในอดีตชาติแล้ว ซึ่งได้ตามมาสนองในชาตินี้ ขอให้ญาติโยมทั้งหลายพิจารณาดูว่า ทุกคนเกิดมาใช้หนี้กรรมไม่ว่าจะเป็นกรรมดีหรือกรรมชั่วย่อมตามสนองเราอยู่เสมอ ไม่มีใครหนีพ้นกรรมไปได้ ขอให้ญาติโยมทั้งหลายใช้สติปัญญาพิจารณาดูเป็นตัวอย่างในเรื่องนี้

เมื่อท่านพระครูเล่าเรื่องนี้จบลงแล้ว พวกเราก็สนทนากับท่านอยู่พักหนึ่ง เห็นเวลาจะเที่ยงคืนแล้วเดือนกำลังแจ่มฟ้า เรามองตากันแล้วพยักหน้า ต่างก็ก้มลงกราบนมัสการลาท่านอาจารย์พระครูภาวนาวิสุทธิ์ เพื่อท่านจะได้พักผ่อนจำวัด เพราะรู้สึกว่าท่านจะมีแขกมาสนทนากับท่านตลอดเวลา

เมื่อเราขึ้นรถออกจากวัดอัมพวัน แล้วมุ่งกลับจังหวัดลพบุรี ขากลับนี้แสงจันทร์สว่างกระจายออกไปทั่ว เพราะเป็นเวลาเพียงแรมหนึ่งค่ำ แต่พวกเราก็นั่งเงียบมิได้ปริปากพูดอะไรเพราะทุกคนก็ใช้หัวคิด จะพูดออกมาแต่ละคำก็มักจะพูดถึงเรื่องกรรมในอดีตชาติ นอกจากเสียงเครื่องยนต์ของรถ ซึ่งกำลังผ่านทุ่งนาป่าดงริมเขาลำเนาไพร ซึ่งมีดวงจันทร์ส่องกระจ่างอยู่กลางเวหาเพราะเวลากำลังจะย่างเข้าวันใหม่ ที่สุดเราก็กลับถึงที่พักในค่ายทหาร สิ่งที่เราได้ความรู้ในคืนนั้นก็คือ “เรื่องอดีตชาติ” ไม่มีข้อสงสัยอะไรเหลือไว้เป็นปัญหาอีกแล้ว หากจะมีเฉพาะบุคคลที่มีระดับจิตแตกต่างกันเท่านั้น

ผู้เขียนเรียบเรียงเรื่องนี้ขึ้นจากท่านผู้บันทึก ซึ่งเป็นนายทหารผู้หนึ่ง ได้กรุณาส่งมาให้ หากท่านผู้อ่านสงสัยเรื่องอดีตชาติที่ได้บรรยายมานี้ ยังมีสิ่งใดไม่แจ่มแจ้ง ก็ได้กรุณาถามไปทางท่านพระครูภาวนาวิสุทธิ์ ที่วัดอัมพวัน อำเภอพรหมบุรี จังหวัดสิงห์บุรีท่านคงจะได้ข้อความแจ่มแจ้งกว่านี้ ท่านอาจให้ความรู้ลึกซึ้งกว่าที่ได้บรรยายมา และขอกราบนมัสการขอบคุณท่านพระครูภาวนาวิสุทธิ์ที่ได้กรุณาให้ลงชื่อจริงได้ทุกท่าน และตำบลที่อยู่อย่างแจ่มแจ้ง เพื่อคลี่คลายที่บางท่านจะนึกสงสัยว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่ง และคงหมดหน้าที่ผู้เขียนจะต้องคอยตอบคำถาม และนับว่าเรื่องนี้คงจะเกิดประโยชน์ขึ้นบ้างไม่มากก็น้อย

ขอให้ความดีของเรื่องทั้งหมด อุทิศให้แก่บุคคลที่เกี่ยวข้องในเรื่องที่ได้ล่วงลับไปแล้วทุกท่าน และผู้เรียบเรียงจะลืมเสียมิได้ก็คือขอขอบคุณ พันเอกวสันต์ พานิช และ พันตรีเที่ยง คนานุวัตร ผู้ได้ให้ความกรุณาบันทึกเรื่องจากท่านพระครูภาวนาวิสุทธิ์ ที่เกิดแล้วส่งมา เพื่อจะได้เกิดประโยชน์ส่วนรวมต่อไป........


สาธุ สาธุ สาธุ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
suvitjak
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 26 พ.ค. 2008
ตอบ: 457
ที่อยู่ (จังหวัด): khonkaen

ตอบตอบเมื่อ: 17 มิ.ย.2008, 4:36 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สาธุ ขอบคุณครับ สู้ สู้
 

_________________
ซื่อกินไม่หมดคดกินไม่นาน
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง