Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 การบรรลุธรรม อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
charoem
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 07 เม.ย. 2008
ตอบ: 31

ตอบตอบเมื่อ: 07 เม.ย.2008, 12:30 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ผมอยากทราบว่า การบรรลุธรรม จำเป็นมั้ยที่ต้องบวชพระเสียก่อน
เป็นปุถุชน ชาวบ้านธรรมดา สามารถบรรลุธรรมได้หรือไม่ครับ

ที่สงสัยเพราะตอนนี้ผมเริ่มอ่านหนังสือเรื่อง 7 เดือนบรรลุธรรม โดยตังตฤน
http://dungtrin.com/7months/index.html

ตอนนี้ในใจผมก็มีกิเลสหนานัก แต่อยากจะบรรลุธรรมบ้าง
ซึ่งผมเริ่มปฏิบัติธรรมและศึกษาหนังสือธรรมมะที่หอพัก
วันแรก 1 มีนาคม 2551 ผ่านมาถึงวันนี้ 1 เดือนกับ 7 วัน (1 มีค-7 เมย 51)
ก็เริ่มตั้งแต่การศึกษาเรื่อง สติปัฐฐาน ถ้าผมตั้งใจทำจริงเดือนกันยายน
ผมก็ต้องบรรลุธรรม ตามที่หนังสือเขียนไว้

แต่มันจะเป็นไปหรือครับ ผมยังเป็นคนทั่วไปอยู่เลย ต้องบวชก่อนมั้ย
แล้วค่อยปฏิบัติ หรือปฏิบัติไปก่อน แล้วมีโอกาสค่อยไปบวชทีหลัง
แล้วสิ่งที่ปฏิบัติไว้แล้วตอนยังไม่บวช จะยังคงอยู่หรือไม่
หรือต้องเริ่มกันใหม่หมดหลังจากบวชแล้ว

ความอยาก หรือ ความต้องการ ที่จะบรรลุธรรม
ผมว่า เป็นกิเลสที่ขวางกั้นใจผมแน่ๆ ถ้างั้นผมควรปล่อยวาง
ไม่คิดเรื่องนี้อีกต่อไปจะดีมั้ยครับ
จากที่อ่านหนังสือมา ผมยังไม่อาจจะละนิวรณ์ 5 ที่เป็นธรรมเบื้องต้นได้เลย
การอาศัยศึกษาด้วยตัวเอง คงจะไม่ใช่หนทางที่ถูกต้องซะทีเดียว

เลยมาขอคำชี้แนะจากผู้ตั้งอยู่ในธรรม ทุกท่านด้วยครับ
จะได้ปฏิบัติให้ถูกทาง
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
กรัชกาย
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348

ตอบตอบเมื่อ: 07 เม.ย.2008, 9:00 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน


สาระหนังสือเล่มนี้มีอะไรบ้างกรัชกายไม่เคยอ่านครับ จึงตอบไม่ได้ว่า คุณ ชโลม

จะบรรลุธรรมภายใน 7 เดือนหรือไม่ เพราะคุณเพิ่งอ่านได้เดือนกว่าเอง

อนึ่ง ชื่อหนังสือนี้ น่าจะได้เค้าจากพุทธพจน์นี้ ครับ



“เราย่อมกล่าวดังนี้ว่า บุรุษผู้เป็นวิญญู ไม่โอ้อวด ไม่มีมารยา เป็นคนตรง จงมาเถิด

เราจะสั่งสอน เราจะแสดงธรรม เมื่อเขาปฏิบัติตามคำสอน ก็จักประจักษ์แจ้งด้วยปัญญา

อันยิ่งเอง ซึ่งประโยชน์อันยอดเยี่ยมที่กุลบุตรทั้งหลาย ผู้ออกจากเรือนบวชเป็นอนาคาริก

โดยชอบต้องการ อันเป็นจุดหมายของพรหมจรรย์ เข้าถึงอยู่ในปัจจุบันทีเดียว

(โดยใช้เวลา) เจ็ดปี..หกปี...ห้าปี ฯลฯ หนึ่งเดือน...กึ่งเดือน...เจ็ดวัน”


(ที.ปา.11/31/58 ฯลฯ)
 

_________________
สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา

แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 07 เม.ย.2008, 9:20 pm, ทั้งหมด 1 ครั้ง
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
กรัชกาย
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348

ตอบตอบเมื่อ: 07 เม.ย.2008, 9:10 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน


แต่อ่านหนังสือธรรมะชื่ออื่นๆ มาบ้างนิดหน่อยครับ ได้มาพบพุทธพจน์นี้

“ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่หมั่นประกอบความเพียรในการฝึกอบรมจิต ถึงจะมีความปรารถนาว่า

ขอให้จิตของเราหลุดพ้นจากอาสวะเถิด ดังนี้ จิตของเธอจะหลุดพ้นไปจากอาสวะได้ก็หาไม่...

เหมือนไข่ไก่ 8 ฟอง ก็ตาม 10 ฟองก็ตาม 12 ฟองก็ตาม ที่แม่ไก่ไม่นอนทับ ไม่กก ไม่ฟัก

ถึงแม้แม่ไก่จะมีความปรารถนาว่า “ขอให้ลูกของเรา ใช้ปลายเล็บหรือจะงอยปาก ทำลาย

เปลือกไข่ออกมาโดยสวัสดีเถิด” ดังนี้ ลูกไก่จะใช้ปลายเล็บหรือจะงอยปาก

ทำลายเปลือกไข่ออกมาได้ก็หาไม่”
สํ.ข. 17/261/186


จึงได้ข้อคิดว่า อ่านหนังสืออย่างเดียว กิเลส มีนิวรณ์ เป็นต้น ไม่น่าหลุดร่วงออกไป

จากจิตใจได้นะครับ
 

_________________
สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
กรัชกาย
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348

ตอบตอบเมื่อ: 07 เม.ย.2008, 9:45 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน


อ้างอิงจาก:
การบรรลุธรรม จำเป็นมั้ยที่ต้องบวชพระเสียก่อน
เป็นปุถุชน ชาวบ้านธรรมดา สามารถบรรลุธรรมได้หรือไม่ครับ



เท่าที่อ่านประวัติทางศาสนาท่านว่าไม่ต้องบวชก็บรรลุธรรมได้ หากรู้เข้าใจธรรมะ

ที่ตนจะบรรลุนั้นคืออะไร

ผู้ที่เป็นคฤหัสถ์และได้บรรลุธรรมท่านบันทึกไว้ในคัมภีร์ มี ดังนี้ครับ


-พระเจ้าพิมพิสาร กษัตริย์ยิ่งใหญ่แห่งแคว้นมคธ ผู้ทรงถวายเวฬุวันเป็นสังฆารามแห่งแรก

ในพระพุทธศาสนา และทรงรักษาอุโบสถเดือนละ 4 ครั้ง (วินย.4/57-63/64-72)


-อนาถบิณฑิกเศรษฐี เจ้าของทุนสร้างวัดเชตวันที่มีชื่อเสียง ผู้บำรุงพระสงฆ์และสงเคราะห์

คนอนาถาอย่างไม่มีใครอื่นเทียบเท่า (วินย.7/241-256/102-112 ฯลฯ )


-นางวิสาขามหาอุบาสิกาเอตทัคคะฝ่ายทายิกา ผู้แม้มีบุตรธิดามากถึง 20 คน แต่สามารถ

บำเพ็ญประโยชน์ส่วนรวมได้เป็นอย่างดี มีบทบาทช่วยกิจการของสงฆ์อย่างสำคัญ เป็นผู้

กว้างขวางและมีเกียรติคุณสูงเด่นในสังคมแคว้นโกศล (วินย.5/153-155/207-214 ฯลฯ)


-หมอชีวกโกมารภัจ แพทย์ใหญ่ประจำพระองค์ราชาแห่งมคธ ประจำพระองค์พระพุทธเจ้า

และคณะสงฆ์ ผู้มีเกียรติคุณยิ่งยืนตลอดมาในวิชาแพทย์แผนโบราณ

(วินย.5/128-138/168-193 ฯลฯ)


-นกุลบิดาและนกุลมารดา คู่สามีภรรยาผู้ครองรักอันภักดีมั่นคงตราบเท่าชรา

และยังปรารถนาเกิดพบกันทุกชาติไป (อง.เอก.20/151-2/33-4 ฯลฯ)


ทั้งหมดนี้ท่านว่าเป็นพระโสดาบันบุคคล
 

_________________
สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
มรรคคา
บัวพ้นดิน
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 30 มี.ค. 2008
ตอบ: 77
ที่อยู่ (จังหวัด): ภูเก็ต

ตอบตอบเมื่อ: 07 เม.ย.2008, 11:13 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

๗ เดือนบรรลุธรรม ผมก็ได้อ่านเหมือนกันครับนานแล้ว
สาระในหนังสือก็น่าจะยกมาจากพระพุทธพจน์ที่ว่า

ใครก็ตามที่เจริญสติปัฏฐานทั้ง ๔ นี้อย่างต่อเนื่องเขาพึงหวังผล ๒ ประการอย่างใดอย่างหนึ่ง คือพระอรหัตผลในปัจจุบัน หรือถ้ายังมีอุปาทานเหลืออยู่ก็เป็นพระอนาคามีภายในเวลา ๗ ปี หรือ ๖ ปี หรือ ๕ ปี หรือ ๔ ปี หรือ ๓ ปี หรือ ๒ ปี หรือ ๑ ปี หรือ ๗ เดือน หรือ ๖ เดือน หรือ ๕ เดือน หรือ ๔ เดือน หรือ ๓ เดือน หรือ ๒ เดือน หรือ ๑ เดือน หรือ ๑๕ วัน หรือ ๗ วัน ครับ

ข้อความนี้คัดมาจากส่วนหนึ่งในหนังสือเจ็ดเดือนบรรลุธรรมนะครับ ไม่ทราบเหมือนกันว่าในพระไตรปิฎกเป็นอย่างไร
 

_________________
มีสติสัมปชัญญะกับทุกลมหายใจเข้าออก
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
มรรคคา
บัวพ้นดิน
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 30 มี.ค. 2008
ตอบ: 77
ที่อยู่ (จังหวัด): ภูเก็ต

ตอบตอบเมื่อ: 07 เม.ย.2008, 11:20 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

การปฏิบัติธรรมเป็นของแปลกนะครับยิ่งถ้าอยากได้ก็ยิ่งจะไม่ได้
ถ้าพึ่งจะเริ่มปฏิบัติ ผมว่าการบรรลุธรรมน่าจะยกไว้ก่อนนะครับ
เอาแค่สามารถมีสติให้มากที่สุดในแต่ละวันให้ได้ก่อนจะดีกว่านะครับ
เพราะว่าถ้าไม่มีสติ สัมปชัญญะแล้วอย่าว่าแต่จะบรรลุธรรมเลยครับ
แค่จะมีจิตใจที่สงบร่มเย็นก็ยังยากเลย
 

_________________
มีสติสัมปชัญญะกับทุกลมหายใจเข้าออก
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
charoem
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 07 เม.ย. 2008
ตอบ: 31

ตอบตอบเมื่อ: 08 เม.ย.2008, 7:18 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ขอขอบคุณ คุณกรัชกายและคุณมรรคานะครับที่ชี้แนะ จะลองพิจารณาดูครับ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
กรัชกาย
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348

ตอบตอบเมื่อ: 08 เม.ย.2008, 6:08 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน


ขออนุญาตผู้ตั้งกระทู้แทรกข้อความต่อไปนี้เพื่อพิจารณาอีกนิดนะครับ

พุทธพจน์ดังกล่าวแล้วว่า


“เราย่อมกล่าวดังนี้ว่า บุรุษผู้เป็นวิญญู ไม่โอ้อวด ไม่มีมารยา เป็นคนตรง จงมาเถิด

เราจะสั่งสอน เราจะแสดงธรรม เมื่อเขาปฏิบัติตามคำสอน ก็จักประจักษ์แจ้งด้วยปัญญา

อันยิ่งเอง ซึ่งประโยชน์อันยอดเยี่ยมที่กุลบุตรทั้งหลาย ผู้ออกจากเรือนบวชเป็นอนาคาริก

โดยชอบต้องการ อันเป็นจุดหมายของพรหมจรรย์ เข้าถึงอยู่ในปัจจุบันทีเดียว

(โดยใช้เวลา) เจ็ดปี..หกปี...ห้าปี ฯลฯ หนึ่งเดือน...กึ่งเดือน...เจ็ดวัน”



สาระได้แก่สติปัฏฐาน 4 ดังที่คุณมรรคคาว่าไว้จริงๆ

สติปัฏฐาน 4 มีพุทธพจน์ดังนี้ครับ


“ภิกษุทั้งหลาย ทางนี้เป็นมรรคาเอก เพื่อความบริสุทธิ์ของสัตว์ทั้งหลาย เพื่อข้ามพ้นความโศก
และปริเทวะ เพื่อความอัสดงแห่งทุกข์และโทมนัส เพื่อบรรลุโลกุตรธรรม

เพื่อกระทำให้แจ้งซึ่งนิพพาน นี้คือ สติปัฏฐาน ๔”



(แม้จะเห็นแนวทางชัดเจนอย่างนั้น แต่เวลา...นำไปใช้ไปปฏิบัติจริงๆ ไม่ง่าย ครับ

เพราะความเห็นของมนุษย์ต่างกัน มองเห็นสาระกันคนละมุมละด้าน

การฝึกอบรมจึงต่างกันเพราะทิฏฐิด้วย อาจผิดหรือถูกก็ได้เช่นกัน

ดังที่ท่านเจ้าคุณพระพรหมคุณาภรณ์ ปรารถไว้ท้าย คาถา) =>


-การเจริญสติปัฏฐานนี้ เป็นวิธีปฏิบัติธรรมที่นิยมกันมาก ถือว่ามีพร้อมทั้งสมถะและวิปัสสนา

ในตัว ผู้ปฏิบัติอาจเจริญสมถะจนได้ฌานก่อนแล้วจึงเจริญวิปัสสนาตามแนวสติปัฏฐาน

ไปจนถึงที่สุดก็ได้ หรือจะอาศัยสมาธิเพียงขั้นต้นๆ เท่าที่จำเป็นมาประกอบ เจริญวิปัสสนา

เป็นตัวนำตามแนวสติปัฏฐานนี้ ไปจนถึงที่สุดก็ได้

วิปัสสนาเป็นหลักปฏิบัติสำคัญในพระพุทธศาสนาที่ได้ยินได้ฟังกันมาก

พร้อมกับที่มีความเข้าใจไขว้เขวอยู่มากเช่นเดียวกัน



ศึกษาการเจริญสติ หรือ สัมมาสติ หรือ สติปัฏฐาน ลิงค์นี้ ครับ

http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=13497
 

_________________
สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
มรรคคา
บัวพ้นดิน
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 30 มี.ค. 2008
ตอบ: 77
ที่อยู่ (จังหวัด): ภูเก็ต

ตอบตอบเมื่อ: 08 เม.ย.2008, 11:32 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

อยากจะขอเพิ่มเติมสักนิดนะครับการที่จะเจริญสติปัฏฐาน ๔ ให้ครบถ้วนและราบรื่นตลอดนั้นต้องเริ่มมาจากสิ่งที่เหล่าพระอริยเจ้าเรียกว่าของหยาบก่อน
ของหยาบที่ว่านี้คือ ศีล ๕ ถ้าหากว่าแค่ศีล ๕ ยังรักษาไม่ได้แล้วก็ไม่ต้องคิดที่จะยกจิตใจขึ้นสูงในการรับรู้สมาธิอันเป็นสิ่งที่ละเอียดกว่าศีล ๕ หรอกครับ

ศีล ๕ ต้องรักษาขนาดที่ว่าแม้แต่มด ปลวก ยุง หรือสิ่งมีชีวิตขนาดเล็ก
นั้นเราก็จะไม่เบียดเบียน แถมยังรู้สึกสงสารที่เขาเป็นผู้ที่ไม่มีบุญคุ้มครอง
เหมือนเราๆ ถ้ามีโอกาสได้ช่วยชีวิตของเขาเหล่านั้นเราก็จะทำตามความเหมาะสม เพราะว่าเราเห็นทุกชีวิตมีค่าเสมอด้วยชีวิตเรา เพราะเขาเป็นเพื่อนร่วมเกิด แก่ เจ็บ ตาย และก็เป็นผู้ที่ประกอบด้วยธาตุ๔ ขันธ์ ๕ อายตนะ ๖ หรือรูปนาม เช่นเดียวกันกับเราๆท่านๆ

ดูเหมือนทำยากนะครับแต่ว่าถ้าทำได้แล้วคุณจะมองเห็นโลกอีกแง่มุมหนึ่ง
ที่คุณไม่เคยพบเห็น
 

_________________
มีสติสัมปชัญญะกับทุกลมหายใจเข้าออก
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
มรรคคา
บัวพ้นดิน
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 30 มี.ค. 2008
ตอบ: 77
ที่อยู่ (จังหวัด): ภูเก็ต

ตอบตอบเมื่อ: 08 เม.ย.2008, 11:36 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ตามหลัก สติปัฏฐาน ๔ (กาย เวทนา จิต ธรรม)
ควรจะเริ่มที่ กาย ก่อน โดยการเฝ้าตามดูลมหายใจเราเท่านั้นเองครับ
หายใจออก ก็รู้ หายใจเข้าก็รู้
 

_________________
มีสติสัมปชัญญะกับทุกลมหายใจเข้าออก
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
RARM
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 28 ก.ค. 2007
ตอบ: 417

ตอบตอบเมื่อ: 09 เม.ย.2008, 4:04 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

การปฏิบัติ

กายบวช หรือว่าใจ บวชครับ ลองถามตัวเองดู

การบรรลุ บรรลุด้วยกาย หรือบรรลุด้วยใจ ครับ

เศร้า
 


แก้ไขล่าสุดโดย RARM เมื่อ 11 เม.ย.2008, 8:00 pm, ทั้งหมด 1 ครั้ง
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
sittidet
บัวพ้นดิน
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 26 ธ.ค. 2007
ตอบ: 53
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.

ตอบตอบเมื่อ: 09 เม.ย.2008, 6:48 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

บรรลุ3ขั้นแรกได้แน่นอน คือ โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี แต่อรหันต์ไม่ได้แน่นอนครับเพราะเพศฆราวาสไม่สามารถรับได้ครับ เจ็ดเดือนบรรลุธรรมนั้นไม่ใช่ทุกคนทำแล้วจะบรรลุได้ในเจ็ดเดือน
ผมอ่านหลายรอบแล้วครับ มันเป็นแค่แนวทางให้ครับไม่ได้รับรองว่าเจ็ดเดือนจะบรรลุอย่างตอนจบที่เขาแนะนำให้ผู้หญิงคนหนึ่งทำตามก็ใช้เวลาปีกว่ารับ บรรลุธรรมในที่นี้หมายถึงมีดวงตาเห็นธรรมนั่นเองครับ พระพุทธเจ้าตรัสรับรองไว้แล้วว่าอย่างมากภายในเจ็ดปีดวงตาเห็นธรรมอย่างน้อยก็ขั้นอนาคามีไม่ต้องกลับมาโลกนี้อีกแน่นอนครับ สู้ต่อไปนะจะเป็นกำลังใจให้นะผมก็ดูความไม่เที่ยงอยู่เช่นเดียวกัน
 

_________________
ผู้ใดมีตนเป็นที่พึ่งนับว่าหาที่พึ่งอันหาได้ยาก
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
มรรคคา
บัวพ้นดิน
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 30 มี.ค. 2008
ตอบ: 77
ที่อยู่ (จังหวัด): ภูเก็ต

ตอบตอบเมื่อ: 09 เม.ย.2008, 11:39 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เอาประวัติของพระนางเขมาเถรีมาให้อ่านเล่นครับ

พระเขมาเถรี เอตทัคคะในฝ่ายผู้มีปัญญา


พระเขมาเถรี เกิดในราชสกุล กรุงสาคละ แคว้นมัททะ พระประยูรญาติ ได้ให้พระ
นามว่า “เขมา” เพราะพระนางมีผิวพรรณเลื่อมเรื่อดังสีน้ำทอง เมื่อเจริญพระชันษาแล้วได้อภิเษกสมรสเป็นมเหสีของพระเจ้าพิมพิสารแห่งนครราชคฤห์

เมื่อพระบรมศาสดาประทับอยู่ ณ พระวิหารเวฬุวัน ใกล้กรุงราชคฤห์นั้นพระนางได้สดับ
ข่าวว่า พระพุทธองค์ทรงแสดงโทษในรูปสมบัติและเพราะความที่พระนางเป็นผู้หลงมัวเมาในรูปโฉมของตนเอง จึงไม่กล้าไปเข้าเฝ้าพระทศพล ด้วยเกรงว่าพระพุทธองค์จะแสดงโทษในรูปโฉมของพระนาง

หลงอุบายถูกหลอกให้ไปวัด

ฝ่ายพระเจ้าพิมพิสาร ก็ทรงดำริว่า “เราเป็นอัครอุปัฏฐากของพระศาสดา แต่อัครมเหสี
ของอริยสาวกเช่นเรานี้กลับไม่ไปเฝ้าพระทศพล ข้อนี้เราไม่ชอบใจเลย” ดังนั้น พระองค์จึงคิดหาอุบายด้วยการให้พวกนักกวีผู้ฉลาด แต่งบทกวีประพันธ์ถึงคุณสมบัติความงดงามของพระวิหารเวฬุวันราชอุทยาน

แล้วรับสั่งให้นำไปขับร้องใกล้ ๆ ที่พระนางเขมาเทวีประทับ เพื่อให้ทราบสดับบทประพันธ์นั้น พระนางได้สดับคำรรณนาความงดงามของพระราชอุทยานแล้ว ก็มีพระประสงค์จะ เสด็จไปชม

จึงเข้าไปกราบทูลพระราชาผู้สามี ซึ่งท้าวเธอก็ทรงยินดีให้เสด็จไปตามพระประสงค์ เมื่อพระนางได้เสด็จชมพระราชอุทยานจนสิ้นวันแล้วใคร่จะเสด็จกลับ พวกราชบุรุษทั้งหลายได้นำพระนางไปยังสำนักของพระบรมศาสดาทั้ง ๆ ที่พระนางไม่พอพระทัยเลย

พระบรมศาสดาทอดพระเนตรเห็นพระนางกำลังเสด็จมา จึงทรงเนรมิตนางเทพอัปสร
นางหนึ่ง ซึ่งกำลังถือพัดก้านใบตาลถวายงานพัดให้พระองค์อยู่เบื้องหลัง พระนางเขมาเทวี เห็นนางเทพอัปสรนั้นแล้วถึงกับตกพระทัยดำริว่า “แย่แล้วสิเรา สตรีที่งามปานเทพอัปสรเห็นปานนี้

ยืนอยู่ใกล้ ๆ พระทศพล แม้เราจะเป็นปริจาริกา หญิงรับใช้ของนาง ก็ยังไม่คู่ควรเลย เพราะเหตุไร เราจึงเป็นผู้ตกอยู่ในอำนาจจิตคิดชั่วหลงมัวเมาอยู่ในรูปเช่นนี้หนอ”
พระนางยืนทอดพระเนตรเพ่งดูสตรีนั้นอยู่

ในขณะนั้นเอง พระบรมศาสดา ได้ทรงอธิษฐานให้สตรีนั้นมีสรีระเปลี่ยนแปลงล่วงเลยปฐมวัยแล้วย่างเข้าสู่มัชฌิมวัย ล่วงจากมัชฌิมวัยแล้วย่างเข้าสู่ปัจฉิมวัย เป็นผู้มีหนังเหี่ยวย่น ผมหงอก ฟันหัก แก่หง่อม แล้วล้มลงกลิ้งพร้อมกับพัดใบตาลนั้น

พระนางเขมาเทวี ได้ทอดพระเนตรเห็นรูปสตรีนั้นโดยตลอดแล้ว จึงดำริว่า “สรีระที่
สวยงามเห็นปานนี้ยังถึงงามวิบัติอย่างนี้ได แม้สรีระของเราก็จักมีคติเป็นไปอย่างนี้เหมือนกัน”ขณะที่พระนางกำลังมีพระดำริอย่างนี้อยู่นั้น พระพุทธองค์ได้ตรัสพระคาถาภาษิตว่า:-

“ชนเหล่าใดถูกราคะย้อมแล้ว ย่อมตกไปในกระแสราคาเหมือนแมลงมุมตกไปในข่ายใยที่ตนทำเองเมื่อชนเหล่านั้นตัดกระแสนั้นได้ โดยไม่มีเยื่อใยแล้วละกามสุขเสียได้ ย่อมออกบวช”

เมื่อจบพระพุทธดำรัสคาถาภาษิตแล้ว พระนางเขมาเทวี ได้บรรลุพระอรหัตผลพร้อม
ด้วยปฏิสัมภิทาทั้งหลาย ในอิริยาบถที่ประทับยืนอยู่นั่นเอง

พระอรหันต์ฆราวาสเป็นได้ไม่นาน
ธรรมดาผู้อยู่ครองเรือน เมื่อบรรลุพระอรหัตแล้วจำต้องปรินิพพานหรือไม่ก็บวชเสียใน
วันนั้น เพราะเพศฆราวาสไม่สามารถจะรองรับความเป็นพระอรหัตถ์ได้ แต่พระนางรู้ว่าอายุสังขารของตนยังเป็นไปได้

จึงเสด็จกลับพระราชนิเวศน์ให้พระเจ้าพิมพิสารพระสวามีทรงอนุญาตการบวชก่อน แม้พระราชาก็ทรงทราบโดยสัญญาณคืออาการที่พระนางแสดงว่าบรรลุอริยธรรมแล้ว ทรงพอพระทัยเป็นอย่างยิ่ง ให้พระนางประทับบนวอทองแล้วนำไปอุปสมบทในสำนักของภิกษุณีสงฆ์เมื่อพระนางบวชแล้วได้นามว่า

“พระเขมาเถรี” เพราะอาศัยเหตุที่พระนางมีปัญญามาก บรรลุพระอรหัตผลทั้ง ๆ ที่อยู่ในเพศฆราวาส พระบรมศาสดาจึงทรงยกย่องเธอไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะ เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุณีทั้งหลายในฝ่าย ผู้มีปัญญา และทรงแต่งตั้งให้เป็น อัครสาวิกาฝ่าย
ขวา
 

_________________
มีสติสัมปชัญญะกับทุกลมหายใจเข้าออก
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
กุหลาบสีชา
บัวเงิน
บัวเงิน


เข้าร่วม: 30 เม.ย. 2007
ตอบ: 1466
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.

ตอบตอบเมื่อ: 11 เม.ย.2008, 5:38 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ธรรมสวัสดี และอนุโมทนาสาธุกับความเห็นของทุกท่านค่ะ สาธุ

หลวงพ่อพุธ ฐานิโย ท่านได้วิสัชนาเกี่ยวกับ
สภาวะของการดำรงเพศฆราวาสกับการบรรลุอรหันต์ ไว้ในกระทู้นี้ค่ะ สาธุ ยิ้ม

ฆราวาสบรรลุธรรมได้หรือไม่?
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=15552
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัว
บัวหิมะ
บัวเงิน
บัวเงิน


เข้าร่วม: 26 มิ.ย. 2008
ตอบ: 1273

ตอบตอบเมื่อ: 17 ส.ค. 2008, 2:17 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

“พระเขมาเถรี” เพราะอาศัยเหตุที่พระนางมีปัญญามาก บรรลุพระอรหัตผลทั้ง ๆ ที่อยู่ในเพศฆราวาส พระบรมศาสดาจึงทรงยกย่องเธอไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะ เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุณีทั้งหลายในฝ่าย ผู้มีปัญญา และทรงแต่งตั้งให้เป็น อัครสาวิกาฝ่าย
ขวา


นับเป็นความรู้ใหม่ค่ะ อนุโมทนาบุญกับทุกท่าน สาธุ
 

_________________
ชีวิตที่เหลือเพื่อธรรมะ
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ ไม่สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง