Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 เรื่องสั้นเรื่องใหม่ "เจาะเวลา หาศาสดา" อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
เกียรติ
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 24 ม.ค. 2005, 6:29 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เรื่องสั้นเรื่องนี้ แต่งมาจากความฟุ้งซ่านของผมเองนะครับ เอาไว้อ่านสนุกๆ เพลินๆ ครับ โดยมีเหตุมาจากการที่หนังสือในอีตาลี ตีพิมพ์ ประวัติของศาสดาเอกคนหนึ่งที่หายไปในช่วงที่ท่านเป็นวัยรุ่น แล้วกลับมาประกาศศาสนา ซึ่งหนังสือเล่มนี้ผมได้ข่าวว่า ถูกแปลเป็นภาษาไทยแล้ว ผมเชื่อว่าท่านรู้เห็นจริงครับ แต่สิ่งที่รู้เห็นนั้นจะเป็นที่พึ่งได้จริงหรือเปล่า ลองอ่านได้จากเรื่องสั้นเรื่อง "เจาะเวลา หาศาสดา"



ย้อนหลังไปไม่กี่พันปีก่อนหน้านี้ มีชายหนุ่มผู้หนึ่ง เดินทางรอนแรมมาจากดินแดนตะวันตก ด้วยความมุ่งหวังว่า เขาจะได้มาค้นพบสัจธรรมของชีวิต และเมื่อเขาเดินทางผ่านมายังป่าใหญ่แห่งหนึ่ง ในดินแดนตะวันออก ณ ที่นั้นเอง เขาได้พบกับมหาฤษีใหญ่ ผู้มีสมาธิจิต มหาฤษีนี้แต่งตัวอยู่ในสายนักพรตชุดขาว เขารู้ว่า ผู้แสวงหาสัจธรรมนั้น แต่งตัวกันหลายแบบมากมาย มีทั้งแบบนักพรตชุดขาว แบบห่มหนังเสือ แบบนักพรตชุดดำ ฯลฯ

เมื่อเขาพบนักพรตชุดขาวแล้ว เขาจึงขอให้นักพรตนั้นช่วยสอนวิชาให้ ซึ่งนักพรตนั้นก็สอนให้เพียงแค่ 3 ประการ คือ 1. โลกนี้มีพระผู้สร้าง ซึ่งนักพรตผู้นั้นหมายถึงพระพรหม ตอนนั้นชายหนุ่มไม่รู้จักพระพรหม แต่ก็ไม่เป็นไรอยู่ต่อไปคงรู้เอง เขาจึงบวชเป็นนักพรตเช่นเดียวกับอาจารย์ 2. จงมีเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์ 3. สอนให้ฝึกสมาธิ

นักพรตหนุ่ม ประทับใจมาก เขาเริ่มฝึกสมาธิทันที ใจของเขานิ่งสงบอย่างรวดเร็ว จนถึงจุดๆ หนึ่ง เขาก็เห็นภาพนิ่ง ซึ่งไม่ใช่ภาพเคลื่อนไหว น่าเสียดายถ้าเขาหยุดใจมากกว่านี้อีก เขาก็จะได้เห็นภาพเคลื่อนไหว เป็นเรื่องเป็นราวที่แท้จริง แต่เมื่อเขาเห็นภาพนิ่ง เขาจึงเข้าใจไปคนละทาง ภาพแรกที่เขาเห็นคือ ป่าหิมพานต์ เขาจึงเข้าใจว่า นี่คือ สวรรค์ สวรรค์นั้นมีสภาพเป็นป่า มีต้นหมากรากไม้สวยงาม

ภาพนิ่งที่สอง ที่เขาเห็นคือ กินรี เขาจึงเข้าใจว่า นี่คือ นางฟ้า เทวดา และเข้าใจไปว่า เทวดาบนสวรรค์นั้น ต้องมีปีก

ในเมื่อเขาเห็นแต่ภาพนิ่ง เขาจึงเข้าใจไปว่า ชีวิตบนสวรรค์นั้นนิรันดร

เมื่อเขาเห็นได้ถึงขั้นนี้ วิทยาธรสายนักพรตชุดขาวจึงเข้ามากระซิบข้างหู สอนวิชาให้เขาต่อทันที เพราะเขาพอมีสมาธิจิตติดต่อกับวิทยาธรได้แล้ว วิชาที่สอนก็เป็นฤทธิ์เล็กๆ น้อยๆ เช่น ทำของชิ้นเดียวให้กลายเป็นหลายชิ้น (ซึ่งต่อมาเขาก็ได้แสดงฤทธิ์ทำขนมปังชิ้นเดียวให้กลายเป็นหลายชิ้น หรือ รักษาโรคเล็กๆน้อยๆ ได้ (ที่หายเพราะกรรมของผู้เป็นโรคมีเพียงเล็กน้อย) ด้วยการที่อาจารย์วิทยาธรช่วยส่งฤทธิ์ให้

นักพรตหนุ่มดีใจมาก เขาเข้าใจไปว่า ผู้ที่มากระซิบข้างหูสอนวิชาให้เขานั้น คือพระผู้สร้างโลก ที่มหาฤษีเคยบอกไว้ และเข้าใจไปว่า ฤทธิ์ของเขานั้นได้มาจากสมาธิจิตที่หยุดนิ่งของเขาเอง เขาจึงเชื่อมั่นในพระผู้สร้างโลกนั้น และหยุดการเรียนของตนไว้แค่นี้ จากนั้นล่ำลาอาจารย์กลับไปเผยแผ่วิชาของตนต่อไป



จบภาคหนึ่งครับ เพราะรู้สึกจะฟุ้งซ่านยาวเกินไปแล้ว แต่ยังมีภาคสองนะครับ ซึ่ง มันส์ว่าภาคแรกอีกครับ
 
โอ่
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 24 ม.ค. 2005, 10:32 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ผมเกรงว่าจะมีคนกล่าวได้ว่าเป็นการเสียดสีเขา เพราะว่าอาจมีคนคิดอย่างนั้นได้
 
พุทธธังสรณังคัจฉามิ
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 26 ม.ค. 2005, 12:40 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

วิถีพุทธเราไม่ติเตียนว่าร้ายใคร เราจึงนิ่งสนิทปล่อยให้เขาจาบจ้วงล่วงเกินมาจนทุกวันนี้ เป็นการฝึกใจให้นิ่ง แล้วเราก็นิ่งสนิทมาตลอดโดนไม่เคยพ่ายแพ้ ................เพชร ยังไงก็ต้องเป็นเพชร.........
 
สุรพงษ์
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 26 ม.ค. 2005, 10:58 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า "วาจาใดไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์หรือจริงแท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ และไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่พอใจของคนอื่น ก็ไม่กล่าววาจานั้น" "คำใดจริง แท้ ประกอบด้วยประโยชน์และไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่พอใจของคนอื่น ย่อมรู้กาลที่จะกล่าววาจานั้น" คำใดไม่จริงไม้แท้ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ หรือจริงแท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ และเป็นที่รัก ที่พอใจของคนอื่น ก็ไม่กล่าววาจานั้น" "คำใดจริงแท้ ประกอบด้วยประโยชน์ และเป็นที่รัก เป็นที่พอใจของคนอื่น ย่อมรู้กาลที่จะกล่าววาจานั้น" ทั้งนี้เพราะพระองค์มีความอนุเคราะห์ในสัตว์ทั้งหลาย "คัดมากจากพระไตรปิฎกฉับบประชาชน"
 
เกียรติ
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 26 ม.ค. 2005, 12:25 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ก็เขียนให้อ่านเล่นเท่านั้นเอง เหมือนนวนิยายทั่วไปครับ แต่เมื่อดูแววแล้วท่าทางจะจริงจัง ก็จะหยุดไว้แค่ที่ภาคหนึ่งเพียงเท่านี้

อีกอย่างผมยังไม่ได้ว่าร้ายนะครับ ผมเพียงวิเคราะห์ว่าเหตุการณ์ต่างๆ ที่ผ่านมามันน่าจะเป็นเช่นใด เพราะเหตุใดจึงน่าจะเป็นเช่นนี้

นวนิยาย ก็เป็นแบบนี้แหละครับ
 
โอ่
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 26 ม.ค. 2005, 2:43 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ทุกคนเป็นเพื่อน เป็นกัลยาณมิตร
 
amai
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 24 พ.ค. 2004
ตอบ: 435

ตอบตอบเมื่อ: 26 ม.ค. 2005, 3:56 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน





อนุโมทนาสาธุด้วยน๊ะค่ะ

ขนาดแต่งจากความฟุ้งซ่าน

ยังเป็นเรื่องยาวขนาดนี้เลย



สนุกดีค่ะ



แต่ ถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับศาสดา ไม่ว่าจะเป็นในศาสนาใด

คงต้องระมัดระวังกว่านี้น๊ะค่ะ



เพราะเรื่องเกี่ยวกับศาสนา มันเปราะบาง



แต่ถ้ามี ภาค สอง เมื่อไหร่ ก็บอกแล้วกันน๊ะค่ะ



 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัวMSN Messenger
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ ไม่สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง