Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 แสงส่องใจ วันมหาจักรี ๒๕๔๘ (สมเด็จพระญาณสังวรฯ) อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
I am
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 25 ต.ค. 2006
ตอบ: 972

ตอบตอบเมื่อ: 04 เม.ย.2008, 8:01 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

Image

วันมหาจักรีเกิดมีขึ้นได้ด้วยสองสมเด็จพระมหาราชเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ทรงร่วมพระราชหฤทัยสร้างขึ้น นั้นคือ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชแห่งกรุงธนบุรีและพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชแห่งกรุงเทพมหานครอมรรัตนโกสินทร์ฯ

วันมหามงคลมหาจักรีมิได้เกิดแต่อะไรอื่น หรือผู้ใดอื่น เกิดแต่สองมหาราชเจ้า พระผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐพ้นพรรณนาจริง

“เพื่อให้สำเร็จประโยชน์ยิ่งใหญ่ คนสติดีแสร้งทำเป็นเสียสติได้ ประโยชน์ที่สองสมเด็จพระมหาราชเจ้าจอมไทยทรงสำเร็จนั้นใหญ่ยิ่งนัก ประโยชน์ใดจักใหญ่ไปกว่าการสามารถรักษาชาติไทยให้สวัสดีมีความเป็นไท”

จากหนังสือ
“สมเด็จพระเจ้าตากสินกรุงธนบุรีมหาราช
พระราชทานพระพรพระมหาจักรีวงค์”
 

_________________
ทุกข์ใดดับได้ด้วยปัญญา ทุกข์นั้นจะไม่เกิดอีก
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัวMSN Messenger
I am
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 25 ต.ค. 2006
ตอบ: 972

ตอบตอบเมื่อ: 04 เม.ย.2008, 8:03 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

แสงส่องใจ
สมเด็จพระญาณสังวร
สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก

รูปํ ชีรติ มฺจจานํ นามโคตฺตํ ชีรติ
“ร่างกายของสัตว์ย่อยยับได้ แต่ชื่อสกุลไม่ย่อยยับ”


หนังสือ “แสงส่องใจ” ฉบับนี้ เป็นฉบับที่ระลึกวันมหาจักรี วันที่ ๖ เมษายน และเป็นฉบับที่ระลึกวันเถลิงศกใหม่ วันที่ ๑๓ เมษายน ในสองวันสำคัญที่นำมายกขึ้นให้ปราฏแก่จิตใจเราไทยทั้งหลาย ด้วยการทำหนังสือ “แสงส่องใจ” เป็นประจำทุกปีตลอดมา

เช่นเดียวกับวันสำคัญทั้งหลายในพระพุทธศาสนา คือ วันวิสาขบูชา วันมาฆบูชา วันอาสาฬหบูชา แน่นอนวันที่ ๖ เมษายน หรือวันที่ระลึกมหาจักรีมีความสำคัญอย่างยิ่งของเราไทย

พระมหาจักรีบรมราชวงศ์ มีพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำพระราชวงศ์ มีพระมหากษัตริย์ทุกพระองศ์ทรงเป็นพระพุทธศาสนูปถัมภก ด้วยทรงมีพระปัญญายิ่ง จึงทรงตระหนักชัดในความประเสริฐสุดหาเสมอมิได้ในพระพุทธศาสนาและวันเถลิงศกใหม่ หรือวันขึ้นปีใหม่แบบไทย ที่กำหนดให้เป็นวันที่ ๑๓ เมษายน ก็เนื่องกับพระพุทธศาสนาเช่นเดียวกัน

ในวันนั้นมีการทำบุญทางพระพุทธ ศาสนานาประการ เช่นถวายสังฆทาน ถวายอาหารบิณฑบาตพระภิษุสามเณร อาราธนาพระเจริญพระพุทธมนต์ในอาคารบ้านเรือน และประพรมน้ำพระพุทธมนต์ เพื่อความร่มเย็นเป็นสุข ตลอดถึงทำทานแก่ผู้ยากไร้ทั้งหลาย โดยมุ่งให้ความสุขเท่าที่สามารถจะให้ได้ ใจที่มุ่งดังกล่าวเป็นใจที่มีมงคล มงคลย่อมเกิดแก่ผู้มีใจที่เป็นมงคลเช่นนั้นแน่นอน

พึงนึกถึงความจริงนี้ เพื่อให้เกิดกำลังใจในการน้อมนำมงคลให้เกิดในใจตนให้มากที่สุดเท่าที่จะสามารถทำได้ ความหมายที่ตรงที่สุดของการน้อมนำมงคลยิ่งใหญ่ให้เกิดในใจตน ก็คืออบรมเมตตาให้เกิดมากที่สุด อย่ารู้เพียงพอ ต้องการมงคลชีวิตไม่รู้เพียงพอเพียงพออย่างไรต้องอบรมเมตตาอย่ารู้เพียงพออย่างนั้น

กว่าสิบปีมาแล้ว ที่มีการทำบุญเถลิงศกใหม่ของไทยด้วยการอาราธนาพระภิกษุจากวัดต่างๆ ไปรับถวายสังฆทาน ที่วัดญาณสังวรารามวรมหาวิหาร ในพระบรมราชูปถัมภ์ จำนวนตามท้ายพระพุทธศักราช โดยเพิ่มขึ้นหนึ่งรูปทุกปี

เช่นปีพระพุทธศักราช ๒๕๔๘ นี้จะถวายสังฆทานพระภิษุสงฆ์ ๕๔๙ รูป ปีหน้าจะเพิ่มเป็น ๕๕๐ รูป ไม่สามารถจะทำได้ครบตามพระพุทธศักราช นอกเสียจากว่าวันหนึ่งจะมีผู้ศรัทธาในบุญในความเป็นไทยมากพอจะพร้อมกันมาร่วมด้วยอยู่แล้ว จึงสามารถทำได้มาเป็นเวลากว่าสิบปีกว่า

เป็นส่วนแห่งบุญเพื่อประเทศชาติไทยที่รักของเราทุกคน บุญที่จำเป็นอย่างที่สุดโดยเฉพาะในสมัยนี้กาละนี้ ที่จะช่วยประคับประคองไทยให้สวัสดีได้ ไม่ตกอยู่ในความมืดมิดวุ่นวายจนเกินไป เช่นเขาอื่นที่กำลังได้รับอยู่

การทำสังฆทานในพิธีเถลิงศกหรือขึ้นปีใหม่แบบของไทยจริงๆ เกี่ยวข้องกับการบำเพ็ญกุศลในวันมหาจักรีแน่นอน เพราะเมื่อคิดถึงการทำบุญเพื่อประเทศไทย ไม่มีผู้ใดที่จะไม่นึกถึงพระมหากรุณาธิคุณแห่งพระมหาจักรีบรมราชวงศ์

จึงเมื่อมุ่งทำบุญเพื่อประเทศชาติไทย ก็ย่อมจักต้องตั้งใจน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายพระมหากษัตริย์ไทยทุกพระองศ์ การทำสังฆทานเถลิงศกใหม่ ณ วัดญานสังวรารามฯ ทุกวันนี้ก็มีท่านผู้ศรัทธาร่วมด้วยอยู่แล้ว จึงสามารถทำได้มาเป็นเวลากว่าสิบปีแล้ว

เป็นส่วนแห่งบุญเพื่อประเทศชาติไทยที่รักของเราทุกคน บุญที่จำเป็นอย่างที่สุดโดยเฉพาะในสมัยนี้กาละนี้ ที่จะช่วยประคับประคองไทยให้สวัสดีได้ ไม่ตกอยู่ในความมืดมิดวุ่นวายจนเกินไป เช่นเขาอื่นที่กำลังได้รับอยู่ จึงครอบคลุมกว้างไกลถึงพระมหากษัตริย์ด้วย เสมอไป

การบำเพ็ญกุศลสำคัญอีกวันหนึ่งในวัดญาณสังวรารามฯ จะเป็นวันอื่นไปไม่ได้นอกจากวันมหาจักรี หรือวันที่ระลึกมพระมหาจักรีบรมราชวงศ์ วันนั้นที่ ๖ เมษายน มีการบำเพ็ญกุศลบนกรมธาตุเจดีย์มหาจักรีพิพัฒน์พระเจริญพระพุทธมนต์ รับถวายสังฆทาน ฉันภัตตาหารและหลังจากเวียนเทียนรอบพระบรมธาตุเจดีย์แล้วครบ ๓ รอบ

บรรดาผู้ไปร่วมงานอ่านบทร้อยกรอง ประกาศพระบารมีพระมหากษัตริย์แต่ละพระองศ์ในพระมหาจักรีบรมราชวงศ์ ตั้งแต่พระบามสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ ๑ จนถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช

งานนี้ทุกปีให้ความรู้สึกลึกซึ้งประทับใจบรรดาผู้ไปร่วมพิธีเป็นอันมากจนทำให้ผู้มีใจอ่อนถึงน้ำตาไหลในการอ่านบทร้อยกรองประกาศเทิดทูนพระบารมีทุกพระมหากษัตริย์แห่งพระมหาจักรีบรมราชวงศ์ ทรงเสียสละยิ่งใหญ่นานาประการด้วยพระมหากรุณาธิคุณพ้นประมาณที่ทรงมีต่อประเทศไทย และต่อพสกนิกรราษฎรไทยของพระองศ์

ทุกครั้งที่มีพิธีในวันสำคัญต่างๆ ทั้งทางพระพุทธศาสนา มั้งทางพระมหากษัตริย์ เจ้าหน้าที่ฝ่ายคฤหัสถ์ของวัดญาณสังวรารามฯ จะจัดให้มีพิธีบวงสรวง คือถวายความคารวะบอกกล่าวพรหมเทพเทวดทั้งหลาย โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับงาน เช่นงานวันพระมหาจักรี พิธีบวงสรวงก็จะมุ่งไปที่พระมหากษัตริย์เป็นสำคัญเทวดาทั้งหลายอื่นจะเป็นส่วนประกอบ

งานวันทำบุญแผ่นดินไทยจะมุ่งพระมหากษัตริย์ไทยทั้งหมด ทุกพระราชวงศ์ รวมทั้งนักรบร่วมเสียสละแม้กระทั่งชีวิตเพื่อประเทศชาติ ไม่ยกเว้นแม้ช้างม้าสัตว์น้อยใหญ่ที่ต้องเสียชีวิตเพื่อความเป็นไทของไทย วันทำบุญแผ่นดินไทย จัดขึ้นทุกปีที่วัดญาณสังวรารามฯ

กว่าสิบปีมาแล้วเช่นกันและเป็นพิธีที่มีการถวายสังฆทนพระภิกษุสามเณรวัดต่างๆ จำนวน ๙๙๙ รูป ในวันเสาร์อาทิตย์ที่สองของเดือนมกราคมและในการทำบุญแผ่นดินไทยจะจัดให้มีการเลี้ยงวิญญาณ เช่นเดียวกันในวันเถลิงศกใหม่ หรือวันสงกรานต์

ที่ท่านกล่าวว่าวิญญาณในนรกจะได้รับการปลดปล่อยให้ออกมารับส่วนบุญส่วนกุศลที่ลูกหลาน ญาติพี่น้องทำอุทิศให้ บรรดาผู้จัดทำการเลี้ยงวิญญาณมีความคิดความเชื่อ ที่ไม่อาจพิสูจน์ได้ว่าต้องมีวิญญาณที่อดอยากมากมายในโลก

(มีต่อ ๑)
 

_________________
ทุกข์ใดดับได้ด้วยปัญญา ทุกข์นั้นจะไม่เกิดอีก
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัวMSN Messenger
I am
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 25 ต.ค. 2006
ตอบ: 972

ตอบตอบเมื่อ: 04 เม.ย.2008, 8:05 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

การจัดเลี้ยงวิญญาณด้วยข้าวปลาอาหารนานาชนิดจำนวนมากในวัดญาณสังวรารามฯ ย่อมช่วยให้ความสุขความอิ่มความอร่อยแก่วิญญาณจำนวนมากมายทั้งหมด ที่ผู้จัดเลี้ยงตั้งใจเชิญไม่จำกัดให้ไปร่วมรับเลี้ยงข้าวปลาอาหารที่จัดสรรค์อย่างเอร็ดอร่อยจำนวนมากและหวังว่าวิญญาณไม่เลวร้ายจนไม่รู้สึกในความมีน้ำใจที่มนุษย์มีต่อพวกเขา

จึงน่าที่วิญญาณทั้งนั้นจะไม่เป็นเหตุแห่งความไม่สงบสุขแก่ผู้ให้ความสุขแก่พวกเขา ถ้าจะคิดว่าวิญญาณมีความกตัญญูรู้คุณผู้ที่ทำคุณแก่ตน ก็เท่ากับแสดงความดียิ่งของวิญญาณเช่นเดียวกับที่แสดงความดียิ่งของมนุษย์ ที่ทรงมีพระพุทธดำรัสไว้ว่า

“ความกตัญญูเวทีเป็นเครื่องหมายของคนดี ที่หาได้ยากยิ่ง” ใครทังนั้นย่อมไม่ปฏิเสธ ว่าคำชมมีความหมายแก่จิตใจตน ใครทั้งนั้นนอกจากเป็นผู้ไกลกิเลสแล้วอย่างสิ้นเชิง ย่อมยังยินดีในคำชมที่ได้รับ ได้รับคำชมจากใครทั้งหลายทั้งหมด ก็ไม่เสมอคำทรงชมในสมเด็จพระบรมศาสดาสัมนาสัมพุทธเจ้า และคำทรงที่ชัดเจนได้ยินได้ฟัง ทุกถ้วนหน้าก็คือ “ความกตัญญูรู้คุณท่านที่ได้รับแล้ว และตอบแทนพระคุณนั้น คือเครื่องหมายของคนดี ที่หาได้ยากยิ่ง”

การทำบุญแผ่นดินไทย การทำบุญวันมหาจักรี เป็นการแสดงความกตัญญูกตเวที รู้พระคุณที่ท่านทำแล้ว และตอบแทน นี้ที่สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาพุทธเจ้าทรงสรรเสริญที่ทุกคนที่เป็นพุทธมามกะผู้มีพระพุทธศาสนาเป็นที่รัก พึงยินดีที่จะเป็นผู้หนึ่งในบรรดาผู้ได้รับคำทรงสรรเสริญจากพระผู้ประเสริญสูงสุดไม่มีผู้เสมอได้

พบท่านผู้ทรงมีพระบุญญาบารมีสูงสุดเหนือพรหมเทพมนุษย์ทั้งปวง ต้องถือได้ว่าฉลาดน้อยไปมากแม้ไม่ชื่นชมสนใจในคำทรงสอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคำทรงยกย่องสรรเสริญกตัญญูกตเวทิธรรม ความรู้พระคุณท่านและตอบแทนพระคุณนั้น

พระมหากษัตริย์ผู้ทรงพระคุณล้นเกล้าล้นกระหม่อมคนไทยทุกถ้วยหน้า คือพระมหากษัตริย์ผู้พระราชทานพระราชวงศ์จักรี ให้ประดิษฐานอยู่คู่โลก เป็นศักดิ์ศรีสูงส่งของไทย ในหนังสือบทร้อยกรอง “วันจักรี” ของวัดญาณสังวราราม วรมหาวิหาร ในพระบรมราชูปถัมภ์มีบท “สองพระผู้พระราชทานพระราชวงศ์จักรี” เป็นหนึ่งในบทร้อยกรองที่มีการอ่านในวันพระมหาจักรี ที่ ๖ เมษายน บทพระบรมธาตุเจดีย์มหาจักรีพิพัฒน์ วัดญาณสังวราราม วรมหาวิหารฯ อ่านทุกปีเป็นประจำตลอดมาตั้งแต่มีการสร้างวัดญาณสังวรารามฯ ขึ้นในจังหวัดชลบุรีเริ่มเมื่อปีพระพุทธศักราช ๒๕๑๙

ข้อความในบทร้อยกรองนั้นมีดังนี้
(ยานี ๑๑)
กราบลงตรงปัถพี ที่เคยรองสองคู่พระบาท
สมเด็จพระมหาราช เจ้าตากสินกรุงธนบุรี
พระพุทธยอดฟ้า มหาราชจอมจักรี
ทั้งสองพระองศ์นี้ ประทับสนิทในจิตใจ
ความรักความเสียสละ ที่โปรดพระราชทานไทย
เป็นพระกรุณาใหญ่ ยิ่งกว่าคำร่ำรำพัน
ชีวิตข้าพระพุทธเจ้า ชาติและชาวไทยทั้งนั้น
เป็นหนี้จอมราชัน สองพระผู้ทรงกู้ชาติ
ให้รอดพ้นมือมาร อย่างกล้าหาญชาญฉลาด
พระปรีชาสามารถ เลิศล้ำกว่าปรีชาใคร
ส่วนพระองศ์ทรงสละสิ้น เพื่อแผ่นดินไทยเป็นไทย
ทรงสละทั้งราไช ศูรย์สมบัติสารพัดหมด
ทั้งพระวงศ์ทั้งพระญาติ ทั้งพระราชกิตติยศ
น้ำตาไทยไม่ปรากฏ แต่ท่วมม้นล้นในทรวง
บัดนี้มีโอกาส เหล่าข้าพระบาทไทยทั้งปวง
สนองพระคุณที่ใหญ่หลวง ด้วยกุศลทุกประการ
ขอพรผู้จอมชีวิต ทรงสถิตทิพยสถาน
สูงส่งทรงพระสราญ ตระหนักพระราชหฤทัย
ว่าคุณงามความดี ที่ทรงมีอย่างยิ่งใหญ่
เป็นที่เทิดทูนไว้ เหนือเศียรเกล้าเหล่าข้าพระองศ์

เพื่อถวายความกตัญญูกตเวทีต่อพระมหาจักรีบรมราชวงศ์ วัดญาณสังวราราม วรหมาวิหารฯ จะเชิญบทร้อยกรอง “สัจจานุภาพ” ในหนังสือบทร้อยกรอง “วันจักรี” อ่านพร้อมกันเป็นประจำ ดังนี้
(ฉบัง ๑๖)
ที่พึ่งอื่นใดไม่มี พระพุทธเจ้านี้
เป็นที่พึ่งสุดประเสริฐ
ด้วยสัจจะที่ล้ำเลิศ ขอสวัสดีเกิด
แก่พระราชวงศ์จักรี
ที่พึ่งอื่นใดไม่มี พระธรรมเจ้านี้
เป็นที่พึ่งสุดประเสริฐ
ด้วยสัจจะที่ล้ำเลิศ ขอสวัสดีเกิด
แก่พระราชวงศ์จักรี
ที่พึ่งอื่นใดไม่มี พระธรรมเจ้านี้
เป็นที่พึ่งสุดประเสริฐ
ด้วยสัจจะที่ล้ำเลิศ ขอสวัสดีเกิด
แก่พระราชวงศ์จักรี

(มีต่อ ๒)
 

_________________
ทุกข์ใดดับได้ด้วยปัญญา ทุกข์นั้นจะไม่เกิดอีก
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัวMSN Messenger
I am
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 25 ต.ค. 2006
ตอบ: 972

ตอบตอบเมื่อ: 04 เม.ย.2008, 8:08 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

“ความกตัญญูกตเวทีเป็นเครื่องหมายของคนดี ที่หาได้ยากยิ่ง” แม้เพียงการตั้งใจนึกไว้ให้เสมออย่างน้อยวันละครั้งก็ยังดี ใจเป็นใหญ่ ใจเป็นประธาน ทุกสิ่งที่สำเร็จด้วยใจ นี้เป็นพระพุทธศาสนสุภาษิต ขอให้นึกถึงพระพุทธศาสนสุภาษิตนี้ ทำความเข้าใจให้ถูกต้องชัดเจนว่าใจของเราทุกคนเป็นใหญ่ มีอานุภาพยิ่งใหญ่ความรู้พระคุณท่านผู้ใดก็ตามก็เกิดที่ใจ

ดังนั้นการตอบแทนพระคุณท่านก็ทำได้ด้วยใจ อะไรอื่นก็ไม่สำคัญไปกว่าใจ ใจรู้พระคุณท่านได้ ใจก็ตอบแทนพระคุณท่านได้ เพียงให้เป็นความรู้พระคุณท่านจริงใจเท่านั้น ความสำเร็จก็จะเกิดตามมาแน่นอน ดังพระพุทธศาสนสุภาษิตที่ว่า “ทุกสิ่งสำเร็จด้วยใจ” ทั้งที่ดีชั่วไม่ได้เกิดแต่อะไรอื่นเป็นสำคัญ เกิดแต่ใจที่มุ่งดีหรือไม่มุ่งดีเท่านั้นเป็นสำคัญ

บทร้อยกรอง “สัจจนุภาพ” ที่พึ่งอื่นใดไม่มี พระพุทธเจ้านี้ เป็นที่พึ่งสุดประเสริฐ ด้วยสัจจะที่ล้ำเลิศ ขอสวัสดีเกิด แก่พระราชวงศ์จักรีเพียงเท่านี้ แม้นึกไว้ให้จริงใจ เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับใจ จะท่องจำไว้ทั้งบท หรือจะนึกขึ้นเองให้ได้ความตามนี้ ให้เสมอ ให้ทุกวัน เพียงเท่านี้ก็เท่ากับเป็นการแสดงความกตัญญูกตเวทีต่อพระมหาจักรีบรมราชวงศ์แล้ว

ไม่มีปัญหาใดๆ อีกแล้วว่าเราห่างไกลกับเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินมากมายนัก ไม่มีทางตอบแทนพระเดชพระคุณล้นหัวล้นเกล้าได้ ไม่มีปัญหาแน่นอน ตอบแทนพระเดชพระคุณล้นฟ้าของพระมหาจักรีบรมราชวงศ์ได้แน่นอน แม้เพียงนึกไว้ให้เป็นนิตย์ว่า ขอให้พระราชวงศ์นี้ดำรงมั่นเป็นที่พึ่งให้ความร่มเย็นเป็นสุขแก่ไทยตลอดไป ชั่วกัปกัลป์

กตัญญูกตเวทีเป็นเครื่องหมายของคนดีเหตุผลที่พึงเห็นได้ประการสำคัญ แต่อาจไม่ค่อยเห็นกัน ก็คือผู้มีกตัญญูกตเวที คือรู้พระคุณที่ท่านทำแล้วแก่ตน และตั้งใจทดแทนพระคุณนั้นนี้แหละที่จะหยุดคนไม่ให้คิดพูดทำความไม่ดีได้โดยนึกถึงความรู้สึกของผู้มีพระคุณที่จะต้องร่วมรับรู้รับเห็นด้วย

ดังเช่นสำนึกในพระคุณของพระมหาจักรีบรมราชวงศ์ หรือของพระมหากษัตริย์แห่งพระมหาจักรีบรมราชวงศ์นั่นเอง ย่อมไม่คิดพูดทำที่จะเป็นเหตุให้กระทบกระเทือน จะรอบคอบระมัดระวังอย่างยิ่งในการจะคิดจะพูดจะทำทั้งปวง

ดังนั้นผู้รู้พระคุณท่านตั้งใจจะตอบแทนพระคุณท่าน จะเป็นท่านผู้ใดก็ตาม จะพยายามคิดดี พูดดี ทำดี โดยมุ่งรักษาท่านผู้มีพระคุณไม่ให้ต้องกระทบกระเทือนเพราะการกระทำของตนทั้งทางกาย ทั้งทางวาจา ทั้งทางจิตใจ ดังนี้ ก็คือความกตัญญูกตเวทีจึงมีความสำคัญนักสำคัญอย่างยิ่ง ยากจักหาความสำคัญอื่นเสมอเหมือนได้

การทำบุญแผ่นดินไทยที่จัดขึ้นเป็นประจำกว่าสิบปีมาแล้ว ณ วัดญาณสังวรารามฯ ในวันเถลิงศกใหม่แบบของไทย เป็นการรวมใจคนไทยทั้งหลาย ให้มารวมกันแสดงความกตัญญูกตเวทีในระดับหนึ่งต่อประเทศชาติบ้านเมืองไทยผู้แทนแผ่นดินไทย หรือผู้ทำแผ่นดินไทยให้มีคุณต่อประชาชนทั้งหลายที่ได้อาศัยแผ่นดินประเทศไทย

คือเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินเป็นสำคัญ ผู้โดยเสด็จเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินสร้างและรักษาแผ่นดินไทยให้เป็นที่ร่มเย็นเป็นสุขของคนทั้งปวงที่เข้ามาพึ่ง ท่านทั้งหลายนี้ที่การทำบุญแผ่นดินไทยในวัดญาณสังวรารามฯ มุ่งอุทิศกุศลทั้งปวงที่จะเกิดจากการทำบุญแผ่นดินไทย ทั้งยังมุ่งไปถึงพระวิญญาณและวิญญาณน้อยใหญ่ทั้งนั้น ที่มีส่วนรักษาแผ่นดินไทยให้รุ่งเรืองสวัสดีตลอดมาเป็นหน้าตาเป็นศักดิ์ศรีของเราไทยทุกถ้วนหน้า

การที่พร้อมเพรียงกันสละเงินสละเวลามาร่วมพิธีบวงสรวง ถวายสังฆทาน และการจัดอาหารคาวหวานผลไม้เลี้ยงวิญญาณไม่เลือกหน้า ก็ด้วยมุ่งให้เป็นพิธีทำบุญแผ่นดินไทยในวัดญาณสังวรารามฯ ที่เกิดจากใจจริง ที่เห็นความสำคัญและความมีพระคุณที่ยิ่งใหญ่ต่อแผ่นดินไทย ให้ท่านผู้ผ่านพ้นภพชาติในโลกนี้ไปแล้ว ไม่ว่าจะนานเป็นกี่ร้อยกี่พันปีก็ตาม ได้รับรู้ในความมีกตัญญูกตเวทีของผู้ได้รับความร่มเย็นเป็นสุขสวัสดีอยู่บนผืนแผ่นดินไทย ตลอดมาชั่วชีวิตตน และจะต่อไปชั่วชีวิตลูกหลาน

การทำบุญเพื่อแผ่นดินไทย คือเพื่อบรรดาท่านผู้มีพระคุณสร้างแผ่นดินไทยให้พรั่งพร้อมทุกประการ ด้วยสมบัติที่สามารถให้ความสุขสวัสดีแก่ทุกชีวิตที่เข้ามาพึ่งพาอาศัย แต่น่าจะเชื่อได้อย่างไม่ผิด ว่าผลแห่งกุศลที่ท่านทั้งหลายได้รับนั้น ที่เกิดแต่การทำบุญตักบาตร ถวายภัตตาหาร ถวายสังฆทาน หรือให้ข้าวปลาอาหารเงินทองเป็นต้น

ที่ท่านผู้พ้นภพภูมิมนุษย์หรือภพภูมิของสัตว์ไปสู่ภพภูมิใหม่แล้วนั้น แม้จะเป็นผลที่ให้ความสุขแก่ท่านทั้งหลายเหล่านั้นมากมายเพียงไร ย่อมจักไม่เสมอกับผลที่เกิดแต่การปฏิบัติ ทั้งทางกาย ทางวาจา ทางจิตใจ เพื่อรักษาความเป็นไทยให้เป็นไทยอย่างแท้จริง ที่ย่อมยากกว่าการทำบุญไหว้พระตักบาตร เป็นต้น

ที่จะให้ความปีติยินดีอนุโมทนาสาธุการแก่ท่านผู้ประดิษฐานไทยไว้ในโลกอย่างมาก ท่านสร้างไทยขึ้นมา ท่านร่วมกันรักษาไทยไว้อย่างหวงแหนห่วงใย สละเลือดเนื้อและชีวิตได้เพื่อรักษาความเป็นไทของไทยไว้

เราผู้เป็นไทยทุกคนในปัจจับันสมควรอย่างที่สุดที่จะทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างเพื่อสืบทอดพระเดชพระคุณของท่าน ร่วมกันรักษาไทยให้เป็นไท คือให้ไม่เป็นทาสและให้เป็นไทย คือเป็นไทยแท้ๆ ไทยทั้งกิริยามารยาท ไทยทั้งถ้อยคำวาจา ไทยทั้งความรู้สึกนึกคิด ให้เป็นไทย ไทย ไทย ไทยจริงๆ ไทยอย่างบริสุทธิ์งดงามและพึงระลึกไว้ให้เสมอว่า ไทยนั้นไม่มีความไม่น่าดู ความไม่น่าดูทุกอย่างไม่มีในความเป็นไทยที่แท้จริง ไทยที่แท้จริงมีความงดงามทุกประการ ทั้งกิริยาวาจาและการแต่งตัวงดงามแบบไทยสำคัญนัก สำคัญที่สุด

ภัยในโลกทุกวันนี้มากมาย และใหญ่หลวง มิได้ยกเว้นภัยของประเทศชาติไทย ผู้รักความเป็นไท รักแผ่นดินไทยจึงต้องรอบคอบเป็นอย่างยิ่ง ทั้งในการคิด ในการพูด ในการทำมิฉะนั้นก็อาจเป็นคนไทยที่ทำลายไทยเองได้ความประมาทเป็นทางแห่งความตาย ประมาทแล้วพาตนเองตายเป็นเรื่องเล็ก แต่แม้ประมาทแล้วพาชาติตายนั้นเรื่องใหญ่ที่สุด พึงรอบคอบให้ที่สุด ระวังให้ที่สุดที่จะไม่คิดอย่างประมาท ไม่พูดอย่างประมาท ไม่ทำอย่างประมาท เพื่อไม่พาประเทศชาติไปสู่ภัยพิบัติที่ใหญ่หลวง

ไทยจะสวัสดีหรือไม่สวัสดีอยู่ที่คนไทย ไม่ใช่คนอยู่ที่ใครอื่น ศัตรูแม้รายกาจเพียงใดก็ทำอะไรไทยไม่ได้ แม้คนไทยไม่ตกเป็นเครื่องมือให้ทำลายไทย การมีสติรู้ตัวอยู่เสมอ ว่าจะรักษาประเทศชาติไทยของเราอย่างสุดสติปัญญาความสามารถ จะไม่ให้ความโลภ จะไม่ให้โกรธ จะไม่ให้ความหลง มามีอำนาจเหนือความรักชาติรักประเทศไทยของเรา

พระพุทธศาสนาสุภาษิตบทหนึ่งกล่าวว่า “ความไม่ประมาทเป็นทางไม่ตาย” และ “ผู้ไม่ประมาทย่อมไม่ตาย” ที่ใช้คำตาย หรือไม่ตาย ในพระพุทธศาสนาสุภาษิตนี้มีความหมายได้ทั้งอย่างธรรมดา คือความตายโดยสิ้นชีวิต และ อย่างไม่ธรรมดา คือตายทั้งเป็น ตามโดยสิ้นชื่อเสียงเกียรติยศ ประมาทแล้วตายทั้งเป็นนั้นรู้เห็นและเข้าใจกันดีอยู่แล้ว

เมาแล้วขับที่พูดถึงกันอยู่ทั่วไปในยุคนี้สมัยนี้ทุกวันนี้ คือประมาทที่พาไปสู่ความตายได้ ทั้งความตายของตนเองความตายของคนทั้งหลายอื่นทั้งอีกมาก หรืออีกน้อย ทั้งผู้เป็นที่รักเป็นที่รู้จักของตน แต่ย่อมเป็นที่รักที่รู้จักของใครคนใดคนหนึ่งแน่นอน ที่ร้ายแรงที่สุดก็คือความตายที่เกิดจากความประมาทของผู้ใดก็ตาม อาจเป็นความตายทั้งเป็นของใครๆ ได้มากมาย

(มีต่อ ๓)
 

_________________
ทุกข์ใดดับได้ด้วยปัญญา ทุกข์นั้นจะไม่เกิดอีก
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัวMSN Messenger
I am
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 25 ต.ค. 2006
ตอบ: 972

ตอบตอบเมื่อ: 04 เม.ย.2008, 8:10 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ชีวิตที่จากไปของผู้เป็นที่รักทั้งหลาย ย่อมทำให้ผู้อยู่หลังมีความรู้สึกดั่งตายทั้งเป็นได้ นี้เป็นผลที่เกิดได้จากเมาแล้วขับ ที่มีเสียงเตือนอยู่ทุกหนทุกแห่ง แต่ก็ยังไม่สามารถเอาชนะความประมาทได้

ความประมาทในการคิด ประมาทในการพูด ประมาทในการทำ มีผลร้ายแรงเพียงใดก็ได้ถ้าเป็นความประมาทในเรื่องใหญ่เรื่องสำคัญ เช่น เรื่องที่เกี่ยวกับประเทศชาติ เกี่ยวกับพระพุทธศาสนา เกี่ยวกับพระมหากษัตริย์ คือเรื่องที่เกี่ยวกับสถาบันสำคัญทั้งสาม คือสถาบันชาติ สถาบันพระพุทธศาสนา สถาบันพระมหากษัตริย์

สามสถาบันนี้มีความสำคัญที่สุดสำหรับเราไทยทั้งหลาย ความไม่ประมาทเท่านั้นที่จะไม่เป็นทางนำไปสู่ความตายของสถาบันสำคัญสถาบันใดสถาบันหนึ่ง จึงพึงระวังความคิด ระวังการพูด ระวังการทำ เกี่ยวกับสามสถาบันสำคัญนี้ให้จงดีให้รอบคอบที่สุด อย่าประมาทให้พ่ายแพ้แก่ความโลภ หรือความโกรธ หรือความหลง

มหาบุรุษนั้นมีคำกล่าวถึงไว้ว่าจะรอบคอบระมัดระวังมากในการพูด จนถึงการฝึกการพูดกับตนเองก่อนจะพูดกับผู้อื่น คำใดประโยคใดเรื่องใดที่จะพูดออกไป แม้ให้ผลเป็นความไม่ดีงามแก่ตนเอง เช่นพูดออกไปแล้วพ่ายแพ้ต่อคำพูดของผู้อื่น จะไม่พูดออกไป นั่นเป็นการพูดออกไปแล้วเสียกับผู้พูด ความเสียหายเช่นนั้นเมื่อไม่ร้ายแรงหนักหนา ก็พอจะไม่ถือว่าผู้พูดประมาท

แต่ถ้าเป็นความเสียหายที่ใหญ่ยิ่ง เช่นเป็นความเสียหายถึงส่วนรวม เช่นทำให้เกิดการแตกสามัคคี เช่นนี้การพูดนั้นนับว่าเป็นการพูดที่ผู้พูดประมาทมาก การก่อให้แตกความสามัคคีจะโดยเจตนาหรือไม่เจตนาก็ตาม ถือว่าผู้พูดเป็นผู้ตั้งอยู่ในความประมาท ก่อโทษให้เกิดแม้เริ่มต้นที่ส่วนน้อย แต่ย่อมขยายใหญ่โตออกไปได้

ผลเสียหายแม้เริ่มต้นเพียงเล็กน้อยเพียงในวงแคบ แต่ขยายใหญ่ต่อไปได้ ผลไม่ดีที่จะเกิดจากความแตกสามัคคีจะขยายใหญ่ถึงบ้านถึงเมืองได้แน่นอน ความประมาทในการพูดจึงไม่ใช่เรื่องเล็ก เป็นเรื่องใหญ่ได้ ใหญ่เพียงใดก็ได้

ความประมาทเป็นเรื่องใหญ่ ครองชีวิตจิตใจของคนในโลก นอกจากท่านผู้พ้นจากกิเลสเครื่องเศร้าหมอง เป็นผู้มีบุญได้พบพระพุทธศาสนาแล้ว จะแตกต่างกันก็แต่เพียงผู้ใดจะประมาทมาก ผู้ใดจะประมาทน้อย ความประมาทมีโทษใหญ่หลวง ก่อให้เกิดความหายนะได้อย่าฆ่าตัวเองเสียด้วยความประมาท

พระพุทธศาสนาสุภาษิตที่อัญเชิญมาเบื้องต้น ที่มีความว่า
“ร่างกายของสัตว์ย่อยยับได้ แต่ชื่อและสกุลไม่ย่อยยับ”

นี้น่าจะเป็นเครื่องช่วยยับยั้งความประมาทได้ แต่ก็จะได้เฉพาะผู้รักชื่อรักสกุลเท่านั้น แต่ไม่มีความหมายสำหรับผู้ไม่เห็นความสำคัญของชื่อเสียงวงศ์ตระกูล ไม่แยแส ไม่ห่วงใย เพราะไม่เห็นไม่เข้าใจเสียด้วยว่าชื่อเสียงวงศ์สกุลอยู่ที่ไหน ความจริงชื่อเสียงมีความสำคัญยิ่งกว่าชีวิตร่างกาย

เพราะดังพระพุทธศาสนสุภาษิตที่อัญเชิญมา ร่างกายย่อยยับได้เมื่อชีวิตออกจากร่าง ร่างก็ไม่อาจดำรงอยู่ต่อไปเช่นปกติ ต้องแตกดับลับหาย กลายเป็นดินนานไปผู้คนที่เคยรักเคยห่วงเคยหวงก็จะหมดความรู้สึกนั้น แต่ชื่อเสียงของผู้ที่ร่างกายแตกดับลับพ้นไปจากความรู้สึกนึกคิดของใครทั้งหลายแล้ว จะไม่หายไปพร้อมกับร่างกายแน่นอน ทั้งที่ดีและที่ชั่วจะยังกำรงอยู่ยืนนานนัก เป็นร้อย เป็นพันปี หรือเป็นกี่ร้อยกี่พันปีก็ย่อยยังดำรงอยู่ความชั่วจะปรากฏอยู่ในโลก ให้โลกรู้

ในทำนองเดียวกัน แม้มีความดี ความดีก็จะปรากฏอยู่ในโลก ให้โลกรู้ หลักฐานรับรองความจริงนี้มีอยู่เป็นที่ประจักษ์แก่ทุกจิตใจ ท่านผู้มีคุณงามความดีในสมัยประวัติศาสตร์ ยังเป็นที่รู้จักเทิดทูนอยู่แม้ในปัจจุบัน ส่วนผู้มีความเสื่อมเสียในสมัยประวัติสาสตร์ ก็ยังเป็นที่รู้จักอย่างรังเกียจดูแคลนแม้ในปัจจุบัน นี้ที่พระพุทธศาสนาสุภาษิตกล่าวไว้ ว่าชื่อและสกุลไม่ย่อยยับ

คนจะดีหรือจะชั่ว ชื่อเสียงวงศ์สกุลจะดำรงอยู่ให้คนยกย่องนิยมชมชื่น หรือจพดำรงอยู่อย่างให้คนเหยียบย่ำดูหมิ่น ขึ้นอยู่กับกิเลสเครื่องเศร้าหมองเป็นสำคัญ กิเลศเครื่องเศร้าหมองที่มีความสำคัญนั้นคือโลภะความโลภ โทสะ ความโกรธ และโมหะความหลง เพราะกิเลศทั้งสามกองสำคัญจะเป็นเหตุแท้จริงบังคับให้มีการคิด มีการพูด มีการทำ ที่ไม่งดงาม ที่จะเป็นเหตุให้ชื่อเสียงวงศ์สกุลดำรงอยู่อย่างโลกไม่ยกย่อง

ทุกคนเคยประสบแล้วด้วยตนเอง คนนี้คนนั้นเป็นที่ยกย่องสรรเสริญ เพราะมีความรักชาติอย่างสละเลือดเนื้อและชีวิตให้ได้ มีคุณหญิงโมเป็นต้น คนบางระจันก็เช่นกัน มีชื่อเสียงกึกก็องอยู่แม้ทุกวันนี้ ความรักชาติเป้นเหตุสำคัญในเรื่องนี้ ความรักก็เป็นกิเลส จัดไว้ได้ในกองโลภะ น่าคิดให้เข้าใจด้วยว่า แม้จะเป็นกิเลสเครื่องเศร้าหมองก็จริง แต่การนำมาใช้ให้ดีให้เหมาะให้ควร ก็เกิดประโยชน์ได้ ทำชื่อเสียงให้วงศ์ตระกูลได้ ดังความรักชาติของท่านผู้เป็นบรรพบุรุษไทยทั้งหลายจำนวนไม่น้อย ความรักชาติของท่านทั้งหลายนั้นที่ทำให้ไทยเป็นไทอยู่ได้ตราบเท่าทุกวันนี้

กิเลสไม่มีเพียงโทษสถานเดียว กิเลสมีคุณได้เหมือนกัน เพราะเหตุนี้จึงเป็นการยากที่เราทั้งหลายจะละกิเลสได้ หลงติดหลงผูกพันอยู่กับดทษที่เหมือนคุณของกิเลส พระพุทธศาสนามีความสูงส่งลึกซึ้งขึ้นมาก ไม่มีที่เปรียบได้ สิ่งที่เหมือนเป็นคุณของกิเลส พระพุทธศาสนาถือว่าเป็นโทษ ขึ้นชื่อว่ากิเลสแล้วสำหรับพระพุทธศาสนาเป็นโทษทั้งสิ้น ไม่มีเป็นคุณ

คุณที่แท้จริงในพระพุทธศาสนา ตามคำทรงสอนในสมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้ามีเพียงหนึ่งเดียว คือคุณที่เกิดจากความละกิเลส ละกิเลสได้น้อย คุณก็น้อย ละกิเลสได้มาก คุณก็มาก ละกิเลสได้สิ้นเชิง คุณก็ยิ่งใหญ่ที่สุด

โลภะความโลภ กิเลสกองนี้มีโทษที่เหมือนมีคุณ ชัดเจนยิ่งกว่ากิเลสกองโทสะความโกรธและกองโมหะความหลง

โลภะความโลภ ทำให้ได้มาซึ่งสิ่งของเงินทองทรัพย์สมบัติ ด้วยวิธีต้มตุ๋นหลอกลวงลักขโมย การได้มาอย่างไม่ซื่อตรงเช่นนี้ที่เป็นโทษของความโลภ ที่เหมือนเป็นคุณเพราะเป็นการได้มาเหมือนได้ลาภ ลาภผลที่เกิดจากความไม่สุจริต ที่ทำด้วยความโลภที่เกิดจากความโลภ ผู้ได้สมปรารถนาอันเกิดแต่ความโลภย่อยเห็นโทษเป็นคุณ

แต่เมื่อเป็นโทษเป็นการทำสิ่งที่มีโทษ เช่นนี้วันหนึ่งโทษย่อมส่งผลชัดเจนแก่ผู้ทำ อาจจะเร็วหรืออาจจะช้า แต่ผลไม่ดีของกรรมไม่ดี กรรมที่มีโทษ ย่อมเป็นผลไม่ดีแน่นอน ไม่อาจเป็นผลดีได้ ลักเขาโกงเขาต้มตุ๋นเขา

โทษที่มีแน่ก็คือวันหนึ่งต้องถูกจับได้ ต้องรับโทษจากความโลภ ที่อาจดูเหมือนเป็นคุณเพราะได้สิ่งที่ต้องการก่อน นี้จึงเป็นเหตุให้ไม่เห็นโทษของโลภะ อันเป็นกิเลสสำคัญ ที่ท่านจัดไว้เป็นอันดันหนึ่งในกิเลสสำคัญ ๓ กอง

กิเลสสำคัญทั้งโลภะ ทั้งโทสะ ทั้งโมหะ ไม่มีคุณ มีแต่โทษสถานเดียว ในทางตรงกันข้าม ความไม่มีโลภะ ไม่มีโทสะ ไม่มีโมหะ ไม่มีกิเลสสำคัญทั้ง ๓ กอง มีคุณยิ่งใหญ่ที่สุดเหนือคุณอื่นใดทั้งปวง คุณนั้นเป็นเหตุให้พ้นความทุกข์ทั้งปวงตลอดไป ไม่มีทุกข์ใดกลับเกิดให้ประสบพบอีกตลอดกาล

(มีต่อ ๔)
 

_________________
ทุกข์ใดดับได้ด้วยปัญญา ทุกข์นั้นจะไม่เกิดอีก
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัวMSN Messenger
I am
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 25 ต.ค. 2006
ตอบ: 972

ตอบตอบเมื่อ: 04 เม.ย.2008, 8:12 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ทุกข์ของความแก่ความเจ็บความตาย ทุกข์ของความพลัดพรากจากสิ่งเป็นที่รักที่ชอบใจ ทุกข์ของความต้องประสบพบสิ่งไม่เป็นที่รักที่ชอบใจ จะไม่ต้องประสบพบอีกแม้เล็กน้อยเพียงใด ความสุขเพียงไหนที่จะเกิดจากความไม่มีโลภะ ไม่มีโทสะ ไม่มีโมหะ ควรให้เวลาตนเองคิดดูให้ซาบซึ้ง แม้เพียงวันละเล็กละน้อยก็ย่อมดีกว่าไม่เคยเสียเลย ว่าความมีกิเลสให้แต่ความทุกข์ ความไม่มีกิเลสให้แต่ความสุข

การละกิเลสยากมากเพราะเหตุใด หรือแม้พิจารณาให้ดีย่อมได้ความเข้าใจพอสมควรว่าการละกิเลสยากมาก เพราะพากันไปมุ่งละกิเลสผู้อื่น ไม่มุ่งละกิเลสตนเอง กิเลสจึงท่วมบ้านท่วมเมืองอยู่ทุกวันนี้ จนบดบังแสงแห่งพระพุทธศาสนา แสงแห่งพระธรรมคำทรงสอนในสมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้ามากขึ้นทุกเวลานาที

ความมืดมัวแห่งกิเลสนับวันยิ่งห้อมล้อมบดบังพระพุทธศาสนาหนาแน่นขึ้นเป็นลำดับ วันหนึ่งในเวลาอีกประมาณ ๒,๕๐๐ ปี ก็จะบังแสงแห่งพระพุทธศาสนาสนิท ไม่มีแสงรุ่งเรืองสว่างงดงามอาจพ้นความมืดมิดของจิตมนุษย์กิเลสหนาออกมาส่องโลกให้สว่างไสวงดงามด้วยความสงบสุขได้ นั่นก็คือจะจบสิ้นพระพุทธกาลตามพระพุทธพยากรณ์ ที่มีว่าพระพุทธศาสนาจะมีอายุเพียง ๕,๐๐๐ ปี

พระพุทธศาสนากาลจะสิ้นสุดเมื่ออายุ ๕,๐๐๐ ปี ดังพระพุทธพยากรณ์ นั้นมิได้หมายความว่าพะพุทธศาสนาจะสูญสิ้นไปไม่หลงเหลือ ความจริงพระพุทธศาสนายังดำรงอยู่อย่างรุ่งเรืองสว่างด้วยแสงแห่งพระธรรมคำทรงสอนสอนในสมเด็จพระบรมศาสดา

แต่ความสกปรกมืดมิดในใจสัตว์โลกที่ท่วมท้นจนเปิดบังแสงแห่งพระธรรม ที่แม้จะสว่างรุ่งโรจน์งดงามเพียงใดก็ไม่สามารถพ้นความมืดสนิทแห่งจิตสัตว์โลกออกมาให้ความสว่างได้ พระพุทธศาสนาไม่อาจให้คุณ ไม่อาจให้ความสว่างไสว แก่จิตใจในโลกได้ เหมือนดังพระพุทธศาสนาสิ้นสุด

นั่นก็คือความร่มเย็นเป็นสุขที่เกิดแต่พระธรรมคำทรงสอนในพระพุทธศาสนาพลอยหมดสิ้นไปด้วยตลอดเวลาเป็นพันเป็นหมื่นปีที่สิ้นแสงแห่งพระพุทธศาสนา จนกว่าอีกครั้งหนึ่งจะมีพระพุทธศาสนาที่ถูกปิดมืดมิดอยู่ให้กลับมาส่องโลกอีกครั้ง

ความสว่างร่มเย็นเป็นสุขจึงจะกลับคืนสู่โลกได้ เมื่อนึกถึงระยะเวลาที่สัตว์โลกจะพากันตกอยู่ในความมืดมิดสนิทเพราะสิ้นแสงแห่งพระธรรมคำทรงสอนของสมเด็จพระบรมครูแล้วน่าจะประหวั่นพรั่นพรึงนัก น่าจะเร่งเตรียมตัวเตรียมใจให้มีพระพุทธศาสนาปกป้องคุ้มครองให้สวัสดีให้จงได้ แม้เฉพาะชีวิตของตน ก่อนจะไปพ้นจากโลกนี้

อย่าไปมุ่งเพ่งเล็งแก้กิเลสของผู้อื่น แม้ปรารถนาเป็นผู้พ้นทุกข์ ทุกข์เกิดจากกิเลสเพราะการเพ่งเล็งแก้กิเลสของผู้อื่นนั้น นอกจากจะไม่ทำให้กิเลสของตนเบาบางห่างไกลออกไปยังจะเพิ่มกิเลสของตนให้มากขึ้น กิเลสของใครคนใด ใครคนนั้นต้องแก้ ไม่ใช่คนอื่นจะไปแก้ให้ได้

สมเด็จพระบรมครูยังทรงมีพระพุทธดำรัสไว้ว่าทรงเป็นผู้ชี้ทางให้ ผู้ปรารถนาผลแห่งจุดหมายปลายทางต้องปฏิบัติดำเนินไปด้วยตนเองมิได้ทรงมีพระพุทธดำรัสได้ว่า ต้องพากันช่วยพระพุทธองศ์ชี้คนอื่นให้เดิน โดยตนเองก็ยังไม่ได้เดินทางสายนั้นจนบรรลุจุดหมายปลายทางแล้วผลสำเร็จจะเกิดไม่ได้

ดังนั้นแม้คิดจะไปเพ่งโทษคนอื่น คือคิดไปแก้กิเลสของคนอื่นนั่นเอง ก็พึงมีสติรู้ให้เร็วที่สุดว่า กำลังทำไม่ถูก ที่ถูกคือต้องแก้กิเลสของตนเอง กิเลสของตนเอง ของทุกคนที่ทุกคนควรแก้ของตนเอง ไม่ใช่ไปมุ่งแก้ของคนอื่น คนนั้นก็ไม่ดีอย่างนั้น ไม่ดีอย่างนั้น ผิดอย่างนั้น ผิดอย่างนี้ เช่นนี้ไม่มีทางที่ตนจะถึงความสุขได้

กิเลสมีจริง มีอยู่จริงในจิตใจที่ยังมิได้บรรลุมรรคผลเป็นพระอรหันต์ในพระพุทธศาสนาผู้ปฏิบัติธรรมจนไกลกิเลสแล้วสิ้นเชิงเท่านั้น ที่จะไม่มีกิเลส คือไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง อันเป็นวิสัยของปุถุชนทั้งปวง ไม่มียกเว้น

กิเลสคือ ความโลภ ความโกรธ ความหลง อันเป็นเหตุให้เกิดบาปกรรมหนักหนาเพียงใดก็ได้ ฆ่ากันก็ได้ทำร้ายกันก็ได้ ปล้นจี้ลักขโมยกันก็ได้ ข่มขืนกันก็ได้ ไม่เว้นแม้แต่ท่านผู้เป็นมารดาบิดาบุพการีหรือลูกหลาน

เหล่านี้เป็นบาปกรรม ที่มีผลร้ายให้ความทุกข์เดือดร้อนตั้งแต่เล็กน้อยจนถึงยิ่งใหญ่เพียงใดก้ได้ ความเดือดร้อนรุนแรงที่เกิดอยู่ทั่วทั้งโลกทุกวันนี้ มิได้เว้นประเทศไทยเมืองพุทธของเรา ก็มิได้เกิดแต่อะไรอื่น เกิดแก่กิเลสโลภโกรธหลงนั่นเอง

กิเลสบังคับบัญชาให้ทำความผิดร้ายนานาประการ ที่เป้นบาปกรรมและเราทุกคนผู้ยังมีกิเลส ก็เป็นผู้มีส่วนรวมในการประกอบบาปกรรมนั้นด้วยแน่นอน บาปกรรมที่ทำให้เกิดความเดือดร้อน ทุกวันนี้เราทุกคนร่วมในการก่อบาปกรรม อันเป็นเหตุที่แท้จริงของความเดือดร้อนในบ้านเมืองพระพุทธศาสนาของเรา ที่ควรร่มเย็นเป็นสุข อย่างน้อยก็เช่นที่เคยเป็นมา

เมื่อต่างมีความรู้สึกร่วมกัน ว่าบ้านเมืองเราเปลี่ยนแปลงไปมาก ความร่มเย็นเป็นสุขลดน้อยลง ความเดือดร้อนวุ่นวายเพิ่มขึ้นอย่างไม่น่าเป็นไปถึงเช่นทุกวันนี้ ทุกคนก็ควรถึงเวลาแล้วที่จะต้องพร้อมกันยอมคิดว่า ตนเองต้องมีส่วนในความไม่ปกติสุขของบ้านเมือง

ทุกวันนี้ตนเองต้องทำตามอำนาจของกิเลสมากเกินไปอาจจะโลภเกินไป หรืออาจจะโกรธเกินไป หรืออาจจะหลงเกินไป แล้วทำไปตามอำนาจของความโลภความโกรธความหลงที่มากเกินไปนั้นจึงเป็นเหตุให้เกิดกรรมอันเป็นบาปเป็นโทษรุนแรงร่วมกัน ความเดือดร้อนร่วมกันจึงเกิดเป็นความเดือดร้อนของประเทศชาติ ดังที่ปรากฏอยู่นั่นเอง

ผู้มีกิเลสทุกคนมิได้มีกิเลสมากมายหนักหนาเสมอกันทุกคน นั่นก็คือมิได้ตกอยู่ใต้อำนาจของกิเลสเท่ากันทุกคน หลายคนแม้มีสติรู้จักความผิดชอบชั่วดี มีเมตตากรุณา ไม่ปรารถนาจะก่อทุกข์โทษภัยแก่ใครทั้งหลาย

หลายคนนี้แหละมีโอกาสที่จะช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของชาติได้ ด้วยการมีสติในการคิดในการพูด ในการทำ อย่าให้กิเลสบังคับได้รุนแรงนัก คืออย่าตกอยู่ใต้อำนาจของความโลภหรือของความโกรธ หรือความของหลง จนเกินไป

พยายามนึกถึงความจริงที่เป็นสิริมงคลยิ่งใหญ่ของชีวิต คือพระมหากรุณาในสมเด็จพระบรมสาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงชนะทั้งความโลภความโกรธความหลงได้อย่างสิ้นเชิงด้วยพระมหากรุณาที่เปรียบมิได้

ขอกล่าวอีก เช่นนี้เคยปรากฏมาแล้วหลายครั้งในหนังสือ “แสงส่องใจ” และจะกล่าวต่อไปอีก ต่อไปอีก ต่อไปอีก แม้ยังมี “แสงส่องใจ” อยู่อีกว่า พระพุทธศาสนาเกิดแต่พระมหากรุณาแห่งสมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า สมเด็จพระบรมครูของเรา ของพรหมเทพและของมนุษย์ผู้มีบุญอย่างยิ่งทุกถ้วนหน้า

ทรงปรารถนาจะช่วยสัตว์โลกทั้งหลายให้พ้นจากความทุกข์ของการเกิด ที่จะพาไปสู่ความทุกข์ของความแก่ ความเจ็บ ความตาย ความพลัดพรากจากสิ่งเป็นที่รักที่ชอบใจ และความต้องประสบกับสิ่งไม่เป็นที่รักที่ชอบใจ ด้วยพระมหากรุณานั้นทำให้ทรงสละได้สิ้งทั้งความโลภความโกรธและความหลง

(มีต่อ ๕)
 

_________________
ทุกข์ใดดับได้ด้วยปัญญา ทุกข์นั้นจะไม่เกิดอีก
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัวMSN Messenger
I am
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 25 ต.ค. 2006
ตอบ: 972

ตอบตอบเมื่อ: 04 เม.ย.2008, 8:15 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

กิเลสกองแรกที่สมเด็จพระบรมครูทรงสละ ด้วยอานุภาพของพระมหากรุณา คือความโลภ นั่นก็คือทรงตัดพระหฤทัยสละความพรั่งพร้อมด้วยสมบัติสูงค่าทุกประการของเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน ลงสู่ความไม่มีอะไรเลย นอกจากภาชนะใบเดียวที่ทรงใช้ในการภิกขาจาร คือขออาหารเขาเลี้ยงพระชนมชีพไปวันหนึ่งๆ เพียงให้ทรงดำรงอยู่ได้

เพื่อทรงค้นหาทางช่วยสัตว์โลกให้พ้นทุกข์ของความเกิด และก็ทรงบรรลุผลสำเร็จสมดังพระหฤทัยปรารถนา อันเกิดจากพระมหากรุณาที่เปรียบมิได้ และแน่นอนก่อนจะทรงถึงจุดสูงสุดของพระพุทธหฤทัย ตามวิสัยของกัลยาณปุถุชนย่อมต้องที่ต้องทรงพะว้าพะวังกังวลอยู่ถึงทุกพระองศ์ทุกสิ่งอันสวยสดงดงามและสูงส่งผูกพันพระหฤทัยอยู่ ที่ทรงตัดพระหฤทัยสละสิ้น

กล่าวได้ถูกต้องตามความจริงที่สุด ไม่มีเป็นอื่นได้ว่า พระมหากรุณาชนะกิเลสกองโลภเป็นอันดับแรก และนำให้ทรงชนะกิเลสทั้งปวงได้ต่อมาเป็นลำดับ จนทรงได้ทรงถึงพระปรารถนาที่ยิ่งใหญ่ ที่สูงสุด เหนือปรารถนาใดๆ ของใครทั้งสิ้น นั่นคือทรงสามารถพาพระองศ์ให้พ้นความเกิดได้ เช่นเดียวกับทรงสามารถชี้ทางให้ผู้ปฏิบัติดำเนินตามไปถึงจุดที่ทรงมุ่งมั่นด้วยพระมหากรุณาได้ คือความไม่ต้องเวียนว่ายตามเกิดอยู่ในวัฏสงสารต่อไป

แน่นอน เจ้าชายสิทธัตถะทรงตักกิเลสกองโลภะได้ด้วยพระมหากรุณาท่วมท้นพระหฤทัยและไม่ผิดแน่ที่จะกล่าวว่า กิเลสกองโทสะที่ทรงมีอยู่เช่นกันกัลยาปุถุชนทั้งปวง ก็ย่อมทรงตัดได้ด้วยความงดงามสูงส่งแห่งพระมหากรุณา

ผู้เคยโกรธมากๆ มาแล้ว และสามารถดับความโกรธได้คงจะมีวิธีดับความโกรธที่ตรงกันอยู่วิธีหนึ่ง ที่เป็นมงคลยิ่งใหญ่แก่ชีวิต ที่สมเด็จพระบรมครูทรงนำไปข้างหน้าแล้ว และโปรดประทานชี้ทางให้ดำเนินตามไปแล้วอย่างมิทรงปิดบังแม้แต่เล็กน้อยวิธีดับความโกรธที่ยิ่งใหญ่ให้ผลใหญ่ยิ่งงดงามแน่นอน แก่ผู้ปฏิบัติทุกถ้วนหน้า คือเมตตา ใช้เมตตาให้ได้ประโยชน์ยิ่งใหญ่ คือใช้เมตตาดับกิเลสกองโทสะ

เมื่อโทสะเกิด ให้มีสติรู้ให้เร็วที่สุดว่ากำลังโกรธ ต่อจากนั้นก็คิดอย่างไรก้ได้ให้เกิดเมตตาในผู้เป็นเหตุให้โทสะเกิด คิดให้เมตตาเขา ให้สงสารเขา

เช่นคิดว่าผู้ที่กำลังทำให้เราโกรธนั้นเป็นผู้แตกต่างกับเรา
อาจจะแตกต่างด้วยความรู้ความสามารถ
แตกต่างด้วยฐานะเครื่องแวดล้อม
แตกต่างด้วยระดับจิตใจที่สูงต่ำไม่เท่ากัน


คิดให้เข้าใจ ให้เห็นใจ ไม่ว่าเป็นเหตุจะทำให้เราโกรธเกรี้ยวมากมายสักเพียงไหน แม้เห็นโทษของโทสะ ต้องการจะโดยเสด็จสมเด็จพระบรมครูไปถึงจุดพ้นทุกข์ ก็ต้องพยายามใช้เมตตาให้เกิดเหตุผล จนยอมละเลิกความโกรธแม้มากมายเพียงไหน ในผู้หนึ่งผู้ใดไม่มียกเว้น

ผู้ประสงค์ที่จะแก้กิเลสตัวโทสะ ต้องอบรมความกรุณาให้มากที่สุด เมื่อจะโกรธผู้ใดก็ตามต้องคิดให้ยิ่งด้วยเมตตาทุกวิถีทาง อย่าคิดให้ความดกรธกำเริบเติบใหญ่ไม่หยุดยั้ง เช่น

อย่าคิดเป็นอันขาดว่าเราเป็นใคร
มาทำกับเราเช่นนั้นได้อย่างไร
ดูถูกกันนี้ ไม่เคารพกันนี่
คิดเช่นนี้เมื่อไร เมื่อนั้นเมตตาเกิดไม่ได้
โทสะดับไม่ได้ ลดก็ไม่ได้
มีแต่จะมากมายท่วมจิตท่วมใจ
ไร้เมตตา ไร้กรุณา อย่างสิ้นเชิง


ไฟโทสะก็จะแผดเผาอย่างรุนแรงเช่นกัน และเป็นการเผาไหม้เจ้าโทสะเอง ความจริงเป็ยเช่นนี้ ที่พึงพยายามเข้าใจให้ถูกต้อง ก่อนจะถูกไฟโทสะเผาไหม้ พินาศไป

โทสะหรือความโกรธครอบงำจิตใจผู้ใดก็ตาม จนไร้เมตตา ไร้กรุณา ผู้นั้นอาจคิด อาจพูด อาจทำ ที่ผิดร้ายเป็นบาปอกุศลเพียงใดก็ได้นั่นก็หมายความว่า ผู้นั้นกำลังไม่เมตตาตนเองกำลังให้โทษแก่ตนเอง อาจจะร้ายแรงเพียงใดก็ได้

โทษของความโกรธนั้นอาจจะเพียงเบาๆ ไม่หนักหนา เป็นบางกรณี แต่บางกรณีก็อาจหนักหนาร้ายแรงถึงชีวิต หรือถึงชื่อเสียงเกียรติยศ แม้ความสามัคคีอันเป็นกำลังสำคัญ ก็ถูกทำลายเสียหายยับเยินได้ เป็นโทษที่เกิดแก่ความโกรธจนขาดเมตตาของตนเอง ที่ให้โทษแก่ตนเอง

ที่แม้คิดให้ดีแล้วจะต้องรู้สึกว่า ผู้ที่ควรโกรธไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นตัวเองที่ไม่รู้จักใช้ความคิดให้ถูกต้องอย่างมีผู้ปัญญา ที่มีบุญนักหนาได้พบพระพุทธศาสนา อย่าลืมพระพรุณาในสมเด็จพระบรมครู ที่ยิ่งใหญ่จนสามารถประดิษฐานพระพุทธศาสนาขึ้นในโลก ให้เป็นที่พึ่งประเสริฐสุดของโลกได้จนทุกวันนี้

คิดหรือว่าเจ้าชายสิทธัตถะก่อนทรงตรัสรู้เป็นสมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าขณะทรงสละความพรั่งพร้อมสูงส่งทุกประการลงสู่ความเป็นผู้ยากไร้ ต้องเที่ยวภิกขาจารเลี้ยงพระชนมชีพ จะไม่ทรงได้ยินได้ฟังได้พบได้เห็นการดูถูกแคลนเหยียดหยามเหยียบย่ำจากผู้ต่ำต้อยกว่าด้วยประการทั้งปวง

ทรงใช้พระเมตตาเพียงไหน ทรงใช้พระกรุณาเพียงไหน จึงทรงพ้นได้จากพระโทสะ ที่ต้องทรงมีเช่นเดียวกับปุถุชนทั้งหลาย

เรามีบุญนักแล้ว ที่ได้เกิดเป็นมนุษย์ผู้พบพระพุทธศาสนา ได้รับรู้รับฟังพระธรรมคำทรงสอนในสมเด็จพระบรมครูผู้ประเสริฐสูงสุด เหนือพรหมเทพเหนือมนุษย์ทั้งปวง

จงใช้สติ จงใช้ปัญญา จงใช้วาสนาบารมีที่ได้เกิดเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนา ให้เต็มสติปัญญา ความสามารถ จงนอบน้อมนึกถึงพระสิทธัตถะราชกุมารผู้สูงส่ง ต้องทรงอดทนรับความหยาบคายของผู้เบาปัญญาเพียงใดและในที่สุดก็ทรงรับได้อย่างงดงามที่สุดด้วยพระเมตตาเพียงใด

เป็นเหตุให้ไม่ทรงใช้พระอำนาจของความเป็นมกุฎราชกุมารตอบโต้ผู้ล่วงล้ำก้ำเกินพระองศ์ท่านด้วยรู้เท่าไม่ถึงการ ซึ่งเป็นเหตุหนึ่งที่นำให้ทรงถึงความเป็นผู้ไกลกิเลสกองโทสะได้อย่างสิ้นเชิง เป็นผลดีที่เกิดแก่เจ้าชายสิทธัตถะราชกุมารยิ่งกว่าเกิดแก่บรรดาผู้พ้นจากอำนาจความกริ้วโกรธ

เราท่านทั้งหลายที่ปรารถนาความพ้นทุกข์อย่างสิ้นเชิง พึงยกพระมหากรุณาของเจ้าชายสิทธัตถะราชกุมาร เป็นแบบอย่างเหนือเศียรเกล้า มุ่งมั่นดำเนินตามให้สุดสติปัญญาความสามารถ แม้ยังต้องเวียนว่ายตายเกิด ก็จะมีชีวิตที่สงบเย็นไม่เร่าร้อนราวถูกไฟไหม้เผา เช่นผู้ไร้เมตตาไร้กรุณาทั้งหลาย

ทุกวันนี้บ้านเราร้อนแรงนัก เช่นเดียวกับบ้านเมืองทั่วโลก ก็คงจะต้องเชื่อว่า กรรมหนักหนารวมกันมาครอบครัวแล้ว กรรมของใครอย่างไรก็สุดวิสัยที่ปุถุชนทั่วไปจะรู้ถูกต้องตามเป็นจริง จึงควรจะร่วมกันสำนึกอย่างผู้ห่วงใยประเทศชาติว่า เราทุกคนมีหน้าที่ต้องช่วยกันแก้ไข ให้ความเดือดร้อนรุนแรงสงบเย็นลงบ้างก็ยังดี

เมื่อเกิดมามีบุญนักแล้ว ได้พบพระพุทธศาสนาแล้ว ก็มีบารมีที่จะช่วยดับทุกข์ดับร้อนใดๆ ให้ผ่อนคลายได้ ด้วยการอบรมเมตตาให้เต็มชีวิตจิตใจ ไม่ก่อเวรภัยด้วยการผูกเวร ระลึกไว้ทุกลมหายใจเข้าออกถึงพระพุทธภาษิตที่ว่า “ผู้ใดอาฆาตว่า เขาได้ด่าเราได้ฆ่าเรา ได้ชนะเรา ได้ลักของเรา ดังนี้ เวรของผู้นั้นย่อมไม่ระงับ”

ผู้ผูกเวรคือผู้ผูกโกรธย่อมทำบาปได้ทุกประการ
แม้หนักหนาเพียงใด แก่ผู้ใดก็ได้
อำนาจของการผูกเวรหรือการผูกโกรธยิ่งใหญ่นัก
ก่อให้เกิดจิตใจมืดมิดนัก
ไม่รู้ผิด ไม่รู้ชอบ ไม่รู้บุญ ไม่รูบาป


สมเด็จพระบรมศาสดาสัมนาสัมพุทธเจ้า พระผู้ทรงบริสุทธิ์สะอาด ทรงพันแล้วจากบาปทั้งหลายทั้งปวง ทรงมีพระพุทธภาษิตเตือนสัวต์โลกไว้ด้วยพระมหากรุณาที่เปรียบมิได้ น่าที่เราผู้ปรารถนาความไม่เป็นทุกข์หนักหนา จะพึงพร้อมใจกันเทิดทูนพระพุทธภาษิตนั้น

มุ่งมั่นปฏิบัติให้สุดสติปัญญาความสามารถจำไว้ให้มั่นว่า การผูกเวรหรือผูกโกรธ คือการทำบาปหนัก ที่ทรงมีพระพุทธภาษิตเตือนว่า “ผู้ทำบาปย่อมเศร้าโศกในโลกนี้ ละไปแล้วก็เศร้าโศก ชื่อว่าเศร้าโศกในโลกทั้งสอง เขาเห็นกรรมอันเศร้าหมองของตน จึงเศร้าโศกและเดือดร้อน” นั่นก็คือเกิดชาติไหนก็จะไม่พ้นความเศร้าโศกความเดือดร้อนแม้เป็นผู้ผูก ผูกเวรหรือผูโกรธเสียแต่ชาตินี้เถิด

โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์
๖-๑๓ เมษายน ๒๕๔๘

เจริญธรรมครับ... สาธุ ยิ้มเห็นฟัน
 

_________________
ทุกข์ใดดับได้ด้วยปัญญา ทุกข์นั้นจะไม่เกิดอีก
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัวMSN Messenger
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง