Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 อนาคาริก ธรรมปาละ (Anagarika Dhammapala) อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
mahapho
บัวเริ่มพ้นน้ำ
บัวเริ่มพ้นน้ำ


เข้าร่วม: 15 พ.ย. 2006
ตอบ: 164

ตอบตอบเมื่อ: 22 มี.ค.2008, 5:25 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

Image

อนาคาริก ธรรมปาละ (Anagarika Dhammapala) เป็นบุคคลที่สำคัญที่สุดในการฟื้นฟูพระพุทธศาสนาในประเทศอินเดีย เป็นผู้ก่อตั้งมหาโพธิสมาคม (MAHA BODHI SOCIETY) และเป็นผู้เรียกร้องเอาพุทธสถานในอินเดียกลับคืนมาเป็นของชาวพุทธ

----------------------------------------------------------

ชาติกำเนิด

ท่านอนาคาริก ธรรมปาละ เดิมนามว่า ดอน เดวิด เหวะวิตารเน เกิดในตระกูลชาวพุทธผู้มั่งคั่ง ซึ่งทำธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ในเมืองโคลัมโบ ตำบลเปตตาห์ เป็นบุตรของดอน คาโรลิส เหวะวิตารเน และนางมัลลิกา เหวะวิตารเน (นามสกุลเดิม - ธรรมคุณวัฒนะ)

ตระกูลของฝ่ายบิดาท่าน เป็นชาวพุทธผู้ทำเกี่ยวกับการกสิกรรมในเมืองมาตะระ ทางตอนใต้ของศรีลังกา ปู่ของท่านมีนามว่า ทินคิรี อัปปุฮามี มีบุตรสองคน คนหนึ่งออกบวชเป็นพระภิกษุ นามว่า หิตตะติเย อัตถทัสสี เป็นเจ้าอาวาสแห่งวัดหิตตะติยะมหาวิหาร ส่วนลูกคนที่สอง คือบิดาของท่านธรรมปาละ ได้เดินทางมาทำงาน ตั้งรกรากในกรุงโคลัมโบ ต่อมาได้สมรสกับนางมัลลิกา ธรรมคุณวัฒนะ ซึ่งเป็นตระกูลชาวพุทธผู้มั่งคั่ง ในกรุงโคลัมโบ และตระกูลนี้ ได้อุทิศที่ดินแปลงหนึ่ง สร้างมหาวิทยาลัยพระพุทธศาสนา ให้ชื่อว่า วิทโยทัยปริเวณะ ปัจจุบันคือ มหาวิทยาลัยวิทโยทัย

บิดาและมารดาของท่าน ในตอนแรกตั้งใจจะได้ลูกชาย แต่จุดหมายต่างกัน บิดาปรารถนาจะได้ลูกชาย ไว้สืบสกุลและสืบทอดกิจการ ส่วนมารดา อยากได้ลูกชายเพราะปรารถนาจะเห็นพระภิกษุผู้ครองกาสาวพัสตร์ ที่จะนำดวงประทีบแห่งพระธรรม ฉายส่องทางสว่างให้แก่ประชาชาติชาวลังกาในขณะนั้น ทุกๆเช้านางจะเก็บดอกไม้มา บูชาพระรัตนตรัย และนิมนต์พระภิกษุมาเพื่อเจริญพระพุทธมนต์ และถวายทานกุศลทุกๆวันพระ ปรารถนาขอให้มีบุตรชายที่เกิดมาเป็นผู้ที่มีปัญญาแจ่มใส มีจิตใจฝ่ในพระธรรม และเป็นผู้ที่จะนำประชาชาติให้พ้นจาก ความมืดมนจากการปกครองอันอยุติธรรมของคนต่างชาติต่างศาสนาในยุคนั้น

เมื่อครบกำหนดเวลา นางมัลลิกา เหวะวิตารเน ได้ให้กำเนิดบุตรชายที่แข็งแรง และมีใบหน้าผ่องใส ในคืนวันที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2407 ซึ่งเด็กทารกคนนั้น ต่อมา คือดอน เดวิด เหวะวิตารเน หรือ ท่านอนาคาริก ธรรมปาละ นั่นเอง

สภาวะสังคมลังกายุคนั้น นับว่าเป็นยุคเสื่อมโทรมที่สุดของพระพุทธศาสนา เนื่องจากภัยต่างชาติต่างศาสนาเข้ามารุกราน คือภัยจากพวกโปรตุเกส ฮอลันดา และอังกฤษ ครั้งหลังสุดก็หนักมาก พระพุทธศาสนาถูกเบียดเบียน พระภิกษุสามเณรถูกกลุ่มคนมิจฉาทิฎฐิรับจ้างด่าทอ ชาวพุทธถูกดขี่ข่มเหง ถูกเรียกเก็บภาษีแพงๆ จากผู้ปกครองประเทศต่างชาติในยุคนั้น ชาวพุทธบางคน เวลารับราชการ หรือทำงานทั่วไป หากเป็นชาวพุทธ จะไม่ได้รับเข้าทำงานในตำแหน่งสูง เด็กเมื่อเกิดมาก็ถูกยัดเยียดให้มีชื่อแบบต่างชาติ เช่นเดวิด ไมเคิล ท่านธรรมปาละ หรือดอน เดวิด เหวะวิตารเน เติบโตขึ้นมาในสังคมแบบนี้

ชีวิตพลิกผัน สละเรือนเพื่องานพระพุทธศาสนา

ตลอดเวลา ตั้งแต่ดอน เดวิด เกิดมา พ่อแม่จะอบรมสั่งสอนให้อยุ่ในศีลในธรรม สอนให้ศรัทธาในพระรัตนตรัย ในพระพุทธศาสนา เด็กชายเดวิด จึงเติบโตมาท่ามกลางฝ่ายธรรมะ คือพ่อแม่ของตน ที่สอนให้อยู่ในหลักธรรมะ และฝ่ายอธรรม คือสังคมรอบข้าง และครูอาจารย์ที่โรงเรียน ที่มักพูดดูหมิ่นพระพุทธศาสนา และพูดโน้มน้าวให้หันมานับถือศาสนาคริสต์ บางครั้งอาจารย์ที่โรงเรียนของเดวิด ถึงกับกล่าวว่า "ที่ฉันมาที่ประเทศนี้ ไม่ใช่เพื่อสอนภาษาอังกฤษให้เธอ แต่มาเพื่อเปลี่ยนศาสนาของเธอ" แต่ท่านธรรมปาละ หรือเด็กชายเดวิดในขณะนั้นก็ยังมั่นคงในพระพุทธศาสนาเช่นเดิม เพราะการอบรมเลี้ยงดูอย่างดีในพระพุทธศาสนานั่นเอง บางครั้ง เพราะความมั่นคงในพระพุทธศาสนานี้เอง ท่านถึงกับต้องถูกลงโทษจากอาจารย์ที่โรงเรียน เพียงเพราะลาหยุดไปเพื่อประกอบพิธีกุศลในวันวิสาขบูชา

เหตุการณ์สำคัญที่ทำให้ท่านธรรมปาละ หรือดอน เดวิด เหวะวิตารเน ต้องหันเหชีวิตจากเดิม ไปสู่ความเป็นผู้มีบทบาท อย่างสูง ในการฟื้นฟูพระพุทธศาสนาในอินเดีย คือ การโต้วาทะธรรมที่เมืองปานะดุรา ..เป็นการโต้วาทีเกี่ยวกับหลักธรรม ทางพระพุทธศาสนา และศาสนาคริสต์ ซึ่งมี พระมิเคตตุวัตเต คุณานันทะ นักบวชในพระพุทธศาสนา ได้รับคำท้าทาย จากนักบวชที่เรียกกันว่า ศิษยาภิบาล ของศาสนาคริสต์ ให้มาโต้วาทะธรรมกัน ซึ่งฝ่ายคริสต์ เห็นท่านคุณานันทะ เป็นศัตรูตัวฉากจ เพราะเวลาที่นักสอนศาสนาไปด่าว่าร้ายพระพุทธศาสนาที่ไหน พระคุณานันทะ ก็จะไปโต้วาทะ แก้ข้อกล่าวหา อย่างถึงพริกถึงขิง และท่านคุณานันทะนี้ เป็นวีรบุรุษในดวงใจของเด็กน้อยเดวิด หรือท่านธรรมปาละ มาโดยตลอด และเมื่อการโต้วาทะธรรมครั้งสุดท้าย ที่เมืองปานะดุรา ระหว่างท่านคุณานันทะ และ ศิษยาภิบาลเดวิด เดอ สิลวา ปรากฏว่า ฝ่ายพระพุทธศาสนา คือท่านคุณานันทะได้รับชัยชนะ ฝ่ายศาสนาคริสต์ก็เริ่ม เข็ดขยาด และไม่กล้าต่อว่า ว่าร้ายพระพุทธธรรมในที่สาธารณะอีกเลย

และผลการโต้วาทะธรรมครั้งนี้ ได้มีผู้แปลการโต้วาทะเป็นภาษาต่างประเทศ ก็ปรากฏมีชาวต่างประเทศสองท่าน เกิดได้อ่านและมีความศรัทธาในความมีเหตุผลของหลักธรรมในพระพุทธศาสนา จึงได้เดินทางมายังศรีลังกา สองท่านนี้คือ พันเอก เฮนรี่ สตีล โอลคอตต์ และ มาดาม เอช.พี. บลาวัตสกี ทั้งสองท่านได้มาปฏิญาณตนเป็นพุทธมามกะ ที่เมืองกอลล์ ทางภาคใต้ของศรีลังกา และเด็กน้อยเดวิด ได้มีโอกาสทำความรู้จักกับทั้งสองท่านนี้ด้วย ต่อมาทั้งสองท่าน ได้ตั้งสมาคม ที่ดำเนินงานด้านศาสนสัมพันธ์ (โดยส่วนใหญ่ดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องทางพระพุทธศาสนา) คือ สมาคมธีออสโซฟี่ ตั้งสาขาขึ้นที่อัทยา ใกล้ๆกับเมืองมัทราสทางตอนใต้ของอินเดีย

ทางด้านท่านธรรมปาละ ซึ่งตอนนี้หัวใจของท่านเต็มไปด้วยความมุ่มั่นที่จะทำงานเพื่อพระพุทธศาสนา พอถึงราว พ.ศ. 2427 ขณะนั้นท่านธรรมปาละ ได้มีอายุครบ 20 ปีพอดี ท่านได้ขอร้องบิดามารดาเพื่อที่จะเดินทางไปร่วมงานของ สมาคมธีออสโซฟี่ อัทยา ซึ่งท่านก็ได้ไปตามความปรารถนา ที่นั่นท่านธรรมปาละได้ศึกษาพระพุทธศาสนา และภาษาบาลีเพิ่มมากขึ้น ตามคำแนะนำช่วยเหลือของนางบลาวัตสกี

ต่อมา นางบลาวัตสกี ถูกพวกคณะเผยแผ่ศาสนาคริสต์ในอินเดียใส่ร้ายป้ายสีต่างๆนาๆ เพราะการที่มีสมาคมธีออสโซฟี่ ทำงานเพื่อพระพุทธศาสนา และมีพันเอกโอลคอตต์ และนางบลาวัตสกีอยู่ ทำให้การเผยแผ่ศาสนาคริสต์ไม่ได้ผลเท่าที่ควร ทำให้นางบลาวัตสกีต้องเดินทางกลับยุโรป
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
mahapho
บัวเริ่มพ้นน้ำ
บัวเริ่มพ้นน้ำ


เข้าร่วม: 15 พ.ย. 2006
ตอบ: 164

ตอบตอบเมื่อ: 22 มี.ค.2008, 5:28 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน



SANY0222.jpg


ท่านธรรมปาละ เมื่อสมัยถือเพศอนาคาริกใหม่ๆ

ถึงขณะนี้ ดอน เดวิด เหวะวิตารเน ก็จำเป็นต้องอยู่ที่สมาคมธีออสโซฟี่ต่อไป ได้เขียนจดหมาย ถึงพ่อแม่ และญาติๆที่ศรีลังกา ว่าขอประกาศสละงานบ้านเรือน เพื่อถือเพศ เป็นอนาคาริก เป็นผู้ถือพรหมจรรย์(ถึงตอนนี้ แสดงว่า ท่านได้ชื่อว่า เป็น อนาคาริก ธรรมปาละ อย่างสมบูรณ์แล้ว) และขอทำงานที่สมาคมธีออสโซฟี่ต่อไปอีกสักพัก ทางฝ่ายบิดา ก็ทัดทานอยู่บ้าง กล่าวว่า หากลูกชายคนโตทิ้งบ้านเรือนไปแล้ว ใครจะดูแลน้องๆ ท่านธรรมปาละได้ตอบบิดาด้ยหัวใจที่เด็ดเดี่ยว อันเป็น ปกตินิสัยของท่าน ว่า "ทุกคนมีกรรมเป็นของตน และกรรมนั่นแหละ จะดูแลรักษาพวกเขาเอง" ทางฝ่ายมารดาเองก็มีศรัทธา และปรารถนาที่จะเห็นบุตรของตน เป็นเช่นนี้อยู่เป็นทุนเดิม อยู่แล้ว ได้ให้ศีลให้พรและบอกว่า ไม่ต้องเป็นห่วงทางบ้าน หากตัวของมารดาเองไม่มีภาระ ที่ต้องดูแลลูกๆ ของท่านอีกสองคน เธอเองก็คงจะได้ร่วมด้วยในชีวิตใหม่ ของท่านธรรมปาละ เป็นแน่

ต่อมาในปี 2429 ขณะนั้นท่านธรรมปาละกำลังทำงานรับราชการเป็นเสมียน ชั้นผู้น้อยในกรมศึกษาธิการ ในกรุงโคลัมโบอยู่ และได้สอบเลื่อนชั้นในตำแหน่งที่สูงกว่า ในช่วงนั้น พันเอกโอลคอตต์และเพื่อนต้องการที่จะเดินทาง จาริกทั่วลังกา เพื่อพบปะ พี่น้องชาวพุทธ และท่านต้องการล่าม ท่านธรรมปาละอาสาจะเป็นล่าม ท่านธรรมปาละ ในตอนนั้นกิจอื่นที่จะทำนอกจากพระพุทธศาสนาไม่มีอีกแล้ว ท่านได้ขอยื่นใบลาออก จากราชการ โดยให้เหตุผลว่า "เพื่อทำงานเพื่อพระพุทธศาสนา" และท่านได้พบปะชาวพุทธมากมาย ทำให้ทราบปัญหา ความเดือดร้อนที่ถูกกดขี่ ทั้งด้านการศาสนา และการทำงาน หรืออื่นๆ ซึ่งเรื่องที่ท่านทำไว้ในประเทศลังกามีมากมาย เช่น การทำให้เกิดมีตั้ง โรงเรียนสอนพระพุทธศาสนา วันอาทิตย์ และโรงเรียนสอนภาษาอังกฤษด้านพระพุทธศาสนา ซึ่งต่อมากลายเป็นวิทยาลัย ที่มีชื่อเสียง คือ อานันทะคอลเลจ

ท่านได้เดินทางไปยังประเทศพระพุทธศาสนาอื่นๆอีก ร่วมกับพันเอกโอลคอตต์ ในปี พ.ศ. 2432 ท่านได้เดินทางไปยังประเทศญี่ปุ่น เพื่อพบปะกับชาวพุทธที่นั่น และท่าน ได้พาพระภิกษุจากประเทศญี่ปุ่น ที่ปรารถนาจะมาศึกษาพระพุทธศาสนาเถรวาท ที่ศรีลังกา มาด้วยซึ่งได้รับการต้อนรับจากชาวลังกา อย่างเอิกเกริก

ในปีพ.ศ. 2434 พันเอกโอลคอตต์เดินทางมายังประเทศพม่า เพื่อพบปะชาวพุทธ ที่พม่า และหารือเกี่ยวกับงานฟื้นฟู พระพุทธศาสนา ในขณะนั้นท่านธรรมปาละ ได้เดินทาง มายังอินเดียเพื่อนมัสการพุทธสถาน และสังเวชนียสถานที่อินเดีย โดยเดินทางมากับ พระภิกษุชาวญี่ปุ่น คือพระโกเซน คุณรัตนะ โดยเดินทางมายังอัทยา จากอัทยาไปบอมเบย์ จากบอมเบย์ไปที่สารนาถ ซึ่งเป็นสถานที่แสดงปฐมเทศนาของพระพุทธเจ้า สมัยพุทธกาล เรียกว่า ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน และจากสารนาถ เดินทางไปยังพุทธคยา สถานที่ตรัสรู้ของ พระพุทธองค์ และทั้งชีวิตของท่าน ก็หมดไปกับการฟื้นฟู พระพุทธสถานที่พุทธคยานี้เอง
 


แก้ไขล่าสุดโดย mahapho เมื่อ 04 เม.ย.2008, 9:19 am, ทั้งหมด 1 ครั้ง
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
mahapho
บัวเริ่มพ้นน้ำ
บัวเริ่มพ้นน้ำ


เข้าร่วม: 15 พ.ย. 2006
ตอบ: 164

ตอบตอบเมื่อ: 22 มี.ค.2008, 5:30 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน



SANY0275.jpg


SANY0264.jpg


SANY0270.jpg


ตำนานแห่งพระมหาเจดีย์พุทธคยา และมหันต์

พระมหาเจดีย์พุทธคยา


มหาเจดีย์พุทธคยา อันเป็นอนุสรณ์สถานระลึกถึงการตรัสรู้ของพระพุทธองค์นั้น มีการสร้างพระมหาเจดีย์มาตั้งแต่สมัย พระเจ้าอโศกมหาราช และสร้างเติมต่อๆมา โดยกษัตริย์ชาวพุทธในอินเดีย พระองค์ต่อๆมา จนกระทั่ง เมื่อกองทัพมุสลิม ได้บุกเข้ามาโจมตีอินเดีย พุทธคยาก็ถูกปล่อยให้รกร้างไม่มีผู้คอยเฝ้าดูแล

ราวปี พ.ศ. 2133 นักบวชฮินดูรูปหนึ่ง ชื่อ โคเสนฆมัณฑิคีร์ ได้เดินทางมาถึง ที่พุทธคยา และเกิดชอบใจในทำเลนี้ จึงได้ตั้งสำนักเล็กๆใกล้ๆกับ พระมหาเจดีย์พุทธคยา และพออยู่ไปนานๆ ก็คล้ายๆกับเป็นเจ้าของที่ไปโดยปริยาย และพวกมหันต์นี้ ก็คือนักธุรกิจการค้าที่มาในรูปนักบวชฮินดูนั่นเอง กล่าวกันว่า เป็นพวกที่ติดอันดับ มหาเศรษฐี 1 ใน 5 ของรัฐพิหาร ผู้นำของมหันต์ปัจจุบัน ก็มีการสืบทอดมาตั้งแต่ โคเสณฆมัณฑิคีร์ ตอนนี้เป็นองค์ที่ 15 การที่พวกมหันต์ มาครอบครองพุทธคยานั้น ก็ไม่ได้ดูแลพุทธคยาแต่อย่างไรทั้งสิ้น เพียงใช้พื้นที่ เพื่อหาประโยชน์เท่านั้นเอง

ปี พ.ศ. 2417 พระเจ้ามินดงมิน แห่งพม่า ได้ส่งคณะทูตมายังอินเดีย เพื่อขอบูรณะ ปฏิสังขรณ์พระวิหารและจัดการบางประการเพื่อดูแลรักษาพุทธสถานแห่งนี้ เมื่อได้รับ ความยินยอมจากพวกมหันต์และรัฐบาลอินเดีย จึงได้เริ่มทำการบูรณะ ทางรัฐบาลอินเดีย ได้ส่ง เซอร์ อเล็กซานเดอร์ คันนิ่งแฮม กับ ด.ร.ราเชนทรลาลมิตระ เข้าเป็นผู้ดูแลกำกับการบูรณะ หลังจากนั้นคณะผู้แทนจากพม่าจำเป็นต้องเดินทางกลับ ทางรัฐบาลอินเดียจึงรับงานบูรณะ ทั้งหมดมาทำแทน และเสร็จสมบูรณ์ ในปี พ.ศ. 2427 จนเป็นดังที่เห็นในปัจจุบัน

ก่อนหน้าที่ท่านธรรมปาละจะเดินทางมาที่พุทธคยานั้น ท่านได้อ่านบทความของท่านเซอร์ เอดวินด์ อาโนลด์ ผู้เรียบเรียงหนังสือพุทธประวัติภาษาอังกฤษ ที่มีชื่อเสียงโด่งดัง และกล่าวกันว่า เป็นพุทธประวัติฉบับภาษาอังกฤษ ที่มีความไพเราะ และน่าเลื่อมใสมาก คือ ประทีบ แห่งทวีปเอเซีย (The Light of Asia) ซึ่งท่านเซอร์ ได้เดินทางไปที่พุทธคยา ได้พบกับความน่าเศร้าสลดใจหลายประการ ท่านได้เขียนบทความไว้ตอนหนึ่งว่า (แปลจากภาษาอังกฤษ)


ตะวันตกและวันออก โอกาสแจ่มจรัส โอกาสแห่งความรุ่งโรจน์
( EAST and West ; A Splendid Opportunity)
เขียนโดย ท่านเซอร์ เอ็ดวิน อาร์โนลด์


"ในความเป็นจริง ไม่มีข้อกังขาสงสัยใดๆ ในความเป็นจริง ของสถานที่ สังเวชนียสถาน 4 ตำบลของชาวพุทธ คือ กบิลพัสดุ์ (ปัจจุบัน Bhuila) ซึ่ง เจ้าชายสิทธัตถะประสูติ, ป่าอิสิปตนะ ภายนอกเมืองพาราณสี ซึ่งพระพุทธองค ์ได้แสดงธรรมเทศนา กุสินารา ที่พระองค์ได้ปรินิพพาน และสถานที่ตรัสรู้ซึ่งมี ต้นโพธิ์เป็นเครื่องหมาย ในวันเพ็ญเดือน 6 เมื่อ 2383 ปี มาแล้ว พระองค์ได้บำเพ็ญเพียรทางจิตและมีศรัทธาเป็นอย่างมาก ซึ่งพระองค์ได้นำ ความเจริญทางอาารยธรรม มาสู่เอเชีย บรรดาสังเวชนียสถาน 4 ตำบล ต้นพระศรีมหาโพธิ์ที่พุทธคยา คือสิ่งที่มีค่าและศักดิ์สิทธิ์ของชาวพุทธทั่วทั้งเอเชีย ทำไมหรือ เพราะว่า ปัจจุบันตกอยู่ในมือของนักบวชพราหมณ์ ผู้ไม่ได้ดูแลวัดเลย นอกจากว่าจะถือเอาเป็นกรรมสิทธิ์เท่านั้น และพวกเขา ได้ตักตวงเอาผลประโยชน์ เป็นอย่างมาก"

"ความจริงในเรื่องนี้ ตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 13 กล่าวคือ 1400 ปีมาแล้ว สถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่พิเศษสุดและชาวพุทธรักษาไว้ แต่ได้ทรุดโทรมลงและถูก ปล่อยปละละเลย เหมือนกับ วัดพุทธศาสนาแห่งอื่นๆ จากการอันตรธานสูญหายของพุทธศาสนาจากอินเดีย 300 ปีต่อมา นักบวชศาสนาพราหมณ์ที่ นับถือพระศิวะมาถึงที่นี้ และตั้งหลักปักฐาน ณ ที่ตรงนี้ ได้เริ่มครอบครองสิ่งที่อยู่รอบๆ ซึ่งได้เห็นและก่อนตั้ง โรงเรียนสอนศาสนาขึ้นมา พวกเขามีกำลังมากจึงเข้ายึดครองเป็นเจ้าของวัดพุทธคยา ซึ่งรัฐบาลเบงกอลได้เข้ามาบูรณะ และพื้นที่ รอบพุทธคยา ในปี พ.ศ. 2423 (ค.ศ.1880) และได้ขอส่วนหนึ่งของรั้วเสาหินสมัยพระเจ้าอโศก จากพวกมหันต์ ซึ่พวกเขาได้นำไปสร้างบ้าน เพื่อนำกลับมาตั้งไว้ ณ ที่เดิม แต่พวกมหันต์ไม่ได้คืนมา และท่านเซอร์ อาชเลย์ gvgfo (Sir Ashley Eden) ก็ไม่สามารถผลักดันการบูรณะให้แล้วเสร็จได้

ชาวพุทธทั่วโลกได้ลืมคืนที่ดี และสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ และเป็นศูนย์กลางที่ยิ่งใหญ่ของศรัทธา ดังเช่นนครเมกกะ และเยรูซาเล็ม(Mecca and Jeruzaiem) เป็นศูนย์กลางศรัทธาของผู้ศรัทธานับล้านคน-เมื่อข้าพเจ้าได้พักที่โรงแรม ที่พุทธคยาปีสองปีที่ผ่านมา ข้าพเจ้ารู้สึกเศร้าใจที่เห็นเครื่องบูชา สาร์ท (Shraddh) ของพวกฮินดูในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้ และวัตถุโบราณที่มีค่าจำนวนมากหลายพันชิ้น ซึ่งจารึก ด้วยภาษาสันสกฤตได้ถูกทิ้งจมอยู่ในดิน ข้าพเจ้าได้ถามนักบวชฮินดูว่า"

“ข้าพเจ้าจะขอใบโพธิ์จากต้นพระศรีมหาโพธิ์ที่ศักดิ์สิทธิ์ได้หรือไม่”

“เจ้านาย จงหักเอาเท่าที่คุณชอบ มันไม่มีค่าอะไรสำหรับเรา” นี้เป็นคำตอบจากพวกเขา

ไม่มีความละอายจากอาการที่พวกเขาไม่สนใจใยดี ข้าพเจ้าเก็บใบโพธิ์ 3-4 ใบอย่างเงียบๆ ซึ่งพวกมหันต์ได้หักมาจาก กิ่งบนหัวของพวกเขา และข้าพเจ้าได้นำใบโพธิ์ไปยังศรีลังกา เมื่อได้คัดลอกจารึกที่เป็นภาษาสันสกฤต ที่นั้น (ศรีลังกา) ข้าพเจ้า ได้พบว่า ใบโพธิ์เป็นสิ่งมีค่าสำหรับชาวพุทธที่ศรีลังกา ซึ่งต้อนรับด้วยความกระตือรือร้นและศรัทธา ใบโพธิ์ที่ข้าพเจ้าถวาย ได้ถูกนำไปที่เมืองแคนดี้ และได้ใส่ไว้ในผอบที่มีค่าและได้รับการบูชาทุกๆ วัน”

(และอีกตอนหนึ่งที่ท่านเซอร์อาร์โนลด์เขียนถึงพวกมหันต์ที่พุทธคยา มีดังต่อไปนี้)
“แต่ 2-3 ปีผ่านไป ในขณะที่ความคิดไปแผ่ขยายไปทั่วเอเชีย และสมาคมอย่างมากมายได้ก่อตั้งขึ้น ด้วยจุดประสงค์พิเศษ เพื่อเรียกร้องดินแดนศักดิ์สิทธิ์คืนมา พวกมหันต์ได้เรียกร้องเอาทรัพย์สินมากเกินไป และเข้ายึดครองวัดมากขึ้นทุกที จดหมาย ที่ข้าพเจ้าได้รับจากทางตะวันออก แสดงว่า พวกรัฐบาลได้นึกถึงคำขู่ของพวกพราหมณ์และผู้บริหารท้องถิ่น ได้มีท่าทีเปลี่ยนไป ในการเจรจา

"ข้าพเจ้าคิดว่า พวกมหันต์เป็นคนดี ข้าพเจ้าไม่ได้ปรารถนาอย่างนี้มาก่อนเลย แต่มิตรภาพและความพอใจที่พวกเขามีให้ ถ้าคุณเดินเข้าไปในสถานที่ซึ่งผุ้คนที่ศรัทธานับล้าน เลื่อมใสศรัทธา อยู่ คุณอาจสังเกตเห็นสิ่งที่น่าอดสูและระทมใจในสวนมะม่วง ด้านตะวันออกของแม่น้ำ ลิลาจัน(Lilajan) พระพุทธรูปสมัยโบราณได้ถูกนำมาติดไว้ที่คลองชลประทานใหล้กับหมู่บ้านมุจลินท์ คือ สระมุจลินท์ และได้เห็น พระพุทธรูปใช้เป็นฐานรองรับบันไดที่ท่าตักน้ำ
ข้าพเจ้าได้พบชาวนาในหมู่บ้านรอบๆ วิหารพุทธคยา พวกเขาใช้แผ่นสลักที่มีความงดงามจากวิหาร มาทำเป็นขั้นบันได ของพวกเขา ข้าพเจ้าได้พบภาพสลักสูง 3 ฟุต ซึ่งมีสภาพดีเยี่ยม จมอยู่ใต้กองขยะด้านตะวันอกของวังมหันต์ อีกส่วนหนึ่ง ติดอยู่กับผนังด้านตะวันออกของสวนมะม่วงริมแม่น้ำ และรั้วเสาหินพระเจ้าอโศกซึ่งเป็นสิ่งที่มีค่าสูงสุดของอินเดีย ซึ่งล้อมวิหาร แต่ปัจจุบันกลายเป็นส่วนหนึ่งของห้องครัวพวกมหันต์"


ทันทีที่บทความของท่านเซอร์เอดวิน อาโนลด์ ได้ตีพิมพ์ ท่านธรรมปาละได้มีโอกาสอ่าน ก็เกิดแรงบันดาลใจยิ่งขึ้น ที่จะมาดูพุทธคยา สถานที่ตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า เมื่อท่านเดินทางมาถึงพุทธคยา พร้อมกับพระโกเซน คุณรัตนะ วันที่ท่านมาถึงพุทธคยานั้น เป็นวันที่ 22 มกราคม 2434 ท่านธรรมปาละได้บันทึกเหตุการณ์ตอนนี้ไว้เองว่า
“หลังจากขับรถออกมาจากคยา 6 ไมล์(ประมาณ 10 กม.) พวกเราได้มาถึงสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ภายในระยะทาง 1 ไมล์ ท่านสามารถเห็นซากปรักหักพังและภาพสลักที่เสียหายเป็นจำนวนมาก ที่ประตู ทางเข้าวัดของพวกมหันต์ ตรงหน้ามุข ทั้งสองด้าน มีพระพุทธรูปปางสมาธิและปฐมเทศนาติดอยู่ จะแกะออก ได้อย่างไร พระวิหารที่ศักดิ์สิทธิ์ พระพุทธรูป ประดิษฐานอยู่ บนบัลลังก์ งดงามมาก ซึ่งแผ่ไปในใจ ของพุทธศาสนิกชนสามารถทำให้หยุดนิ่งได้ ช่างอัศจรรย์จริงๆ ทันใดนั่นเอง ข้าพเจ้าได้มานมัสการ พระพุทธรูป ช่างน่าปลื่มอะไรเช่นนี้ เมื่อข้าพเจ้าจดหน้าผาก ณ แท่นวัรชอาสน์ แรงกระตุ้นอย่างฉับพลัน ก็เกิดขึ้นในใจ แรงกระตุ้นดังกล่าวนั้นกระตุ้นให้ข้าพเจ้าหยุดอยู่ที่นี่ และ ดูแลรักษา พุทธสถาน อันศักดิ์สิทธิ์ อันเป็นสถานที่ตั้งแห่งต้นพระศรีมหาโพธิ์ ซึ่งเจ้าชายศากยะสิงหะ (พระสิทธัตถะ) ได้ประทับตรัสรู้ และเป็นสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์อย่างไม่มีที่แห่งใดในโลกมาเทียมเท่านี้ ( As soon as I touched with my forehead the Vajrasana a sudden impulse came to my mind to stop here and take care of this sacred spot, so sacred that nothing in the world is equal to this place where Prince Sakya Sinha attained enlightenment under the Bodhi Tree ) เมื่อมีแรงบันดาลใจ ข้าพเจ้าถามท่านโกเซน คุณรัตนะ ว่า ท่านจะร่วมมือกับข้าพเจ้าหรือไม่ และท่านได้ตอบตกลงอย่างเต็มใจ และมากไปกว่านั้นท่านเองก็มีความคิด เช่นเดียวกัน เราทั้งสองสัญญากันอย่างลูกผู้ชายว่า พวกเราจะพักอยู่ที่นี้ จนกระทั่งมีพระสงฆ์บางรูปมาดูแล สถานที่แห่งนี้”
 


แก้ไขล่าสุดโดย mahapho เมื่อ 04 เม.ย.2008, 9:14 am, ทั้งหมด 1 ครั้ง
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
mahapho
บัวเริ่มพ้นน้ำ
บัวเริ่มพ้นน้ำ


เข้าร่วม: 15 พ.ย. 2006
ตอบ: 164

ตอบตอบเมื่อ: 22 มี.ค.2008, 5:31 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ท่านธรรมปาละและพระโกเซน ได้พักอยุ่ที่พุทธคยาชั่วคราว ที่ศาลาพักของพม่า ซึ่งคณะทูตของพระเจ้ามินดงมิน ได้สร้าง ไว้เป็นที่พัก เรียกเสียง่ายๆว่า วัดพม่า จากนั้นท่านธรรมปาละก็เริ่มงานของท่าน โดยการเขียนจดหมายบอกเล่าสภาพของ พุทธคยา ส่งไปยังบุคลลแทบทุกวงการของพม่า ลังกา อินเดีย และเรียกร้อง ชักชวนให้ร่วมมือกัน เพื่องานฟื้นฟูพระพุทธศาสนา และพุทธสถาน

ท่านได้ติดต่อกับเจ้าหน้าที่ของจังหวัดคยาเพื่อจุดประสงค์ที่จะฟื้นฟูพุทธคยา ได้รับการชี้แจง ว่าพระวิหารมหาโพธิพร้อมกับ รายได้ที่เกิดขึ้นนั้น ตอนนี้กลายเป็นของมหันต์ แต่ว่าด้วย ความช่วยเหลือของรัฐบาลก็อาจมีทางเป็นไปได้ที่จะขอซื้อพระวิหาร และบริเวณดังกล่าวจากมหันต์ (น่าแปลกอยู่เหมือนกัน ที่ว่าเราต้องขอซื้อ ขอมีกรรมสิทธิ์ในพื้นที่ที่ควรจะเป็น ของพวกเราชาวพุทธเอง)

ท่านธรรมปาละได้เดินทางกลับมายังโคลัมโบ เพื่อที่จะไปจัดตั้งสมาคมขึ้น เพื่อการนำ พุทธคยากลับคืนมาสู่ชาวพุทธ และในวันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2434 พุทธสมาคม เพื่อจุดประสงค์ดังกล่าว ในชื่อว่า "พุทธคยามหาโพธิโซไซเอตี้" ก็ได้รับการตั้งขึ้น ณ กรุงโคลัมโบ ประเทศลังกา มีท่านประธานนายกะ เอช. สุมังคลมหาเถระ เป็นนายกสมาคม พันเอกโอลคอตต์เป็นผู้อำนวยการ ท่านธรรมปาละเป็นเลขาธิการ นอกนี้ก็มีผู้แทนจากประเทศและกลุ่มชาวพุทธต่างๆ เข้าร่วม ในการก่อตั้งด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มีผู้แทนจากประเทศไทยของเราเข้าร่วมด้วย คือ พระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้า จันทรทัตจุฑาธร (His Royal Highness Prince Chandradat Chudhadharn) ชื่อของสมาคมนี้ ต่อมาได้ตัดคำว่า พุทธคยาออก คงไว้แต่ มหาโพธิโซไซเอตี้ ดังในปัจจุบัน

จุดประสงค์ของสมาคมมหาโพธิ ที่ได้จัดตั้งขึ้นในคราวนั้น คือ

" เพื่อสร้างวัดพระพุทธศาสนาและก่อตั้งพุทธวิทยาลัย กับส่งคณะพระภิกษุซึ่งเป็นผู้แทนของประเทศพระพุทธศาสนา คือ จีน ญี่ปุ่น ไทย เขมร พม่า ลังกา จิตตะกอง เนปาล ธิเบต และอารกัน ไปประจำอยู่ ณ พุทธคยา " รวมทั้งเพื่อจัดพิมพ์วรรณคดีพระพุทธศาสนาขึ้นในภาษาอังกฤษ และภาษาท้องถิ่นของอินเดีย

หลังจากนั้น ในวันอาสาฬหปุรณมี ท่านอนาคาริกธรรมปาละได้กลับไปยังพุทธคยา พร้อมกับพระภิกษุลังกาอีก 4 รูป ที่พร้อมจะมาร่วมด้วยกับท่าน และท่านได้ขอติดต่อกับมหันต์ อย่างยากลำบาก จนกระทั่งพวกมหันต์ ซึ่งขณะนั้นเป็นยุคของ เหมนารยันคี มหันต์ ยอมตกลงให้เช่าที่แปลงเล็กๆ ส่วนหนึ่งในพุทธคยา เพื่อทำเป็นที่พัก ต่อมาในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2434 ท่านธรรมปาละได้จัดให้มีการประชุมชาวพุทธระหว่างชาติขึ้นที่พุทธคยา โดยมีผู้แทนชาวพุทธจากลังกา จีน ญี่ปุ่น และจิตตะกอง เข้าร่วมประชุม ซึ่งได้มีการประชุมกันในวันที่ 31 ของเดือนตุลาคม ผู้แทนจากญี่ปุ่นกล่าวว่า ชาวพุทธญี่ปุ่นยินดีที่จะสละทรัพย์ เพื่อขอซื้อพุทธคยาคืนจากมหันต์ คำกล่าวนี้เป็นที่อนุโมทนาในที่ประชุมอย่างมาก ท่านธรรมปาละได้ให้มีการประดับ ธงชาติญี่ปุ่นไว้ข้างๆธงพระพุทธศาสนา เพื่อเป็นเกียรติแก่ชาวพุทธญี่ปุ่น แต่กลับไม่เป็นผลดี อย่างที่คิด เมื่อข้าหลวงเบงกอล เดินทางมา ถัดจากวันที่มีการประชุม เพื่อจะมาเยี่ยมชมพุทธคยา แต่เมื่อเห็นธงชาติญี่ปุ่น ก็เกิดระแวงขึ้นมาทันที เพราะขณะนั้นอินเดีย และอังกฤษที่ปกครองอินเดีย ยังวิตกกับท่าทีทางการเมืองของญี่ปุ่นอยู่ ทำให้ข้าหลวงเบงกอล เดินทางกลับทันที และปฏิเสธที่จะพบกับผู้แทนชาวพุทธอย่างไม่มีข้อแม้ และยังบอกผ่านเจ้าหน้าที่ ไปยังท่านธรรมปาละอีกว่า พุทธคยาเป็นของมหันต์ รัฐบาลจึงไม่ประสงค์จะไปยุ่งเกี่ยวใดๆกับเรื่องนี้ ในการที่ชาวพุทธ ได้เรียกร้องนั้น สรุปว่าหนทาง ที่จะได้พุทธคยาคืนมาเป็นของชาวพุทธ ก็กลับมืดมนไปอีก

หลังจากนั้น ในปี พ.ศ. 2435 สมาคมมหาโพธิ ก็ได้ย้ายจากโคลัมโบ มาอยู่ที่กัลกัตตา ที่อินเดีย และได้ออกวารสาร สมาคมมหาโพธิ ( Mahabodhi Review ) ซึ่งยังคงอยู่จนปัจจุบันนี้ ถึง 111 ปี แล้ว และเป็นวารสารที่โด่งดังในทั้งตะวันออก และตะวันตก ในช่วงแรกๆ ว่ากันว่าท่านธรรมปาละและทีมงานต้องอดมือกินมื้อเพื่อนำเงินไปซื้อแสตมป์มาส่งหนังสือกันทีเดียว

วันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2436 ท่านธรรมปาละและพันเอกโอลคอตต์ เดินทางจากศรีลังกามาที่พุทธคยา ก็ได้รับข่าวทันที่ว่า พระภิกษุที่จำพรรษาประจำอยู่ที่พุทธคยา ขณะกำลังนั่งสนทนาธรรมกันอย่างสงบในที่พักวัดพม่า ก็ถูก พวกมหันต์ยกพวกมารุมทุบตี รูปหนึ่งอาการสาหัสต้องเข้าพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล พันเอกโอลคอตต์เข้าพบมหันต์ทันที เพื่อเจรจาและขอเหตุผลกับเรื่องที่เกิดขึ้น ปรากฏว่าพวกมหันต์ไม่ยอมรับการเจรจาใดๆ และยังปฏิเสธไม่ยอมขายที่ ไม่ยอม ให้เช่า ไม่ว่าจะด้วยกรณีใดๆ ไม่ยอมให้สร้างแม้แต่ที่พักสำหรับชาวพุทธผู้มาแสวงบุญ เป็นอันว่าเรื่องของพุทธคยา ก็ยังตก อยู่ในภาวะยุ่งยากลำบากเช่นเคย

ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2436 ท่านธรรมปาละได้รับเชิญในฐานะผู้แทนชาวพุทธ ให้เข้าร่วมการประชุมสภาศาสนา (parliament religion) ที่เมืองชิคาโก สหรัฐอเมริกา การที่ท่านธรรมปาละได้เดินทางไปครั้งนี้ นับว่าเกิดผลอย่างมาก ต่อพระพุทธศาสนา และต่อศาสนาทั้งหลาย ท่านธรรมปาละได้กล่าวปราศัยในหลายๆเรื่อง ทำให้ที่ประชุมรู้สึกทึ่ง ในคำสอนของ พระพุทธศาสนา ถึงกับมีนักการศาสนา และปรัชญาท่านหนึ่ง คือ มิสเตอร์ ซี. ที. เสตราส์ ประกาศปฏิญาณตนเป็น พุทธมามกะ นับถือพระพุทธศาสนา ท่านธรรมปาละจึงได้จัดให้มีการปฏิญาณตนเป็นพุทธมามกะที่ สมาคมธีออสโซฟี่ แห่งชิคาโก นับว่าเป็นอุบาสกคนแรก ในประเทศอเมริกาทีเดียว

เมื่อท่านธรรมปาละ เดินทางกลับจากการประชุมสภาศาสนาครั้งนี้ ท่านได้ผ่าน ฮอนโนลูลู และสมาชิกสมาคมธีออสโซฟี่ แห่งฮอนโนลูลู ได้มาต้อนรับท่าน ซึ่งท่านได้พบกับ นางแมรี่ มิกาฮาลา ฟอสเตอร์ นางเป็นเชื้อสาย เจ้าผู้ครองฮาวาย นางเป็นคนโทสะจริต มีอารมณ์ขุ่นมัวเสมอ มักทำให้ทั้งเธอ และคนรอบข้างเกิดความเดือดร้อน จะเอาหลักศาสนา ไหนๆ มาปฏิบัติก็ไม่หาย ได้มาปรึกษาท่านธรรมปาละ ท่านธรรมปาละจึงแนะนำหลักธรรม ทางพระพุทธศาสนาอย่างง่ายๆ ให้เธอนำไปปฏิบัติ ปรากฏว่า เธอนำไปปฏิบัติได้ไม่นาน ก็หายจากอาการเจ้าโทสะ อารมณ์ร้าย เธอจึงเลื่อมใส ในพระพุทธศาสนา และท่านธรรมปาละมาก นางแมรี่ ฟอสเตอร์นี่เอง ที่เป็นผู้อุปถัมภ์ท่านธรรมปาละ ด้าน ทุนทรัพย์ ในการฟื้นฟูพุทธคยา ด้วยจำนวนเงินรวมๆแล้ว กว่าล้านรูปี มีคนถึงกับขนานนามเธอว่า " วิสาขาที่ 2 " ทีเดียว

หลังจากนั้นท่านได้เดินทางผ่านประเทศญี่ปุ่น จีน ไทย สิงคโปร์ และลังกา เพื่อพบปะ กับผู้นำฝ่ายศาสนาและบ้านเมือง ขอความร่วมมือด้านกิจกรรมฟื้นฟู พระพุทธศาสนา ที่ท่าน กำลังทำอยู่ ที่เมืองไทยเรา ท่านได้เฝ้า กรมหมื่นเทววงศ์วโรปการ ซึ่งทรงเป็นเสนาบดี กระทรวงการต่างประเทศในขณะนั้น และพบกับเจ้านายอีกหลายพระองค์ ท่านอยู่ใน เมืองไทย 3 อาทิตย์ จึงเดินทางกลับ (หลังจากนั้นท่านได้เดินทางมาอีก เพื่อมาขอรับ ส่วนแบ่งพระบรมธาตุ ซึ่งพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้รับ ทูลถวายจากรัฐบาลอินเดีย ซึ่งเป็นส่วนพระบรมธาตุที่ขุดได้จากบริเวณกรุงกบิลพัสดุ์ แถบเนปาล พระองค์ทรงประกาศ ไปยังประเทศพระพุทธศาสนาอื่นๆ ว่าพระองค์ทรงยินดี จะแบ่งพระบรมธาตุให้กับชาวพุทธ ในประเทศอื่นๆ ท่านธรรมปาละ ได้เดินทางมาขอรับพระราชทานส่วนแบ่งพระบรมธาตุ ในฐานะตัวแทนชาวพุทธลังกา ในปี 2453)

หลังจากนั้นท่านได้เดินทางผ่านประเทศญี่ปุ่น ได้รับพระพุทธรูปเก่าแก่ ถึง 700 ปี จากชาวพุทธญี่ปุ่น ซึ่งมีความประสงค์ จะขอให้ท่านนำพระพุทธรูปนี้ ไปประดิษฐาน ที่พุทธคยาด้วย และพระพุทธรูปนี้เอง ต่อมาเป็นชนวนการขัดแย้ง ครั้งประวัติศาสตร์ ระหว่างท่านธรรมปาละ และมหันต์

ท่านธรรมปาละได้เดินทางกลับมายังอินเดีย ได้ติดต่อขอนำพระพุทธรูปที่ได้รับมาจาก ชาวญี่ปุ่น มาประดิษฐานยังพุทธคยา ซึ่งคงไม่ต้องบอกว่า มหันต์ไม่ยอมอย่างแน่นอน ทาง มิสเตอร์แมคเฟอร์สัน เจ้าหน้าที่ ฝ่ายปกครองของอังกฤษประจำคยา ได้ขอให้ท่านธรรมปาละ ลองหาเสียงสนับสนุนจากชาวฮินดูทั่วๆไปก่อน แต่ท่านก็ได้รับ คำตอบจากพราหมณ์ชั้นบัณฑิตที่พาราณสี อย่างข้างๆคูๆ ก็คือ พระพุทธเจ้าเป็นปางหนึ่งของพระนารายณ์ ดังนั้นพระวิหารพุทธคยาจึงเป็นของฮินดู ชาวพุทธไม่มีสิทธิอะไร ในวิหารนั้น พวกมหันต์เอง ก็ยืนยันว่าจะไม่ยอมให้นำพระพุทธรูป เข้าไปยัง วิหารพุทธคยาเป็นอันขาด และยังประกาศว่า หากยังขืนดึงดันจะนำเข้ามา ก็จะจ้างคนห้าพันคน มาคอยดักฆ่า และได้เตรียมเงินไว้ถึงแสนรูปีเพื่อการนี้แล้วด้วย เป็นอันว่า เรื่องการนำพระพุทธรูป มาประดิษฐาน ยังวิหารพุทธคยา ก็ยังต้องพักไว้ก่อน

วันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2438 ท่านธรรมปาละก็ได้นำพระพุทธรูปมายังวิหารพุทธคยา โดยไม่กลัวการขู่จากพวกมหันต์ แต่ผลก็คือว่า เมื่อท่านได้นำพระพุทธรูปญี่ปุ่นองค์นั้นไปถึงองค์พระเจดีย์พุทธคยา พร้อมกับพระภิกษุ อีก 4 รูป ซึ่งประจำอยู่ที่นั่น กำลังจะยกพระพุทธรูปขึ้นประดิษฐาน ปรากฏว่าพวกมหันต์ หลายสิบคนกรูกันเข้ามาบังคับ สั่งให้ท่านธรรมปาละเอาพระพุทธรูป ออก และทำการทุบตีทำร้ายอีกด้วย ท่านธรรมปาละกล่าวไว้ในบันทึกของท่าน ว่า “มันช่างเจ็บปวดเหลือแสน ชาวพุทธถูกห้ามไม่ให้บูชาในวิหารที่เป็นสิทธิ์ของตนเอง”

ศาลประจำจังหวัดคยา ได้ตัดสินความผิดกับพวกมหันต์ ในขณะที่ศาลสูงของกัลกัตตา กลับตัดสินให้พวกมหันต์ชนะคดี แต่ทางศาลสงของกัลกัตตาก็มีความเห็๋นใจชาวพุทธ ได้ พิจารณาว่าอย่างไรก็ตาม พุทธคยานั้นเป็นพุทธสถานและสมบัติของชาวพุทธ อย่างชัดเจน
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
mahapho
บัวเริ่มพ้นน้ำ
บัวเริ่มพ้นน้ำ


เข้าร่วม: 15 พ.ย. 2006
ตอบ: 164

ตอบตอบเมื่อ: 22 มี.ค.2008, 5:32 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

หลังจากนั้นท่านก็ได้เดินทางไปยังจังหวัด เขต ตำบลต่างๆในอินเดีย เพื่อชี้แจงเรื่อง ปัญหาของชาวพุทธกับกรรมสิทธิ์ของชาวพุทธในพระเจดีย์พุทธคยาชาวอินเดีย ที่มีการศึกษา และประเทศใกล้เคียง ต่างก็ให้ความสนใจ หลายฝ่ายเทคะแนนให้กับชาวพุทธ และเห็นว่า พุทธคยานั้น เป็นกรรมสิทธิ์ ของชาวพุทธอย่างไม่ต้องสงสัย แม้แต่นักปราชญ์ที่ได้รับการยกย่องในอินเดีย เช่น ท่านรพินทร์นาถ ฐะกูร นักกวี และ นักวรรณคดีชาวอินเดียก็เห็นว่า พระวิหารพุทธคยานั้น เป็นกรรมสิทธิ์ของชาวพุทธอย่างแน่นอน

ตลอดระยะเวลานับตั้งแต่ปี 2437 เป็นต้นมา ท่านก็ได้ดำเนินการเรียกร้องทั้งในอินเดียและลังกา เรื่องของพุทธคยา ก็เป็นประเด็นที่ชาวอินเดียต่างให้ความสนใจ เรียกว่าเป็น Talk of The Town เลยทีเดียว

ท่านธรรมปาละได้เดินทางไปยังประเทศอื่นๆอีก เช่น ประเทศอเมริกา เพื่อไปเปิดสาขามหาโพธิสมาคมขึ้นที่นั่น เนื่องจากการตรากตรำทำงานอย่างไม่หยุดหย่อน สุขภาพท่านจึงไม่ค่อยดีนัก

ในปี พ.ศ 2458 ท่านธรรมปาละได้ทำงานที่ปรารถนาจะทำให้สำเร็จมานานได้เรียบร้อย คือการที่จะให้มีพุทธวิหาร หรือวัดแห่งแรกในอินเดียหลังจากพระพุทธศาสนาถูกทำลายไปกว่า 700 ปี ที่กัลกัตตา และการจดทะเบียน สมาคมมหาโพธิ เป็นสมาคมที่ถูกต้องสมบูรณ์ด้วย

การสร้างพระวิหารนั้น ได้ประกอบพิธีวางศิลาฤกษ์ ในวันที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2461 และสร้างแล้วเสร็จในวันที่ 20 พฤศจิกายน 2463 รัฐบาลอินเดียได้มอบพระบรมสารีริกธาตุ หรือพระธาตุของพระพุทธองค์ ซึ่งขุดค้นพบในอินเดีย ในประดิษฐานในพระวิหาร ส่วนตึกอาคารสมาคมมหาโพธินั้น สร้างเสร็จ และเปิดในเดือนกันยายน 2463 สิ้นเงินการสร้างทั้งสองแห่ง ราวๆ 2 แสนรูปี พุทธวิหารที่จัดสร้างขึ้นนี้ ให้ชื่อว่า ศรีธรรมราชิกเจติยวิหาร

ในปี 2469 ท่านธรรมปาละได้เดินทางไปยังประเทศอังกฤษ และร่วมจัดงานวิสาขะบูชาขึ้นที่กรุงลอนดอนด้วย

ในเดือนธันวาคม ปี 2473 มิสซิสฟอสเตอร์ ซึ่งคอยช่วยเหลือท่านธรรมปาละในด้านเงินทุนตลอดมา ได้ถึงแก่กรรมลง ซึ่งเป็นการสูญเสียที่ยิ่งใหญ่ อย่างไรก็ตาม นางได้ฝากมรดกเป็นเงินก้อนสุดท้าย จำนวน 5 หมื่น ดอลลาห์ ให้กับ ท่านธรรมปาละ

ท่านธรรมปาละ ได้ตั้งใจไว้ตั้งแต่ต้นว่า หากท่านจะตาย ขอตายในเพศบรรพชิต ดังนั้น ท่านจึงได้รับการบรรพชา (บวชเป็นสามเณร) ที่ วัดมูลคันธกุฎิวิหาร ซึ่งเป็นวัดที่สร้างขึ้นในบริเวณห่างจากสารนาถ ซึ่งเป็นสถานที่แสดงปฐมเทศนา ของพระพุทธองค์ ในวันที่ 13 กรกฎาคม ปี 2474 โดยมีพระเรวตเถระ จากศรีลังกา มาบวชให้ (วัดมูลคันธกุฎิวิหารนั้น ท่านธรรมปาละริเริ่มการสร้างขึ้น ตั้งแต่ปี 2444)

ถึงบัดนี้ สุขภาพของท่านธรรมปาละก็เริ่มเจ็บหนักขึ้น เพราะการตรากตรำทำงานหนัก มากเกินไป แต่ท่านก็ปรารถนา ที่จะได้บวชเป็นพระภิกษุให้ได้ และ ในวันที่ 11 พฤศจิกายน 2474 วัดมูลคันธกุฎิวิหารก็ได้ทำพิธีเปิดอย่างเป็นทางการ และมีการผูก พัทธสีมาเป็นวัดโดยสมบูรณ์ โดยคณะสงฆ์ลังกา สิ้นเงินการสร้างวัด ตลอดจนเงินค่าจ้าง ช่างชาวญี่ปุ่น คือ โกเซทซุ โนสุ มาเขียนภาพฝาผนังพุทธประวัติ รวมทั้งหมด 130,000 รูปี

ในวันเปิดมูลคันธกุฎิวิหาร มีชาวพุทธและข้าราชการ รัฐบาลอินเดียหลายท่าน และชาวพุทธจากต่างประเทศมากมาย ได้มาร่วมงานกว่าพันคน รัฐบาลอินเดียได้มอบ พระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า ให้กับผู้แทนสมาคม ได้มีการนำ พระธาตุขึ้นสู่หลังช้าง แห่รอบพระวิหารสามรอบ แล้วจึงนำขึ้นประดิษฐานยังยอดพระเจดีย ์ในพระวิหาร

ท่านธรรมปาละได้กล่าวปราศัยในงานเปิดวันนั้น ความตอนสุดท้ายที่น่าประทับใจ ว่า
"...หลังจากที่พระพุทธศาสนาได้ถูกเนรเทศออกไปเป็นเวลานานถึง 800 ปี ชาวพุทธทั้งหลายก็ได้กลับคืนมา ยังพุทธสถานอันเป็นที่รักของตนนี้อีก ... เป็นความปรารถนาของสมาคมมหาโพธิ ที่จะมอบพระธรรมคำสอนอันเปี่ยม ด้วย พระมหากรุณาของพระพุทธองค์ ให้แก่ประชาชนชาวอินเดียทั้งมวล ไม่เลือกชาติชั้นวรรณะ และลัทธินิกาย.. ข้าพเจ้ามั่นใจ ว่าท่านทั้งหลาย จะพร้อมใจกันเผยแผ่ " อารยธรรม " (ธรรมอันประเสริฐ) ของพระตถาคตเจ้า ไปให้ตลอดทั่วทั้งอินเดีย... "


ในปลายปี พ.ศ. 2475 (ตรงกับปีที่ไทยเปลี่ยนระบอบการปกครองพอดี) ท่านธรรมปาละได้ล้มเจ็บหนักอีกครั้ง เมื่อพอสบายดีขึ้น ท่านรู้ว่าใกล้จักถึงวาระสุดท้ายของท่านแล้ว ท่านจึงได้คิดที่จะอุปสมบทเป็นพระภิกษุเสียที จึงได้นิมนต์ พระเถระชั้นผู้ใหญ่จากลังกา 10 รูป มีท่านพระสิทธัตถะอนุนายกเถระ คณะสยามนิกาย วัดมัลวัตวิหาร เป็นประธาน และเป็นพระอุปัชฌาย์ ได้ทำการอุปสมบทท่านธรรมปาละ ได้รับภิกษุฉายาในทางศาสนาว่า "ภิกฺขุ ศรี เทวมิตฺร ธมฺมปาล"

เมื่อท่านได้อุปสมบท ก็ปรากฏว่าท่านได้มีกำลังกายกลับคืนมาอีกครั้งหนึ่ง แต่เป็นการ กลับคืนมาเหมือนกับเปลวเทียน ที่กำลังจะหมดไส้ ซึ่งจะสว่างได้ไม่นาน ดังนั้น ในเดือนเมษายน ของปี 2476 ท่านจึงได้ล้มเจ็บลงอีก โดยมีนาย เทวปริยะ วาลีสิงหะ ซึ่งเป็นทั้งศิษย์ และสหายของท่านได้คอยรักษาและดูแลอยู่

จนถึงวันที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2476 (ประวัติบางแห่งว่า วันที่ 27) อาการโรคหัวใจ ของท่านเพียบหนักถึงที่สุด แต่ท่านก็ยังพอจะพูดได้บ้าง และสิ่งที่ท่านกล่าวย้ำบ่อยๆ ในขณะเวลา ที่เหลืออีกไม่นานก็คือ " ขอให้ข้าพเจ้าได้มรณะเร็วๆ เถิด แต่ข้าพเจ้าจักกลับมาเกิดใหม่อีก 25 ครั้ง เพื่อเผยแผ่ ประกาศพระธรรมของพระพุทธเจ้า "

และในเวลาเช้าของวันที่ 29 เมษายน ท่านแทบไม่รู้สึกตัวอะไรอีก พูดออกมาได้เพียงคำว่า "เทวปริยะ" ราวจะฝากฝังให้นายเทวปริยะ จับงานของสมาคมให้ดำเนินต่อไป เพราะพุทธคยายังไม่กลับมาเป็นกรรมสิทธิ์ ของชาวพุทธ โดยสมบูรณ์ จนถึงบ่าย 2 โมง อุณหภูมิในตัวของท่านสูงขึ้นเรื่อยๆ จนถึง 104.6 ถึงที่สุดแล้ว ทุกคนที่อยู่รอบๆก็ทราบว่า ท่านกำลังจะมรณภาพ พระภิกษุสามเณรจากลังกาและอินเดียที่อยู่ที่นั่น ได้ล้อมรอบท่าน พร้อมกับ สวดพระพุทธมนต์ ไปเรื่อยๆ พอสิ้นเสียงสวด ....'วิญญาณของบุรุษผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่ง ผู้เกิดมาเพื่อประโยชน์สุขของคนส่วนรวม และเชิดชูพระศาสนาของพระพุทธองค์ ก็ดับวูบลง ละร่างกาย อันเก่า คร่ำคร่าเกินเยียวยา เหลือเพียงใบหน้าอันยิ้มแย้มและเป็นสุขไว้เท่านั้น ในเวลา บ่าย 3 ของวันที่ 29 เมษายน พ.ศ 2476 นั่นเอง.......
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
mahapho
บัวเริ่มพ้นน้ำ
บัวเริ่มพ้นน้ำ


เข้าร่วม: 15 พ.ย. 2006
ตอบ: 164

ตอบตอบเมื่อ: 22 มี.ค.2008, 5:34 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ผลงานที่ท่านได้ทำไว้

ท่านธรรมปาละ เป็นผู้มีบทบาทอย่างสูง ต่อการฟื้นฟูพระพุทธศาสนาในอินเดีย ประโยชน์ที่ท่านฝากไว้ในพระพุทธศาสนา พอสรุปได้ดังนี้

- เป็นผู้จุดประกายการศึกษาพระพุทธศาสนาในอินเดีย ทำให้ชาวอินเดีย ซึ่งแทบจะลืมเลือนพระพุทธศาสนา จนหมดสิ้น แล้ว หันกลับมาแนวทางแห่งอริยมรรคแห่งพระพุทธองค์อีกครั้ง

- ท่านได้สร้างอนุสรณ์สถาน ปูชนียสถานเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาไว้มากมาย ตามสถานที่ต่างๆ ที่เป็นที่ระลึกถึง พระพุทธองค์ เช่น วัดมูลคันธกุฎิวิหาร ใกล้ๆกับสถานที่แสดงปฐมเทศนา ที่สารนาถ

- ท่านได้เป็นผู้จุดประกายริเริ่มให้ชาวพุทธ และชาวอินเดีย หันมาเอาใจใส่และฟื้นฟูพุทธสถาน ที่สำคัญของพระพุทธองค์ โดยเฉพาะพุทธคยา แม้ในสมัยของท่าน อาจจะยังไม่ทำให้พุทธคยา คืนสู่กรรมสิทธิ์ของชาวพุทธ และอยู่ในการดูแลคุ้มครอง ของชาวพุทธได้ แต่ต่อมา การกระทำของท่านก็เป็นกระแสผลักดันสังคม ชาวอินเดียหลายฝ่าย นักปราชญ์หลายท่าน ก็ได้แสดงความเห็นควรว่าพุทธคยาเป็นสิทธิ์ของชาวพุทธอย่างแน่นอน ต่อมา ในเดือนเมษายน ปี 2499 รัฐบาล แห่งรัฐพิหาร ได้ผ่านพระราชบัญญัติวิหารพุทธคยา ซึ่งให้ส่วนหนึ่ง อยู่ในการดูแลของชาวพุทธ โดยมีกรรมการชาวพุทธ 4 ท่าน ชาวฮินดู 4 ท่าน โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดคยาเป็นประธาน

สรุป

ท่านธรรมปาละ เป็นบุคคลธรรมดา ที่เกิดในตระกูลชาวพุทธลังกา แต่ท่านได้ทำคุณประโยชน์แก่พระพุทธศาสนาที่อินเดีย และที่ลังกามากมาย ท่านเป็นผู้ที่จุดประกายอะไรหลายๆอย่าง ให้ชาวอินเดีย หันกลับมามอง ถึงสิ่งที่ชาวอินเดียลืมเลือนไปแล้ว ให้กลับมาคู่อินเดียอีกครั้ง ให้พระพุทธศาสนา กลับมายังมาตุภูมิ ถิ่นเกิดของตนเองอีก ท่านธรรมปาละ เป็นอมตบุคคล และเป็นรัตนบุรุษผู้หนึ่ง ที่พุทธศาสนิกชน พึงจดจำ และระลึกถึงท่าน นำเอาแนวทางของท่าน มาเป็นแบบดำเนินชีวิต ท่านธรรมปาละได้อุทิศ กาย ใจ เพื่อเชิดชู เพื่อรักษา เพื่อเผยแผ่พระพุทธธรรมของพระพุทธองค์ จนกระทั่งวาระสุดท้ายแห่งชีวิต

ท่านธรรมปาละ เกิดเมื่อ 17 กันยายน พ.ศ. 2407มรณภาพ เมื่อ 29 เมษายน พ.ศ. 2476 สิริรวมอายุของท่านได้ 69 ปี 7 เดือน 13 วัน ....

สุดท้ายนี้หนังสือชาวพุทธจึงขอเชิญชวนพุทธบริษัททุกท่านได้ระลึกถึง และร่วมอนุโมทนากับคุณงามความดีของท่านผู้เป็นบุคคลสำคัญ ที่เราต้องย้อนอดีตเพื่อศึกษาเรื่องราวของชีวิตท่านผู้นี้ " อนาคาริก ธรรมปาละ"

ที่มา: ธรรมสาส์นชาวพุทธ

เทียน วัดมูลคันธกุฏีวิหาร (ใหม่) ณ สารนาถ
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=26&t=43034

เทียน สารนาถ : สถานที่แสดงปฐมเทศนา
สถานที่พระรัตนตรัยครบองค์ ๓ ในวันอาสาฬหบูชา

http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=26&t=50869

เทียน พุทธสังเวชนียสถาน ๔ ตำบล
: สถานที่อันเป็นที่ระลึกถึงพระพุทธเจ้า

http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=26&t=39377
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง